(ต่อ1) สหมงคลฟิล์มภูมิใจเสนอภาพยนตร์เรื่อง “กระสือวาเลนไทน์”

ข่าวทั่วไป Tuesday January 17, 2006 15:16 —ThaiPR.net

“พี่ไม่ค่อยมีเทคนิคในการกำกับการแสดงมากเท่าไหร่นัก พี่จะวางตนเองในลักษณะกำกับภาพยนตร์มากกว่า เพราะฉะนั้นนักแสดงส่วนใหญ่จะมีความสามารถมาเองโดยที่พี่ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องช่วยอะไร ส่วนใหญ่พี่จะบอกเค้าว่า พี่อยากได้อะไร นักแสดงควรจะพูดตอนไหนถึงตอนไหน การแสดงเป็นเรื่องของนักแสดงล้วน ๆ แต่เมื่อแสดงออกมาแล้ว พี่ถึงจะบอกหรือปรับเปลี่ยนการแสดง เช่น ถ้าเห็นว่ามากไปก็จะให้ปรับลงมานิดนึง ถ้าน้อยไปก็จะให้เพิ่มขึ้นหน่อย คือเทคนิคการทำงานของพี่ ส่วนใหญ่พี่จะทำงานกับคนที่อยากจะทำงานกับเรามากกว่า คือแฮปปี้ที่จะทำงานกับเรา สนุกที่จะทำงานร่วมกันเป็นอันดับแรก เพราะว่าระหว่างถ่ายทำ มันจะมีองค์ประกอบอะไรให้ปวดหัวให้วุ่นวาย เพราะงั้น “ใจ” ต้องมาก่อน ก็คือ พี่ถึงได้แบบว่าให้ใจกับนักแสดง และพี่ก็ได้ใจจากนักแสดงกลับมาโดยเต็มที่ ซึ่งไม่มีเทคนิคอะไรซับซ้อน เพียงแต่ว่าคุยกันดูว่าถูกโฉลกกันหรือเปล่าเท่านั้นเอง”
จากผลงานของเขาอย่าง มือปืน / โลก / พระ / จัน (2544), กุมภาพันธ์ (2546), บุปผาราตรี (2546), สายล่อฟ้า (2547) และ บุปผาราตรี เฟส 2 (2548) ล้วนแล้วแต่เป็นหนังที่ประสบความสำเร็จทั้งทางด้านคำวิจารณ์และรายได้ รวมถึงเป็นการทำงานที่ค่อนข้างหลากเรื่องหลายแนวไม่ซ้ำแบบใคร
ล่าสุด เขากลับมาอีกครั้งกับ “กระสือวาเลนไทน์” หนังดราม่า-สยองขวัญที่ว่าด้วยความรักของกระสือสาวในรูปแบบที่จริงจังมากขึ้น และไม่มีทางที่ผู้ชมจะได้ยินเสียงหลอนของกระสือลอยละล่องมาให้ได้ยินว่า “Do You Believe in Destiny?” กันอย่างแน่นอน
“กระสือของพี่จะเป็นหนังกระสือเรื่องแรกที่จับต้องได้ จับต้องในความเป็นมนุษย์ได้มากกว่าการเป็นผี มันเหมือนคนที่ผิดแผกแตกต่างจากคนอื่นเท่านั้นเอง ระหว่างดูเนี่ย แทนที่จะดูผีกระสือ อาจจะต้องเห็นใจ คือปรกติคนจะต้องกลัวผีโผล่มาหลอก แต่กระสือเรื่องนี้คือ แบบเมื่อไหร่ผีกระสือจะออกมาเจอพระเอกซักทีอะไรประมาณนี้”
“คือความโดดเด่นของหนังเรื่องนี้น่าจะเป็นอารมณ์หนังมากกว่า มันไม่ใช่หนังที่ชวนติดตามในลักษณะว่า อยากจะเห็นนางเอกประสบความสมหวังในความรัก หรืออยากจะให้พระเอกกลับมารักกัน แต่อารมณ์ของหนังมันจะโดดเด่นดึงคนดูอยู่ด้วยความสงสัย ติดตามว่าเบื้องหลังมันจะจบลงยังไง มันจะเป็นยังไงต่อ คือการติดตามด้วยความอยากรู้มากกว่าการติดตามหนังรัก ที่แบบว่าเอาใจช่วยพระเอก หรือหนังเศร้าที่แบบว่า อย่านะ อย่างเป็นอย่างนั้น อย่าเป็นอย่างนี้นะ มันจะเป็นอารมณ์ชวนติดตามไปเรื่อย ๆ พอหนังจบก็จะเดินออกจากโรงแบบโล่ง รับรู้แล้วว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นแบบนี้”
และหากสังเกตกันจากผลงานที่ผ่านมาของเขาแต่ละเรื่องแล้ว เขามักจะถ่ายทอดเรื่องราวในมุมมองของตัวละครหญิงที่เป็นฝ่ายถูกกระทำเป็นส่วนใหญ่
“ตัวละครผู้ชายเป็นตัวละครที่ไม่น่าสนใจ ผู้ชายนุ่มลึกเนี่ย พี่มองว่าเป็นสิ่งที่มันไม่ใช่ธรรมชาติของผู้ชาย ผู้ชายส่วนใหญ่ในความรู้สึกของพี่มันเป็นพวกหยาบกระด้างผิวเผิน แต่ผู้หญิงเนี่ยจะมีปฏิกิริยากับทุกอย่าง จะมีอารมณ์ร่วมกับทุกอย่างมากกว่าผู้ชาย ซึ่งอารมณ์ร่วมตรงนี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจ เป็นสิ่งที่น่าศึกษา หรือว่าเป็นสิ่งที่น่าจะขยาย หรือเป็นสิ่งที่น่าพูดถึงมากกว่า อารมณ์ของผู้ชายมันไม่มีอะไร พอพูดถึงความเป็นหนังชีวิตหนังดราม่า ความรู้สึกของผู้หญิงมันจะแรงมากกว่าของผู้ชาย อารมณ์ของผู้หญิงจะต่อเนื่องตั้งแต่เด็กจนโตจนแก่ จะคล้าย ๆ กันก็คือไม่เปลี่ยน ซึ่งเวลาขยายความรู้สึกของผู้หญิงมันจะขยายได้เยอะกว่าในแง่ของดราม่า ในแง่ของเรื่องราว หรือในแง่ของอารมณ์”
ด้วยมุมมองที่แปลกและต่างจากผู้กำกับคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ผลงานของยุทธเลิศมักจะชวนติดตามไปตั้งแต่ต้นจนจบในความมีเสน่ห์ที่คาดไม่ถึงที่หลอมอยู่ในผลงานของเขาทุกเรื่อง
แน่นอน กับ “กระสือวาเลนไทน์” ก็เช่นกัน เขายังคงถ่ายทอดมุมมองผ่านตัวละครหญิงที่เป็นพยาบาลสาวผู้ผิดหวังในความรัก และเดินทางมาทำงานที่กรุงเทพฯ เพื่อที่จะลบเลือนความผิดหวังในอดีต และเชื่อว่าพรหมลิขิตจะทำให้เธอค้นพบรักครั้งใหม่ แต่แล้วขณะเดียวกัน เธอกลับค้นพบความลับอันน่าสยองว่า แท้จริงแล้วเธอเป็น “กระสือ” แถมยังเป็นกระสือที่กำลังมีความรักอีกต่างหาก
“เสน่ห์ของมันก็คือ...เอ่อ...ไม่แน่ใจว่าเรียกว่าเสน่ห์รึเปล่า มันน่าจะเรียกว่าลักษณะพิเศษของมัน มันเป็นหนังผีที่ดึงดูดความสนใจของคน คือเค้าเรียกเป็นหนังผีที่ทำให้คนอินกับมัน ไม่ได้ด้วยการเอาผีมาหลอก หรือทำให้ตกใจ แต่เป็นการทำให้คนอินกับตัวละครที่เป็นผี เข้าใจในความรู้สึกของผี ซึ่งเป็นผีที่ไม่ได้แตกต่างอะไรจากคน มันคงแตกต่างจากหนังผีทั่วไปที่ออกมา หนังผีทั่วไปคือชั้นจะมาบีบคอ หรือทำให้ตกใจ หรือทำให้ใครตาย แต่หนังผีเรื่องนี้จะออกมาเพื่อทำให้คนเข้าใจคำว่ามนุษย์ ชีวิตมนุษย์ควรทำยังไง ปฏิบัติยังไง มันเป็นการถ่ายทอดความรู้สึกของคนเนี่ยแหละผ่านมุมมองของผี ซึ่งผีตัวนี้พี่บอกแล้ว มันไม่ใช่ผี มันคือคนนั่นแหละ แต่มันมีร่างกายเป็นผี จริง ๆ มันก็เป็นเรื่องของคนนั่นแหละ เผอิญคนมันไม่มีร่างกายเท่านั้นเอง”
ผ่านประสบการณ์การทำหนังมามากมายจนถึงเรื่องที่ 6 แล้วอย่างนี้ ผู้กำกับหนังฮิตที่ชอบหนังผีจำพวก “ผีกัดอย่ากัดตอบ” และหลงใหลได้ปลื้มไปกับหนังผีญี่ปุ่นสมัยเด็ก ๆ ที่เทคนิคน้อย แต่ได้อารมณ์ของหนังผีมากคนนี้ วางแนวทางการกำกับหนังของเขาเองไปในทิศทางใดกันแน่
“ทำหนังรักพี่ก็ชอบในอารมณ์ของมัน อารมณ์โรแมนติก อารมณ์ดราม่า พี่ก็ชอบความจริงจัง ชอบพลังของมัน ทำหนังตลกพี่ก็สนุก เวลาถ่ายหนังสนุก ทำอะไรก็สนุก มันจะคนละมู้ดอ่ะ แต่ถามว่าพี่ชอบแบบไหน คือพี่เป็นคนสนุก แต่ไม่เคยทำแบบตั้งใจสนุกซักที ตอนนี้อยู่ในช่วงทำงานที่ตนเองสนใจ คิดว่ามันน่าสนใจ ถ้าถามความถนัด ก็ทำมาเกือบหมดแล้วก็ถือว่าทำได้ทุกทาง แต่ถ้าถามความชอบแล้วเนี่ย อยากลองทำหนังไซไฟ แต่มันอาจจะไม่สนุก แต่ปีหน้าจะมีหนังเรื่องนึง ซึ่งตัวเองสนุกมากที่จะทำ คือคิดแล้วสนุก มันเป็นหนังสนุก เป็นหนังตลก”
เกร็ดกระสือ
จากบันทึกเรื่องราวเล่าขานเกี่ยวกับ “ผีกระสือ” ที่มีอยู่หลายสำนักในประเทศไทย กล่าวไว้ว่า ผีกระสือมีแทบทุกภาคของเมืองไทย แต่ละภาคก็จะมีชื่อเรียกต่างกันออกไป เช่น “ผีสือ”, “ผีกละ” หรือ “ผีโพง”
แม้จะมีชื่อเรียกผีต่างกันออกไป แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็รับรู้ในแบบเดียวกันว่า ผีกระสือไม่ใช่วิญญาณของคนที่ตายไปแล้ว แต่เป็นผีที่เกิดจากคนซึ่งมีชีวิตอยู่แต่แยกจิตวิญญาณออกไปเป็นผีกระสืออีกร่างหนึ่ง จะว่าคนเดียวมีสองร่างก็พอได้ และที่แปลกอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ผู้ที่เป็นผีกระสือจะผูกขาดอยู่เฉพาะเพศหญิงเท่านั้น ไม่เคยมีปรากฏว่าผู้ชายเป็นผีกระสือมาก่อนแต่อย่างใด
สำหรับความเป็นมาหรือมูลเหตุการเกิดเป็นกระสือนั้นไม่เคยมีการแจ้งไว้อย่างชัดเจน แต่ส่วนใหญ่จะเชื่อกันว่า เป็นมรดกตกทอดของอาถรรพ์วิญญาณเร้นลับซึ่งจะต้องสืบต่อกันมาเป็นรุ่น ๆ หรือเป็นวิบากกรรมซึ่งผู้มีกรรมจะต้องสืบทอดต่อ ๆ กันไป จนกว่าวิบากกรรมนี้จะจบสิ้น การเป็นผีกระสือนั้นจะตายไม่ได้ ถึงจะแก่หง่อมอย่างไร ก็ยังต้องมีชีวิตอยู่
ผีกระสือจะปรากฏตัวในลักษณะเฉพาะแค่หัวกับไส้และดวงไฟเรืองแสงในตอนกลางคืน เพื่อออกหากินพวกอาจมสกปรกที่คนไปถ่ายทิ้งไว้, เลือด, น้ำเหลืองของหญิงที่เพิ่งคลอดลูกใหม่ ๆ รวมถึงตับไตไส้พุง และรกเด็กด้วย
มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า เมื่อกระสือกินพวกของสกปรกจนอิ่มแปล้แล้ว มักจะใช้ผ้าที่หาได้บริเวณนั้นเช็ดปากและทิ้งไว้ หากอยากรู้ว่าใครเป็นผีกระสือ ก็ให้นำผ้าไปนึ่งหรือต้ม คนที่เป็นผีกระสือจะรู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่ปากเหมือนถูกน้ำร้อนลวก กระทั่งทนไม่ไหวจนต้องยอมปรากฎตัวออกมาขอร้องให้เลิกต้มผ้านั้นเสีย แต่ผีกระสือบางรายอับอายที่จะให้ใครรู้ว่าตนเป็น จึงยอมทนปวดแสบปวดร้อนจนปากเน่าพุพองอย่างน่าเวทนา
นอกจากนี้ยังมีความเชื่อกันอีกว่า ผีกระสือจะไม่กล้าเข้ามาใกล้หนามพุทรา เพราะกลัวหนามจะเกี่ยวลำไส้ของมันเอาไว้ และจะกลับคืนสู่ร่างเดิมไม่ได้ ดังนั้น ชาวบ้านจึงมักกองหนามพุทราเอาไว้ใต้ถุนบริเวณบ้าน
ส่วนการสืบทอดเป็นผีกระสือรุ่นต่อ ๆ ไป ก็คือ คนที่เป็นผีกระสือจะใช้น้ำลายป้ายหรือหลอกให้คนอื่นกินน้ำลายของตน และใครที่โดนน้ำลายป้ายหรือกินน้ำลายของคนที่เป็นผีกระสือ ก็จะกลายเป็นผีกระสือรุ่นต่อไปทันที
คาถาหาคู่
(คาถาภาวนาให้รู้ว่า คู่วาสนาของตนจะมีหรือไม่)
ปุฟเพวะ สันนิวา เสนะ
ปัจจะบันนะ หิเตนะ วา
เอวันตัง ชะยะเต เปมัง
อุปะลัง วะ ยะโส ธะเกฯ
จุดธูปเทียน (เทียน 2 เล่ม ธูป 3 ดอก) ให้ทำในวันพระ ขึ้น 15 ค่ำยิ่งดี ให้ตั้งน้ำสะอาด 1 ขัน แล้วสวดคาถานี้เท่าอายุ เช่น อายุ 30 ปี ก็สวด 30 จบ แล้วนำน้ำนั้นมาล้างหน้า หลังจากนั้นให้รีบเข้านอน ท่านว่ากลางคืนจะฝันถึงคู่ครองจองตน ถ้ามีวาสนาบารมี จะได้พบความรัก
คาถาที่ใช้นี้ สำหรับผู้ที่อายุมากแล้วทั้งชายหญิง และไม่เคยพบกับความรักมาก่อน เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังเป็นม่ายหรือกำลังขาดแคลนความรัก ด้วยประการฉะนี้แล
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net--จบ--

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ