แสนสิริประกาศเพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 2 เท่าตัวเป็น 19,238 ล้านบาท รองรับแผนก้าวสู่อันดับหนึ่งในตลาดที่อยู่อาศัยครบวงจรภายใน 3-5 ปี

ข่าวทั่วไป Wednesday December 6, 2006 17:48 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--6 ธ.ค.--แสนสิริ
แสนสิริ ประกาศเพิ่มทุนจดทะเบียนครั้งใหญ่เท่าตัว จากเดิม 6,305 ล้านบาท เป็น 12,610 ล้านบาท ภายในต้นปี 2550 พร้อมออก Warrant ที่สามารถรองรับการเพิ่มทุนสูงสุดเป็น 19,238 ล้านบาท ภายใน 5 ปี เตรียมขออนุมัติผู้ถือหุ้น 18 มกราคม 2550 เผยใช้ 4 ปัจจัยสำคัญเพื่อรองรับการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ได้แก่ “ขยายฐานตลาดอยู่อาศัยที่ครบทุกเซกเมนต์ สานต่อการสร้างแบรนด์สินค้าที่มีคุณภาพให้เป็นที่ยอมรับ การมีปริมาณยอดขาย (Pre-Sale backlog) สูงสุดในระบบถึง 15,000 ล้านบาท และการขยายฐานทุนให้มีความเข้มแข็ง” มั่นใจสามารถรองรับแผนชิงความเป็นผู้นำอันดับหนึ่งของตลาดที่อยู่อาศัยที่ครบวงจรที่สุดในประเทศไทยได้ในช่วง 3-5 ปี
นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2549 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ฯ ครั้งที่ 10/2549 ได้มีมติอนุมัติแผนการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ จากทุนจดทะเบียนของบริษัทขึ้นอีกจำนวน 12,610,225,400.88 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 6,628,246,421.68 บาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่จำนวน 19,238,471,822.56 บาท โดยการออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน 2,946,314,346 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 4.28 บาท พร้อมกันนี้อนุมัติออกใบสำคัญแสดงสิทธิ์ที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท (Warrant) จำนวนไม่เกิน 1,473,314,346 หน่วย ให้กับผู้ถือหุ้นทุกรายในอัตราส่วน 2 หุ้นเดิมต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธ์ สำหรับการเพิ่มทุนในครั้งนี้มีบริษัทหลักทรัพย์กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และมีบริษัทหลักทรัพย์ยูบีเอส (ประเทศไทย) เป็นผู้ร่วมดำเนินการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน ในลำดับต่อไป จะมีการดำเนินการขออนุมัติมติที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 18 มกราคม 2550 นี้
“การเพิ่มทุนจดทะเบียนในครั้งนี้ จะทำให้บริษัทมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ทางแสนสิริมีความเชื่อมั่นเป็นอย่างมากว่า การปรับตัวของแสนสิริน่าจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของวงการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้วยเช่นกัน เพราะนอกจากแสนสิริจะมีเงินทุนที่มากเพียงพอต่อการขยายธุรกิจที่อยู่อาศัยที่ครบวงจรแล้ว ยังมีเงินทุนเพียงพอที่สามารถนำไปสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ ด้วยการลดสัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ลงจากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 1.37 เหลือ 0.88 ทันที ซึ่งเป็นตัวเลขที่สะท้อนศักยภาพของการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่งให้กับสถาบันการเงินต่างๆ รวมถึงสามารถดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ในการเข้าร่วมลงทุนและเป็นพันธมิตรกับบริษัทฯ ได้เป็นอย่างดี ” นายเศรษฐา กล่าว
นายพรทัต อมตวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ในฐานะบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวถึงรายละเอียดการเพิ่มทุนดังกล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการของแสนสิริ มีมติจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่จำนวน 2,946,314,346 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 4.28 บาท (ในขณะที่ราคาหุ้น SIRI เฉลี่ยย้อนหลัง 7 วัน ระหว่างวันที่ 23 พฤศจิกายน-1ธันวาคม 2549 อยู่ที่ 4.08 บาท ต่อหุ้น) โดยแบ่งเป็น จัดสรรหุ้นสามัญใหม่จำนวน 1,473,000,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 4.28 บาท เพื่อออกและเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) ซึ่งอาจเป็นนักลงทุนในประเทศหรือต่างประเทศ และการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวน 1,473,314,346 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 4.28 บาท เพื่อรองรับการออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท (”ใบสำคัญแสดงสิทธิ”) ที่ออกให้แก่ผู้ถือหุ้นทุกรายในอัตราส่วน 2 หุ้นเดิมต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ
“ เราเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ภายหลังจากแสนสิริเพิ่มทุนเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก สามารถนำไปขยายฐานการลงทุนในธุรกิจที่อยู่อาศัยใหม่ๆ ได้อย่างครอบคลุมทุกเซกเมนต์ นอกจากนี้การที่ผู้บริหารระดับสูงของบริษัท อย่างคุณเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการของแสนสิริ มีการเสนอขอซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทแสนสิริในครั้งนี้ในสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง ซึ่งกรณีนี้อาจจะเป็นเรื่องใหม่ในประเทศไทยแต่เป็นเรื่องปกติในต่างประเทศ ในขณะเดียวกันก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เห็นได้ว่า การบริหารงานที่เกิดขึ้นในอนาคตนั้น ก็เสมือนมีพันธะสัญญาที่สำคัญที่ผู้บริหารนั้นจะต้องทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจการสร้างสรรค์ผลงานให้เกิดมูลค่า และได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่มีประสิทธิภาพสูงสุดด้วย นั่นหมายถึง แสนสิริมีโอกาสอย่างมาก ในการขยายตัวทางธุรกิจสู่การเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ครบวงจรได้ในอนาคตอันใกล้นี้อย่างแน่นอน รวมถึงราคาหุ้นของแสนสิริก็น่าจะสะท้อนสภาพการดำเนินธุรกิจที่แท้จริงมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันได้ด้วย” นายพรทัต กล่าว
นายเศรษฐา กล่าวเสริมว่า แผนการดำเนินธุรกิจของแสนสิริในช่วงต่อไป มีกลยุทธ์หลัก 4 ประการ ที่จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้การดำเนินธุรกิจมีความแข็งแกร่งและประสบความสำเร็จ ได้แก่ ประการแรกคือการสานต่อการสร้างแบรนด์สินค้าให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ทั้งโครงการบ้านจัดสรร อาทิ แบรนด์นาราสิริ สำหรับโครงการบ้านจัดสรรระดับพรีเมี่ยมราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป แบรนด์เศรษฐสิริสำหรับโครงการบ้านระดับราคา 6-9 ล้านบาท แบรนด์บุราสิริสำหรับโครงการบ้านระดับราคา 4-6 ล้านบาท และแบรนด์สราญสิริสำหรับโครงการบ้านระดับราคา 3-5 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีโครงการคอนโดมิเนียมระดับพรีเมี่ยมที่จะเกิดขึ้นอีกหลายโครงการ ประการที่สองคือการที่แสนสิริมียอดขายล่วงหน้า (Pre-Sale Backlog) โครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ เป็นมูลค่ารวมเกือบ 15,000 ล้านบาท ที่จะทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องใน 1-3 ปีข้างหน้า ประการที่สามคือ แผนการขยายฐานการพัฒนาธุรกิจที่อยู่อาศัยอย่างครบวงจรผ่านบริษัทในเครือต่างๆ เพื่อรองรับทุกความต้องการของลูกค้า และประการสุดท้ายคือการมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่ง เพื่อรองรับการขยายธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีผลกระทบต่อแผนการลงทุนระยะยาว อันจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุนและสถาบันการเงินได้ดียิ่งขึ้น
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net

แท็ก แสนสิริ  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ