รายงานพิเศษ : สถานการณ์ตลาดรับสร้างบ้านไตรมาส 3/2552

ข่าวอสังหา Thursday October 1, 2009 11:24 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--1 ต.ค.--พีดีเฮ้าส์ ปี 2552 นับเป็นปีที่มีเรื่องฉาวในวงการรับสร้างบ้านมากที่สุด เพราะว่ามีกลุ่มลูกค้าที่โดนหลอกลวงและได้รับเดือดร้อนรวมตัวกัน ออกมาแฉพฤติกรรมกับสื่อมวลชนและแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ประกอบการนอกรีต หรือมิจฉาชีพที่แฝงตัวเข้ามาในธุรกิจรับสร้างบ้านคิดเป็นมูลค่าความเสียหายนับร้อยล้านบาท จากข้อมูลพบว่าผู้บริโภคที่ตกเป็นเหยื่อก็เพราะโดนจูงใจด้วยเงื่อนไข “ราคาต่ำเกินจริง” อีกทั้งโปรโมชั่นส่วนลดของแถมมากมายที่นำมาล่อใจ สุดท้ายไม่เพียงแค่ “สร้างบ้านไม่ได้มาตรฐาน” แต่กลายเป็น “สร้างบ้าน ไม่ได้บ้าน” ทั้งนี้ได้สร้างความเดือดร้อนแสนสาหัสแก่ผู้บริโภคที่ตกเป็นเหยื่อ เพราะนอกจากฝันสลายแล้วเงินทองที่เก็บออมไว้ต้องสูญสิ้นไปด้วย อย่างไรก็ดีเชื่อว่าเรื่องเลวร้ายเช่นนี้จะยังคงเกิดขึ้นอีกในอนาคต ตราบใดที่ยังไม่มีกฏหมายออกมาควบคุมอาชีพนี้ ผู้บริโภคเองต้องมีความระมัดระวังและอย่าหลงเชื่อหรือโลภมากจนตกเป็นเหยื่อ ควรมีการตรวจสอบประวัติความเป็นมาและผลงานที่ผ่านมาของผู้ประกอบการเสียก่อน เพราะว่าในปัจจุบันยังไม่มีหน่วยงานของรัฐหรือหน่วยงานของเอกชน สามารถควบคุมผู้ประกอบการนอกรีตหรือมิจฉาชีพที่แฝงเข้ามาหลอกลวงได้แต่อย่างใด “ปัจจุบันผู้บริโภคและประชาชนมีการรับรู้ต่อ “บริษัทรับสร้างบ้าน” มากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับ 5-6 ปีที่แล้ว โดยเฉพาะผู้บริโภคในต่างจังหวัดที่ต้องการสร้างบ้านบนที่ดินของตัวเอง หากแต่ความเข้าใจเกี่ยวกับ “คุณสมบัติหรือมาตรฐาน” ของผู้ประกอบการหรือบริษัทรับสร้างบ้านยังขาดความชัดเจน กระทั่งกลายเป็นผลเสียเพราะมีผู้ประกอบการที่ขาดความพร้อมหรือมิใช่ผู้ประกอบการตัวจริง มองเห็นช่องทางหากินโดยไม่สุจริตเข้ามาสู่ธุรกิจรับสร้างบ้าน ซึ่งได้สร้างความเดือดร้อนแก้ผู้บริโภคที่ตกเป็นเหยื่อจำนวนมากดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดังนั้นผู้ประกอบการตัวจริงหรือหน่วยงานที่ดูแลภาพรวมธุรกิจรับสร้างบ้าน ไม่ควรเอาหูไปนาเอาตาไปไร่หรือปล่อยให้ผู้บริโภคตกเป็นเหยื่อโดยไม่สนใจ เพราะหากเกิดเรื่องทำนองนี้ขึ้นบ่อยๆ แน่นอนว่าย่อมบั่นทอนความน่าเชื่อถือที่มีต่อภาพรวมธุรกิจรับสร้างบ้านด้วยเช่นกัน” เอ็กซเรย์ตลาดรับสร้างบ้านปี 52 จากการที่ตลาดรับสร้างบ้านในกรุงเทพฯและปริมณฑลหดตัวตามภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย หากผู้ประกอบการจะรักษาระดับรายได้และแชร์ส่วนแบ่งตลาดเอาไว้ไม่ให้ถดถอยลงตาม จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเร่งปรับตัวเองและขยายฐานลูกค้าหรือมองหากลุ่มเป้าหมายใหม่ๆเพิ่มเติม อย่างเช่น ปริมาณบ้านสร้างเองในต่างจังหวัด จากการศึกษาข้อมูลพบว่าสถิติการออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคารเพื่ออยู่อาศัยอาคารแนวราบทั่วประเทศในช่วงปี 2549-2551 เฉลี่ยปีละประมาณ 200,000 หน่วยเศษ (ดูกราฟประกอบ) ทั้งนี้บริษัทฯประเมินว่าปริมาณบ้านสร้างเองทั่วประเทศ “ประเภทบ้านเดี่ยวพักอาศัย” (ไม่นับรวมประเภทบ้านจัดสรร) จะมีจำนวนเฉลี่ยประมาณ 74,000-75,000 หน่วยต่อปี โดยแยกเป็นปริมาณบ้านสร้างเองในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลเฉลี่ยประมาณ 18,000-20,000 หน่วยต่อปี และในพื้นที่ต่างจังหวัดประมาณ 55,000-56,000 หน่วยต่อปี ซึ่งจากตัวเลขดังกล่าวจะเห็นว่าโอกาสและตลาดบ้านสร้างเองในต่างจังหวัดยังเปิดกว้างอีกมาก สำหรับบริษัทรับสร้างบ้านที่จะแชร์ส่วนแบ่งจากผู้รับเหมาทั่วไป โดยเฉพาะที่ผ่านมาบริษัทรับสร้างบ้านมืออาชีพมีการขยายออกไปยังต่างจังหวัดเพียงไม่กี่รายเท่านั้น ฝ่ายวิจัยและพัฒนาธุรกิจ บริษัท ปทุมดีไซน์ ดีเวลลอป จำกัด ได้ทำการสำรวจข้อมูลผู้ประกอบการกลุ่มตัวอย่างจำนวน 36 ราย ที่เป็นสมาชิกสมาคมฯ พบว่าปี 2551 ผู้ประกอบการที่มีรายได้เกิน 100 ล้านบาท มีจำนวนเพียง 8 รายเท่านั้น โดยผู้ประกอบการจำนวน 18 รายในกลุ่มตัวอย่างมีรายได้ระหว่าง 10-99 ล้านบาทเศษ และในขณะเดียวกันกลุ่มตัวอย่างจำนวนถึง 10 ราย มีรายได้ต่ำกว่า 10 ล้านบาท นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ประกอบการมีกำไรจากผลดำเนินงานเพียง 19 รายเท่านั้น (ผู้ประกอบการจำนวน 27 ราย มีผลดำเนินงานขาดทุน) จากข้อมูลดังกล่าวมีนัยสำคัญคือ 1.แชร์ส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มบริษัทรับสร้างบ้านยังมีขนาดเล็กมากเมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณบ้านสร้างเอง 2.ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังไม่เข้มแข็งพอและควรเร่งพัฒนาศักยภาพตัวเองให้มากขึ้น 3.ผู้ประกอบการควรปรับปรุงมาตรฐานทางบัญชีและแสดงงบดุลย์ให้ถูกต้อง ทั้งนี้เพื่อจะนำไปสู่การพัฒนาและยกระดับภาพรวมของธุรกิจรับสร้างบ้าน ให้เป็นที่ยอมรับของภาครัฐ องค์กรธุรกิจ ผู้บริโภค และประชาชนดังที่สมาคมฯวางนโยบายไว้ ชี้แนะรายเล็กเร่งปรับตัว ก่อนรายใหญ่ครองแชร์ตลาดใน 5 ปี ประเมินแนวโน้มตลาดรับสร้างบ้านในอีก 5-7 ปีข้างหน้า มีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นอุตสาหกรรมสร้างบ้านแหมือนในต่างประเทศ โดยเฉพาะปัจจุบันมีผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างรายใหญ่อย่าง SCG ประกาศตัวที่จะขยายเข้ามาสู่ธุรกิจรับสร้างบ้านแล้ว เชื่อว่าจะมีรายใหญ่รายอื่นเข้ามาเพิ่มอีกในเร็วๆนี้ นับเป็นเรื่องดีในแง่ของการยกระดับภาพรวมธุรกิจรับสร้างบ้านให้เติบโตอย่างเข้มแข็งในอนาคต แต่อีกด้านหนึ่งคาดว่าจะเกิดปัญหากับผู้ประกอบการรายเดิมที่มีขนาดเล็ก อาจไม่สามารถแข่งขันกับรายใหญ่ได้และจำเป็นต้องถอยออกไปจากเวทีแข่งขันในธุรกิจนี้ ฉะนั้นผู้ประกอบการรายกลางรายเล็กควรเร่งปรับตัวเองให้ทันกับสภาพการแข่งขันภายใต้โลกทุนนิยม เรียนรู้และนำเอาปัจจัยที่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กไม่เสียเปรียบมาประยุกต์ใช้ในการบริหาร เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ธุรกิจและสามารถอยู่รอดได้ อาทิเช่น 1.เน้นหาลูกค้าและค้าขายบน Internet ให้มากขึ้น (E-Commerce) 2.ดึงเรื่องภาวะโลกร้อนตามกระแสที่ผู้บริโภคตื่นตัวเข้ามาอยู่ในตราสินค้าหรือโลโก้หรือโฆษณาของเรา (Green Logo) 3.เน้นบริหารเพื่อเพิ่มคุณค่าให้สินค้าและบริการ (Value for Management) 4.เน้นให้ความสำคัญด้านดีไซน์และความทันสมัยหรือก้าวล้ำคู่แข่ง (Design-Innovation) 5.จับคู่ธุรกิจหรือสร้างเครือข่ายพันธมิตรธุรกิจเพื่อเพิ่มศักยภาพ (Matching Partner) ฯลฯ เป็นต้น เชื่อว่าหากรู้จักเรียนรู้และปรับตัวเองให้ทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วก็จะสามารถแข่งขันกับรายใหญ่ได้เช่นกัน ปูพรมแฟรนไชส์รับสร้างบ้านรุกตลาดใหม่ นายสิทธิพร สุวรรณสุต ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ปทุมดีไซน์ ดีเวลลอป จำกัด หรือ พีดีเฮ้าส์ เปิดเผยว่าปีนี้บริษัทฯเปิดตัว “แฟรนไชส์ศูนย์รับสร้างบ้าน พีดีเฮ้าส์” เป็นรายแรกและรายเดียวในประเทศไทย และถือเป็นโมเดลใหม่ที่บริษัทฯนำมาต่อยอดธุรกิจ เพื่อเป็นการขยายโอกาสและสนับสนุนการขยายไปสู่ตลาดใหม่ๆ โดยตั้งเป้าจะขยายสาขาให้ครบ 50 สาขาภายใน 5 ปี หรือภายในปี 2556 สำหรับการให้บริการสร้างบ้านครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศมากที่สุด โดยโมเดลธุรกิจแฟรนไชส์ศูนย์รับสร้างบ้านตามที่บริษัทฯเซ็ทอัพขึ้นมานั้น เป็นการนำเอาแนวคิด Matching Partner หรือการสร้างเครือข่ายพันธมิตรธุรกิจเพื่อเพิ่มศักยภาพ มาใช้เป็นกลยุทธ์สร้างความเข็มแข็งให้กับผู้ประกอบการรายเล็กแบบรวมกลุ่มภายใต้แบรนด์พีดีเฮ้าส์ ทั้งนี้เพื่อจะสามารถแข่งขันกับรายใหญ่และพัฒนาศักยภาพของบริษัทฯหรือเครือข่ายให้เติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต พร้อมกันนี้ได้วางเป้าหมายที่จะสร้างและพัฒนาผู้ประกอบการรายใหม่ๆ ที่จะเข้าสู่ธุรกิจรับสร้างบ้านให้มีมาตรฐานการบริการและมาตรฐานสินค้าเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค โดยเฉพาะตลาดรับสร้างบ้านในต่างจังหวัดถือว่าเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่และเติบโตได้อีกหลายเท่า มั่นใจว่าการเป็นแบรนด์รายแรกที่รุกขยายตลาดในภูมิภาคก่อนย่อมทำให้มีความได้เปรียบคู่แข่ง ในแง่ของการรับรู้และการยอมรับจากผู้บริโภค นายสิทธิพร กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ