วงร็อคสี่ชีวิตจากแอล.เอ. DramaGods: Love

ข่าวทั่วไป Tuesday February 21, 2006 15:54 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--21 ก.พ.--แพลตตินั่ม มาร์เก็ตติ้ง แอนด์ ดิสทริบิวชั่น DramaGods: Love Format: CD Cat No: VICP-63136 Retail Price: 399 Baht Style: Rock Release Date: 10 January 2005 TRACKLISTING 1. Megaton 2. Lockdown 3. Bury You 4. Broken 5. Pilots 6. Interface 7. Heavy 8. Something About You 9. Fearless Leader 10. Sometimes 11. S’OK 12. Replay 13. Nice to Meet You 14. Sky HISTORY & SALES POINTS - นูโน เบตเตนคอร์ต อดีตมือกีตาร์วงร็อคชื่อดัง Extreme เจ้าของบทเพลง More Than Words อันลือลั่น กลับมาอีกครั้งพร้อมกับวงใหม่ของเขาเอง DramaGods หลังจากที่วง Extreme แยกย้ายกันไป ขณะที่นูโนเองก็ทำงานเดี่ยวของตัวเองออกมา รวมถึงวงอย่าง Mourning Widows และ Population-1 ซึ่งเป็นเสมือนการค้นหาทีมนักดนตรีที่เหมาะสม จนในที่สุด เขาก็ได้พบกับกลุ่มคนที่ลงตัวและเหมาะสมที่สุดสำหรับวงแบบถาวรของเขาเสียที ได้แก่ โจ เปสเซีย (เบส), สตีฟ เฟอร์ลาซโซ (คีย์บอร์ด) และ เควิน ฟิกูเรโด (กลอง) ซึ่งพวกเขาทั้งสี่ภูมิใจนำเสนอ Love อัลบัมชุดแรกของวง - ที่มาของชื่อวง DramaGods นั้น นูโนกล่าวว่าตอนแรก เขาคิดจะใช้ชื่อ Drama แต่มีวงอื่นใช้ชื่อนี้ไปแล้ว พอดีภาษาอังกฤษนั้นมีคำว่า ‘Drama Queen’ อยู่ ซึ่งถ้าเอามาใช้ อาจจะดูไม่ค่อยเหมาะสมนัก เขาเลยนึกถึงคำว่า Drama Gods ขึ้นมาได้ ซึ่งนูโนชอบทั้งสองคำนี้ เลยนำมารวมกันเสียเลย มันบ่งบอกว่าพวกเขาหลงตัวเองถึงขนาดที่เรียกตัวเองว่าเป็นเทพได้เลย ขณะเดียวกัน อารมณ์ของเพลงและเนื้อหาก็เป็นดรามาด้วย เมื่อได้ชื่อที่เหมาะสมกับสไตล์ของตนเองแล้ว นูโนก็ลงมือแต่งเพลงตามสไตล์ที่เขาต้องการ มีทั้งเฮฟวี, ป๊อป, ฟังก์, มีเดียม และสโลว์บัลลาด รวมทั้งเรียบเรียงอย่างมีชั้นเชิงให้เข้ากับยุคสมัย ซึ่งทั้ง 14 เพลงในอัลบัมนี้มุ่งเน้นกลุ่มผู้ฟังป๊อปร็อคเป็นหลัก - ด้วยสไตล์การแต่งตัวและกลิ่นอายดนตรีแบบยุค’70s บวกกับฝีมือกีตาร์ระดับเซียนของเขา ทำให้อัลบัมนี้มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เรียกว่าแฟนเก่าของนูโนที่ติดตามผลงานของเมาตั้งแต่สมัย Extreme จะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน DramaGods ด้วยชื่อที่ฟังดูอลังการ DramaGods มุ่งมั่นที่จะสร้างปรากฏการณ์ขึ้นในปี 2006 ด้วยผลงานล่าสุดของพวกเขา Love วงร็อคสี่ชีวิตจากแอล.เอ.นี้นำเอาอิทธิพลทางดนตรีและวัฒนธรรมอันหลากหลายมาสู่งานของตนเอง ผลลัพธ์คืองานอันทรงพลังที่ผสมผสานดนตรีร็อค ความซื่อตรง และอารมณ์ป๊อปสมัยใหม่ ไว้ด้วยกันได้อย่างกลมกลืน มันมีทั้งความหนักหน่วงและหนักแน่นในแบบของ Audioslave และท่วงทำนองอันติดหูในแบบของ Foo Fighters DramaGods -- นักร้อง/มือกีตาร์ นูโน่ เบ็ตเตนคอร์ต, มือกลอง เควิน ฟิเกเรโด, มือคีย์บอร์ด สตีฟ เฟอร์แลซโซ และมือเบส โจ เปสเซีย — ทำให้เรานึกย้อนไปถึงพลังดิบที่เกิดขึ้นเมื่อเสียงร้อง, กีตาร์, คีย์บอร์ด, เบส และกลองมา ประสานกัน การแสดงสดของพวกเขานั้นอัดแน่นไปด้วยฝีมือทางดนตรีและบทเพลงของพวกเขาเองที่ทำให้คนดูตื่นตะลึงได้เสมอ ตอนแรก พวกเขาใช้ชื่อวงว่า Population 1 โดยเริ่มก่อตั้งขึ้นในปี 2004 พร้อมกับออกอีพี Sessions From Room 4 (เปิดตัวที่อันดับ 16 บนชาร์ตอัลบัมขายดีทางอินเตอร์เน็ตของ Billboard) ซึ่งพวกเขายังคงค้นหาซาวน์ดของตนเองและหาทางผสมผสานการเล่นให้เข้ากันในขั้นตอนการแต่งเพลงด้วย แล้วในปี 2005 ทั้งสี่หนุ่มก็มารวมตัวกันอีกครั้งเพื่อทำอัลบัมเต็มชุดออกมาเสียที แม้ว่าตารางทัวร์ในอเมริกาและอีกหลายๆ ประเทศจะเริ่มหนาแน่นขึ้นมาก็ตาม ตารางทัวร์ทางแถบตะวันออกของอเมริกานั้นรวมไปถึงการไปออกรายการ "The Late, Late Show with Craig Ferguson" ที่แพร่ภาพทั่วประเทศอีกด้วย การทัวร์ยุโรปนั้นตามมาด้วยการทัวร์ในเอเชีย (รวมถึงประเทศจีน, เกาหลี, ไทย, ฟิลิปปินส์, บรูไน, สิงคโปร์ และมาเลเซีย) และออสเตรเลีย พวกเขาสร้างชื่อไปทั่วโลกด้วยฝีมือทางดนตรีอันเหนือชั้นและการแสดงคอนเสิร์ตที่ตรึงคนดูได้อยู่หมัด แล้ว "DramaGods" ก็ถูกตั้งชื่อขึ้น ความเข้าขากันของพวกเขานั้นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่างานโดยรวมนั้นยอดเยี่ยมกว่าแค่ส่วนใดส่วนหนึ่งเท่านั้น DramaGods นำเสนอซาวน์ดดนตรีร็อคที่แปลกใหม่และไม่น่าเบื่อ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงเส้นทางและความหลงใหลของสมาชิกแต่ละคน เช่นเดียวกับชื่อวง ชื่อเพลงของพวกเขาสะท้อนถึงตัวตนของผู้ที่แต่งเพลงและบรรเลงมันออกมา DramaGods ไม่ประนีประนอมอะไรทั้งสิ้น: "Megaton", "Heavy" และ "Lockdown" สื่อถึงเนื้อหาของมันออกมาอย่างชัดเจน แม้กระทั่ง "Something About You" เพลงบัลลาดสุดคลาสสิก ก็ยังมีการโซโลกีตาร์อันเหนือชั้นอยู่ด้วย เพราะเหนืออื่นใด สมาชิกแต่ละคนนั้นล้วนแต่ได้รับการยกย่องให้เป็นยอดฝีมือในเครื่องดนตรีของตน และแต่ละคนก็มีประวัติอันยาวนานทั้งสิ้น แต่เมื่อมารวมตัวกัน พวกเขาได้สร้างวงร็อคแอนด์โรลระดับเซียนที่ผสมผสานเนื้อเพลง “แบบเล่าเรื่อง” เข้ากับซาวน์ดดนตรีอันทรงพลังยิ่ง พวกเขาไม่กลัวที่จะผลักดันตนเองออกไปทั้งในเนื้อเพลง ดนตรี และอารมณ์ ใน Love DramaGods ทั้งสี่สำรวจธีมของความสูญเสียส่วนตัว (“Sky” และ “Sometimes”), ความคิดเห็นทางการเมือง (“Heavy” และ “Fearless Leader”), ความรัก (“So’K” และ “Something About You”), ความสนุกสนานสไตล์ร็อคแอนด์โรล (“Megaton” และ “Pilots”) และแม้แต่การหลอกล่อระหว่างวัวกระทิงและมาทาดอร์หนุ่ม (“Nice To Meet You”) แน่นอนว่า DramaGods จะชนะใจแฟนเพลงใหม่ๆ ได้จากการทัวร์อย่างหนักในปี 2006 แต่พวกเขาก็หวังว่าบทเพลงใน Love นั้นจะเป็นเพลงที่ผู้คนสามารถเข้าถึงได้และยังคงฟังไปอีกหลายปีต่อจากนี้ ที่สุดแล้ว DramaGods แค่อยากจะพัฒนาจิตวิญญาณที่ไม่หยุดนิ่งที่ทำให้วงอย่าง Led Zeppelin, Aerosmith, และ Queen เป็นที่ยอมรับในแวดวงร็อคทั่วโลก พร้อมกับฝากรอยจารึกของพวกเขาเองไว้ในโลกร็อคแอนด์โรลด้วยนั่นเอง นูโน่ เบ็ตเตนคอร์ต (ร้องนำและกีตาร์):หนึ่งในมือกีตาร์และนักแต่งเพลงชั้นแนวหน้าของวงการร็อค เขาเป็นที่ต้องการตัวของวงดนตรีและศิลปินชั้นนำมากมาย แต่เขาเลือกที่จะเดินตามเส้นทางของตนเอง — แทนที่จะเข้าร่วมวงดนตรีอื่นที่มีอยู่แล้ว เขาเป็นคนที่รวบรวมสมาชิกวง DramaGods ขึ้นมา ในฐานะนักแต่งเพลงและนักดนตรี เขายังคงสถานะของเขาในวงการดนตรีไว้ได้อย่างเงียบๆ ตามความตั้งใจของเขา -- ผลงานในช่วงหลังมานี้ก็มีตั้งแต่ Rascal Flatts, Toni Braxton, Perry Farrell ไปจนถึง Wyclef Jean และอีกมาก ความสำเร็จมหาศาลที่เบ็ตเตนคอร์ตได้รับมาในฐานะนักแต่งเพลงและมือกีตาร์ของ Extreme นั้นโดดเด่นเป็นอย่างมาก แม้แต่ตอนนี้ที่ Extreme แตกวงไปแล้ว เพลง "More Than Words" ที่ถูกนำมาคัฟเวอร์ (โดย Westlife และเมื่อไม่นานมานี้ Frankie J) ก็ยังขึ้นถึงอันดับหนึ่ง และตัวเขาเองยังคงมีกลุ่มฐานแฟนเพลงที่เหนียวแน่นและให้การสนับสนุนเขาอย่างไม่เสื่อมคลาย ในช่วงหลายปีหลังจาก Extreme นับแต่งานเดี่ยวที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร Schizophonic ไปจนถึงงานล่าสุดที่ทำกับ DramaGods ดนตรีของเบ็ตเตนคอร์ตแสดงให้เห็นถึงซาวน์ดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและบ่งบอกถึงตัวตนของเขาได้อย่างชัดเจน เขาได้รับคำชื่นชมจากคนมากมายในวงการดนตรีทั่วโลกว่าเป็นนักดนตรีชั้นแนวหน้า ฝีมือในการเล่นดนตรีและแต่งเพลงของเบ็ตเตนคอร์ตนั้นเข้ากันได้อย่างพอเหมาะกับเสียงร้องนำที่เต็มอิ่มและทรงพลังของเขา ไม่นานมานี้ เบ็ตเตนคอร์ตร่วมงานกับ แพร์รี ฟาร์เรล นักร้องนำของ Jane's Addiction และ Porno for Pyros (และผู้ก่อตั้ง Lollapalooza) ในสตูดิโอบันทึกเสียง โดยร่วมเล่นในอัลบัมใหม่ของฟาร์เรล "Satellite Party" ฟาร์เรล, เบ็ตเตนคอร์ต (และโทนี แคแนล แห่ง No Doubt) ร่วมกับเฟอร์แลซโซและฟิเกเรโดแห่ง DramaGods ในการแสดงสดครั้งพิเศษที่ Lollapalooza 2005 ในชิคาโก สำหรับเบ็ตเตนคอร์ตแล้ว เขายกให้แฟร์เรลนั้นเป็น "แอนดี วอร์ฮอล แห่งดนตรีร็อค" คำเชิญให้เข้าร่วมงานใน Satellite Party นั้นจึงเป็นโอกาสที่เขาจะได้ทำงานกับยอมคนจอมสร้างสรรค์นั่นเอง สตีฟ เฟอร์แลซโซ (มือคีย์บอร์ดและร้องแบ๊กอัป):เฟอร์แลซโซนำเอาการแสดงสดและการตั้งโปรแกรมไปสู่อีกระดับหนึ่ง ไม่ว่าจะในฐานะนักดนตรีหรือผู้อำนวยการดนตรี งานอันโดดเด่นของเขาในวงการก็ทำให้เขาได้ร่วมงานกับศิลปินชั้นแนวหน้ามากมาย ตั้งแต่นักแต่งเพลงและโปรดิวเซอร์ระดับรางวัลแกรมมี่อย่าง Charlie Midnight (Whitney Houston, Joe Cocker, James Brown, Hilary Duff) ไปจนถึงนักแต่งเพลงระดับแกรมมี่ Desmond Child (Bon Jovi, Kiss, Aerosmith, Ricky Martin, Cher) สตีฟเป็นผู้ที่รับผิดชอบงานปรี-โปรดักชันในแทร็ก 'Who’s that Girl' ที่อยู่ในอัลบัมชื่อเดียวกับตัวศิลปิน Hilary Duff ตอนเด็กๆ สตีฟไม่เพียงแต่ได้อิทธิพลมาจากนักประพันธ์ดนตรีคลาสสิกคนโปรดของเขาเท่านั้น (บีโธเฟน, โชแปง, บาค และโมซาร์ต) แต่ก่อนที่จะเข้าเรียนที่ Berklee College of Music อันทรงเกียรติ (ซึ่งเขาได้รับทุนการศึกษาทั้งหมด) สตีฟได้พัฒนาความสนใจในซินธิไซเซอร์ขึ้นมาจากการฟังงานของวงโปรเกรสซีฟร็อคและวงทดลองช่วงต้นยุค’70s (Genesis, ELP, Yes) และต่อมา สตีฟก็ได้รับอิทธิพลจากมือคีย์บอร์ดและผู้คิดค้นของแนวดนตรีฟังก์สมัยใหม่ เบอร์นี วอร์เรล อีกด้วย เขาเป็นที่รู้จักจากการผสมผสานสไตล์ดนตรีและซาวน์ดที่เป็นเอกลักษณ์เข้าด้วยกัน เฟอร์แลซโซยังใช้เทคโนโลยีของซินธิไซเซอร์ในการผลักดันแนวดนตรี “อินดัสเตรียล” ให้กว้างไกลยิ่งขึ้น อันที่จริง สตีฟนำเอาดนตรีอันหนักหน่วงนี้ไปสู่อีกระดับหนึ่งที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน แม้แต่เทรนต์ เรซเนอร์ เองยังต้องทึ่ง การเล่นของสตีฟใน Love อัลบัมของ DramaGods นั้นโดดเด่นในการผสมผสานอิทธิพลดนตรีอันหลากหลาย ทั้งร็อค ฟังก์ ซินธิไซเซอร์ และคลาสสิก เข้าด้วยกันได้อย่างกลมกลืน เควิน "ฟิกก์" ฟิเกเรโด (กลองและร้องแบ๊กอัป): เควินนำเอาบีตอันแน่นและทรงพลังมาสู่การเล่นของเขา ไม่ว่าจะในสตูดิโอหรือในการแสดงสด เมื่อคุณฟังงานของ DramaGods เควินจะทำให้คุณต้องทึ่งไปกับฝีมือของเขา เขาไม่ได้รับบทเป็นแค่ผู้อยู่ด้านหลังเท่านั้น — เขาเป็นมือกลองที่ไม่เคยหยุดนิ่ง และ ‘เสียง’ กลองของเขาก็ส่งออกมาอย่างชัดเจนและดังสนั่น เติบโตมาท่ามกลางพี่น้องที่หลงใหลดนตรีไม่แพ้กัน เควินจึงได้ซึมซับแนวดนตรีต่างๆ มากมาย ทั้งบีตฟังก์ แจ๊ซ ละติน และแอโฟร-คิวบัน แต่ร็อคแอนด์โรลนั้นโดนใจเขามากที่สุด ซึ่งแรงบันดาลใจหลักของเขานั้นมาจากจอห์น บอแนม แห่ง Led Zeppelin และเดวิด การาบัลดี แห่ง Tower of Power ในปี 2000 เควินเล่นและบันทึกเสียงกลองให้กับอัลบัมชุดที่สองของลูเซีย โมนิซ ศิลปินชาวโปรตุเกส ซึ่งใช้ชื่ออัลบัมว่า 67 ต่อมา เควินถูกขอให้ไปร่วมวงออกทัวร์ของโมนิซเพื่อสนับสนุนอัลบัมนั้นและย้ายไปอยู่ที่โปรตุเกส ก่อนจะกลับมาที่บอสตันในปี 2003 แล้วงานของเขากับ DramaGods ก็ตามมาอย่างรวดเร็ว เมื่อเควินกลายมาเป็นสมาชิกคนสำคัญของวง ทั้งบรรเลงและร่วมแต่งเพลงในแทร็กอย่าง “What You Leave Behind,'” “Megaton” และ “Heavy” เควินเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้ เมื่อเขาถูกเชิญให้ไปร่วมเล่นใน Satellite Party ของแพร์รี ฟาร์เรล สำหรับงาน Lollapalooza 2005 เขามีเวลาเพียง 24 ชั่วโมงในการหัดตีกลองเพลงอันแสนประณีตทั้งหมดนั้น (รวมทั้งการเรียบเรียงอันซับซ้อน) ก่อนที่วงรวมดาวนี้จะซ้อมกันเป็นครั้งแรก แน่นอนว่าเขาแสดงฝีมือได้อย่างยอดเยี่ยม และเป็นคนตีกลองในทุกๆ แทร็กในอัลบัม "Satellite Party" ของฟาร์เรลที่มีกำหนดออกวางตลาดในปี 2006 นี้ โจ เปสเซีย (เบส): จากส่วนร่วมของเขาในฐานะสมาชิกของ DramaGods โจ เปสเซียนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่มือเบสของวงเท่านั้น เขายังเป็นนักแต่งเพลงและเล่นเครื่องดนตรีได้อีกมากมาย (เขาเล่นกีตาร์ในเพลง “Replay” รวมถึงสไลด์กีตาร์และแมนโดลินในเพลง “Broken”) หนึ่งในลักษณะเฉพาะตัวของเขาคือเซนส์ในท่วงทำนองและบทเพลงที่หาตัวจับได้ยาก เปสเซียเริ่มต้นเล่นกีตาร์ตอนเป็นวัยรุ่น และต่อมาได้เข้าเรียนที่ Berklee College of Music ในบอสตัน ซึ่งเขาศึกษาทางด้านการเรียบเรียงและการประพันธ์เพลง หลังจากจบการศึกษาที่ Berklee เปสเซียก็หาประสบการณ์เพิ่มเติมจากการทำงานกับศิลปินชาวโปรตุเกส ลูเซีย โมนิซ ซึ่งเขามีส่วนร่วมในฐานะของมือกีตาร์และนักแต่งเพลงในอัลบัมชุดแรกของโมนิซ Magnolia และงานชุดที่สอง 67 ต่อมา เปสเซียมารับหน้าที่เป็นมือกีตาร์ในวง Mourning Widows ของนูโน เบ็ตเตนคอร์ต — โดยรับหน้าที่เป็นมือกีตาร์สองในการแสดงอะคูสติกของเบ็ตเตนคอร์ตกับบทเพลงของ Mourning Widows เมื่อได้มาร่วมแสดงฝีมือของเขากับนักดนตรีที่มีแนวคิดคล้ายกัน เปสเซียจึงร่วมวงกับเบ็ตเตนคอร์ตในการทัวร์ญี่ปุ่นในปี 2003 (ซึ่งรวมสมาชิกของ DramaGods อย่างสตีฟ เฟอร์แลซโซ และเควิน ฟิเกเรโด ไว้ด้วย) ซึ่งนั่นทำให้เกิดการก่อตั้งวง DramaGods ขึ้นมาในที่สุดนั่นเอง แม้ว่าเขาจะชื่นชอบความเร้าใจของการแสดงสดเพียงใด เขาก็ยังคงหลงใหลศิลปะในการแต่งเพลงอยู่เสมอ โดยเฉพาะการแต่งเพลงร่วมกับคนอื่นๆ เปสเซียเน้นการแต่งเพลงที่มุ่งไปยังการพัฒนาท่อนฮุกที่ขัดเกลาเป็นอย่างดีและการเรียบเรียงที่ให้อารมณ์อันชัดเจน (เขาร่วมแต่งเพลง “Megaton,” “Pilots,” “Heavy,” “Fearless Leader,” “Sometimes,” และ “Replay”) ในฐานะมือเบสของ DramaGods เปสเซียนั้นสามารถเล่นได้อย่างที่เขาต้องการ เขานำเอาทักษะอันแข็งแกร่งและหลากหลาย พร้อมกับประสบการณ์ของเขาในฐานะมือกีตาร์, นักแต่งเพลง และมือเรียบเรียง มาผสมผสานเข้าด้วยกัน ในการแสดงสด เขาจะสอดประสานกับฟิเกเรโดเพื่อสร้างพื้นฐานท่วงทำนองอันแข็งแกร่งให้กับซาวน์ดอันทรงพลังของ DramaGods แต่เวลาที่อยู่ในสตูดิโอ เขาชื่นชอบในการถ่ายทอดพลังในแบบของ จอห์น พอล โจนส์, ท่วงทำนองในแบบของพอล แมกคาร์ตนีย์ และการเรียบเรียงอันเหนือชั้นในแบบของจอห์น ดีคอน เช่นเดียวกับขวัญใจของเขา จอห์น พอล โจนส์ และจอห์น ดีคอน เปสเซียเองนั้นมองบทบาทของเขาว่าเป็นผู้เล่นในทีม — มีส่วนร่วมในกระบวนการแต่งเพลง รวมไปถึงอย่างอื่นๆ ที่เพลงนั้นต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเบส, กีตาร์, แมนโดลิน, ฯลฯ เช่นเดียวกับมือเบสขวัญใจของเขา โจพร้อมที่จะร็อคและบอกเล่าเรื่องราวของเขาภายในเพลงไปด้วย การตลาดและจัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวโดย บริษัท แพลตตินั่ม มาร์เก็ตติ้ง แอนด์ ดิสทริบิวชั่น จำกัด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ 02-650-7870 ต่อคุณพิก 151, ต่อคุณปิ่น 152 และต่อคุณเบียร์ 153 www.platinum.co.th สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net--จบ--

แท็ก Rice  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ