สมาคมนักวิเคราะห์ฯ มั่นใจเพิ่มขึ้น...เชื่อเศรษฐกิจฟื้น

ข่าวทั่วไป Wednesday October 25, 2006 14:42 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--25 ต.ค.--ตลท. สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ทำโพลล์สำรวจความเห็นนักวิเคราะห์สำหรับช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ โดยนายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมฯ เปิดเผยผลสรุปความเห็นของนักวิเคราะห์ล่าสุด เทียบกับผลสำรวจครั้งก่อนเมื่อ 4 ก.ย. 2549 พบว่าคาดการณ์ใหม่ GDP Growth สำหรับปี 2549กระเตื้องขึ้นเล็กน้อยจากการประเมินในครั้งก่อนหน้า โดยมีค่าเฉลี่ยที่ร้อยละ 4.4 ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนคาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นจากตัวเลขติดลบเมื่อสำรวจครั้งก่อนเป็นบวกในที่สุด นอกจากนี้ นักวิเคราะห์มองว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในวันสิ้นปี 2549 เฉลี่ยอยู่ที่ 744 จุดซึ่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน ขณะที่ดัชนีในวันสิ้นปี 2550 คาดว่าจะมีเฉลี่ยอยู่ที่ 799 จุด และมีผู้ประมาณดัชนีสูงสุดที่ 900 จุด โดยกลุ่มที่น่าลงทุนยังคงเป็น อสังหาริมทรัพย์ ธนาคารและพลังงาน สำหรับไตรมาสสุดท้ายของปี 2549 นักวิเคราะห์ได้ตอบแบบสำรวจรายไตรมาสของสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ถึงแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นเดือนตุลาคม - ธันวาคม 2549 ซึ่งรวมถึงปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นทั้งปัจจัยบวกและปัจจัยลบ ความเชื่อมั่นต่อทีมเศรษฐกิจใน ครม.ชุดปัจจุบัน สถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ แนวโน้มอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจและผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน คาดการณ์ December Effect/JanuaryEffect กลุ่มธุรกิจและหุ้นที่แนะนำให้ลงทุน รวมถึงข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล โดยมีสำนักวิจัยจากบริษัทหลักทรัพย์แสดงความเห็นรวม 20 แห่ง นักวิเคราะห์มองว่าปัจจัยบวกที่สำคัญต่อการลงทุนในตลาดหุ้นช่วงเดือนตุลาคม — ธันวาคม 2549 อันดับแรกมีผู้ตอบเท่ากันที่ร้อยละ 55 คือสถานการณ์ทางการเมืองที่มีเสถียรภาพและคลี่คลายรวมทั้งมีความชัดเจนขึ้น และ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ทรงตัวและอาจปรับตัวลดลง อันดับที่สอง คือกระแสเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศ มีผู้ตอบร้อยละ 50 และอันดับที่สามคือ ราคาน้ำมันที่ลดลง มีผู้ตอบร้อยละ 30 สำหรับปัจจัยลบที่สำคัญ ได้แก่ประเด็นที่เกี่ยวกับการเมืองและนโยบายบางด้านของรัฐบาลที่ยังไม่ชัดเจน เป็นอันดับแรก มีผู้ตอบร้อยละ 80 โดยมีการระบุถึงการใช้กฎอัยการศึกในปัจจุบัน ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นของต่างชาติ และในขณะเดียวกันก็มีความกังวลว่า อาจเกิดความวุ่นวายขึ้นได้หากมีการยกเลิกกฎอัยการศึก รวมทั้งการตรวจสอบการทุจริตของโครงการต่าง ๆ และความไม่ชัดเจนของนโยบายรัฐบาลเรื่องกฎหมายการถือหุ้นของต่างชาติ รวมทั้งมาตรการด้านเศรษฐกิจและการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ อันดับสองมีผู้ตอบร้อยละ 70 คือ ปัจจัยเรื่องสถานการณ์น้ำท่วม ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และอันดับที่สาม คือ ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนอยู่ในระดับต่ำ มีผู้ตอบร้อยละ 40 ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ที่ตอบแบบสอบถามทั้งหมดมีความเชื่อมั่นในทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดปัจจุบัน โดยร้อยละ 60 มีความเชื่อมั่นในระดับปานกลาง ในขณะที่ร้อยละ 35 เชื่อมั่นมาก และอีกร้อยละ 5 ที่เชื่อมั่นในระดับน้อย เกี่ยวกับสถานการณ์ในจังหวัดภาคใต้ตอนล่างนั้น นักวิเคราะห์มีมุมมองในแง่บวก โดยร้อยละ 70 มองว่าน่าจะดีขึ้น และร้อยละ 30 คิดว่าจะทรงตัวข้อแนะนำที่นักวิเคราะห์ร้อยละ 55 ของที่ตอบแบบสอบถาม เสนอให้รัฐบาลดำเนินการ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและตลาดทุน คือ การสร้างความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายต่าง ๆ ประกอบด้วย นโยบายในการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่น นโยบายการถือหุ้นของคนต่างด้าว การปฏิรูประบบการเมืองการปกครอง รวมถึงนโยบายเศรษฐกิจและตลาดทุน เช่น การใช้กลไกตลาดเสรีในระดับที่เหมาะสม การกำหนดมาตรฐานที่ชัดเจนในการตรวจสอบกรณีปั่นหุ้น เมกะโปรเจ็กต์ การลดช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจน เป็นต้น สิ่งที่มีผู้แนะนำมากเป็นอันดับสองหรือร้อยละ 40 คือ การสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ อันดับสามคือ ดูแลให้เศรษฐกิจเติบโตแบบยั่งยืนและมีเสถียรภาพ มีผู้ตอบร้อยละ 15 นักวิเคราะห์เกือบทั้งหมดที่ตอบแบบสอบถามหรือร้อยละ 90 คิดว่านักลงทุนต่างประเทศจะยังซื้อสุทธิต่อเนื่องจากไตรมาสที่ผ่านมา และมีเพียงร้อยละ 5 ที่ไม่เห็นด้วย โดยนักวิเคราะห์ให้เหตุผลของความเชื่อมั่นดังกล่าวว่า เป็นเพราะนักลงทุนต่างชาติมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นจากสถานนการณ์ทางการเมืองที่คลี่คลายและชัดเจนขึ้น ภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น ค่าเงินในภูมิภาคเอเซียรวมทั้งค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น นอกจากนี้ตลาดหุ้นไทยยังถือว่ามีราคาถูก ทำให้มีกระแสเงินทุนไหลเข้า นอกจากนี้ ผลสำรวจยังพบว่า นักวิเคราะห์เกือบทั้งหมดหรือร้อยละ 95 ของที่ตอบแบบสอบถาม เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะเกิดภาวะ December Effectหรือ January Effect และมีร้อยละ 5 ที่ยังไม่แน่ใจ โดยร้อยละ 58 ของกลุ่มแรกเชื่อว่าจะมีทั้ง December Effect และ January Effect ในขณะที่ร้อยละ21 เชื่อว่าจะมี January Effect เท่านั้น และร้อยละ 16 เชื่อว่าจะมี December Effect อย่างเดียว ในครั้งนี้ สมาคมนักวิเคราะห์ฯ ได้สำรวจประมาณการตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจทั้งสำหรับปี 2549 และปี 2550 และพบว่านักวิเคราะห์มีการปรับประมาณการตัวเลขต่าง ๆ เพิ่มขึ้นจากผลสำรวจเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ หรือ GDP Growth เฉลี่ยของปีนี้เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 4.4% เทียบกับการสำรวจครั้งก่อนที่ 4.2% โดยมีผู้ประมาณการสูงสุดในรอบนี้ที่ 4.9% เท่ากับครั้งที่ผ่านมา และตัวเลขต่ำสุดที่ 4% เทียบกับเดือนกันยายนที่ 3.8% ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน หรือ EPS Growth เฉลี่ยก็สูงขึ้นจากเดิม -0.7% เป็น 0.9% สูงสุดและต่ำสุดที่ 8%และ —11.4% ตามลำดับ สำหรับตัวเลขของปี 2550 นักวิเคราะห์คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น โดย GDP Growth เฉลี่ยอยู่ที่ 4.5% มีคาดการณ์สูงสุดที่ 5.1%และต่ำสุดที่ 3% ในขณะที่ EPS Growth เฉลี่ยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นมากเป็น 4.4% สูงสุดที่ 10.8% และต่ำสุดที่ 0.1% สำหรับตัวเลขสำคัญ ณ สิ้นปี นักวิเคราะห์คาดว่า ค่าเงินบาทจะใกล้เคียงกับที่ประมาณการไว้เดิม โดยอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทและดอลลาร์สรอ. ณ สิ้นปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 37.7 บาท ประมาณการค่าเงิน ณ ปลายปี 2550 คาดว่าจะเฉลี่ยที่ 37.4 บาท สำหรับอัตราดอกเบี้ย RP 14 วัน ในปลายปีนี้ นักวิเคราะห์ทั้งหมดที่สมาคมฯ สำรวจมา เห็นตรงกันว่าจะอยู่ที่ 5.0% จากเดิมที่คาดไว้ 5.1 % ในขณะที่ ณ สิ้นปีหน้า นักวิเคราะห์คาดว่าเฉลี่ยจะอยู่ที่ 4.7% ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ หรือ SET Index ปีนี้เฉลี่ยคาดว่าอยู่ที่ 744 จุด ซึ่งเพิ่มขึ้นจากการสำรวจที่ผ่านมาเล็กน้อย โดยมีประมาณการสูงสุด 790 จุดและต่ำสุด 715 จุด ส่วนดัชนีปีหน้า นักวิเคราะห์คาดว่าจะสูงขึ้นโดยมีเฉลี่ยที่ 799 จุด มีผู้คาดการณ์สูงสุด 900 จุดและต่ำสุด 730 จุด ค่าเฉลี่ย ตัวเลขของผู้คาดการณ์สูงสุด ตัวเลขของผู้คาดการณ์ต่ำสุด จำนวนสำนักวิจัยที่ตอบ สำรวจ ณ 4 กย.49 สำรวจ ณ สำรวจ ณ 4 กย.49 สำรวจ ณ สำรวจ ณ 4 กย.49 สำรวจ ณ สำรวจ ณ 4 กย.49 สำรวจ ณ 19 ตค.49 19 ตค.49 19 ตค.49 19 ตค.49 ปี 2549 ปี 2549 ปี 2550 ปี 2549 ปี 2549 ปี 2550 ปี 2549 ปี 2549 ปี 2550 ปี 2549 ปี 2549 ปี 2550 รวมทั้งปี 2549 GDP Growth 4.2 4.4 4.5 4.9 4.9 5.1 3.8 4 3 17 20 19 EPS Growth -0.7 0.9 4.4 5 8 10.8 -13 -11.4 0.1 19 18 17 ณ สิ้นปี SET Index 740 744 799 800 790 900 687 715 730 18 19 16 FOREX Bht:US$ 37.6 37.7 37.4 38.5 38.9 39 36.5 37.1 36.5 17 20 19 ดอกเบี้ย RP 14 วัน 5.1 5 4.7 5.6 5 5.5 5 5 4.5 16 20 19 ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ นักวิเคราะห์เสนอกลุ่มธุรกิจที่น่าลงทุนสามอันดับแรกคือ อสังหาริมทรัพย์ ธนาคาร และพลังงาน โดยอสังหาริมทรัพย์จะได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยและราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ฟื้นตัวขึ้น และโครงการรถไฟฟ้า 3 สายกลุ่มธนาคารก็ได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มลดลงเช่นกัน ทำให้ต้นทุนทางการเงินทรงตัวและอาจลดลง ช่วยให้สินเชื่อขยายตัว และผลักดันให้กลุ่มธนาคารมีรายได้เติบโตขึ้น กลุ่มพลังงานยังได้รับความสนใจเป็นลำดับ 3 จากการที่ราคาน้ำมันยังถือว่าอยู่ในระดับสูง และนักวิเคราะห์คาดว่าในช่วงหน้าหนาว ราคาน้ำมันอาจดีดตัวสูงขึ้น ทำให้ผลประกอบการของกลุ่มนี้ยังคงขยายตัว นอกจากนี้ หุ้นในกลุ่มมีสภาพคล่องและมูลค่าตลาดสูง หุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำให้ลงทุน ได้แก่ BANPU, BBL, ERAWAN, KBANK, PTT, PTTEP, SCC, TOP เป็นต้น แหล่งข้อมูล...สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ โทร. 02-229-2355-6 อีเมล์ [email protected]

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ