Movie Guide: เรื่องย่อภาพยนตร์ The REBOUND

ข่าวบันเทิง Friday October 9, 2009 11:43 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--9 ต.ค.--สหมงคลฟิล์ม The REBOUND ประเภท Romantic / Comedy สัญชาติ อเมริกา อำนวยการสร้าง ทิม เพเรลล์ (Last Chance Harvey, Trust the Man) กำกับ / เขียนบท บาร์ต ฟรอยดิช (Catch That Kid, The Myth of Fingerprints) นำแสดง แคทธาลีน ซีต้า โจนส์ (Chicago, No Reservations) จัสติน เบอร์ธ่า (National Treasure 1 & 2, Failure to Launch) เมแกน เบิร์น (Ghost Town, Julie & Julia) จอห์น แอลลิสัน คอนลีห์ (Trust the Man, Serendipity) อาร์ท การ์ฟังเกล (One of music duo “Simon and Garfunkel”) กำหนดฉาย 29 ตุลาคม 2552 จัดจำหน่าย มงคลเมเจอร์ แซนดี้ คือคุณแม่ลูกสอง ที่อาศัยอยู่แถบชานเมืองและเป็นแม่บ้านที่สมบูรณ์แบบ ทั้งการทำอาหาร ส่งลูกไปโรงเรียน และมีงานอดิเรกในการทำสถิติกีฬาทุกประเภท แต่โลกที่ดูเหมือนจะเพียบพร้อมก็พังทลายไปต่อหน้าต่อตา เมื่อ แซนดี้ พบว่าสามีกำลังนอกใจเธอ เธอเก็บข้าวของและพาลูกทั้งสองไปนิวยอร์ค เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่และทำตามความฝันที่เธอทิ้งไปหลังแต่งงาน เธอได้พบกับ อารัม ฟิงเคลสไตน์ หนุ่มน้อยวัย 24 ที่กำลังถึงจุดต่ำที่สุดของชีวิต เพราะเขาเพิ่งถูกภรรยาชาวฝรั่งเศสทิ้งไป จากการที่เธอต้องการแค่สิทธิความเป็นคนอเมริกันจากเขา ทำให้ผู้ชายที่เปี่ยมไปด้วยความโรแมนติกในหัวใจและการมองโลกในแง่ดี กลายเป็นคนที่ดิ้นรนเพื่อรักษาความเชื่อในรักแท้บนโลกใบนี้ อารัม ทำงานทั้งในศูนย์พิทักษ์สตรี และร้านกาแฟซึ่งตั้งอยู่ใต้คอนโดที่ แซนดี้ มาเช่าอาศัยอยู่ ทั้งสองได้ทำความรู้จักและเป็นเพื่อนกัน และเมื่อ แซนดี้ ได้รับงานในสถานีโทรทัศน์ เธอก็ขอให้ อารัม ช่วยเป็นพี่เลี้ยงให้ลูกของเธอ ซึ่งด้วยความที่เขาไม่มีจุดมุ่งหมายที่แน่นอนในชีวิต อีกทั้งยังเพิ่งใจสลายกับรักครั้งแรกของตัวเอง ทำให้เขาตอบตกลงทันที การงานของ แซนดี้ ดูก้าวหน้าขึ้นจนได้รับการเลื่อนตำแหน่ง และเพื่อนๆ ก็แนะนำให้เธอเริ่มออกเดทอีกครั้ง แต่หลังจากเดทครั้งแรกของเธอลงเอยด้วยความหายนะ ก็ทำให้เธอเชื่อมั่นว่ามันอาจยังคงยังไม่ถึงเวลา ในขณะเดียวกัน อารัม ก็เริ่มที่จะเป็นส่วนประกอบสำคัญในครอบครัวของ แซนดี้ และลูกทั้งสองของเธอก็ดูจะรักเขา องค์ประกอบทุกอย่างดูสนับสนุนให้พวกเขาสร้างครอบครัวใหม่ ถึงแม้ว่าจะมีเหตุผลอยู่หลายประการที่บอกว่าทั้งสองไม่ควรอยู่ด้วยกัน แต่พวกเขาก็ตกหลุมรักซึ่งกันและกัน แซนดี้ และ อารัม ต้องเผชิญหน้ากับข้อสงสัยในความรักจากเพื่อนๆ และครอบครัว อีกทั้งพวกเขายังต้องค้นหาในจิตใจของตัวเองว่า สิ่งนี้มันเป็นเพียงความสนุกชั่วครู่ หรือว่าเป็นสิ่งที่คงอยู่ตลอดไป The Rebound กำกับ/เขียนบท/อำนวยการสร้าง โดย บาร์ต ฟรอยดิช (Trust the Man, The Myth of Fingerprints) นำแสดงโดย แคทธาลีน ซีต้า โจนส์ นักแสดงรางวัลออสการ์จาก Chicago รับบทเป็น แซนดี้ และ จัสติน เบอร์ธ่า (National Treasure 1 & 2, Failure To Launch) รับบทเป็น อารัม ร่วมด้วย แอนดริว เชอร์รี่, ลินน์ วิทธฟิลด์ (Madea's Family Reunion), เคท เจนนิ้งส์ แกรนต์ (Frost Nixon), อาร์ท การ์ฟังเกล (Catch 22), และ โจแอนน่า กลีสัน (Boogie Nights) จากบทภาพยนตร์สู่จอใหญ่ บาร์ต ฟรอยดิช เริ่มเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง The Rebound หลังจากการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Trust the Man ซึ่งรับบทโดย เดวิด ดูคอฟนี่ย์ และ จูลีแอนน์ มัวร์ เสร็จสิ้น “ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่เหมือนกับเรื่องก่อนๆที่ผมเคยเขียนขึ้น ผมอยากสร้างตัวละครนำที่มีความน่าเห็นใจ โดยมันเริ่มจากเรื่องราวของชายหนุ่มที่เพิ่งถูกภรรยาชาวฝรั่งเศสทิ้ง แต่ระหว่างที่ผมเขียนมันก็พัฒนาเป็นเรื่องระหว่าง อารัม และ แซนดี้ สองตัวละครที่ใช้ชีวิตตกในหลุมดำ แต่แล้วพวกเขาก็หากันจนเจอ" The Rebound ได้รับแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์ของ วู้ดดี้ อัลเลน และภาพยนตร์อย่าง The Graduate ฟรอยดิช เล่าถึงสาระสคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า "ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการตอกย้ำถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ในชีวิตคุณ ไม่ว่ามันจะเปราะบางหรือถูกทำลายลงไป หรือคุณอาจจะเชื่อมั่นว่ามันช่างดูไร้อนาคต แต่ความจริงแล้วมันก็อาจยังมีแสงสว่างจากข้างหน้า หลายครั้งที่มันเกี่ยวกับการปล่อยไปมือจากสิ่งที่ยึดติด และยอมให้เรื่องราวถูกคลี่คลายด้วยตัวเอง" ฟรอยดิช รู้สึกสนใจในไอเดียของตัวละครสองตัวที่มีอายุแตกต่างกัน ที่ต้องเผชิญหน้ากับประสบการณ์อันเดียวกัน โดยตัว อารัม คือผู้ชายวัย 24 ปีที่เพิ่งหย่าร้าง ซึ่งเหตุการณ์เดียวกันก็เกิดขึ้นกับ แซนดี้ วัย 40 "อายุที่แตกต่างกันระหว่างทั้งสอง เป็นเพียงแค่เรื่องรอง เพราะผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญกว่าคือ การที่คนสองคนพยายามเชื่อมต่อกันและกัน ผ่านมุมมองที่ไม่ซีเรียสจนเกินไป" The Rebound ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องเวลาในชีวิตของใครบางคน ที่เมื่อคุณตกหลุมรักใครก็ตาม มันอาจกลายเป็นการต่อเวลาให้กับตัวเองเท่านั้น "ถึงแม้ว่าคนหนึ่งพร้อมที่จะนำพาความสัมพันธ์ไปในระดับต่อไป แต่คุณต้องการสองคนในจุดนั้นที่จะก้าวไปข้างหน้า ตัวละครทั้งสองต้องเผชิญกับความเจ็บปวดแบบเดียวกับคนดูหลายคน ความสัมพันธ์ที่ต้องห่างจากกันเพื่อที่จะใกล้กัน และปล่อยมือก็จะนำพามาสู่การกลับมาเจอกันอีกครั้ง ผมรู้ว่านี้เป็นความคิดที่ดูเชยและล้าสมัย แต่มันก็เป็นสิ่งที่ผมเชื่อมั่นอยู่เสมอ" อย่างไรก็ตาม ฟรอยดิช ก็ยังต้องการสร้างให้เรื่องราวมีความสนุกสนานอีกด้วย "ความคาดหวังของผมสำหรับการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้คือ ผู้คนจะสามารถเชื่อมต่อกับตัวละครในเรื่องได้ และรู้สึกว่าพวกเขาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง คุณต้องมีอารมณ์ร่วมตลอดเวลา โดยรากเหง้าของ The Rebound นั้นถือเป็นหนังโรแมนติก-คอมเมดี้ แต่มันก็ยังมีความสมจริงดังเช่นชีวิตมนุษย์" ฟรอยดิช ต้องการที่จะมอบที่พิเศษให้กับผู้ชม ซึ่งตามปกติจะไม่ได้เห็นในหนังโรแมนติค-คอมเมดี้ทั่วไป "การสร้างหนังก็เหมือนการเรียกผู้ชมเข้ามานั่งในบ้าน คุณไม่เพียงแต่ต้องสร้างเก้าอี้ที่มีความสบายให้ผู้ชมนั่ง แต่มันยังต้องมีการแสดงที่น่าตื่นเต้นต่อหน้า ในขณะที่พวกเขากำลังนั่งบนเก้าอี้ด้วย" เรื่องราวของ The Rebound มีความเรียบง่ายและไม่ซับซ้อน แซนดี้ เป็นแม่บ้านที่สมบูรณ์แบบ อารัม เป็นชายหนุ่มที่เพิ่งเรียนจบและหย่ากับภรรยา เขาอยู่ในเมืองใหญ่ ส่วนเธออยู่แถบชานเมือง โดยเรื่องราวเริ่มนั้นถูกพัฒนาจากความสำคัญของความรู้สึกนึกคิดของตัวละคร และให้ทำให้ตัวละครเหล่านี้ดูสมจริงที่สุด เพื่อที่จะทำให้ผู้ชมรู้สึกเชื่อมต่อถึงได้ โดยยังหวังว่าเมื่อภาพยนตร์จบแล้ว พวกเขาจะเชื่อมั่นถึงความรักของคนทั้งสอง ฟรอยดิช จะอธิบายว่าถึงแม้นี้จะเป็นหนังรักตามขนบ และมันก็ยังเล่าถึงปรัชญาการใช้ชีวิตของคนทั้งสอง "มันไม่ใช่แค่เพียงการได้โอกาสที่สองกับใครบางคน แต่มันยังเกี่ยวกับการหาตัวตนที่แท้จริง และพยายามเป็นตัวของตัวเองที่สอดคล้องกับโลก อารัม เป็นคนมองโลกในแง่ดีและโรแมนติก เขาเชื่ออย่างเต็มอกว่ามีรักแท้อยู่ในโลก และเวทย์มนต์สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา มันไม่เกี่ยวกับการเอาชนะคนอื่น ไม่เกี่ยวกับการได้ทำงานหรือการถูกเลื่อนตำแหน่ง ถึงแม้ว่าโลกใบนี้จะพยายามทำร้ายเขา แต่ อารัม ก็ยังคงรักษาความคิดในแง่บวกเอาไว้ ซึ่งมันเป็นส่วนสำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้" มันต้องใช้เวลากว่าหนึ่งปีก่อนที่ ฟรอยดิช จะมอบบทภาพยนตร์เรื่องนี้ให้กับ ทิม เพเรลล์ ซึ่งเป็นเพื่อนและผู้อำนวยการสร้าง ซึ่งทั้งคู่เคยร่วมงานกันมาแล้วถึงสามเรื่องได้แก่ The Myth Of Fingerprints, World Traveler และ Trust The Man เพเรลล์ พูดถึงบทภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า "หลังจาก Trust The Man ผมคิดว่าภาพยนตร์เรื่องต่อไปของเขาจะกลับไปเป็นหนังที่มีความเป็นดราม่าสูง แต่ผมรู้สึกแปลกใจที่เขากลับเขียนบทภาพยนตร์ที่มีความตลกและความหวาน ซึ่งถูกขัดเกลาดียิ่งกว่า Trust the Man เสียอีก บาร์ต เป็นคนที่มีอารมณ์ขันสูง ซึ่งผมอ่านบทแล้วอดหัวเราะเสียไม่ได้ แต่มันก็ยังมีความอบอุ่นที่มีมาจากตัวละครทั้งสองที่ตลบอบอวนอยู่" การคัดเลือกสองดาราคู่ขวัญ การได้รับไฟเขียวให้สร้างนั้นขึ้นอยู่กับการคัดเลือกนักแสดง ที่จะมารับบทเป็น แซนดี้ แม่บ้านแถบชานเมืองที่สมบูรณ์แบบ ใช้ชีวิตอยู่ในโลกอุดมคติจนกระทั่งพบว่าสามีของเธอนอกใจ ซึ่ง ฟรอยดิช ก็ต้องการ แคทธาลีน ซีต้า โจนส์ ตั้งแต่แรกเริ่ม โดยถึงแม้ว่านักแสดงออสการ์คนนี้จะยอมรับว่า ตัวเองไม่ใช่คนที่สามารถเล่ามุขได้จนจบ เพราะเธออดที่จะหัวเราะออกมาก่อนไม่ได้ แต่เธอก็พยายามหาโอกาสในการแสดงหนังตลกมากขึ้น "ฉันต้องการแสดงหนังตลกที่มีเรื่องราวของความรักคละคลุ้งอยู่ และฉันคิดว่า The Rebound มีองค์ประกอบทุกอย่างที่กำลังมองหา" แคทธาลีน ซีต้า โจนส์ พูดถึงสิ่งที่ดึงดูดเธอว่า "ฉันคิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มีทั้งความน่ารักและเข้าถึงได้ทุกคน เรื่องการแยกทางและหย่าร้างไม่เพียงเกิดขึ้นเฉพาะกับผู้หญิง เพราะอารมณ์ที่ถูกสร้างจาก The Rebound ทำให้เราเห็นว่าเหตุการณ์นี้อาจเกิดขึ้นกับผู้ชายได้ด้วย ฉันชอบภาพยนตร์ที่พูดถึงความสัมพันธ์ ที่เมื่อใครสักคนแยกทางและคิดว่าไม่มีความหวังหลงเหลืออีกแล้วในโลก แต่สุดท้ายแล้วคุณก็พบมันอีกครั้ง" ซีต้า โจนส์ พบว่าตัวเองเข้าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ แซนดี้ เริ่มออกเดทอีกครั้ง "ตัวละครของฉันต้องเจอกับการเดทที่ลงเอยด้วยความหายนะ และฉันก็ได้ยินเรื่องราวที่ใกล้เคียงกันนี้ที่เกิดขึ้นจากเพื่อนสาว เมื่อคุณแต่งงานและคิดว่าชีวิตของตัวเองนั้นจะสมบูรณ์ไปตลอดกาล จากนั้นคุณหย่าร้างและต้องนับหนึ่งใหม่ ออกไปยังสนามรบเพื่อตามหาความสมบูรณ์อีกครั้ง The Rebound จะทำให้เราได้เห็นสถานการณ์เหล่านั้น" แซนดี้ ไม่เหมือนกับบทที่ ซีต้า โจนส์ เคยเล่นมาก่อน และเธอก็รู้สึกอบอุ่นที่ได้เดินทางพร้อมไปกับตัวละครนี้ "ช่วงแรกของภาพยนตร์ ชีวิตของ แซนดี้ เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งในชีวิตของสามี แต่ภายหลังนั้นเธอก็กลายเป็นผู้หญิงที่สามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง ฉันชอบที่ได้เห็นการเดินทางของเธออีกครั้ง ในช่วงเวลาที่เธอไม่สาวเหมือนแต่ก่อน เธอไม่เซ็กซี่เหมือนเคย เธอไม่รู้สึกกระชุ่มกระชวยเหมือนเดิม แต่ในช่วงสุดท้ายของเรื่อง แซนดี้ ก็เริ่มที่จะสัมผัสได้ถึงวัยแรกแย้มอย่างช้าๆ และพบกับความสุขในชีวิตอีกครั้ง" เมื่อ ซีต้า โจนส์ เข้ามารับบทนำแล้ว ทีมผู้สร้างก็ออกตามหา อารัม ฟิงเคลสไตน์ โดยในเรื่องนั้น เราพบว่าชีวิตของ อารัม นั้นเพิ่งผ่านการหย่าร้าง เพราะเขาถูกผู้หญิงชาวฝรั่งเศสหลอกให้แต่งงาน เพื่อสิทธิในการเป็นพลเมืองอเมริกัน เนื่องด้วยความเป็นคนโรแมนติกและมองโลกในแง่ดี เขาคิดว่านี้อาจเป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต แต่แล้วมันก็ยาวเพียงแค่สองอาทิตย์เท่านั้น เพเรลล์ พูดถึงการหานักแสดงที่จะมารับบทนี้ว่า "พวกเราไม่มีนักแสดงในใจที่จะเข้ามารับบทเป็น อารัม ซึ่งทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นในการคัดเลือกนักแสดงเข้ามารับบท" ฟรอยดิช และ เพเรลล์ เคยทำงานร่วมกับ จัสติน เบอร์ธ่า มาแล้วใน Trust The Man ซึ่งก็ทำให้เขาเป็นตัวเต็งที่จะเข้ามารับบทนี้ หลังจากได้อ่านบทภาพยนตร์เรื่องนี้มาทุกเวอร์ชั่น เพเรลล์ เล่าว่า "จัสติน โทรหาพวกเราและขอบทภาพยนตร์ไปอ่านทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลง เขาเป็นนักแสดงที่มีแรงใจต่อตัวละครที่เขารู้สึกผูกพันธ์ และมันก็ทำให้พวกเรารู้สึกตื่นเต้นไปด้วย" เบอร์ธ่า ยอมรับว่าตัวเองถูกครอบงำโดยตัวละครอย่าง อารัม "ผมคิดว่า บาร์ต เป็นนักเขียนบทที่มีพรสวรรค์ ผมคิดว่านี้เป็นบทภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยอ่าน มันมีทั้งหัวใจและความตลกอย่างแท้จริง ซึ่งก็เหมือนกับตัวตนของ บาร์ต เอง ผมรู้สึกผูกพันธ์กับ อารัม ทั้งเรื่องพื้นฐานชีวิตครอบครัว และวิถีทางที่เขาตอบสนองต่อหลายเหตุการณ์ รวมถึงวิถีทางที่ความสัมพันธ์ของเขาคลี่คลาย" ถึงแม้ เบอร์ธ่า จะบอกกับ ฟรอยดิช ว่าเขาต้องการเล่นบทนี้ แต่มันก็ต้องใช้เวลากว่าสามปีก่อนที่เขาจะถูกเลือกให้รับบท เพเรลล์ อธิบายว่า "เพราะพวกเราไม่มีนักแสดงในใจที่จะเข้ามารับบทนี้ พวกเราจึงต้องมีกระบวนการทดสอบบทกับนักแสดงคนอื่นๆ เพื่อที่จะทำให้มั่นใจว่า จัสติน คือตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด" เบอร์ธ่า เล่าว่าเมื่อเขาได้ยินว่า ซีต้า โจนส์ ถูกตั้งเอาไว้ให้เป็นนักแสดงนำฝ่ายหญิง ก็ทำให้เขาคิดว่าตัวเองคงจะไม่ถูกคัดเลือกแน่นอน "เมื่อผมได้ยินว่า แคทธาลีน เข้ามาแสดงนำ มันก็ทำให้ผมคิดเลยว่า "แล้วคนดูจะเชื่อไหมว่าผมสามารถเป็นคนรักเธอได้" แต่หลังจากนั้นผมก็โทรหาผู้อำนวยการสร้าง และตอกย้ำอีกครั้งว่าผมคือ อารัม และในที่สุดมันก็เป็นจริง" The Rebound จับคู่เอาตัวละครที่ดูจากภายนอกแล้วไม่น่าจะเป็นคู่กันได้ ระหว่างเด็กหนุ่มที่กำลังค้นหาตัวเองวัย 24 และแม่บ้านลูกสองวัย 40 เพเรลล์ พูดถึงความสัมพันธ์ต่างวัยนี้ว่า “ผมจะไม่พูดว่ามันคือรักแท้ แต่ทั้งสองเดินทางมาไกลจนทำให้ผู้ชมเชื่อมั่นในพวกเขา ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองถูกพัฒนาอย่างเป็นธรรมชาติ และผมก็คิดว่ามันเกิดขึ้นได้เพราะเคมีที่ลงตัวระหว่าง แคทธาลีน และ จัสติน" เมื่อ แซนดี้ และ อารัม มีนักแสดงเข้ามารับบทแล้ว ทีมงานก็ต้องหานักแสดงเด็กที่เข้ามารับบท เซดี้ และ แฟรงค์ จูเนียร์ ซึ่งเป็นลูกของ แซนดี้ เพราะว่าด้วยเวลาที่จำกัด พวกเขาพบว่าการคัดเลือกนักแสดงเด็กเป็นประสบการณ์ที่ท้าทาย ในการที่พวกเขาเป็นส่วนสำคัญของภาพยนตร์ เพราะเหมือนเป็นสะพานเชื่อมระหว่าง อารัม และ แซนดี้ ฟรอยดิช พยายามทำให้ตัวละครเด็กมีตัวตน แทนที่จะเป็นตัวละครที่ไร้ความสำคัญ "พวกเขาอาจสร้างความประทับใจได้จากรูปลักษณ์ภายนอกได้ แต่มันก็ยังต้องมีความรู้สึกจากภายใน ที่ชักชวนให้คุณรักพวกเขามากกว่าปกติ เซดี้ เป็นเด็กสาวที่มีความกดดันจากการหย่าร้างของผู้ปกครอง แต่สุดท้ายแล้วเธอก็เดินไปสู่เส้นทางที่สดใส ในขณะที่ แฟรงค์ จูเนียร์ ก็เป็นเด็กที่พูดทุกอย่างที่อยู่ในความคิดของตัวเอง" เพเรลล์ เล่าถึงขั้นตอนการคัดเลือกนักแสดงเด็กว่า "พวกเราได้ดูเทปออดิชั่นของเด็กมากกว่า 500 คน ก่อนที่จะกรองให้เหลือประมาณ 80 ถึง 90 คน จนในที่สุดเราก็ได้เลือกเด็ก 25 คนเพื่อมาทดสอบบทครั้งสุดท้าย ว่าจะมีเคมีที่สัมพันธ์กับ จัสติน และ แคทธาลีน หรือไม่ ในที่สุดเราก็โชคดีที่ได้นักแสดงอย่าง เคลลี่ กูลล์ และ แอนดริว เชอร์รี่" ถึงแม้ว่า The Rebound จะถูกขับดันด้วยเรื่องราวของ แซนดี้ และ อารัม แต่ก็ยังมีบทบาทของนักแสดงสมทบอื่นๆที่ช่วยเป็นแรงผลักดันให้เรื่องราวมีผลกระทบมากขึ้น ฟรอยดิช รู้สึกตื้นตันในการได้ร่วมงานกับเหล่านักแสดงสมทบที่ยอดเยี่ยม "แคทธาลีน เป็นนักแสดงที่ทุกคนอยากร่วมงานด้วย เธอเป็นคนที่เข้าได้กับทุกคนและคอยสนับสนุนนักแสดงร่วมจอ ซึ่งก็ทำให้ผมสามารถแบ่งความสำคัญให้กับนักแสดงคนอื่นๆได้" สำหรับบทเพื่อนสนิทของนางเอก ฟรอยดิช ก็ไม่อยากที่จะคัดเลือกนักแสดงที่คุ้นหน้าคุ้นตาเกินไป เพื่อมาแสดงคู่กับ ซีต้า โจนส์ ในที่สุดเขาก็เลือก เคท เจนนิ้งส์ มารับบทเป็น แดฟเน่ ซึ่งเธอเพิ่งมีผลงานในภาพยนตร์ดราม่าชั่นดีของผู้กำกับ รอน โฮเวิร์ด เรื่อง Frost Nixon “เคท เป็นนักแสดงที่มีประสบการณ์ และผมก็อยากให้ใครบางคนเข้ามาสร้างสีสันในบทนี้ และมันก็ดูเป็นเรื่องง่ายสำหรับเธอจริงๆ" เป็นความคิดของ เพเรลล์ ในการคัดเลือก อาร์ต การ์ฟังเกล เข้ามารับบทเป็นพ่อของ อารัม โดย อาร์ต ถือเป็นศิลปินในตำนานคู่กับ พอล ไซมอน โดยใช้ชื่อวงว่า Simon & Garfunkel ซึ่งเคยทำเพลงให้กับภาพยนตร์ที่พูดถึงความรักของคนต่างวัย ที่ขึ้นหิ้งไปแล้วอย่าง The Graduate การ์ฟังเกล เล่าว่าเขารู้สึกตื่นเต้น เพราะนี้เป็นการกลับมาแสดงหนังครั้งแรกในรอบ 9 ปี "เมื่อผมอ่านบทและเห็นว่ามันเป็นบทไม่ใหญ่มาก ผมก็คิดกับตัวเองว่า "มันเหมาะสมที่สุดแล้ว" ซึ่งมันก็ยิ่งทำให้ผมชอบเพราะบทภาพยนตร์ที่มีความน่ารัก มันมีจังหวะซ่อนเร้นและความน่าดึงดูด ผมเจอกับ บาร์ต และพบว่าเขาเป็นคนหนุ่มที่มีความกระตือรือล้น และเมื่อคุณได้ร่วมงานกับคนที่พูดคุยง่ายแบบนี้แล้ว คุณก็จะยอมให้เขาคอยแนะนำทาง นั้นแหละคือหน้าที่ของนักแสดง" โจแอนน่า กลีสัน (Boogie Nights, The Wedding Planner) รับบทเป็นแม่ของ อารัม โดย ฟรอยดิช เล่าว่า "โจแอนนา เป็นนักแสดงตลกมากพรสวรรค์ เธอแสดงอยู่ในภาพยนตร์ของ วู้ดดี้ อัลเลน มาแล้วหลายเรื่อง และเธอกับ อาร์ต ก็ยังจับคู่กันได้อย่างไร้ที่ติ คุณจะรู้สึกได้เลยว่าพวกเขาใช้ชีวิตคู่ด้วยกันมานานแล้ว" กลีสัน อ่านบทภาพยนตร์และคิดว่ามีความสดใหม่ "สิ่งที่ฉันชอบจากบทภาพยนตร์ ก็คือการที่พ่อแม่ที่ไม่ใช่คนไม่รู้เรื่องรู้ราวหรือไม่ยอมฟังใคร เพราะพวกเขามีความสมจริงและน่าสดชื่น โรเบอร์ต้า ไม่ใช่แม่ชาวยิวที่ดูซ้ำซาก เธอเป็นแม่ห่วงใยลูก และไม่รังเกียจที่จะแสดงความห่วงใยออกมาให้ทุกคนเห็น" เมื่อทีมสร้างบอกว่าเธอจะได้ร่วมงานกับ การ์ฟังเกล เธอยอมรับว่าตัวเองรู้สึกตื่นเต้นมาก "ฉันเป็นแฟนเดนตายสำหรับผลงานเพลงและการแสดงของเขา ฉันกับเขามักร้องเพลงเก่าๆ ระหว่างอยู่ในกองถ่าย เขาเป็นผู้ชายที่น่ารักและอ่อนโยน และเขาก็ขโมยซีนได้ทุกครั้งเมื่ออยู่บนจอ" การถ่ายทำในกรุงนิวยอร์ค The Rebound ถ่ายทำกันในกรุงนิวยอร์ค โดยสถานที่ถ่ายทำนั้นห่างจากบ้านของผู้กำกับ ฟรอยดิช ไปเพียงสามช่วงตึก เขาพูดถึงการตัดสินใจนี้ว่า "เพราะว่ามันสะดวกและคุ้นเคย กรุงนิวยอร์คเป็นเมืองที่ถ่ายทำได้โดยไม่ต้องปรุงแต่ง คุณสามารถพบกับบุคลิกที่หลากหลายตามสถานที่ที่แตกต่างออกไป จากย่านธุรกิจที่ แซนดี้ ทำงานอยู่ และเขตเวส วิลเลจที่เธอพบกับ อารัม ผมรู้สึกคุ้นเคยกับสถานที่ มันสำคัญที่ผู้สร้างจะรู้จักกับสถานที่ที่พวกเขาเข้าไปถ่ายทำ และสำหรับผมที่เกิดและเติบโตในนิวยอร์ค นี้เป็นสถานที่เดียวที่ผมจะสร้างหนัง" ซีต้า โจนส์ พูดถึงการถ่ายทำในนิวยอร์คว่า "The Rebound เป็นหนังที่เหมาะกับบรรยากาศในเมืองนิวยอร์คที่สุด ปกติแล้วผู้สร้างมักตัดสินใจไปถ่ายทำกันในเมืองอื่น ซึ่งถูกและสะดวกสบายกว่าอย่างเช่นโตรอนโต้ และทำให้มันกลายเป็นนิวยอร์ค แต่ในความเป็นจริงแล้วคุณไม่สามารถเลียนแบบได้ คุณจะไม่ได้ทั้งกลิ่นและบรรยากาศของเมือง รวมถึงพลังงานที่แอบแฝงอยู่ทุกซอกมุมของถนน ดังนั้นฉันจึงรู้สึกดีใจที่เราได้ถ่ายทำกันในสถานที่จริง" เรื่องที่ท้าทายหนึ่งของหนังเรื่องคือการถ่ายทำฉากตลก โดยเฉพาะฉากที่ แซนดี้ เข้าไปเรียนศิลปะการป้องกันตัว ที่เธอต้องระเบิดอารมณ์ออกมาและโถมทุกสิ่งทุกอย่างเข้าใส่ อารัม ที่อยู่ในชุดซูโม่ ฟรอยดิช พูดถึงฉากนี้ว่า "ผมต้องการทำช่วงเวลาที่คุณจะหัวเราะไปกับการกระทำ และอีกใจหนึ่งคุณก็รู้สึกถึงสภาวะทางอารมณ์ของตัวละคร มันทำให้คุณรู้จักตัวละครนี้ได้ดียิ่งขึ้น" ซีต้า โจนส์ พูดถึงฉากนี้ว่าเป็นหนึ่งในฉากโปรดของเธอ "ฉันได้ทั้งชกทั้งทุบคนที่อยู่ในชุดซูโม่ ซึ่งเป็นผลมาจากทุกคำพูดที่ แซนดี้ อยากพูดกับสามีเก่าของเธอ ทุกอย่างพรั่งพรูออกมาด้วยคำพูดและอากัปกริยา ฉันทุบและต่อยชุดนั้นจริงๆ และตอนนั้นตัวละครของฉันไม่รู้ว่า อารัม เป็นคนที่อยู่ข้างใน พวกเขาให้ฉันถ่ายฉากนี้หลายครั้ง และทุกครั้งฉันก็ระเบิดอารมณ์ออกมาได้มากกว่าเดิม มันเป็นเหมือนการบำบัด ไม่เพียงแค่เฉพาะ แซนดี้ แต่ฉันคิดว่ามันช่วยฉันในชีวิตจริงด้วย" ฉากฮาอีกฉากหนึ่งก็คือตอนที่ แซนดี้ ออกเดทกับ เทรเวอร์ ซึ่งรับบทโดย จอห์น ชไนเดอร์ (จาก Dukes of Hazard) ซึ่งเริ่มต้นได้อย่างราบรื่น ก่อนที่เขาจะเข้าห้องน้ำและทุกสิ่งทุกอย่างก็พังพินาศ ฟรอยดิช เล่าว่า "จอห์น เข้ามาอ่านบทและแสดงออกมาอย่างจริงจัง ซึ่งมันทำให้ผมหยุดหัวเราะไม่ได้ จอห์น เชื่อว่าการเข้าห้องน้ำในเดทแรกไม่ใช่เรื่องที่น่าอาย แต่ในความจริงแล้วมันเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำที่สุดเลย" ฟรอยดิช อธิบายต่ออีกว่า "สิ่งที่ทำให้ผมหยุดหัวเราะไม่ได้คือการสนทนาผ่านห้องน้ำของ แคทธาลีน กับ จอห์น มันไม่ใช่เรื่องสบายใจเลยในการคุยกับคนที่อยู่หลังประตูห้องน้ำ แต่มันก็ยิ่งดูกระอักกระอ่วนเข้าไปใหญ่เมื่อคุณอยู่กลางถนนและนี้คือเดทแรกของคุณ มันเป็นฉากที่ตลกและผมหวังว่าผู้ชมคงรู้สึกไปกับความโชคร้ายของ แซนดี้ ที่หลังจากหย่าขาดกับสามีก็ต้องมาเจอเรื่องเลวร้ายกับแบบนี้" ฟรอยดิช บอกว่าถึงแม้ แซนดี้ และ อารัม จะเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่ตัวละครอื่นที่รายรอบพวกเขาก็ช่วยเสริมสร้างความสมจริงให้กับสถานการณ์ในเรื่อง พวกเขาช่วยทำให้ฉากในเรื่องมีความโดดเด่นขึ้นมา "พวกเขามีความทุ่มเทในฉากที่ถ่ายทำ และฉากหนึ่งก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าอีกฉากเลย ก่อนที่จะรู้ตัวคุณก็พบว่านี้คือโลกที่คุณรู้จักอยู่แล้ว มันทำให้อารมณ์ร่วมที่มีอยู่แล้วเพิ่มพูนขึ้นไป และทำให้ความตลกถูกเติมเต็มเข้าไปอีก" อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ ฟรอยดิช ชื่นชอบก็คือความสัมพันธ์ระหว่าง อารัม และลูกๆ ของ แซนดี้ "นักแสดงที่รับบทเป็นเด็กทั้งสองทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม พวกเขาแสดงได้ดีจนทำให้ผมอยากให้พวกเขาอยู่บนจอมากที่สุดเท่าที่ทำได้" เคลลี่ เองก็เป็นนักแสดงที่แสดงมาบ้างแล้วโดยเฉพาะในจอโทรทัศน์ ฟรอยดิช เล่าว่า "เคลลี่ เป็นเด็กที่มีความเป็นมืออาชีพมาก เธอเข้ามาพร้อมกับไอเดียในการแสดงที่หลากหลาย และเธอก็ฟังทุกอย่างที่ผมพูดและทำได้ตามที่พวกเราต้องการ" ซีต้า โจนส์ เองก็กล่าวชมเธอว่า "เคลลี่ เป็นเด็กที่น่ารักมาก พ่อแม่ของเธอมาจากพื้นฐานที่มั่นคง เธอจะทำงานเหมือนผู้ใหญ่ระหว่างการถ่ายทำ ซึ่งพอ บาร์ต เอ่ยคำว่าคัท เธอก็กลับกลายเป็นเด็กอีกครั้งหนึ่ง เหมือนมีสวิทส์เปิดปิดเลย" เพราะการทำงานกับ ฟรอยดิช มาแล้วสามเรื่อง เพเรลล์ ยืนยันว่าจุดที่แข็งที่สุดของผู้กำกับคนนี้คือ การปรับเปลี่ยนได้ตามที่นักแสดงต้องการ เพราะทุกคนต้องการสิ่งที่แตกต่างกันไปในประสบการณ์การทำงาน "ซึ่งสิ่งนี้เองที่ทำให้เขาเข้าใกล้กับความจริง และการแสดงที่คล้ายกับชีวิตจริงมากที่สุด" ฟรอยดิช พูดถึงการทำงานกับ ซีต้า โจนส์ ว่า "แคทธาลีน มีความสามารถเหลือล้น และเธอก็สามารถมอบทุกสิ่งทุกอย่างตามที่คุณต้องการได้ เธอเต็มใจที่จะให้ผู้กำกับแนะนำทางให้เธอ ผมพูดคุยกับเธอเป็นพิเศษถึงแนวทางที่ผมอยากให้เป็น และเธอก็สามารถเปลี่ยนแปลงให้มันเป็นการแสดงของตัวเองได้ นั้นทำให้ผมรู้สึกใกล้ชิดกับวิสัยทัศน์ของตัวเอง" สำหรับ ซีต้า โจนส์ นี้คือครั้งแรกที่เธอร่วมงานกับผู้กำกับคนนี้ "ฉันพบว่ามันน่าสนใจเพราะว่า คุณได้ทำงานกับผู้กำกับที่เขียนบทภาพยนตร์ซึ่งมาจากส่วนหนึ่งในชีวิตตัวเอง บาร์ต รู้จักเรื่องราวนี้ทุกแง่มุม พวกเรามีตารางการถ่ายทำที่หนาแน่น แต่มันก็มีพลังงานความตื่นเต้น และทุกคนก็เข้ามาช่วยเติมเต็มให้กับการทำงาน" ฟรอยดิช ใช้เวลาสิบสองวันสุดท้ายในการถ่ายทำกับ จัสติน เบอร์ธ่า โดยมีกล้องตัวเดียวและทีมงานอีกหกคนในการเดินทางไปรอบโลก โดยใช้สถานที่อย่าง ฮ่องกง, อินเดีย, เคนย่า, ปารีส และ อิสตันบูล เพื่อที่จะได้ถ่ายทำฉากการเดินทางของ อารัม ที่กินระยะเวลาในเรื่อง 5 ปี เพเรลล์ เล่าว่า "ความจริงฉากนี้ไม่มีอยู่ในบทเวอร์ชั่นแรก แต่พวกเราตัดสินใจใส่มันเข้าไปเพื่อสร้างแรงกระทบกับบทสรุปตอนสุดท้าย พวกเรารู้ว่าถ้าไม่ได้มอบประสบการณ์นี้ให้กับ อารัม มันคงจะส่งผลลบต่ออารมณ์และส่วนประกอบของหนังทั้งหมด" ซึ่งฉากที่เล่าถึงการเดินทางเพื่อค้นหาตัวตนของ อารัม ทำให้ตอนจบเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เพเรลล์ เล่าว่า "ผมคิดว่าฉากนี้จะทำให้คุณเชื่อว่า แซนดี้ และ อารัม พร้อมแล้วที่จะตัดสินใจครั้งสำคัญ มันทำให้คุณรู้สึกถึงกาลเวลาที่ผ่านไป และคุณก็เชื่อว่าพวกเขาได้ผ่านอะไรมาเพียงพอแล้ว คุณจะคอยเอาใจช่วยพวกเขาด้วยความตื่นเต้น เมื่อทั้งคู่เผชิญหน้ากันอีกครั้งหนึ่งโดยบังเอิญในตอนสุดท้าย" ทีมนักแสดง แคทธาลีน ซีต้า โจนส์ (รับบทเป็น แซนดี้) เธอคือนักแสดงที่ได้รับรางวัลออสการ์จาก Chicago ภาพยนตร์เพลงที่ดัดแปลงมาจากละครเวทีชื่อดัง ซึ่งตัวหนังนั้นก็ยังได้รับรางวัลออสการ์สาขาหนังยอดเยี่ยมประจำปีอีกด้วย โดยล่าสุดนี้เธอก็ได้มีผลงานคู่กับ กาย เพียร์ซ ในหนังโรแมนติก-ทริลเลอร์เรื่อง Death Defying Acts และ No Reservations ที่เธอแสดงร่วมกับ แอรอน เอ็คฮาร์ท และ อบิเกล เบรสลิน นักแสดงสาวชาวเวลส์คนนี้ เป็นที่รู้จักโดยคนทั่วโลกจากผลงานในหนังแอ็กชั่นสุดมันส์เรื่อง The Mask of Zorro ซึ่งมีภาคต่ออย่าง The Legend of Zorro โดยผลงานเรื่องอื่นของเธอก็ยังมี The Terminal ที่เธอแสดงคู่กับ ทอม แฮ้งค์, Intolerable Cruelty ที่เธอแสดงคู่กับ จอร์จ คลูนี่ย์ และ Traffic หนังยอดเยี่ยมรางวัลออสการ์ ที่ทำให้เธอถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ จัสติน เบอร์ธ่า (รับบทเป็น อารัม) เขาเกิดและโตในเมืองฟลอริด้า โดยนักแสดงหนุ่มคนนี้เป็นรู้จักจากการรับบทเป็นจอมขโมยซีน ไรลี่ย์ พูลล์ ในหนังแอ็คชั่น/ผจญภัยเรื่อง National Treasure ทั้งสองภาค เขาเริ่มเข้าสู่วงการด้วยการเป็นผู้ช่วยผู้ออกแบบงานสร้างให้กับหนังเรื่อง Analyze This ก่อนที่จะแสดงในภาพยนตร์เรื่องแรก Tag และจากนั้นก็มีงานแสดงเข้ามาเรื่อยๆเช่น Gigli และ Carnival Sun ก่อนที่เขาจะได้รับบทตัวละครสมทบที่มีความโดดเด่นอีกครั้งใน Failure to Launch และล่าสุดอย่าง Hangover หนังตลกที่ทำรายได้ถล่มทลายไปทั่วโลก เคลลี่ กูลล์ (รับบทเป็น เซดี้) ผลงาน >>> Cold Case (ซีรี่ย์), Hanna Montana (ซีรี่ย์), Charlotte’s Web แอนดริว เชอร์รี่ (รับบทเป็น แฟรงค์ จูเนียร์) ผลงาน >>> Walk Hard: The Dewey Cox Story, Diggers เคท เจนนิ้งส์ แกรนต์ (รับบทเป็น ดาฟเน่) ผลงาน >>> Frost Nixon, United 93, Trust the Man ลินน์ วิทธฟิลด์ (รับบทเป็น ลอร์ร่า) ผลงาน >>> Madea’s Family Reunion, Sisterhood of the Traveling Pants 2 ทีมผู้สร้าง บาร์ต ฟรอยดิช (ผู้กำกับ/เขียนบท) ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเขา Trust the Man หนังดราม่าที่เกิดเรื่องในกรุงนิวยอร์ค ที่แสดงนำโดย จูลี่แอนน์ มัวร์ และ เดวิด ดูคอฟนี่ย์ ซึ่งสร้างปรากฎการณ์ด้วยการเป็นหนังที่ถูกซื้อ ด้วยราคาสูงที่สุดในเทศกาลหนังโตรอนโต้ โดยภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาที่เขาเขียนและกำกับคือ The Myth of Fingerprints ก็ยังถูกคัดเลือกเข้าไปฉายในเทศกาลซันแด้นส์ และสามารถคว้ารางวัล Audience Award มาครองได้ จากนั้นเขาก็ได้กำกับและเขียนบทอีกครั้งในภาพยนตร์เรื่อง World Traveler ที่แสดงนำโดย จูลี่แอนน์ มัวร์ และ บิลลี่ ครูดรัพ รวมถึง Catch That Kid หนังแอ็กชั่นที่แสดงนำโดย คริสเต็น สจ๊วต จาก Twilight ทิม เพเรลล์ (ผู้อำนวยการสร้าง) ผลงาน >>> The Myth of Fingerprints, World Traveler, Trust the Man, Shortbus โจนาธาน ฟรีแมน (ผู้กำกับภาพ) ผลงาน >>> The Prizewinner of Defiance Ohio, Ignition, The Edge of Love คริสโตเฟอร์ เทลเลฟสัน (ผู้ตัดต่อ) ผลงาน >>> The Human Stain, The Village, Capote, Changing Lanes ฟอร์ด วีลเลอร์ (ผู้ออกแบบงานสร้าง) ผลงาน >>> We Own the Night, The Yards, Flirting with Disaster เมลิซซ่า ทอร์ธ (ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย) ผลงาน >>> Eternal Sunshine of the Spotless Mind, You Can Count On Me, The Visitor

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ