สนพ. สรุปตัวเลขสถานการณ์พลังงานปี 2549 และแนวโน้มปี 2550

ข่าวทั่วไป Monday December 25, 2006 13:10 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--25 ธ.ค.--สนพ. นายวีระพล จิรประดิษฐกุล ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) แถลงข่าว “การสรุปสถานการณ์พลังงานปี 2549 และแนวโน้มปี 2550” ว่า ภาพรวมพลังงานปี 2549 เมื่อเทียบกับปี 2548 การใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ขั้นต้นเพิ่มขึ้น 2.4% เมื่อเทียบกับปี 2548 โดยอยู่ที่ระดับ 1,557 เทียบเท่าพันบาร์เรลน้ำมันดิบต่อวัน ประกอบด้วย การใช้ถ่านหินนำเข้าเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 34.9% สาเหตุจากบริษัท BLCP จำกัด ใช้ถ่านหินเพิ่มขึ้นตั้งแต่เดือนเมษายน 2549 เป็นต้นมา การใช้ไฟฟ้าพลังน้ำและไฟฟ้านำเข้าเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 39.2% เนื่องจากในปีนี้มีปริมาณน้ำอยู่ในระดับสูง และการซื้อไฟฟ้าจาก สปป.ลาว และมาเลเซีย เพิ่มขึ้น ขณะที่การใช้ ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นเพียง 2.8% และการใช้น้ำมันลดลง 1.9% เนื่องจากราคาน้ำมันทั้งปีทรงตัวในระดับสูง เช่นเดียวกับการใช้ลิกไนต์ลดลง 12.3% ปี 2549 หากดูการใช้พลังงานรายประเภท ปริมาณการใช้น้ำมันสำเร็จรูปลดลง 1.3% เมื่อเทียบกับปี 2548 อยู่ที่วันละ 709,000 บาร์เรล การใช้น้ำมันเบนซินออกเทน 95 ออกเทน 91 และน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ลดลง 0.01% หรือเทียบเท่ากับปี 2548 อยู่ที่วันละ 125,000 บาร์เรล และการใช้ดีเซลลดลง 5.7% เหลือวันละ 318,000 บาร์เรล การใช้น้ำมันเบนซินที่ลดลง ส่วนหนึ่งเกิดจากราคาที่ปรับเพิ่มขึ้นจากการประกาศลอยตัวราคาน้ำมันเบนซินตั้งแต่ปลายปี 2547 ทำให้ประชาชนปรับพฤติกรรมลดการบริโภคน้ำมันในรถยนต์อย่างชัดเจน รวมทั้งการส่งเสริมให้ใช้พลังงานทดแทนน้ำมันของรัฐบาล ทำให้มีผู้ขับรถยนต์จำนวนหนึ่งเปลี่ยนมาใช้ NGV และ LPG ส่งผลให้มีจำนวนรถที่ติดตั้ง NGV ทั้งสิ้น 24,591 คัน สถานีบริการเกิดขึ้น 87 สถานี โดยพบว่าปริมาณการใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 62.8% เฉลี่ยจากวันละ 6.44 ล้านลูกบาศก์ฟุต เป็นวันละ 10.20 ล้านลูกบาศก์ฟุต ส่วนการใช้ LPG ในรถยนต์เพิ่มขึ้น 50.2% ด้านการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ พบว่า เพิ่มขึ้นจากปี 2548 56.5% เฉลี่ยจากวันละ 1.8 ล้านลิตร เป็นวันละ 3.5 ล้านลิตร และคาดว่าในปี 2550 โรงงานเอทานอลจะสามารถผลิตเอทานอลได้เพียงพอกับความต้องการ ทั้งนี้ การใช้น้ำมันดีเซลที่ลดลง สาเหตุสำคัญจากการลอยตัวราคาขายปลีกดีเซลแบบ กึ่งลอยตัวในเดือนมิถุนายน 2548 และปล่อยลอยตัวเต็มที่ในเดือนกรกฎาคม 2548 ส่งผลต่อเนื่องทำให้การใช้ชะลอตัวลงอย่างมาก และทำให้ประชาชนเกิดพฤติกรรมการประหยัดน้ำมัน นอกจากนี้พบว่าปัญหาน้ำท่วมในหลายจังหวัดของประเทศเป็นอีกสาเหตุให้ภาคขนส่งชะลอการใช้น้ำมันดีเซล และมาตรการรณรงค์ประหยัดพลังงานของภาครัฐ สำหรับปริมาณการใช้ไฟฟ้ารวมทั้งประเทศในปี 2549 เพิ่มขึ้น 4.9% อยู่ที่ระดับ 126,600 ล้านหน่วย โดยขยายตัวในอัตราที่ชะลอตัวลงจากปี 2548 ตามการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ที่ชะลอตัวลง และมีความต้องการไฟฟ้าสูงสุด (Peak) ซึ่งเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2549 อยู่ที่ระดับ 21,064 เมกะวัตต์ สูงกว่าปี 2548 จำนวน 526 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ ปริมาณการใช้น้ำมันที่ลดลง ส่งผลให้ปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบในปี 2549 ลดลงจากปี 2548 0.5% เหลือวันละ 823,000 บาร์เรล แต่มูลค่าการนำเข้าพลังงานรวมทั้งสิ้น 912,240 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2548 ประมาณ 16% ประกอบด้วย การนำเข้าน้ำมันดิบ 749,785 ล้านบาท น้ำมันสำเร็จรูป 55,842 ล้านบาท ก๊าซธรรมชาติ 79,390 ล้านบาท ถ่านหิน 18,809 ล้านบาท และไฟฟ้า 8,413 ล้านบาท แนวโน้มความต้องการพลังงานในปี 2550 จากการประมาณการภาวะเศรษฐกิจไทย (GDP) ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ระบุปี 2550 จะขยายตัว 4.0-5% นั้น เชื่อว่าแนวโน้มความต้องการพลังงานในปี 2550 ความต้องการพลังงานเชิงพาณิชย์ จะเพิ่มขึ้น 5.1% จากปี 2549 โดยอยู่ที่ระดับ 1,636,000 บาร์เรลน้ำมันดิบต่อวัน ความต้องการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้น ประกอบด้วย การใช้น้ำมันสำเร็จทุกชนิดคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยประมาณ 1.7% เมื่อเทียบกับปี 2549 ยกเว้นการใช้น้ำมันเตาลดลง โดยน้ำมันเบนซิน จะมีการใช้สูงขึ้น 3.2% และดีเซล การใช้สูงขึ้น 2.4% เพิ่มขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากสถานการณ์ราคาน้ำมันในปี 2550 จะคงทรงตัวในระดับสูง และประชาชนเริ่มให้ความสำคัญถึงการประหยัดน้ำมัน ทำให้อัตราการเพิ่มของการใช้น้ำมันไม่สูงมากนัก นอกจากนี้เป็นเพราะผู้ใช้รถยนต์มีทางเลือกการใช้เชื้อเพลิงอื่นทดแทนน้ำมันมากขึ้น ได้แก่ NGV และ LPG ด้านการใช้ก๊าซธรรมชาติ ในปี 2550 จะเพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับปี 2549 อยู่ที่ระดับ 3,460 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เนื่องจากการผลิตภายในประเทศเพิ่มสูงขึ้นจากแหล่งภูฮ่อมเริ่มผลิตปลายปี 2549 จำนวน 80-100 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน แหล่ง JDA ซึ่งจะเริ่มผลิตในเดือนพฤษภาคม 2550 เป็นต้นไป โดยปริมาณการผลิตสูงสุดอยู่ที่ระดับ 200 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และการนำเข้าก๊าซจากพม่าเพิ่มขึ้นเป็น 921 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ขณะที่การใช้ลิกไนต์และ ถ่านหินนำเข้า จะเพิ่มขึ้น 13.4% เนื่องจากในปี 2550 โรงไฟฟ้าถ่านหิน BLCP จะเริ่มเดินเครื่องได้เต็มกำลังผลิต 1,400 เมกะวัตต์ เช่นเดียวกับภาคอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มการใช้ถ่านหินนำเข้าเพิ่มขึ้นเพื่อทดแทนลิกไนต์ในประเทศที่มีจำนวนจำกัด ส่วนปริมาณการใช้ไฟฟ้า คาดว่าการผลิตและการซื้อไฟฟ้าของ กฟผ. จะเพิ่มขึ้น 5.5% จากปี 2549 อยู่ที่ระดับ 149,471 ล้านหน่วย เป็นการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน/ลิกไนต์เพิ่มมากขึ้น ขณะที่ปริมาณการผลิตไฟฟ้าจากพลังน้ำ น้ำมันเตา และการนำเข้าจะลดลง

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ