“เอ็ม-บุษราคัม วงษ์คำเหลา” จากลูกสาวตลก 100 ล้าน ของ “หม่ำ จ๊กม๊ก” สู่นางเอกหนังรักฮาทะลุ 100 ล้าน ระดับตำนาน “แหยมยโสธร 2”

ข่าวบันเทิง Friday November 13, 2009 16:27 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--13 พ.ย.--สหมงคลฟิล์ม เคยชื่นชมผลงานของแหยม 1 มาก่อน พอถูกชวนให้มาเล่นแหยมยโสธร 2 รู้สึกอย่างไรบ้าง? ครั้งแรกที่ดูเรื่องแหยมยโสธรเอ็มยังเรียนอยู่เลย ซึ่งเอ็มรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้โทนสีสวยสดดี เอ็มชอบคือเอ็มเรียนภาพยนตร์มา พอเอ็มเห็นเอ็มรู้สึกประทับใจ พอได้มาเล่นจริงๆ ก็รู้ว่าวิธีการทำมันเป็นอย่างนี้นะ ความประทับใจมันอยู่ที่การทำฉาก ตัวแสดง ทุกๆ ตัวแสดงที่มีความสัมพันธ์ร่วมกันทำให้หนังออกมาได้สมบูรณ์แบบ ตอนนี้เอ็มยังเห็นภาพได้ไม่ค่อยชัด เพราะภาพที่เอ็มเห็นส่วนใหญ่เป็นภาพที่ยังไม่ได้ถูกปรุงแต่งหรือว่าตัดต่อ แต่ถ้าถูกปรุงแต่งมาแล้ว ภาพจะสดจะสวยนั่นคือ เสน่ห์ของแหยมยโสธร จริงๆ แหยมยโสธรภาค 2 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร? เรื่องราวของแหยมยโสธรก็จะเป็นเรื่องราวความรักรุ่นลูกของอ้ายแหยมและแม่เจ้ย เรื่องราวก็ประมาณว่ามีปลัดหนุ่มสุดหล่อ คือ ปลัดธนูมาจากกรุงเทพถูกส่งมาทำงานรับราชการที่จังหวัดยโสธร แล้วดันมาตกหลุมรัก แว่ ซึ่งเป็นลูกสาวกำนันแหยม แต่ด้วยลักษณะนิสัยของปลัดธนูที่กวนประสาทกำนันแหยมเป็นอย่างมาก ทำให้กำนันแหยมไม่ชอบปลัดธนูซักเท่าไร เวลาปลัดธนูมาจีบแว่ ก็จะคอยมาเป็นก้างขวางคอตลอด ก็เป็นความสนุกสนาน ตามประสาพ่อตากับลูกเขยค่ะ ในเรื่องแหยมยโสธร 2 เอ็มรับบทเป็นใคร? ในเรื่องแหยมยโสธร 2 เอ็มรับบทเป็นแว่ เป็นลูกสาวคนสุดท้องของกำนันแหยม แล้วก็จะมีน้องชายอีกคนหนึ่งชื่อคำผาน ส่วนคาแรกเตอร์ของแว่นั้นก็จะเป็นผู้หญิงที่ดูเรียบร้อยอ่อนหวาน อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ไม่ค่อยกล้าแสดงออกเท่าไร เพราะมีพ่อและแม่คอยกำกับอยู่ แล้วยิ่งเป็นลูกสาวของกำนันแหยมด้วยก็จะถูกเลี้ยงดูเหมือนไข่ในหิน ก็ไม่ค่อยได้เจอใครเท่าไร นอกจากพ่อแม่แล้วก็น้องชาย แล้วเรื่องราวในเรื่องก็จะมีปลัดหนุ่มจากกรุงเทพมาจีบเรา ซึ่งก็ต้องฝ่ากำแพงของคุณพ่อ หรือว่ากำนันแหยมให้ได้เสียก่อน เสน่ห์ลูกสาวกำนันแหยมเป็นอย่างไรบ้าง? คือแว่จะต่างจากผู้หญิงสมัยนี้มาก เพราะตัวแว่จะเป็นผู้หญิงที่ไม่ค่อยกล้าแสดงออกเท่าไร ซึ่งต่างจากผู้หญิงสมัยนี้มากที่คิดเองทำเองได้ เอ็มว่ามันเป็นตัวละครที่น่าอึดอัดมาก เพราะมันแสดงอารมณ์ได้แค่ทางสีหน้า แววตา และ รอยยิ้ม ซึ่งมันต่างจากตัวเอ็มมาก เพราะเอ็มเป็นคนที่กล้าพูดกล้าแสดงออก แต่ก็ไม่ถึงกับโผงผาง และก็ไม่ได้เรียบร้อยขนาดนั้น คือเอ็มรู้จักกาลเทศะค่ะ แต่ตัวแว่ถึงแม้จะเรียบร้อยแต่ก็เป็นคนที่ฉลาดทันคนนะ เวลาพระเอกหยอดคำหวานมา เราก็มีเหน็บแนมบ้าง คือจะพูดจาแบบนิ่งๆ แต่ว่าเจ็บ ต้องมีการเตรียมความพร้อมก่อนเล่นหนังเรื่องนี้ อย่างไรบ้าง? เนื่องจากเอ็มไม่มีพื้นฐานด้านการแสดงมาก่อน ก็ต้องไปเรียนการแสดงพร้อมกับพี่ดิมเลย เพื่อให้เกิดความคุ้นเคยระหว่างพระเอก และ นางเอก แล้วเอ็มก็ต้องปรับบุคลิกของเอ็มให้เป็นแว่ด้วย เพราะเอ็มเป็นคนที่พูดเร็ว ถ้าจะเป็นแว่ก้ต้องพูดให้ช้า เรียบร้อย ดูเป็นกุลสตรี วันแรกยอมรับเลยว่ายาก แต่ ณ.วันนี้เริ่มชินแล้ว เพราะด้วยสภาพแวดล้อมและพี่ทีมงานที่ทำงานด้วยทำให้รู้สึกว่าไม่อึดอัด เข้าฉากวันแรกเป็นอย่างไรบ้าง มีออกอาการตื่นเต้นหรือประหม่าบ้างรึเปล่า? เอ็มไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไร อาจจะเป็นเพราะได้เล่นกับพ่อและก็น้องชายซึ่งก็เจอกันทุกวันอยู่แล้วก็เลยไม่รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ แต่ว่าถ้าจะตื่นเต้นต้องเป็นตอนที่เรียนแอ็กติ้ง เพราะเอ็มไม่เคยเรียนมาก่อน พอเรียนแอ็กติ้งรู้สึกว่าทำไมมันออกแนวจิตวิทยาจัง ยิ่งตอนเจอพระเอกครั้งแรกยิ่งแล้วใหญ่ คือรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเป็นพี่ดิม แต่ด้วยความที่เขาเป็นนักร้องที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง แต่เราก็ไม่เคยเจอหรือว่ารู้จักกันมาก่อนก็จะรู้สึกเกร็งมาก เพราะไม่เคยทำงานกับดาราแบบใกล้ชิดอย่างนี้มาก่อน แต่พอซักระยะก็จะเริ่มคุ้นชิน เหมือนเป็นเพื่อนร่วมงานกันมากกว่า ซึ่งพอเข้าฉากด้วยกันก็จะไม่มีการเขินอายแล้ว คลาสที่เรียนแอ็กติ้งอาจารย์ท่านสอนอะไรบ้าง? ก็มีเรียนความสัมพันธ์ของตัวละคร เหมือนให้เรามองกระจก ให้เอ็มกับพี่ดิมหันหน้าเข้าหากัน แล้วให้ทำท่าคล้ายๆ กัน แล้วครูก็จะเดินรอบแล้วทายว่าตอนนี้ใครนำอยู่ คือการทำภาพสะท้อนจากกระจกถ้าจะให้ได้ดีมันก็ต้องขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ของคนสองคน พี่ดิมก็ต้องเข้าใจเอ็มด้วยว่าท่าต่อไปเอ็มอยากจะทำอะไร แล้วเอ็มก็ต้องเข้าใจพี่ดิมว่าพี่ดิมอยากจะสื่ออะไร ผู้กำกับเปิดโอกาสให้เอ็มได้ใช้ความสามารถทางการแสดงมากน้อยขนาดไหน? ก็ถือว่าเยอะมากเพราะด้วยคาแรกเตอร์ของแว่เป็นผู้หญิงกุลสตรีสมัยก่อน ก็ต้องมาศึกษาดูว่าผู้หญิงในสมัยนั้นเขาบุคลิกลักษณะเป็นอย่างไร เขาจะเดินช้าๆ พูดช้าๆ แล้วคาแรกเตอร์ของแว่มันไม่ใช่แค่เขินอายเพียงอย่างเดียว มันยังมีทั้งซีนอารมณ์ ซีนกวนประสาทพระเอก แต่สำหรับเอ็มซีนที่ยากที่สุดคือต้องทำตัวเขินอายนี้แหละ เพราะมันรู้สึกว่าฝืนตัวเอง ไม่ถนัดเหมือนที่เราชอบ แต่บทที่เล่นง่ายสุดคือซีนร้องไห้ เพราะตอนที่ถ่ายมาแค่เทคแรกก็สามารถเล่นได้เลย ทำไมเอ็มถึงรู้สึกว่าถนัดบทร้องไห้? คือเอ็มเป็นคนที่อ่อนไหวง่าย แค่นั่งอยู่คนเดียวก็ร้องไห้แล้ว คือคนเรามันต้องมีบางเรื่องที่คิดขึ้นมาแล้วจะรู้สึกเศร้าอาจจะเป็นเรื่องของพ่อและแม่หรือความรัก แล้วอย่างซีนที่เอ็มต้องร้องไห้มันเป็นซีนที่คนที่เรารักถูกยิง แล้วภาพมันอยู่ต่อหน้าเราพอดี มันก็เลยบิ้วท์อารมณ์ได้ง่าย แล้วฉากนี้ผู้กำกับว่าอย่างไรบ้าง? พ่อก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะพ่อเป็นคนที่ไม่ชม ถ้าคิดจะชมเชาจะพูดขึ้นมาเอง ถ้าไปถามเขา เขาก็จะบ่ายเบี่ยงไม่ตอบ ต่อให้เราทำดีแค่ไหนเขาก็จะไม่พูดออกมาตรงๆ ว่าดีหรอก แต่เอ็มก็เคยบอกพ่อนะ ถ้าให้เล่นบทที่ต้องเขินอาย เอ็มไม่ถนัด จะถนัดพวกซีนอารมณ์หรือร้องไห้มากกว่าซีนที่ต้องแสดงท่าทางเขินอาย ในแหยมยโสธร 2 ยังมีซีนที่เอ็มต้องโชว์ความสามารถนาฎศิลป์ด้วย ยากไหมกับซีนอย่างนี้? ที่จริงแล้วตอนเด็กเอ็มมีพื้นฐานนาฏศิลป์มาก่อน ไม่ใช่แค่นาฏศิลป์อย่างเดียวแต่เป็นพวกกิจกรรม บัลเล่ต์ เต้น คือเรียนมาหมดเลย เอ็มมีพื้นฐานการนับจังหวะ แล้วพอไปเจอการเซิ้งจึงรู้ว่าการตั้งท่าหรือเบิ้ลท่าเขาทำอย่างไร แต่เราก็ต้องไปคุยกับนางรำทั้งคณะเพื่อจะให้รำแล้วสอดคล้องกับเขาด้วย ซึ่งช่วงแรกเอ็มว่ามันยากเพราะว่าเราไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของคณะเขา แล้วเรามีเวลาจำกัดแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น เราก็ต้องเร่งเรียนรู้ให้เร็วที่สุด แต่โชคดีที่เอ็มมีพื้นฐานมาก่อน เอ็มก็เลยเรียนรู้ได้ค่อนข้างเร็ว เขินมั้ยที่ต้องรำต่อหน้าคนเยอะแยะไปหมด? มันเป็นฉากที่ต้องรำต่อหน้าคนเยอะแยะมาก ทีมงานเอ็กซ์ตร้า 200 กว่าคน แล้วมีชาวบ้านที่มามุงดูอีก มันทำให้เรายิ่งรู้สึกเกร็งมากขึ้นอีก แล้วทุกคนจะมองมาที่เราทั้งหมด เราก็ยิ่งทำอะไรไม่ถนัดเพราะเหมือนถูกจับผิด คือตั้งใจรำก็ยากแล้ว ยังต้องยิ้มด้วย ยิ่งอึดอัดมากขึ้นไปอีก ก็ต้องหาวิธีผ่อนคลายตัวเองด้วยการยิ้มๆ หุบๆ ซึ่งตอนแรกก็เขินนะ แต่พอหลังๆ เริ่มชินก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว พูดถึงการแปลงลุกซ์ให้สวยหวานเหมือนสาว แว่ หน่อย ต้องมีการแปลงโฉมอะไรอย่างไรบ้าง? แหยมยโสธรเป็นหนังพีเรียทย้อนยุค การแต่งตัวก็ต้องใช้เวลาหน่อย ทีมงานนัดมากอง 6 โมงเช้า ใช้เวลาแต่ตัวทั้งหมดเกือบ 2 ชั่วโมง คือจะค่อนข้างละเอียดและพิถีพิถันมาก ทั้งคิ้ว หรือจมูกก็ต้องเป็นสัน แก้ม หรือว่าปากสีสันต้องชัด แล้วสิ่งที่ลำบากที่สุดก็คือเรื่องผม เพราะเอ็มผมบาง จึงต้องใส่วิกทับเพื่อให้ดูหนาขึ้นเหมือนคนสมัยก่อน ซึ่งมันก็ทั้งหนักทั้งคัน แล้วไหนจะเครื่องสำอางอีก เสื้อผ้าอย่างของเอ็มและพี่เขียวจะมีประมาณ 20 ชุด คือเยอะมากค่ะ แล้วยังมีรองเท้าอีกซึ่งเอ็มไม่ชอบใส่รองเท้าส้นสูงแต่คนสมัยก่อนเขาใส่สูงประมาน 3 นิ้ว แล้วเดินบนพื้นดินที่ขรุขระ ซึ่งเอ็มก็ต้องมาปรับท่าทางการเดินเพื่อไม่ให้ล้ม ซึ่งคนสมัยก่อนเขาเดินได้อย่างไรก็ไม่รู้ เพื่อนๆ ให้ความเห็นบ้างไหม กับลุกซ์ใหม่ของเรา? เคยถ่ายรูปครึ่งตัวแล้วไปโพสต์ใน hi5 เพื่อนเข้ามาเห็นบอกว่าชุดเจ็บมากสีสันฉูดฉาดมาก บางคนเข้ามาแซวคือ คิ้วเป็นคิ้วจมูกเป็นจมูก คือทุกอย่างเราเน้นหมดเราต้องสดใสเพราะว่าแหยมยโสธรเราจะเน้นเรื่อง สี ภาพ เพราะฉะนั้นทุกอย่างจะชัดแจ๋ว ฉูดฉาด แสบตา มีความกดดันบ้างรึเปล่า แล้วยิ่งเป็นการร่วมงานกับคุณพ่อด้วย? ยอมรับเลยว่ามีกดดันบ้าง ด้วยความที่ทำงานกับคุณพ่อเลยไม่รู้ว่าเราจะทำงานได้เต็มที่รึเปล่า หรือถ้าทำไม่ดีแล้วพ่อจะดุเราไหม คือเอ็มไม่อยากให้ใครมาว่าพ่อเก่ง แต่ทำไมเราถึงเป็นอย่างนี้ แต่พอมาถึงที่กองพ่อก็คอยแนะนำ ว่ามันควรจะทำอะไรอย่างไร ก็ลดความกดดันได้เยอะเลยทีเดียว แล้ะทีมงานหนังเรื่องนี้ก็เป็นกันเองดี ทำให้เอ็มไม่อึดอัด อาจจะมีบ้างที่เครียด แต่ถ้าผู้กำกับไม่ใช่คุณพ่อคงแย่กว่านี้อีก เพราะถ้าผู้นำเครียด ทีมงานที่เหลือก็เครียดกันทั้งกอง แต่โชคดีที่คุณพ่อเก็บอารมณ์ มีปัญหาอะไรเขาจะเก็บไว้คนเดียว แล้วเขาจะมีมุกมาทำให้คนอื่นสนุกสนานอยู่ตลอดเวลาถึงแม้เขาจะเครียดอยู่ก็ตาม ก็เลยทำให้คนอื่นทำงานไปด้วยเสียวหัวเราะและรอยยิ้ม จานจึงเสร็จเร็วและผ่านไปได้ด้วยดีค่ะ เคยเห็นแต่ภาพคุณพ่อที่เป็นหัวหน้าครอบครัว พอมาเห็นอีกมุมหนึ่งในฐานะผู้กำกับ เขาเป็นคนอย่างไรบ้าง? เอ็มดีใจที่คุณพ่อเปิดโอกาสให้เอ็มได้มาสัมผัสงานเบื้องหน้าและเบื้องหลัง เอ็มไม่เคยได้มาเห็นพ่อนั่งอยู่หลังมอนิเตอร์เลย เคยแต่มาเยี่ยม แต่ไม่เคยเห็นตอนทำงานจริงจังอย่างนี้ ซึ่งพ่อเป็นคนที่ค่อนข้างจริงจังและซีเรียสในการทำงาน สำหรับบทหนังหรือภาษาหนังพ่อเขาซีเรียสทุกเรื่อง เขาจะละเอียดพิถีพิถันตลอดแล้วไม่ใช่คนที่อารมณ์ร้ายเรื่องงานใส่คนอื่น คือพ่อต้องการทีมงานที่เข้าใจเขา แล้วพอเวลาทำงานแล้วมันจะสะดวกสบาย แล้วการเป็นผู้นำไม่ว่าที่ไหนก็ตามมันต้องแบกรับภาระอยู่ตลอด ซึ่งพอเอ็มได้ทำงานร่วมกับพ่อ เอ็มก็เลยรู้สึกว่าพ่อค่อนข้างเหมือนเอาปัญหามารุมที่พ่อคนเดียว คือเป็นปัญหาที่จุกจิกในกองซึ่งความรับผิดชอบจะอยู่กับเขาเยอะนิดนึง ทำให้เอ็มได้เห็นว่าการทำงานตรงนี้มันต้องทุ่มเทแล้วพ่อค่อนข้างทุ่มเท และใส่ใจในทุกเรื่อง นี้คือสิ่งที่เอ็มชอบค่ะ คิดว่าคุณพ่ออยากที่จะทำหนังแนวอื่นที่ไม่ใช่หนังตลกบ้างรึป่าว? คือใครหลายคนอาจจะคิดว่าหนังที่กำกับโดย หม่ำ จ๊กม๊ก จะต้องเป็นหนังตลกทุกเรื่อง แต่บางครั้งพ่อเขาเป็นคนที่มีมุมมองที่ต่างออกไป เขาอยากทำหนังแบบอื่นบ้าง แต่ด้วยความที่ภาพลักษณ์มันตลก เขาก็เลยต้องอยู่ที่ตลก จริงๆ แล้วพ่อเป็นคนชอบหนังแอ๊กชั่น เขาก็ต้องทำหนังแอ๊กชั่นคอมเมดี้ เพื่อให้เข้ากับเขา ไม่อย่างนั้นแล้วคนดูจะรับไม่ได้ คือมันติดตรงที่ว่าเป็นหนัง หม่ำ จ๊กม๊ก ไม่อย่างนั้นพ่อคงทำหนังได้หลายแนวกว่านี้ เล่าบรรยากาศของกองถ่ายแหยมยโสธร 2 ให้ฟังหน่อย ครื้นเครงเฮฮามากน้อยขนาดไหน? บรรยากาศก็จะมีเสียงหัวเราะเป็นส่วนใหญ่ เพราะเราจะมีคุยหยอกล้อเล่นกันเหมือนเพื่อน เพราะว่าพ่อจะไม่ถือตัวหรือคิดว่าตัวเองเป็นผู้กำกับ คือเราทำงานร่วมกันก็เป็นเพื่อนร่วมงานกันธรรมดา มีหยอกล้อคุยเล่นกัน ถ้าซีเรียสก็มานั่งประชุมกัน คุยเล่นกันใครมาสายก็เป็นเรื่องเป็นราวออกแนวเจ้านายและลูกจ้าง แต่ว่าเอาจริงๆ แล้วพ่อไม่ใช่คนที่ซีเรียส แต่เป็นคนที่ค่อนข้างแฟร์ ถ้ามีเหตุมีผลกับเขา หม่ำ จ๊กม๊กมีฉายาว่าผู้กำกับถั่วงอก เอ็มเจอบ้างรึเปล่า? เอ็มไม่เคยได้ยินคำว่าผู้กำกับถั่วงอกมาก่อนเพิ่งเคยได้ยินครั้งแรกนี้แหละ แต่ก็เข้าใจคำว่าถั่วงอก เพราะพ่อเป็นคนที่ไอเดียเกิดอยู่ตลอดเวลา พอคัทเมื่อไรก็จะมีไอเดียเพิ่มเข้ามาว่าเดี๋ยวต้องพูดแบบนี้นะ พอเดินกลับไปหายไปซัก 2 นาทีก็เดินเข้ามาใหม่บอกว่าต้องพูดอย่างนี้นะ แล้วมันก็เป็นมุกใหม่ เอ็มก็คิดว่าจะเอาอันไหนกันแน่ จนผู้ช่วยผู้กำกับเขาก็เดินมาบอกว่าพี่หม่ำเดินไปที่หน้ามอนิเตอร์เถอะ ก่อนที่มันจะเยอะไปกว่านี้ คือมันงอกมาเรื่อยๆ จนทับถมจนมุกมันทับกัน ก็ต้องมีคนมาห้าม บางครั้งคนแสดงเองจำไม่ได้ แล้วตัวเขาเองเป็นคนชอบคิดมุกสด พอมีมุกสดแล้วคนที่เล่นด้วยมันกลั้นหัวเราะไม่อยู่ คือไม่ได้เตรียมกันแล้วพอมาสดมันจะกลั้นหัวเราะไม่ได้ เอ็มเคยเขาฉากกับพ่อแล้วพ่อเล่นมุกสด เอ็มกับพี่เขียวมองหน้ากันแล้วกลั้นหัวเราะแบบไม่ไหวแล้วล่ะ แต่โชคดีที่เขาโฟกัสอยู่ที่พ่อ แล้วข้างหลังเบลอ ไม่งั้นก็จะเห็นเรา2คนสั่นกลั้นหัวเราะอยู่ แหยมยโสธรเป็นหนังแนวโรแมนติกคอมเมดี้ เอ็มพูดในส่วนของโรแมนติกหน่อย มีสวีทหวานกันขนาดไหน? ความโรแมนติกในเรื่องนี้จะเป็นแบบกุ๊กกิ๊กน่ารักยียวนกวนประสาทซะมากกว่า ซึ่งส่วนมากจะมาจากพระเอกของเรื่องคือปลัดธนู ซึ่งเขาก็จะมีมุกมาหยอดเราเรื่อยๆเป็นมุกประมาณน้ำเน่า เอาไว้จีบหญิงประมาณนี้ อย่างฉากปีนบ้านกำนันแหยมเพื่อมาหาแว่ เขาก็จะมีมุกของเขาประมาณว่ามีปืนรึยังถ้าไม่มีผมจะเอาให้ เราจะได้มี Gun และ Gun คือถ้าไม่ติดว่าเป็นตัวละครแว่ ก็จะเอาดอกไม้ทุบหัว เพราะมันน้ำเน่ามากๆ นี่คือหนึ่งในน้ำเน่าของซีน แล้วมันแบบซุปเปอร์มหาน้ำเน่าเลยนะ เพราะมันน้ำเน่ามาก แล้วส่วนของคอมเมดี้ มีความเฮฮากันสุดฤทธิสุดเดชกันอย่างไรบ้าง? พาร์ทตลกของแหยม 2 ก็จะคล้ายกับภาค1 เป็นความรักที่ต้องมีอุปสรรคหน่อย อย่างภาค2ก็จะมีกำนันแหยม เป็นกำแพงความรักของปลัดธนูและแว่ เพราะกำนันแหยมในเรื่องจะไม่ชอบปลัดธนูเป็นอย่างมาก เพราะเชื่อว่าคนกรุงเทพเป็นคนที่เหลี่ยมจัด เจ้าชู้ กลัวว่าจะมาหลอกลูกสาวตัวเองด้วย แล้วยิ่งปลัดธนูไปกวนประสาทกำนันแหยมก็ยิ่งทำให้พ่อไม่ชอบหน้าเข้าไปใหญ่ แต่ถ้าปลัดธนูมาอยู่กับแว่ก็จะเปลี่ยนเป็นอีกคนเลย จะกลายเป็นคนอ่อนหวาน แต่ถ้าเจอหน้ากำนันแหยมก็จะจิกกัดกันตลอดเวลา ก็เป็นเรื่องราวความหรรษาตามประสาพ่อตาลูกเขยค่ะ การแสดงของแต่ละคนที่เอ็มได้สัมผัสมาเป็นอย่างไรบ้าง? อย่างน้องมิกซ์บางฉากเขาจะกวนด้วยคำพูด แล้วการแสดงสีหน้าท่าทางเขาสมจริงมาก คือเอ็มเห็นแล้วรู้สึกว่าทำไมน้องเล่นได้กวนขนาดนี้ เคยคิดว่าถ้าเป็นเอ็มแล้วจะเล่นได้ตลกแบบน้องเรารึเปล่า แล้วการถ่ายทอดอารมณ์น้องมิกซ์เล่นได้ดีเลยทีเดียว ส่วนพ่อและพี่ดิม คนหนึ่งก็มุกเยอะ อีกคนก็กวนๆ พอมาเจอกันมันก็เลยไหลลื่นทั้งคู่ แต่ของพี่เขียวจะมีปัญหาด้านภาษาอีสานนิดหนึ่ง เพราะเป็นคนโคราชภาษาอีสานจะต่างจากคนยโสธร เอ็มกับพี่เขียวก็ต้องมานั่งซ้อมบทกัน แต่เรื่องการแสดงบอกได้เลยว่าพี่เขียวกินขาด ส่วนเอ็มกับพี่ดิมเข้าฉากด้วยกันแรกๆ ก็เขิน ไม่ค่อยกล้ามองตากันเท่าไร แต่พอร่วมงานกันบ่อยๆ มันก็ทำให้เราเข้าขากันมากขึ้น สามารถถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างไหลลื่น ไม่เขินอายเท่าไร นอกจากโรแมนติกคอมเมดี้แล้ว แหยมยโสธร 2 ยังมีฉากแอ๊กชั่นสอดแทรก? ก็มีซีนเสือหยองมาปล้นตลาดซึ่งก็ค่อนข้างยิ่งใหญ่นิดนึง คือพ่อเขาจะปิดตลาดเลยเพื่อถ่ายทำ แล้วต้องให้คนไปเซ็ทสถานที่เพื่อให้เหมือนตลาดสมัยโบราณนั้นจริงๆ แล้วฉากนี้มีนักแสดงประกอบเข้าร่วมซีนด้วยเยอะมาก ซึ่งฉากนี้ก็เป็น 1ในฉากที่เอ็มประทับใจ เพราะยอมรับเลยว่าทีมงานเซ็ทตลาดได้เหมือนบรรยากาศสมัยเก่ามาก แล้วนักแสดงทุกคนก็เล่นได้ดี ซึ่งสอดคล้องกับบรรยากาศที่เขาเซ็ทไว้ คือมีผักกระจุยกระจายอยู่บนพื้น มีคนวิ่งหนี มีปืน แล้วฉากนี้ต้องมีตำรวจจริงๆ มาคอยคุมด้วย เพราะมันเป็นฉากที่ต้องใช้อาวุธจริงๆ ร่วมอยู่ในซีนนี้ด้วย พูดถึงความตั้งใจในการทำหนังรักแบบรากหญ้าแบบอีสาน ที่ถึงแม้คนเมืองก็สามารถดูได้ ? อย่างหนึ่งเลยคือการถ่ายทอดภาษาอีสาน เพราะพ่อเป็นคนที่ฉีกแนว ถือได้ว่าเป็นคนแรกเลยก็ว่าได้ที่ทำหนังพูดอีสานทั้งเรื่องแต่มี Sub ไทยอยู่ ซึ่งตอนแรกพ่อเขาก็จะเกร็งๆ กลัวจะไม่โดนเพราะใครเขาจะเข้าใจภาษาอีสาน แต่มันก็โอเคเพราะยังมี Sub ไทยอยู่ ก็ถือว่าประสบความสำเร็จ พอมาภาคสองก็มีอยู่ฉากหนึ่ง เป็นฉากที่คุณพ่อประทับใจ ซึ่งก็คือฉากบุญบั้งไฟ เพราะว่าพ่อไม่สามารถเอาเข้าไปใส่ในภาคแรกได้ เพราะมันไม่สอดคล้องกัน ก็เลยยกมาใส่ในภาคที่ 2 แล้วสถานที่ก็ถ่ายที่จังหวัดยโสธรเลย เพราะว่าจริงๆ แล้วพอเป็นคนรักถิ่นฐานบ้านเกิดถึงได้ตั้งชื่อว่าแหยมยโสธร เพราะถ้าจะไปเซ็ทไปอะไรที่ยโสธรนั้นมันง่าย เพราะพ่อเกิดที่ยโสธร รู้จักคนเยอะ ก็เลยสะดวกสบาย ทำไมแหยมยโสธรถึงเป็นหนังที่ห้ามพลาด? เพราะมันเป็นหนึ่งในหนังที่น่าประทับใจ เพราะไม่เคยมีใครทำหนังอีสาน sub ไทยมาก่อนเป็นหนึ่งในหนังที่แหวกแนว และเป็นหนึ่งในหนังที่คุณเคยประทับใจมาแล้ว มีทั้งความน่ารัก ดราม่า กวนประสาท คือมีหลายๆ อารมณ์รวมกัน อีกอย่างเสน่ห์ของหนังเรื่องนี้คือกลิ่นอายของความเป็นบ้านนอก รวมถึงสีสันของชุด ตัวละคร และภาพที่ดูสวยงาม แล้วภาค 2 ก็ยังคงความเป็นแหยมยโสธรเหมือนภาคแรกเลย เรื่องสีสันอะไรไม่ต้องพูดถึง ส่วนเรื่องฉากบางฉากเอ็มก็ค่อนข้างประทับใจเพราะพี่เขาเซ็ทได้เหมือนจริงมาก อย่างเช่น ฉากกระท่อมสุดคลาสสิคนี้ เซ็ทได้เหมือนจริงมาก ถ้าคนที่ดูอาจจะคิดว่าเป็นของจริง แต่ที่จริงแล้วมันเป็นฉากที่เซ็ท ฝากหนังหน่อย? เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งในหนึ่งในความภาคภูมิใจของพ่อ เพราะว่าพ่อเขาเป็นคนรักถิ่นฐานมาก เรื่องนี้ก็จะสื่ออารมณ์ออกมาได้ชัดเจน เพราะพ่อเป็นคนชอบหนังสไตล์อย่างนี้ ก็ฝากคนดูให้ติดตามชมด้วย เพราะพ่อทุ่มเทและใส่ใจกับเรื่องนี้มากค่ะ ยังไงอย่าลืมติดตามชมนะค่ะ3 ธันวาคม นี้กับ “ แหยมยโสธร 2” ค่ะ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ