กรุงเทพฯ--13 พ.ย.--สามารถคอร์ปอเรชั่น
กลุ่มบริษัทสามารถแจ้งผลประกอบการไตรมาส 3 ประจำปี 2552 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 4,499 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10 เปอร์เซนต์ มีกำไรสุทธิ 139 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 159 เปอร์เซนต์เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิ 54 ล้านบาท เมื่อพิจารณาภาพรวมตลอด 9 เดือนที่ผ่านมา ถือได้ว่าผลประกอบการของกลุ่มฯ อยู่ในเกณฑ์ที่ดีเมื่อเทียบกับภาวะตลาด อีกทั้งภาพรวมตลาดในไตรมาส 4 เริ่มส่อแววดีขึ้น แถมยังมีหลายโครงการใหญ่ที่บริษัทฯ จะเข้าร่วมประมูล จึงมั่นใจว่าผลประกอบโดยรวมของกลุ่มสามารถในปีนี้จะเพิ่มสูงขึ้นจากปี 51 อย่างชัดเจน ทั้งนี้ บมจ. สามารถคอร์ปอเรชั่น และบมจ. สามารถเทลคอม หนึ่งในกลุ่มบริษัทสามารถซึ่งมีกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในไตรมาสนี้ ประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาล หุ้นละ 0.08 บาทและ 0.05 บาทตามลำดับ
นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าแม้จะต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาอย่างต่อเนื่องนับจากปีที่ผ่านมา แต่ด้วยการเตรียมความพร้อมและการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ที่ฉับไว โดยไม่เพียงเน้นการบริหารความเสี่ยงอย่างรอบด้านและการบริหารต้นทุนให้สามารถแข่งขันได้ แต่ทุกสายธุรกิจของกลุ่มสามารถยังคงรุกตลาดและแสวงหาโอกาสในการขยายผลทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เราสามารถฟันฝ่าวิกฤตมาได้และประสบความสำเร็จได้ในระดับที่น่าพอใจ โดยเฉพาะสายธุรกิจไอซีทีโซลูชั่นส์ ซึ่งในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา สามารถพิชิตโครงการใหญ่ มูลค่ารวมแล้วกว่า 7 พันล้านบาท โดยมีโครงการที่รอการประมูลอีกกว่า 2 พันล้านบาท คาดว่าสิ้นปี 52 น่าจะมีมูลค่าโครงการที่ปิดได้ราว 10,000 ล้านบาท จึงมั่นใจว่าผลประกอบการในปี 2552 ของสายธุรกิจไอซีที ภายใต้การนำของบมจ.สามารถเทลคอม จะมีรายได้และผลกำไรสูงกว่าทุกๆ ปีที่ผ่านมา ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายในการสร้างรายได้ประจำและการพัฒนาศักยภาพทางด้าน ICT Technology ให้กับทีมงานสามารถ บริษัทฯ จึงให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเป็น Partner กับบริษัทผู้นำทางด้าน Software และ Technology ในระดับสากล ล่าสุด อยู่ในระหว่างการ Apply เป็น Gold Partner ของ Cisco รวมทั้ง ยังเป็นตัวแทนขายหลักให้แก่ IBM, Nokia Siemens, Alcatel Lucent, SAP และอื่นๆ อีกมากมาย
ส่วนสายธุรกิจโมบาย มัลติมีเดีย เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา สะท้อนได้จากจำนวนโทรศัพท์มือถือที่จำหน่ายได้เกือบ 1 ล้านเครื่องในไตรมาส 3 คาดว่าทั้งปีจะจำหน่ายได้ถึง 3.3 ล้านเครื่อง ส่วนธุรกิจคอนเทนต์ ซึ่งในไตรมาส 3 มีรายได้ทั้งสิ้น 179 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5 เปอร์เซนต์ ก็ยังคงมีแนวโน้มการเติบโตที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในไตรมาส 4 จะมีการเปิดตัวธุรกิจใหม่ คือ บริการขายต่อบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3 G (MVNO) โดยบริษัทวางแผนในการจัดจำหน่ายควบคู่ไปกับอุปกรณ์เครื่องลูกข่าย ที่จะมีการเปิดตัวโทรศัพท์เคลื่อนที่ในระบบ Android Window Mobile เพื่อรองรับการใช้งาน Application ที่หลากหลาย อาทิเช่น Video chat, Video Messaging, Push social network services เป็นต้น ผ่านช่องทางการให้บริการทั้งก่อนและหลังการขายในร้าน i-mobile shop และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ
สรุปผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2552 แยกตามสายธุรกิจ ดังนี้ คือ
สายธุรกิจ ICT Solutions มีรายได้รวมในไตรมาส 3 ปี 52 ทั้งสิ้น 1,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 100 เปอร์เซนต์ โดยมีกำไรสุทธิ 92 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 245 เปอร์เซนต์
สายธุรกิจ Mobile Multimedia ในช่วงไตรมาส 3 ปี 52 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 2,524 ล้านบาท ลดลง 12 เปอร์เซนต์จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ในขณะที่มีกำไรสุทธิ 34 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 89 เปอร์เซนต์ ทั้งนี้เป็นผลจากการรุกตลาดด้วยการเปิดตัวมือถือรุ่นใหม่และการบริหารสินค้าคงคลังอย่างมีประสิทธิภาพ
สายธุรกิจเทคโนโลยีอื่นๆ มีรายได้รวมทั้งสิ้น 540 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10 เปอร์เซนต์ กำไรสุทธิ 54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 100 เปอร์เซนต์ ทั้งนี้ ไม่เพียงเพราะผลประกอบการที่ดีอย่างสม่ำเสมอของบริษัท แคมโบเดีย แอร์ ทราฟฟิค เซอร์วิสเซส จำกัด และบริษัท กัมปอด เพาเวอร์แพลนท์ จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจอยู่ที่ประเทศกัมพูชา แต่ บจก.สามารถวิศวกรรม บจก.วิชั่นแอนด์ ซิเคียวริตี้ รวมทั้ง บจก. วันทูวัน คอนแทคส์ ก็มีรายได้เพิ่มสูงขึ้นในไตรมาสนี้เช่นกัน
นายวัฒน์ชัย กล่าวถึงเป้าหมายทางธุรกิจของกลุ่มสามารถในอนาคตว่า บริษัทฯ จะพยายามทุกทางในการก้าวสู่ความเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีของไทย ปัจจุบัน เราเป็นกูรูทางด้านการสื่อสารและโทรคมนาคม รวมทั้งการเป็นผู้บุกเบิกมือถือแบรนด์ไทย และการให้บริการคอนเท้นท์เต็มรูปแบบ ก้าวต่อไปของสามารถ นอกจากจะสร้างรากฐานที่มั่นคงยิ่งขึ้นให้กับธุรกิจในปัจจุบันแล้ว เรายังคงศึกษาทางด้านเทคโนโลยีและความเป็นไปได้ในการลงทุนธุรกิจใหม่ๆ ซึ่งจะส่งผลต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยในวงกว้าง