กรุงเทพฯ--11 ธ.ค.--คต.
นายวิจักร วิเศษน้อย อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ(คต.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายของอียู กำหนดให้ระบุประเทศแหล่งที่มา (Origin Marking) ของสินค้าอุตสาหกรรม มีเพียงกฎหมายที่บังคับใช้กับสินค้าเกษตรบางประเภทเท่านั้น ซึ่งในช่วงต้นปี 2549 มีข่าวเรื่องอียูจะออกมาตรการกำหนดให้สินค้านำเข้าจากประเทศนอกอียูต้องติดป้าย Made in แสดงประเทศแหล่งผลิตสินค้า เช่น เสื้อผ้า สิ่งทอ รองเท้า เครื่องหนัง อัญมณี เซรามิก เครื่องแก้ว และเฟอร์นิเจอร์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลแก่ผู้ซื้อสินค้า ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการยุโรปได้ส่งเรื่องต่อให้คณะมนตรียุโรปรับรองเป็นระเบียบ แต่คณะมนตรีฯ ได้หยุดเรื่องดังกล่าวไว้ เนื่องจากประเทศสมาชิกหลายประเทศมีความเห็นคัดค้าน
ล่าสุดเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2552 สภายุโรปได้ลงมติเห็นชอบ เรียกร้องให้เปิดกระบวนการผ่านข้อเสนอร่างระเบียบ Origin Marking หรือระเบียบ Made In ขึ้นมาอีกครั้ง และให้เป็นการตัดสินใจแบบ Co Decision Procedure ระหว่างสภายุโรปและคณะมนตรียุโรป โดยคาดว่าจะเริ่มกระบวนการพิจารณาและรับรองร่างระเบียบใหม่ดังกล่าวในปี 2553 ทั้งนี้ สภาฯ จะยึดร่างระเบียบฉบับเดิมที่คณะกรรมาธิการยุโรปเสนอเป็นแม่แบบ และพร้อมจะเจรจากับคณะมนตรียุโรปว่าควรจะลดหรือเพิ่มสินค้าประเภทใดบ้างหรือไม่ โดยสภาฯ ต้องการเพิ่มสินค้าบางประเภท เช่น Screw and Bolts และเห็นว่าหากจะมีการลดสินค้า บางประเภท ก็ไม่ควรลดสินค้าสำคัญ เช่น สิ่งทอ รองเท้า อัญมณีและเซรามิก
อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศกล่าวเพิ่มเติมว่า หากกฎระเบียบเรื่องการกำหนดให้ติดป้าย Made In ของอียูเพื่อแสดงแหล่งผลิตสินค้ามีผลใช้บังคับ ผู้ส่งออกไทยจะต้องปฏิบัติตามเพื่อให้สินค้าสามารถส่งเข้าไปจำหน่ายในอียูได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องติดตามต่อไป
ที่มา : คณะผู้แทนไทยประจำประชาคมยุโรป