กรุงเทพฯ--14 ธ.ค.--เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป
ข้อมูลงานสร้าง
เบื่อมั้ยกับการที่มีคนมาคอยบอกคุณว่าคุณกินอะไรได้หรือไม่ได้ ผิดหวังมั้ยที่คุณต้องทนกินอาหารที่จำเจซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกวี่ทุกวัน จนต้องเฝ้ารอคอยวันที่คุณสามารถสั่งอะไรก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ที่คุณต้องการ การรอคอยที่ว่าสิ้นสุดลงแล้วล่ะ ในปี 2009 เตรียมพบกับ Cloudy with a Chance of Meatballs การผจญภัยสุดฮา…ขนาดพอดีคำ ภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากหนังสือสำหรับเด็กชื่อดังบอกเล่าเรื่องราวของเมืองแห่งหนึ่งที่ซึ่งอาหารตกลงมาจากท้องฟ้าราวกับสายฝน!
ฟลินท์ ล็อควู้ด นักประดิษฐ์สติเฟื่องเป็นอัจฉริยะรักสันโดษที่อยู่เบื้องหลังสิ่งประดิษฐ์พิลึกพิลั่นหลายชิ้น และถึงแม้ว่าสิ่งประดิษฐ์ทุกชิ้นของเขา นับตั้งแต่รองเท้าพ่นสเปรย์ไปจนถึงเครื่องแปลความคิดลิงจะเป็นสิ่งที่ล้มเหลวไม่เป็นท่า ที่สร้างความวุ่นวายให้กับเมืองเล็กๆ ของเขา ฟลินท์ก็ยังคงมุ่งมั่นอยู่กับการสร้างสิ่งประดิษฐ์ที่จะทำให้คนมีความสุข เมื่อเครื่องจักรชิ้นล่าสุดที่ฟลินท์ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อเปลี่ยนน้ำให้กลายเป็นอาหารได้ทำลายจัตุรัสของเมืองโดยบังเอิญและพุ่งตัวขึ้นไปอยู่ในหมู่เมฆ เขาก็คิดว่าอาชีพนักประดิษฐ์ของตัวเองจบเห่แล้ว จนกระทั่งบางสิ่งที่น่าอัศจรรย์ได้บังเกิดขึ้น ชีสเบอร์เกอร์เริ่มตกลงมาจากฟากฟ้า สิ่งประดิษฐ์ของเขาได้ผลจริงๆ! เครื่องผลิตอาหารเครื่องนี้ประสบความสำเร็จในทันที และฟลินท์ก็ได้สานสายสัมพันธ์กับแซม สปาร์คส์ สาวนักพยากรณ์อากาศผู้มาเยือนเมืองแห่งนี้เพื่อติดตามสิ่งที่เธอเรียกว่าเป็น “ปรากฏการณ์ทางดินฟ้าอากาศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์” แต่เมื่อคนโลภมากอยากได้อาหารมากขึ้นเรื่อยๆ เครื่องจักรก็เริ่มรวน และปล่อยทอร์นาโดสปาเก็ตตี้และลูกชิ้นยักษ์ออกมา เมื่อเมืองกำลังจะถูกฝังอยู่ใต้ภูเขามาร์ชเมลโลว์และคลื่นแตงโม ก็เป็นหน้าที่ของฟลินท์และแซมที่จะใช้ความสามารถของพวกเขาในการหยุดการทำงานของสิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้และทำให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง
โคลัมเบีย พิคเจอร์ส ภูมิใจเสนอภาพยนตร์โดยโซนี พิคเจอร์ส อนิเมชัน Cloudy with a Chance of Meatballs ภาพยนตร์เรื่องนี้พากย์เสียงโดยบิลล์ เฮเดอร์, แอนนา ฟาริส, เจมส์ คาน, แอนดี้ แซมเบิร์ก, บรูซ แคมป์เบล, มิสเตอร์ที, บ็อบบี้ เจ. ธอมป์สัน, เบนจามิน แบรทท์, นีล แพทริค แฮร์ริส, อัล โรเกอร์, ลอเรน เกรแฮมและวิลล์ ฟอร์เต้ ภาพยนตร์เรื่องนี้เขียนบทและกำกับโดยฟิล ลอร์ดและคริสโตเฟอร์ มิลเลอร์ อำนวยการสร้างโดยแพม มาร์สเดน สร้างขึ้นจากหนังสือโดยจูดี้ บาร์เร็ตต์และวาดภาพประกอบโดยรอน บาร์เร็ตต์ ควบคุมงานสร้างโดยแยร์ ลันเดา ดนตรีโดยมาร์ค มาเธอร์สโบห์ ภาพและอนิเมชันโดยโซนี พิคเจอร์ส อิเมจเวิร์คส์, อิงค์.
เกี่ยวกับภาพยนตร์
Cloudy with a Chance of Meatballs โดยโซนี พิคเจอร์ส อนิเมชัน เริ่มต้นการเดินทางในปี 1978 ด้วยการเป็นหนังสือสำหรับเด็กที่เขียนโดยจูดี้ บาร์เร็ตต์และวาดภาพประกอบโดยรอน บาร์เร็ตต์ ซึ่งในตอนนี้มียอดตีพิมพ์กว่าหนึ่งล้านก็อปปี้ ด้วยสไตล์เปี่ยมเสน่ห์และสร้างสรรค์ อารมณ์ขันแปลกประหลาดและเนื้อเรื่องมหัศจรรย์พันลึกเกี่ยวกับเมืองที่มีอาหารตกลงมาจากฟากฟ้า ทำให้เป็นเรื่องแน่นอนว่าหนังสือเล่มนี้จะต้องถูกสร้างเป็นภาพยนตร์อนิเมชัน หากแต่ก็ไม่มีใครสามารถทำได้จนกระทั่งผู้กำกับ/มือเขียนบทฟิล ลอร์ดและคริสโตเฟอร์ มิลเลอร์ได้ผ่านเข้ามาและพบแรงบันดาลใจจากสิ่งที่แน่นอนอยู่แล้ว ซึ่งก็คือตัวหนังสือเอง
“มันเป็นหนังสือสุดฮาที่สร้างแรงบันดาลใจให้เราครับ” มิลเลอร์กล่าว พลางตั้งข้อสังเกตว่า มันเป็นหนังสือที่พวกเขาโปรดปรานสมัยเด็กๆ “หนังที่เราเขียนบทเริ่มต้นจากโครงสร้างโดยรวมของหนังสือเล่มนี้ ที่มีเมืองแห่งหนึ่ง ซึ่งมีอาหารร่วงลงมาเหมือนฝน แต่มันกลับสร้างปัญหาใหญ่หลวงให้กับชาวเมือง และเราก็ต่อยอดจากตรงนั้น เราต้องหาที่มาก่อนว่าเมืองนี้กลายเป็นเมืองชูว์แอนด์สแวลโลว์ได้อย่างไร พร้อมกับติดตามคู่หูตัวละครที่ไม่เหมือนเรื่องอื่นในการผจญภัยสุดพิลึกนี้ครับ”
“เราคิดกันว่า ว้าว มันน่าจะเป็นหนังแอ็กชันเยี่ยมๆ ได้นะเนี่ย” ลอร์ดเล่า “เหตุการณ์ทั้งหมดในหนังเรื่องนี้จะเป็นอะไรที่ไร้สาระมากๆ แต่พวกตัวละครก็จะมองมันอย่างซีเรียสมากๆ ด้วย” และคุณก็จะมองมันอย่างซีเรียสเช่นกันถ้าเกิดทอร์นาโดสปาเก็ตตี้ยักษ์ตรงเข้าถล่มเมืองคุณ เหมือนกับที่มันทำกับเมืองชูว์แอนด์สแวลโลว์
Cloudy with a Chance of Meatballs นำเสนอความสนุกสนานและความวุ่นวายโกลาหลขั้นสุดยอดที่เกิดจากอาหาร
“ฉันคิดเสมอว่านี่น่าจะเป็นหนังอนิเมชันเยี่ยมๆ ได้ และกลับกลายเป็นว่าโซนี พิคเจอร์ส อนิเมชันก็คิดเหมือนกับฉันค่ะ” จูดี้ บาร์เร็ตต์ ผู้เขียนหนังสือต้นฉบับกล่าว “แม้ว่ามันจะต้องอาศัยการยืดเรื่อง แต่พวกเขาก็มองเห็นความเป็นไปได้ที่วิเศษสุดทั้งหลายของมันในตัวละครและพล็อต ถ้าคุณเป็นแฟนหนังสือเรื่องนี้ล่ะก็ คุณก็จะจดจำภาพที่น่าจดจำต่างๆ ที่คุณชื่นชอบในหนังเรื่องนี้ได้ และผลที่ได้ก็น่าตื่นตาตื่นใจ มันเป็นสิ่งที่น่าตกตะลึงทีเดียวเชียวล่ะค่ะ”
หนึ่งในความเปลี่ยนแปลงที่ทีมงานสร้างได้เลือกให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้คือลุคของเรื่องราวเอง ถึงแม้ว่าภาพประกอบดั้งเดิมของรอน บาร์เร็ตต์จะมหัศจรรย์ สดใสเพียงใด ทีมผู้สร้างก็รู้สึกว่าภาพยนตร์ฉบับเต็มควรจะใช้วิธีการที่ต่างออกไป พวกเขาได้ใช้ภาพวาดประกอบหนังสือของมิโรสลาฟ ซาเซ็ค ผู้ซึ่งซีรีส์หนังสือในยุค 50s ของเขา (ซึ่งรวมถึง This is Paris, This is London, This is New York, และ ฯลฯ) นำเสนอสไตล์ภาพกราฟฟิคสมัยใหม่ เป็นแรงบันดาลใจ นอกจากนี้ ทีมผู้สร้างยังได้แรงบันดาลใจจากพวกมัพเพ็ทส์ ที่มีอากัปกิริยาเกิยขนิ
และไร้สาระ ในการกำหนดวิธีการเคลื่อนไหวตัวละครของพวกเขา “ไอเดียสำหรับหนังเรื่องนี้มันไร้สาระมากจนเรารู้สึกว่าเราอยากจะให้ลุคมันไร้สาระไปด้วย” มิลเลอร์กล่าว “อนิเมชันมักต้องอาศัยการออกท่าทางที่มากเกินความจำเป็นเพื่อถ่ายทอดอารมณ์ของซีนนั้นๆ เราก็เลยอาศัยลุค ที่มีทั้งดวงตากลมโต ปากใหญ่ สีหน้าท่าทางเกินจริง ที่ขับเน้นความรู้สึกของเรื่องให้รุนแรงยิ่งขึ้นครับ”
แต่ก็ดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมชาติที่ทีมผู้สร้างจะแสดงความเคารพต่อหนังสือต้นฉบับด้วยการจำลองภาพที่เป็นที่จดจำที่สุดจากหนังสือ ทั้งแบบเยลลียักษ์ ภาพแพนเค้กยักษ์ที่ตั้งตระหง่านเหนือโรงเรียน แซนด์วิชบนเรือ และภาพอื่นๆ อีกมากมายได้ปรากฏในภาพยนตร์เรื่องนี้ขณะที่ทีมผู้กำกับ/มือเขียนบทได้สร้างเรื่องราวใหม่ขึ้นมาจากภาพต่างๆ เหล่านั้น
ในการสร้างเรื่องราวใหม่สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ ทีมผู้สร้างยังได้คิดตัวละครใหม่ๆ ขึ้นมาอีกด้วย ตัวเอกของ Cloudy with a Chance of Meatballs คือฟลินท์ ล็อควู้ด นักประดิษฐ์ผู้อยากจะคิดค้นสิ่งที่ทำให้ผู้คนมีความสุข และเมืองของฟลินท์ก็ไร้สุข จากการที่โรงงานทำปลากระป๋องซาร์ดีนต้องปิดตัวลง พวกเขาก็ต้องกินแต่เศษซาร์ดีนเหลือๆ ฟลินท์จึงได้คิดสิ่งประดิษฐ์เพื่อแก้ไขปัญหานั้น มันคือเครื่องจักรที่สามารถเปลี่ยนน้ำให้กลายเป็นอาหารได้ และเมื่อมันทำงานได้จริงๆ “จากการเป็นแกะดำ ฟลินท์ก็กลายเป็นฮีโรของเมืองไปในทันที” มิลเลอร์บอก “และฟลินท์ก็ชื่นชอบความรู้สึกนี้” ลอร์ดกล่าว “ทำนองว่า ‘ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องเป็นแบบนี้ แต่มันก็เยี่ยมดีนะ!’ และแน่นอนครับว่า ทุกอย่างก็เริ่มดิ่งลงเหว…”
แนะนำตัวละคร
ฟลินท์ ล็อควู้ด: ตั้งแต่เด็กๆ ฟลินท์ ล็อควู้ดก็เฝ้าฝันที่จะประดิษฐ์สิ่งที่จะสร้างให้เกิดความแตกต่างในชีวิตคน โชคร้ายที่สิ่งประดิษฐ์พิลึกพิลั่นของเขา (ซึ่งรวมถึงสเปรย์ฉีดรองเท้า เครื่องปลูกผมและเครื่องแปลความคิดลิง) ได้แต่สร้างปัญหาให้กับเขา พ่อแม่ของเขาและเมืองสแวลโลว์ ฟอลส์ บ้านเกิดของเขา แต่ชายหนุ่มผู้มองโลกในแง่ดีผู้นี้ก็ไม่เคยทิ้งเป้าหมายสูงสุดในชีวิต และบัดนี้ สิ่งประดิษฐ์ชิ้นล่าสุดของเขา เครื่องจักรที่เปลี่ยนน้ำให้กลายเป็นอาหารได้ ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของทุกคนในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ไปในทางที่ดีขึ้น ฟลินท์ดีใจจนเนื้อเต้น แต่เขาก็รู้สึกสงสัยตะหงิดๆ ว่ามันอาจจะเกิดความผิดพลาดขึ้นเหมือนเคยนั่นแหละ…บิลล์ เฮเดอร์ พากย์เสียง ฟลินท์
บิล เฮเดอร์ ขาประจำรายการ “Saturday Night Live” ผู้เพิ่งรับบทนายพลคัสเตอร์ใน Night at the Museum II: Battle of the Smithsonian พากย์เสียงฟลินท์ “บิลล์มีเสียงที่ทุ้มนุ่มเหมือนแอ็กชันฮีโร แต่เขาก็ยังสามารถถ่ายทอดออกมาได้ด้วยว่าฟลินท์เป็นชายขี้อายที่ไม่รู้วิธีจะคุยกับสาวๆ มีแต่บิลล์เท่านั้นที่สามารถแสดงออกถึงทั้งสองด้านของฟลินท์ ทั้งความเป็นฮีโรและความเปราะบางนั้นน่ะครับ” ลอร์ดกล่าว
มิลเลอร์กล่าวเสริมว่า “บิลล์มีชื่อเสียงทางด้านระดับเสียงที่น่าทึ่งของเขา และสิ่งที่พิเศษสุดในการพากย์ของเขาคือเขาสามารถทำเสียงตลกและจริงใจได้พร้อมๆ กันครับ”
เฮเดอร์เข้าใจดีว่าอะไรที่ทำให้ตัวละครนี้เวิร์ค “ฟลินท์ก็เหมือนคนอื่นๆ ที่อยากให้คนอื่นชื่นชอบ” นักแสดงหนุ่มกล่าว “เขาเป็นคนเข้าสังคมไม่เก่ง เขาก็เลยคิดว่าเขาต้องทำอะไรยิ่งใหญ่ ซึ่งก็คือการประดิษฐ์ของที่จะทำให้ทุกคนมีความสุข เขาคิดว่าเขาจะต้องพิสูจน์ตัวเอง แต่สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือคนชอบเขาที่ตัวเขาครับ”
แซม สปาร์คส์: แซมเป็นเด็กสาวน่ารัก กระตือรือร้น ที่ฝึกงานที่สถานีพยากรณ์อากาศ เธอฝันที่จะได้เป็นนักพยากรณ์อากาศทางโทรทัศน์มาโดยตลอด เธอเริ่มโด่งดังเมื่อเธอได้เห็น และรายงาน หนึ่งในเรื่องราวเกี่ยวกับสภาพดินฟ้าอากาศที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งก็คือฝนชีสเบอร์เกอร์! ยิ่งเครื่องจักรผลิตอาหารของฟลินท์สร้างอาหารที่เอร็ดอร่อยมากขึ้นเรื่อยๆ แซมก็ยิ่งโด่งดังเป็นพลุแตก ทุกอย่างเพอร์เฟ็กต์จวบจนแซมได้คาดการณ์ถึงพายุอาหารลูกใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น มีเพียงแซมเท่านั้นที่สามารถช่วยฟลินท์หยุดเครื่องจักรที่หลุดนอกการควบคุมนี้ได้ แต่การทำเช่นนั้นก็เป็นการเสี่ยงที่เธออาจจะเผยแง่มุมของตัวเองที่เธอซ่อนเร้นจากคนทั้งโลก และอาจหมายถึงว่าเธอจะต้องทิ้งความฝันของตัวเองไป แอนนา ฟาริสพากย์เสียงแซม
“แอนนาเป็นผู้หญิงที่น่ารัก และมีเสน่ห์มากครับ” ลอร์ดกล่าว “ไม่เพียงแต่เธอจะทำให้ตัวละครนี้ดูมีเสน่ห์ น่ารักและสนุกสนานแล้ว แอนนายังเล่ามุกได้ดีอีกด้วย เธอมีน้ำเสียงที่น่าทึ่งจริงๆ”
“สมัยเธอยังเด็ก แซมชื่นชอบวิทยาศาสตร์ เธอเป็นคนฉลาดมากและมักจะถูกล้อเรื่องนี้บ่อยๆ” มิลเลอร์บอก “เธอก็เลยปิดบังเรื่องนี้ ด้วยความที่เธอเป็นคนสวยมาก การทำเรื่องนี้ก็เลยเป็นเรื่องง่าย แค่ปิดบังตัวเอง แกล้งทำเป็นคนโง่ เพื่อที่จะได้ไม่มีคนล้อเธออีกน่ะครับ”
ปัญหาก็คือ แซมไม่สามารถอำพรางความตื่นเต้นของเธอในเรื่องเกี่ยวกับดินฟ้าอากาศได้เลย ซึ่งมันมักจะออกมาในรูปแบบการโพล่งออกมาอย่างตื่นเต้น และแซมก็เรียนรู้ที่จะยอมรับตัวตนของตัวเองเพราะฟลินท์
“เธอกลัวที่จะเป็นตัวของตัวเอง” ฟาริสบอก “แต่เธอชอบเรื่องดินฟ้าอากาศและวิทยาศาสตร์ แล้วเมื่อเธอได้พบกับฟลินท์ งานของเธอก็กลายเป็นงานในฝัน เธอรู้สึกเหมือนตัวเองได้ขึ้นสวรรค์ ซึ่งมันก็ช่วยดึงเธอออกจากเปลือกค่ะ”
ปฏิกิริยาเคมีระหว่างเฮเดอร์และฟาริสก็ปรากฏชัดเจน “พวกเขาได้บันทึกเสียงด้วยกัน และการได้ดูทั้งคู่พากย์เสียงด้วยกันก็สนุกมากค่ะ” ผู้อำนวยการสร้างแพม มาร์สเดนกล่าว
ทิม ล็อควู้ด: ทิมเป็นคุณพ่อหัวโบราณที่กลัวเทคโนโลยีขึ้นสมองของฟลินท์ เขารักลูกชายและพยายามจะเป็นคุณพ่อที่ให้กำลังใจลูก แต่เขารู้จักวิธีการสื่อสารแค่ด้วยการใช้คำเปรียบเทียบกับการตกปลา ซึ่งฟลินท์ไม่เข้าใจเลยซักนิด เมื่อเครื่องจักรผลิตอาหารมหัศจรรย์ของฟลินท์เปลี่ยนเขาให้กลายเป็นฮีโรของคนทั้งเมือง ทิมก็ห่วงว่าทุกอย่างจะลงเอยด้วยหายนะ เหมือนสิ่งประดิษฐ์ชิ้นอื่นๆ ก่อนหน้านี้ของฟลินท์ เมื่อฟลินท์สูญเสียศรัทธาในตัวเองแล้ว ทิมถึงได้ก้าวเข้ามาแสดงให้ลูกชายของเขาได้เห็นว่าเขารักและชื่นชมเขามากแค่ไหน เจมส์ คานพากย์เสียงตัวละครตัวนี้
“ผมอยากทำให้ทิมเป็นคนราบเรียบ มีระเบียบแบบแผน เขามีร้านของเขา และซาร์ดีน เพียงเท่านั้นครับ” คานกล่าว “แบบพวกเราล้วนแล้วแต่มีแบบแผนหรือนิสัยติดตัวกันทั้งนั้น พอคุณทำแบบนั้นนานพอ การจะเลิกทำก็ยากเสียแล้ว ผมก็เลยมองเห็นได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างทิมและฟลินท์เป็นแบบนั้นได้ยังไง”
สตีฟ: สตีฟ ลิงที่ฟลินท์เลี้ยงไว้ เป็นเพื่อนร่วมงาน ที่สนิทที่สุด (เพียงหนึ่งเดียว) และได้รับความไว้วางใจที่สุด (เพียงหนึ่งเดียว) ของฟลินท์ ด้วยความเชื่อว่ามนุษยชาติจะพัฒนาขึ้นหากมนุษย์สามารถเข้าใจความคิดฉลาดๆ และลึกซึ้งของสัตว์ได้ ฟลินท์จึงประดิษฐ์เครื่องแปลความคิดลิงขึ้นมา โชคร้ายที่ความคิดเดียวในสมองลิงของสตีฟคือ “หิว! หิว! หิว! หิว!” แต่สตีฟและฟลินท์ก็ยังคงมีสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นต่อกัน และเมื่อฟลินท์จะต้องกอบกู้โลกจากเครื่องจักรผลิตอาหารที่ไม่อาจควบคุมได้ของเขา สตีฟก็ได้พิสูจน์ตัวเองว่าเขาเป็นไซด์คิกที่ไม่กลัวตายขนาดไหน นีล แพทริค แฮร์ริสพากย์เสียงลิงตัวนี้ ใช่ คุณอ่านถูกแล้วล่ะ นีล แพทริค แฮร์ริสมาพากย์เสียงลิงให้เรา
“มันเป็นทางแก้ปัญหาเพียงอย่างเดียวครับ การให้นักแสดงชั้นนำมาพูดคำพยางค์เดียว ซึ่งไม่มีใครที่ทำได้ดีไปกว่านีล แพทริค แฮร์ริสอีกแล้ว” ลอร์ดกล่าว การเลือกแฮร์ริสเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างแฮร์ริสกับทีมผู้สร้างหลังจากที่ได้ร่วมงานกันใน “How I Met Your Mother?” รึเปล่า? “เป็นไปได้ แต่ไม่น่าจะใช่ครับ” มิลเลอร์กล่าว
“สตีฟเป็นลิงมือขวาของฟลินท์ ฟลินท์ได้สร้างเครื่องแปลความคิดให้สตีฟสวมรอบคอ แต่ด้วยความที่สตีฟเป็น ก.ลิง และข. ไม่ฉลาดนัก เขาก็เลยไม่มีอะไรจะพูดซักเท่าไหร่ เขาพูดแบบเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมาเรื่อยๆ ครับ!” แฮร์ริสกล่าวติดตลก
“ผมเป็นนักแสดงเมธอดครับ” เขากล่าวต่อ “ผมอยากจะรู้ว่า ลิงที่ไม่ฉลาดนักจะพูดว่า ‘หิว’ ‘โง่’ ‘ตรง’ ‘ว่างเปล่า’ ‘ดัง’ ยังไง ไม่มีใครตอบคำถามผมได้เลยล่ะครับ”
นายกเทศมนตรีเชลบอร์น: นายกเทศมนตรีที่สนใจแต่เรื่องของตัวเอง แห่งเมืองสแวลโลว์ ฟอลส์ เมืองเล็กๆ ของฟลินท์ เขารู้ถึงสิ่งดีๆ เมื่อเขามองเห็นมัน และห่าฝนชีสเบอร์เกอร์แสนอร่อยก็เป็นของดีแน่ๆ เขาเกลี้ยกล่อมฟลินท์ให้มันตกเป็นเวลาสามมื้อต่อวัน ทำให้เขาเปลี่ยนเมืองสแวลโลว์ ฟอลส์ ที่ขึ้นชื่อเรื่องปลากระป๋องซาร์ดีนให้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวชูว์แอนด์สแวลโลว์ที่ฝนตกลงมาเป็นอาหารแทน แต่ไม่นานนัก ท่านนายกเทศมนตรีก็ใช้งานเครื่องจักรของฟลินท์หนักเกินไป ทำให้เกิดความวุ่นวายจากอาหารชนิดที่เป็นภัยร้ายคุกคามเมือง…หรืออาจจะเป็นโลกนี้ด้วยซ้ำไป บรูซ แคมป์เบลให้เสียงพากย์บทนี้
“ผมสนุกกับการเล่นบทคนหลงตัวเองเสมอครับ” แคมป์เบลกล่าว “คนที่คิดว่าเขาฉลาด ดีกว่า หล่อกว่าที่ตัวเองเป็นอยู่น่ะครับ พวกเขามักจะพลาดเสมอ ปกติแล้ว พวกเขาจะเป็นคนโง่ที่จะโง่น้อยลงในตอนจบ แต่นายกเทศมนตรีคนนี้กลับกลายเป็นคนที่โง่มากขึ้นในตอนจบครับ”
แล้วเขาจะพากย์เสียงบทนี้ยังไงล่ะ “เขามีความเป็นคนขี้อวด และความเป็นเซลส์แมนขายรถนิดๆ ครับ” แคมป์เบลกล่าว “จริงๆ แล้ว ภาพผมตอนบันทึกเสียงสำหรับบทนี้คงจะดูแปลกน่าดู ผมเพิ่งจะทำเอ็นร้อยหวายตัวเองขาดไปในอุบัติเหตุ ในเซสชันแรก ผมก็เลยต้องนั่งเก้าอี้ โดยมีก้อนน้ำแข็งวางอยู่ใต้ขา แล้วผมก็ยัดทิชชูเข้าไปในปากเพื่อทำให้เสียงตัวเองเหมือนคนอ้วนน่ะครับ”
“เบบี้” เบรนท์: เบรนท์เป็นคนที่โด่งดังที่สุดในสแวลโลว์ ฟอลส์ ตอนที่เขาเป็นเด็กแบเบาะ เขาได้ถ่ายแบบให้กับผลิตภัณฑ์ส่งออกเพียงอย่างเดียวของสแวลโลว์ ฟอลส์ ซึ่งก็คือปลาซาร์ดีนส์ และเมื่อเขาโตขึ้น เบรนท์ก็ยังใช้ชีวิตภายใต้เงาชื่อเสียงที่เขาสั่งสมมาในตอนเด็ก ถึงขนาดที่เขาถ่ายแบบ ขณะใส่ผ้าอ้อม สำหรับกิจกรรมพิเศษที่จัดขึ้นในเมืองแห่งนี้ด้วยซ้ำไป แต่โลกของเบรนท์ก็ถล่มลงมาเมื่อเครื่องจักรผลิตอาหารของฟลินท์ได้ทำให้เขาเป็นฮีโรคนใหม่ของเมือง เมื่อรัศมีดาราของเขาหม่นหมองไปแล้ว เบรนท์จะพบจุดมุ่งหมายใหม่ในชีวิตรึเปล่านะ แอนดี้ แซมเบิร์ก พากย์เสียงนี้
เขาจะพูดถึงดาวเด่นที่สว่างไสวที่สุดของสแวลโลว์ ฟอลส์ (อย่างน้อยที่สุดก็ในความคิดเจ้าตัวน่ะนะ) ว่ายังไงบ้างนะ “เบรนท์เป็นคนน่าสมเพชครับ คือผมพูดในเชิงดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้แล้วนะครับ” แซมเบิร์กบอก “เขาเป็นนักแสดงเด็กและเป็นมาสค็อทของปลาซาร์ดีนที่พวกเขาเคยผลิตได้ในสแวลโลว์ ฟอลส์ เขากลายเป็นคนดังในท้องถิ่นนั้นและเป็นฮีโรของเมือง แต่ตอนนี้เขาโตแล้ว และเขาก็เป็นตัวงั่งที่ตัวโตที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์เลยครับ พอผมได้เห็นว่าเขาจะมีหน้าตาเป็นยังไง ผมก็คิดในใจเลยว่า ‘แจ็คพ็อตเลย หมอนี่พิลึกสุดๆ’ เขาสวมชุดวอร์มทั้งตัวเลย เขาเป็นคนงั่งสมบูรณ์แบบครับ”
เอิร์ล เดอเวอโรซ์: เอิร์ลเป็นตำรวจที่หวงแหนเมืองนี้ยิ่งนัก เขายืนกรานให้ทุกคนปฏิบัติตามกฎหมาย แต่เอิร์ลก็มีจุดอ่อนอยู่ที่ แคล “ลูกชายที่น่ารักเหมือนเทวดา” ของเขา และให้ทุกอย่างที่เขาต้องการกับเขา เมื่อเครื่องจักรผลิตอาหารเริ่มรวน สิ่งที่แคลต้องการกลับกลายเป็นจังค์ฟู้ดทุกชนิดที่เขาสามารถกินได้ ท้ายที่สุดแล้ว การเลี้ยงแคลแบบตามใจของเอิร์ลก็ทำให้แคลต้องตกอยู่ในอันตราย และเขาก็ได้เรียนรู้ว่าคุณไม่สามารถจะให้ทุกอย่างที่ลูกต้องการแก่เขาได้ แต่เมื่อฟลินท์ได้เห็นความรักที่ไร้เงื่อนไขที่เอิร์ลมีต่อแคลแล้ว เขาก็อยากจะให้พ่อเขาเป็นแบบเดียวกัน จะมีใครนอกจากมิสเตอร์ทีที่จะพากย์เสียงบทนี้ได้? ก็ไม่มีน่ะสิ บ้ารึเปล่า
มิสเตอร์ทีถ่ายทอดถึงแง่มุมทั้งสองด้านของเอิร์ล “สำหรับเด็กๆ แล้ว ตัว t คือ ‘tender (อ่อนโยน)’ แต่สำหรับพวกคนเลวหรือผู้ร้ายแล้ว ตัว t จะแทนคำว่า ‘tough (แข็งแกร่ง)’ ครับ” มิสเตอร์ทีกล่าว “ผมดูแข็งแกร่งและทำตัวแข็งแกร่ง แต่ผมก็เป็นเพียงแค่ตุ๊กตาหมีตัวใหญ่เท่านั้นเองครับ”
มิสเตอร์ทีขึ้นชื่อในเรื่องการเตรียมพร้อมในการแสดงของเขา และบทเอิร์ลก็ไม่มีข้อยกเว้น “ก่อนที่ผมจะเริ่มงาน ผมก็จะเริ่มวอร์มเพื่อเตรียมพร้อม มันไม่เหมือนกับใน ‘The A-Team’ ที่ผมได้ผลักคนจริงๆ ผมไม่ได้ผลักใครในบูธเลยครับ แต่คุณก็ยังจะต้องฟิต ยืดหยุ่นตัวเอง ไม่อย่างนั้นคุณก็อาจจะบาดเจ็บได้ ผมก็เลยเตรียมพร้อมครับ”
“ผมไม่แน่ใจว่าตัวละครนี้เป็นตัวแทนที หรือทีเป็นตัวแทนตัวละครตัวนี้กันแน่” ลอร์ดกล่าว “พวกเขาทั้งคู่ต่างก็มีความรักมากมาย เป็นคนจริงจัง และพวกเขาต่างก็เป็นฮีโรตัวจริงครับ”
“ในทางกลับกัน” มิลเลอร์บอก “ทีไว้ผมทรงโมฮอว์ค ส่วนเอิร์ลหัวล้าน ถ้าพูดกันเรื่องนี้ พวกเขาก็ตรงกันข้ามกันสุดขั้วเลยครับ”
แคล เดอเวอโรซ์: แคลเป็นลูกชายตัวน้อยน่ารักของ เอิร์ล ตำรวจชั้นยอดแห่งสแวลโลว์ ฟอลส์ และเรจินา ภรรยาของเขา เอิร์ลและเรจินารักแคลมากจนพวกเขาไม่อยากจะจำกัดอะไรเขาทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่ว่าแคลควรจะกินอาหารอร่อยๆ จากเครื่องจักรผลิตอาหารของฟลินท์ ล็อควู้ดมากแค่ไหน ซึ่งท้ายที่สุดแล้วมันก็ทำให้พวกเขาได้เรียนรู้ถึงอันตรายของการกินมากเกินไป แคลพากย์เสียงโดยบ็อบบี้ เจ. ธอมป์สัน
“ผมคิดอยู่ว่าผมควรจะใช้เสียงจริงๆ ของผมหรือเสียงอื่นดี” ธอมป์สันกล่าว “แล้วผมก็คิดว่า ‘แคลเป็นเด็กดีครับ เขาเป็นเด็กตัวน้อยสุดเจ๋ง และผมก็เป็นเด็กตัวน้อยสุดเจ๋งเหมือนกัน งั้นผมใช้เสียงตัวเองดีกว่า’ น่ะครับ”
แมนนี: แมนนีเป็นช่างกล้องซื่อบื้อของแซม ผู้ติดตามเธอไปยังสแวลโลว์ ฟอลส์ เพื่อถ่ายทำฟุตเตจที่ทำให้แซมและฟลินท์กลายเป็นคนดัง แมนนี เป็นผู้อพยพจากกัวเตมาลา และเขาก็เก็บงำทักษะมากมาย (มากๆๆๆ) ที่เขาฝึกฝนมาจากบ้านเกิดเป็นความลับ เบนจามิน แบรทท์ใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวลของเขาในการพากย์เสียงนี้
ส่วนผู้ที่พากย์เสียงคามีโอเป็นผู้ประกาศข่าวหลักที่สถานีพยากรณ์อากาศเคเบิ้ลของแซมก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากอัล โรเกอร์ “เขาเป็นผู้ประกาศข่าวที่หลงตัวเองทั่วๆ ไป ไม่เหมือนกับนักพยากรณ์อากาศเลยซักนิด” โรเกอร์กล่าว “แต่ผมบอกได้อย่างหนึ่งว่า ผมเขาสวยมาก”
การเนรมิตภาพยนตร์
ผู้ที่กุมบังเหียนภาพยนตร์เรื่อง Cloudy with a Chance of Meatballs ก็คือทีมเขียนบทและกำกับ ฟิล ลอร์ดและคริสโตเฟอร์ มิลเลอร์ ผู้ซึ่งมีภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นผลงานกำกับเรื่องแรก ทั้งคู่เริ่มต้นเดินบนเส้นทางสายอนิเมชันตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ที่ซึ่งทั้งคู่ได้สร้างภาพยนตร์อนิเมชันฉบับนักศึกษาขึ้นมา หลังจากนั้น พวกเขาก็ได้สร้างซีรีส์อนิเมชันเรื่อง “Clone High” ให้กับเอ็มทีวี ก่อนที่จะได้ทำงานในคอเมดีไลฟ์แอ็กชันเรื่อง “How I Met Your Mother”
“ความแตกต่างสำคัญระหว่างโทรทัศน์และหนังก็คือโทรทัศน์หลักๆ แล้วจะเกี่ยวกับตัวละคร มุกตลก และจังหวะเดินเรื่อง ในขณะที่หนังจะเกี่ยวกับเรื่องราวครับ” มิลเลอร์กล่าว “เรารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเราจะต้องคิดเรื่องราวในแบบที่ไม่จำเป็นในเอพิโซดหนึ่งๆ ในซีรีส์โทรทัศน์น่ะครับ”
พวกเขาได้รับความช่วยเหลือ ไม่เพียงแต่จากทีมงานเรื่องราวทั้งหมด ที่นำทีมโดยคริส เพิร์นเท่านั้น แต่ยังจากวัฒนธรรมที่ซึ่งมีการรับฟังและเห็นคุณค่าของทุกความเห็น “ตอนทำซีรีส์โทรทัศน์ เสียงของคุณในฐานะมือเขียนบท/ผู้อำนวยการสร้างจะเป็นคำที่มีน้ำหนักที่สุด” ลอร์ดบอก “แต่ในหนังอนิเมชัน ทีมงานจะถูกกระตุ้นให้ออกความเห็นและให้พูดออกมาตอนที่พวกเขามีความคิดเห็นขัดแย้ง เราใช้เวลาซักพักกว่าจะเคยชิน แต่มันทำให้หนังดีขึ้นมากเมื่อเพื่อนร่วมงานของคุณผลักดันให้คุณทำงานให้ได้ดีที่สุด ไม่มีใครปล่อยให้ใครทำงานแบบพอไปได้หรอกครับ”
“คริสและฟิลร่วมงานกันดีมากๆ และยังมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนสำหรับหนังเรื่องนี้ด้วย” เพิร์นกล่าว “ในฐานะนักวาดภาพสตอรีบอร์ด เราจะต้องมีภาพที่ชัดเจน และคอยมองหาแก็กที่ดีที่สุด การถ่ายทอดอารมณ์ที่ดีที่สุด และจุดเปลี่ยนเรื่องราวที่มีประสิทธิภาพที่สุด ภาพเล็กๆ ของเราไม่ใช่ภาพฉบับสมบูรณ์ แต่พวกมันเป็นวิธีที่เราใช้ตัดสินว่าเรื่องราวจะมาปะติดปะต่อกันอย่างไร เมื่อคุณได้ช่วงจังหวะพิเศษที่จะทำให้ซีนนั้นๆ เวิร์ค มันก็เป็นเรื่องวิเศษสุดครับ”
นอกเหนือจากการสร้างตัวละครทั้งหมดขึ้นมาแล้ว ทีมผู้สร้างยังได้สร้างฉากใหม่สำหรับเรื่องราว นั่นคือเกาะสแวลโลว์ ฟอลส์ เมืองโดดเดี่ยวที่ซึ่งอุตสาหกรรมเดียว ซึ่งก็คือการตกปลาซาร์ดีนและการทำปลากระป๋องซาร์ดีน ต้องปิดตัวลงจากรสนิยมที่เปลี่ยนแปลงไปของสาธารณชน
“เรามองไปที่เมืองอย่างคัลเวอร์ ซิตี้ที่เคยประสบช่วงเวลายากลำบากและพยายามจะฟื้นฟูตัวเองใหม่” จัสติน ธอมป์สัน ผู้ออกแบบงานสร้างกล่าว “เราปล่อยให้ภาพบอกเล่าเรื่องราว เราใช้สีสันแบบพื้นๆ พื้นผิวที่สกปรกและสายไฟระโยงระยางไปทั่วกับสแวลโลว์ ฟอลส์ เมื่อเมืองถูกสร้างขึ้นใหม่ ทุกอย่างก็เป็นประกาย สดใส มีสีสัน แต่มันก็มีคุณสมบัติแบบเสแสร้ง เหมือนกับของปลอมหรือสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นน่ะครับ”
ฉากหลังของฟลินท์ถ่ายทอดเรื่องราวว่าเขาสร้างเครื่องจักรชิ้นนี้ของเขาขึ้นมาได้อย่างไรอย่างละเอียด “ฟลินท์เป็นคนฉลาดที่ไม่อยู่นิ่ง แต่เขาไม่ค่อยมีวัตถุดิบเท่าไหร่” ธอมป์สันกล่าว “เขาก็เลยสร้างคอมพิวเตอร์ที่แรงพอๆ กับคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปยุคปัจจุบัน แต่มีขนาดเท่าห้องๆ หนึ่งขึ้นมา เพราะเขาเอาคอมพิวเตอร์ผุๆ พังๆ และคอนโซลเกมยุค 80s มาประกอบเข้าด้วยกันเองครับ”
แม้หลังจากที่พวกเขาคิดเรื่องและกำหนดลุคให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้แล้ว Cloudy with a Chance of Meatballs ก็ยังคงเป็นความท้าทายใหญ่หลวงสำหรับผู้กำกับและทีมงานของพวกเขาที่โซนี พิคเจอร์ส อนิเมชัน ไม่เพียงแต่พวกเขาจะต้องจำลองอาหารที่ร่วงลงมา (และเด้งดึ๋ง) ราวกับในชีวิตจริง แต่พวกเขายังจะต้องจำลองสภาพอากาศแบบในชีวิตจริงเช่น ฝน ฝนหิมะและทอร์นาโดด้วย แน่นอนว่าการที่มันเป็นทอร์นาโดสปาเก็ตตี้ทำให้มันเป็นเรื่องเพ้อเจ้อก็จริง แต่มันก็จะต้องเคลื่อนที่เหมือนทอร์นาโดจริงๆ ด้วย
“ไม่ว่าเราจะปล่อยอาหารหลายหมื่นชิ้นลงบนเมืองหรือสร้างลูกชิ้นขนาดยักษ์ที่ตัวละครบินไปปะทะ มันก็ร่วงใส่เราทั้งนั้นแหละครับ” ร็อบ บรีโดว์ ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์ของเรื่องกล่าว
ขั้นตอนแรกในการสร้างเอฟเฟ็กต์เหล่านี้คือการหาว่าอาหารในชีวิตจริงเป็นอย่างไร นอกเหนือจากการเทเยลลีลงไปจนเต็มอ่างน้ำเพื่อสังเกตปฏิกิริยาของมันเมื่อมีสิ่งของกระเด้งกระดอนบนนั้นแล้ว ทีมผู้สร้างยังได้ปล่อยให้อาหารร่วงลงต่อหน้ากล้องเพื่อให้ทีมอนิเมเตอร์ได้ศึกษาว่าชีสเบอร์เกอร์จะมีลักษณะอย่างไรเมื่อถูกปล่อยลงจากที่สูง คำใบ้: เลอะเทอะแน่ๆ
ในการสร้างภาพอนิเมชันของเบอร์เกอร์ที่ร่วงกระจาย แต่ละชิ้นส่วนของมัน ไม่ว่าจะเป็นผักกาดแก้ว มะเขือเทศ ผักดอง หอมหัวใหญ่ ฯลฯ จะต้องถูกสร้างขึ้นแยกกันในคอมพิวเตอร์ “เมื่อเบอร์เกอร์ชิ้นนั้นร่วงลงพื้น” แดเนียล เครเมอร์ ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายดิจิตอล เอฟเฟ็กต์ของเรื่อง กล่าว “มันก็จะแยกออกจากกัน หรืออาจจะอยู่ด้วยกัน หรือซอสมะเขือเทศและมัสตาร์ดอาจเปื้อนพื้นบ้าง เรามีระบบที่แตกต่างกันไปสำหรับระดับความละเอียดที่แตกต่างกัน เบอร์เกอร์ที่อยู่พื้นหลังอาจจะแค่ตกลงมา แต่เบอร์เกอร์ที่อยู่ด้านหน้า ‘เบอร์เกอร์ฮีโร’ ของเราจะได้รับความสนใจเป็นพิเศษ เราทำให้แน่ใจว่าผักดองทุกชิ้นจะกระเด็นออกมาในแบบที่ถูกต้องครับ”
อีกหนึ่งซีเควนซ์ที่ท้าทายก็คือซีเควนซ์ที่ฟลินท์ได้สร้างปราสาทเยลลียักษ์ใหญ่ให้แซม ไม่เพียงแต่มันจะเป็นซีนโปรดของผู้กำกับเท่านั้น แต่มันยังเป็นซีนที่ทำให้ทีมงานเทคนิคได้บริหารความคิดสร้างสรรค์ของพวกเขาอีกด้วย
“เราเริ่มต้นด้วยการใส่เยลลีลงไปในอ่างน้ำ แล้วทิ้งตุ๊กตุ่นลงไปบนนั้น เพื่อดูว่ามันจะกระเด้งยังไง” มิลเลอร์กล่าว
แต่เรื่องไม่จบแค่การกระเด้งเท่านั้น เยลลีเป็นสิ่งที่โปร่งแสง ดังนั้นแสงจึงสามารถลอดผ่านไปได้ และมันก็ยังสะท้อนแสงได้อีกด้วย ทีมผู้สร้างจะต้องกำหนดคุณสมบัติของมันให้ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นมันก็จะดูไม่เหมือนเยลลี และจะทำให้ผู้ชมไม่เชื่อในซีเควนซ์นี้
เรื่องที่ยากไม่ใช่แค่เรื่องของแสงเท่านั้น “มันเป็นซีเควนซ์สุดโหดและน่าสนใจในมุมมองอนิเมชันครับ” คริส จวน ผู้ร่วมอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้กล่าว “คุณจะสร้างภาพอนิเมชันของอะไรก่อนดีล่ะ ตัวละครหรือสิ่งแวดล้อมที่เคลื่อนไหวได้ แล้วเมื่อสิ่งแวดล้อมเคลื่อนไหว ซึ่งก็คือเอฟเฟ็กต์ อนิเมชัน มันจะส่งผลต่ออนิเมชันตัวละคร ซึ่งใช้อนิเมเตอร์คนละกลุ่มกันยังไง แต่ให้ตายเถอะ เมื่อคุณได้เห็นภาพที่เสร็จสมบูรณ์ของมัน มันเป็นสถานที่มหัศจรรย์สำหรับตัวละครอย่างแท้จริงครับ”
ในการให้แสงภาพยนตร์เรื่องนี้ ทีมงานสร้างได้ใช้ระบบแสงที่เรียกว่า อาร์โนลด์ ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้สำหรับภาพยนตร์เรื่อง Monster House ซึ่งได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี สาขาภาพยนตร์อนิเมชันยอดเยี่ยม จนกระทั่งถึงตอนนี้ ภาพยนตร์อนิเมชันจะถูกให้แสงด้วยการใช้แสงส่องไปที่ชิ้นส่วนแต่ละชิ้นในเฟรมแยกกัน ก่อนที่จะถูกเรนเดอร์เข้าด้วยกัน วิธีการนั้นใช้ได้ก็จริง แต่มันก็ต้องอาศัยความอุตสาหะอย่างยิ่งยวด แต่ด้วยอาร์โนลด์ การให้แสงจะเลียนแบบการถ่ายภาพไลฟ์แอ็กชัน แทนที่จะเป็นจุดแสง อนิเมเตอร์สามารถใช้แสงสาดส่องทั่วบริเวณได้ และแทนที่จะบันทึกภาพภายใต้แสงสว่างโดยตรง อาร์โนลด์จะปล่อยให้พวกเขาบันทึกแสงที่สะท้อนจากวัตถุอีกทีหนึ่ง กระบวนการให้แสงครอบจักรวาลนี้ทำให้ทีมผู้สร้างสามารถสร้างซีนที่ซับซ้อนขึ้นได้มาก
“อาร์โนลด์ยังมีอะไรอีกมากที่ต้องมีการพัฒนาอีก เราก็เลยทุ่มเทเวลาและพลังงานมากมายกับระบบนี้” จวนกล่าว “อาร์โนลด์ทำให้ทีมงานของเราสามารถให้แสงได้แบบในชีวิตจริง ในคอมพิวเตอร์ ทีมงานสามารถจัดตำแหน่งแสงในที่ที่เขาอยากให้มันเป็น และเงาก็จะตกกระทบอย่างเป็นธรรมชาติ มันเป็นกระบวนการที่สมจริง และขึ้นกล้องกว่าที่เคยมีการทำมาครับ”
นอกเหนือจากนั้น โซนี พิคเจอร์ส อิเมจเวิร์คส์ ซึ่งเป็นบริษัทพี่น้องของโซนี พิคเจอร์ส อนิเมชัน ก็เชี่ยวชาญในการสร้าง 3D อยู่แล้ว เพราะพวกเขาได้สร้างภาพยนตร์ 3D มาแล้วเจ็ดเรื่อง ซึ่งรวมถึง Cloudy with a Chance of Meatballs ด้วย “คอนเซ็ปต์ของอาหารที่ตกลงมาเหมือนฝนดูจะเป็นประสบการณ์ 3D ที่เพอร์เฟ็กต์ครับ” มิลเลอร์กล่าว
“พลังของ 3D คือการดึงคุณให้อินกับหนังมากขึ้น ทำให้คุณรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับตัวละครในแบบที่คุณอาจไม่รู้สึกถ้าคุณไม่อินขนาดนั้น” ลอร์ดกล่าวเสริม “เราใช้เวลาสองปีครึ่งในการสร้างหนังเรื่องนี้” คริส จวน ผู้ก่อนหน้านี้ทำงานในภาพยนตร์เรื่อง Surf’s Up กล่าว “และเมื่อเราได้ไปดูมันในรูปแบบ 3D แม้แต่เรายังทึ่งเลยครับ คุณจะได้เห็นทอร์นาโดสปาเก็ตตี้เป็น 3D ลูกชิ้นและสิ่งของต่างๆ จะลอยเข้าหาหน้าจอ ซึ่งทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนกับเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวจริงๆ แทนที่จะเป็นเพียงแค่คนที่เฝ้ามองเหตุการณ์ครับ สำหรับเรา เราคิดว่า ‘ว้าว นั่นเราเป็นคนสร้างนะ! มหัศจรรย์จริงๆ!” ครับ”
เกี่ยวกับนักแสดง
นักแสดง/มือเขียนบท/นักแสดงตลก บิลล์ เฮเดอร์ (ฟลินท์ ล็อควู้ด) ได้ร่วมเป็นหนึ่งในทีมนักแสดงซีรีส์คอเมดีทางเอ็นบีซี “Saturday Night Live” ซีซันที่สี่ และกำลังก้าวเข้าสู่โลกภาพยนตร์ด้วยผลงานที่น่าประทับใจหลายเรื่อง เฮเดอร์เดิมมาจากทัลซา เขาได้สร้างความประทับใจจากการได้ออกรายการ “Saturday Night Live” ด้วยการเลียนแบบคนดังทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น อัล ปาชิโนและวินเซนต์ ไพรซ์ (และได้เป็นพิธีกรรายการตอนพิเศษช่วงเทศกาลวันหยุดหลายครั้ง)
ปีที่แล้วนับว่าเป็นปีที่ประสบความสำเร็จและงานชุมสำหรับเฮเดอร์ โดยมันเริ่มต้นด้วยการที่เขาได้รับน้องขายต่างสายเลือดของเจสัน ซีเกลในภาพยนตร์ม้ามืดในบ็อกซ์ออฟฟิศเรื่อง Forgetting Sarah Marshall ในซัมเมอร์ปี 2008 เฮเดอร์ยังได้รับบทคามีโอที่น่าจดจำในภาพยนตร์แอ็กชัน/คอเมดีเรื่อง Pineapple Express อีกด้วย
ล่าสุด เฮเดอร์ได้กลับมาร่วมแสดงกับเบน สติลเลอร์อีกครั้งในภาพยนตร์ที่ฮิตทั่วโลกอย่าง Night at the Museum: Battle of the Smithsonian ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้ถล่มทลายทั่วโลกกว่า 375 ล้านเหรียญ นอกจากนี้ เขายังได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์มิราแมกซ์เรื่อง Adventureland ซึ่งเป็นการกลับมาพบกันอีกครั้งระหว่างเฮเดอร์กับเกร็ก มอตโตลา ผู้กำกับ Superbad ของเขา
เมื่อปีที่แล้ว เฮเดอร์ได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์คอเมดีช่วงซัมเมอร์เรื่อง Tropic Thunder ในบทร็อบ สโลลอม ผู้บริหารสตูดิโอขี้ขลาดที่ต้องคอยรองรับอารมณ์ของเลส กรอสแมน ประธานสตูดิโอจอมเพี้ยนที่รับบทโดยทอม ครูซ ภาพยนตร์เรื่องนี้ลงโรงในเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบีเอฟซีเอ คริติกส์ ชอยส์ อวอร์ดสาขาคอเมดียอดเยี่ยมของปีนี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับและเขียนบทโดยเบน สติลเลอร์ ผู้ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยเช่นกัน Tropic Thunder ครองอันดับหนึ่งในบ็อกซ์ออฟฟิศได้สองสัปดาห์ติดต่อกันและทำรายได้ในอเมริกาไป 110 ล้านเหรียญ เฮเดอร์ร่วมกับแจ็ค แบล็ค, โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์., เจย์ บารูเชล, แบรนดอน ที. แจ็คสันและแมทธิว แม็คคอนนาเฮย์รับรางวัลสมาพันธ์นักวิจารณ์ภาพยนตร์บอสตันปี 2008 สาขาทีมนักแสดงยอดเยี่ยม
ตารางการทำงานของเฮเดอร์แน่นเอี้ยดตลอดช่วงซัมเมอร์ปี 2007 ซึ่งเริ่มต้นด้วยภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จทั้งด้านรายได้และเสียงวิจารณ์ของจั๊ดด์ อพาโทว์เรื่อง Knocked Up ที่ทำรายได้ไปกว่า 140 ล้านเหรียญในอเมริกา หลังจากนั้น เฮเดอร์ก็ได้แสดงในภาพยนตร์อีกเรื่องของอพาโทว์ในบทตำรวจนอกลู่นอกทางประกบเซธ โรแกนใน Superbad โดยโคลัมเบีย พิคเจอร์ส ซึ่งทำรายได้ในอเมริกาไปกว่า 120 ล้านเหรียญ ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ You, Me, and Dupree, Hot Rod และ Pineapple Express
ปัจจุบัน เฮเดอร์กำลังอยู่ระหว่างการถ่ายทำซีเควลเรื่อง Hoodwinked 2: Hood vs. Evil ซึ่งเขาจะพากย์เสียงแฮนเซลอีกครั้ง ภาพยนตร์เรื่องนี้มีกำหนดเข้าฉายในปี 2010 ปัจจุบัน เฮเดอร์ ซึ่งเป็นชาวเซคคันด์ ซิตี้ ในลอสแองเจลิส อาศัยอยู่ในนิวยอร์กกับ แม็กกี้ แครีย์ ภรรยาผู้เป็นคนทำหนัง
แอนนา ฟาริส (แซม สปาร์คส์) ล่าสุด ร่วมแสดงกับเซธ โรแกนในภาพยนตร์ตลกร้ายโดยวอร์เนอร์ บรอส. เรื่อง Observe & Report
เมื่อปีที่แล้ว ฟาริสได้นำแสดงในภาพยนตร์ฮิตเรื่อง The House Bunny ในบทเชลลีย์ ดาร์ลิงตัน สาวบันนีเพลย์บอยที่ถูกไล่ออกจากคฤหาสน์และพยายามจะปรับตัวให้เข้ากับชีวิตภายนอก โปรเจ็กต์นี้ริเริ่มจากไอเดียดั้งเดิมโดยฟาริส และเธอก็ร่วมเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้กับมือเขียนบท Legally Blonde ด้วย เธอรับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้กับแฮปปี้ เมดิสัน โปรดักชันส์ ให้กับโซนี พิคเจอร์ส ในปี 2003 ฟาริสร่วมแสดงกับบิลล์ เมอร์เรย์และสการ์เล็ตต์ โยฮันสันในภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์เรื่อง Lost in Translation ให้กับผู้กำกับโซเฟีย คอปโปลา ภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จทั้งด้านคำวิจารณ์และรายได้เรื่องนี้ทำให้ฟาริสได้รับเสียงชื่นชมอย่างล้นหลาม ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของฟาริสได้แก่ Brokeback Mountain ให้กับผู้กำกับ อัง ลี, Smiley Face ให้กับผู้กำกับเกร็กก์ อารากิ, Mama’s Boy ประกบจอน เฮเดอร์, Just Friends, Waiting, Frequently Asked Questions About Time Travel, Kids in America และ Scary Movie, Scary Movie 2, Scary Movie 3 และ Scary Movie 4 ภาพยนตร์เหล่านี้เป็นแฟรนไชส์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของไดเมนชัน ฟิล์มส์จนถึงปัจจุบัน ด้านจอแก้ว ฟาริสได้รับการจดจำจากการแสดงในซีซันสุดท้ายของซีรีส์ “Friends” ด้วยการรับบทคุณแม่ที่ตั้งท้องเด็กที่ โมนิกาและแชนด์เลอร์อุปถัมภ์
ฟาริสเป็นชาวซีแอตเติล เธอเริ่มแสดงละครเวทีตั้งแต่อายุน้อย ปัจจุบัน เธอใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิส
เจมส์ คาน (ทิม ล็อควู้ด) หนึ่งในนักแสดงที่มีความสามารถหลากหลายที่สุดในแวดวงภาพยนตร์ เป็นที่รู้จักดีที่สุดจากการรับบทซอนนี คอร์ลีโอเน ใน The Godfather ที่ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดและจากบทดาวเด่นฟุตบอล ไบรอัน พิคคาโลใน Brian’s Song ที่ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมี
คานน์ได้แสดงในภาพยนตร์กว่า 50 เรื่องตลอดช่วงระยะเวลาที่เขาเป็นนักแสดง เขาได้รับการยกย่องอย่างสูงจากการแสดงในภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จและได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมของโรเบิร์ต ไรเนอร์เรื่อง Misery ทริลเลอร์จิตวิทยาที่สร้างขึ้นจากนิยายโดยสตีเฟน คิงและ For The Boys โรแมนติกดรามาที่ร่วมแสดงโดยเบ็ตต์ มิดเลอร์ เขาได้รับเสียงชื่นชมพอๆ กันจากการรับบทดาราฟุตบอลที่ได้รับบาดเจ็บทางสมองในภาพยนตร์โดยฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลาเรื่อง The Rain People และเขายังได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมแห่งปีจากสมาพันธ์เจ้าของโรงละครจากการแสดงของเขาใน The Gambler อีกด้วย
คานน์เกิดในบรองซ์และเติบโตในควีนส์, นิวยอร์ก เขารู้ตั้งแต่เริ่มแรกแล้วว่าเขาไม่อยากจะเจริญรอยตามพ่อของเขาและทำงานในธุรกิจเนื้อของครอบครัว เขาได้เข้าศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์และเล่นฟุตบอลที่มหาวิทยาลัยรัฐมิชิแกนเมื่ออายุสิบหกปี
คานน์ได้ทำเรื่องย้ายไปมหาวิทยาลัยฮอฟสทราเพื่อศึกษากฎหมายและระหว่างช่วงปิดเทอมฤดูใบไม้ผลิ เขาก็ถูกสัมภาษณ์และได้รับเลือกให้เข้าศึกษาในเนเบอร์ฮู้ด เพลย์เฮาส์ของสแตนฟอร์ด ไมส์เนอร์ หลังจากนั้น เขาก็ได้รับทุนการศึกษาให้เข้าศึกษากับวินน์ แฮนด์แมน และได้รับงานสี่งานแรกที่เขาออดิชัน คานน์เริ่มต้นแสดงละครเวทีในละครออฟบรอดเวย์ปี 1961 เรื่อง “La Ronde” หลังจากนั้น เขาก็ได้รับบทดารารับเชิญในซีรีส์ใหญ่ๆ แทบทุกเรื่องในสมัยนั้น
นอกเหนือจากภาพยนตร์ที่กล่าวถึงมาแล้วข้างต้น ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของคานได้แก่ Cinderella Liberty, Funny Lady, A Bridge Too Far, Thief, T.R Baskin, Slither, Silent Movie, Rollerball, The Killer Elite, Another Man, Another Chance, Comes A Horseman, Gardens of Stone, Alien Nation, Flesh and Bone, The Program, Honeymoon in Vegas, Eraser และ Mickey Blue Eyes
นอกจากนี้ เขายังร่วมแสดงกับวาคิน ฟินิกซ์, มาร์ค วอห์ลเบิร์กและชาร์ลิซ เธอรอนใน The Yards ให้กับมิราแมกซ์ ฟิล์มส์ และภาพยนตร์โดยอาร์ทิซัน เอนเตอร์เทนเมนต์เรื่อง The Way of the Gun ซึ่งเขาร่วมแสดงกับเบเนซิโอ เดล โทโร เขาได้กำกับและนำแสดงในภาพยนตร์ชื่อดังเรื่อง Hide in Plain Sight และเขายังได้ร่วมแสดงกับวิลล์ เฟอร์เรลในภาพยนตร์คอเมดีฮิตของนิวไลน์ ซีเนมาเรื่อง Elf และภาพยนตร์โดยลาร์ส ฟอน เทรียร์เรื่อง Dogville ที่นำแสดงโดยนิโคล คิดแมนอีกด้วย
เขาได้นำแสดงในซีรีส์ฮิตทางเอ็นบีซีเรื่อง “Las Vegas” มาสี่ซีซัน
ด้วยพรสวรรค์ในการแสดงตลกที่หลากหลาย แอนดี้ แซมเบิร์ก (เบรนท์) ได้สร้างความโดดเด่นในการเป็นนักแสดงนำที่มีเสน่ห์และตลกเหลือร้ายทั้งบนจอแก้วและจอเงิน ในฐานะมือเขียนบทเจ้าของรางวัลเอ็มมี แซมเบิร์กประสบความสำเร็จทั้งหน้าฉากและหลังฉากพอๆ กัน
เมื่อเร็วๆ นี้ แซมเบิร์กได้เป็นพิธีกรงานประกาศผลรางวัล 2009 MTV Movie Awards ซึ่งเป็นรางวัลภาพยนตร์ที่เรตติ้งสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2004 เมื่อเร็วๆ นี้ แซมเบิร์กเพิ่งได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมี อวอร์ดปี 2009 สาขาดนตรีและเนื้อเพลงยอดเยี่ยมจากเพลง “Motherlover” ที่เขาร่วมร้องกับจัสติน ทิมเบอร์เลค
เมื่อเร็วๆ นี้ แซมเบิร์กแสดงประกบพอล รัดด์, เจสัน ซีเกลและราชิดา โจนส์ในภาพยนตร์โดยผู้กำกับจอห์น แฮมเบิร์กเรื่อง I Love You, Man ให้กับพาราเมาท์ พิคเจอร์ส เขาพากย์เสียงตัวละครเอก แฮม เดอะ เธิร์ด ในภาพยนตร์อนิเมชันโดยฟ็อกซ์ สตูดิโอส์เรื่อง Space Chimps ผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา Hot Rod กำกับโดยอากิวา แชฟเฟอร์และร่วมแสดงโดยจอร์มา ทัคโคเน, เอียน แม็คเชน, ซิสซี สปาเซ็ค, อิสลา ฟิชเชอร์และบิล เฮเดอร์
แซมเบิร์ก ร่วมกับอากิวา แชฟเฟอร์และจอร์มา ทัคโคเน หุ้นส่วนในโลนลี ไอแลนด์ของเขา เปิดตัวอัลบัมฉบับเต็มชุดแรกของพวกเขา “Incredibad” โดยยูนิเวอร์แซล รีพับลิค เรคคอร์ดส์ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ปี 2009 “Incredibad” เป็นอัลบัมคอเมดีชุดแรกที่ขึ้นถึงอันดับหนึ่งใน iTunes และมีเพลงได้รับความนิยมหลายเพลงเช่น “D**k in a Box” และ “Natalie's Rap” (ที่ร้องโดยนักแสดงสาวนาตาลี พอร์ทแมนและคริส พาร์เนล) รวมถึงดนตรีใหม่ๆ ที่ขับร้องโดยศิลปินรับเชิญระดับชั้นนำ ที่มีทั้งนักร้องฮิปฮ็อปที-เพน, นอราห์ โจนส์ นักร้องสาวเจ้าของรางวัลแกรมมี, จูเลียน คาซาบลังกาส์จากเดอะ สโตรคส์, อี-40 แร็ปเปอร์ย่านเบย์และผู้ก่อตั้งวงเดอะ คลิกและนักแสดงตลกหนึ่งในวงเทเนเชียส-ดี แจ็ค แบล็ค
แซมเบิร์กจะร่วมแสดงในซีซันที่ห้าของรายการ “Saturday Night Live” ในฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ การแสดงยอดเยี่ยมของเขาในรายการโชว์ตลกนี้ก็คือมิวสิค วิดีโอเพลง “Lazy Sunday” ซึ่งเขาร่วมแสดงกับขาประจำรายการ SNL คริส พาร์เนล “Lazy Sunday” เป็นปรากฏการณ์ออนไลน์ที่มีผู้คลิกเข้าไปชมใน YouTube กว่าห้าล้านครั้งภายในเวลาไม่กี่วันและกระตุ้นให้เกิดการเลียนแบบในอินเทอร์เน็ตมากมาย เรื่องราวความขัดแย้งทางด้านกฎหมายเกี่ยวกับคอนเทนท์มิวสิค วิดีโอออนไลน์ผลักดันให้มิวสิค วิดีโอนี้ได้รับความสนใจ และส่งให้แซมเบิร์กกลายเป็นเคสตัวอย่างของคนทำหนังและการ์ตูน DIY ยุคใหม่
ในซีซันที่จะถึงนี้ แซมเบิร์ก, แชฟเฟอร์และทัคโคเนจะสร้างความฮือฮาอีกครั้งด้วยวิดีโอสั้น “D**k in a Box” ที่นำแสดงโดยแซมเบิร์กและจัสติน ทิมเบอร์เลค ในเรื่องล้อเลียนวงการ R&B ต้นยุคเก้าศูนย์ ในเดือนเมษายน ปี 2007 “D**k In a Box” เป็นมิวสิค วิดีโออันดับ 4 ของเว็บ YouTube ด้วยจำนวนการเข้าชมกว่า 20 ล้านครั้ง เพลงนี้ได้รับความนิยมอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนทั้งในแบบออนไลน์และแผ่นเพลง โดยแซมเบิร์กได้ร่วมร้องเพลงนี้กับทิมเบอร์เลคบนเวทีเมดิสัน สแควร์ การ์เดนในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2007 และได้แสดงสดต่อหน้าผู้ชมกว่า 18,000 คนอีกด้วย เพลงล้อเลียน R&B คลาสสิกนี้ ได้รับรางวัลเอ็มมี อวอร์ดปี 2007 สาขาดนตรีและเนื้อเพลงยอดเยี่ยม
แซมเบิร์ก, แชฟเฟอร์และทัคโคเน ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม “เดอะ โลนลี ไอแลนด์” เป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยจูเนียร์ไฮในเบิร์คลีย์, แคลิฟอร์เนีย ในปี 2000 ทั้งสามคนเริ่มเขียนบท กำกับและผลิตรายการตลกของตัวเองและโชว์มันในเว็บไซต์ www.thelonelyisland.com ของพวกเขา ไฮไลท์รายการตลกของพวกเขารวมถึงหนึ่งในรายการไพรม์ไทม์ที่ออกอากาศนานที่สุดของ Channel101.com, “The 'BU” ซึ่งล้อเลียนซีรีส์ “The O.C.” และสเก็ตช์ คอเมดี ไพล็อต ที่สร้างสำหรับซีรีส์ฟ็อกซ์เรื่อง “Awesometown” ก่อนหน้าเข้าร่วม “Saturday Night Live” แซมเบิร์กเคยแสดงในสแตนด์อัพ คอเมดีทั้งในนิวยอร์กและลอสแองเจลิสเป็นเวลาเจ็ดปี และได้ร่วมแสดงในรายการ “Premium Blend” ทางช่องคอเมดี เซ็นทรัลในปี 2005 อีกด้วย แซมเบิร์กเข้าศึกษาที่ยูซี ซานตาครูซ และสำเร็จการศึกษาด้านภาพยนตร์จากทิสช์ สคูล ฟอร์ เดอะ อาร์ตส์แห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์กในปี 2000
บรูซ แคมป์เบล (นายกเทศมนตรีเชลบอร์น) รับบทแซม เอ็กซ์ในซีรีส์ออริจินอลทางยูเอสเอ เน็ตเวิร์คเรื่อง “Burn Notice” ซึ่งเพิ่งเริ่มออกอากาศซีซันสามเมื่อเร็วๆ นี้
ในปี 1979 แคมป์เบลร่วมกับแซม ไรมีและร็อบ ทาเพิร์ต เพื่อนชาวดีทรอยท์ของเขา ระดมทุน 350,000 เหรียญเพื่อสร้างภาพยนตร์ทุนต่ำเรื่อง Evil Dead ซึ่งเขาร่วมแสดงและร่วมควบคุมงานสร้าง หลังจากที่ถ่ายทำเสร็จสี่ปี ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้รับการยกย่องเป็นครั้งแรกในอังกฤษเมื่อมันกลายเป็นวิดีโอที่ขายดีที่สุดในปี 1983 แซงหน้า The Shining หลังจากที่ได้เข้าฉายในคานส์ ที่ซึ่งสตีเฟน คิงยกย่องให้มันเป็น “ภาพยนตร์สยองขวัญที่สดใหม่ที่สุดแห่งปี” นิวไลน์ ซีเนมาก็ได้คว้าสิทธิการนำภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายในอเมริกา
หลังจากร่วมอำนวยการสร้าง Crimewave คอเมดีแหวกแนวที่เขียนบทโดยแซม ไรมี, อีธานและโจเอล โคเอน แคมป์เบลก็ได้ย้ายไปลอสแองเจลิสและสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองด้วยการอำนวยการสร้างหรือนำแสดงในภาพยนตร์หลายเรื่องเช่นซีรีส์ Maniac Cop, Lunatics: A Love Story, Moontrap และ Mindwarp รวมถึง Jeremiah Johnson ที่เขาได้พบกับไอดา กีรอน ภรรยาในอนาคตของเขา
แคมป์เบลได้ร่วมงานกับเพื่อนๆ จากดีทรอยท์ของเขาอีกครั้งเพื่อนำแสดงและร่วมอำนวยการสร้างภาพยนตร์ภาคที่สองและสามในไตรภาค Evil Dead ซึ่งเป็นการสิ้นสุดการทำงานในซีรีส์คัลท์ยอดนิยมเรื่องนี้ที่ยาวนานถึง 12 ปี ภูมิหลังที่ยากลำบากนี้มีส่วนช่วยแคมป์เบลเมื่อเขาได้ก้าวเข้าสู่แวดวงจอเงิน ด้วยการนำแสดงในซีรีส์ฟ็อกซ์ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงเรื่อง “The Adventures Of Brisco County Jr.” ก่อนที่จะได้รับบทดารารับเชิญในซีรีส์ฮิต “Lois and Clark: The New Adventures of Superman” ผลงานเหล่านี้ทำให้แคมป์เบลขยับตัวเองไปสู่การเป็นผู้กำกับได้อย่างง่ายดาย โดยเขาได้กำกับหลายเอพิโซดและรับบทเป็นราชันย์จอมโจรในซีรีส์อันดับหนึ่งเรื่อง “Hercules: The Legendary Journeys” และซีรีส์ดังเรื่อง “Xena: Warrior Princess”
นับตั้งแต่นั้นมา เขาก็มีผลงานจอแก้วออกมาเรื่อยๆ เช่นในภาพยนตร์ทางดิสนีย์เรื่อง “Gold Rush” และเวอร์ชันสมัยใหม่ของมัน “The Love Bug” เขาได้ร่วมงานกับฟ็อกซ์อีกครั้งในภาพยนตร์ฮิตเรื่อง “Tornado!” และนำแสดงในซีรีส์ฮิตทางเอ็นบีซีเรื่อง “In The Line of Duty: Blaze of Glory” ภายใต้คำเชิญของเอบีซี แคมป์เบลได้ก้าวเข้าสู่โลกซิทคอมด้วยบทประจำในซีรีส์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงเอ็มมีทางเอบีซีเรื่อง“Ellen” และได้ร่วมแสดงในหนึ่งในสามเอพิโซด “Out” ที่ได้รับการยกย่องสูงสุดด้วย
หลังจากการชิมลางบทดรามาในซีรีส์ดังเรื่อง “Homicide” และ “X-Files” เขาก็ได้รับบทประจำในคอเมดีโชว์ไทม์เรื่อง “Beggars and Choosers”
แต่แคมป์เบลก็ไม่ทิ้งรากเหง้าทางภาพยนตร์ของเขา ระหว่างนั้น เขาได้แสดงในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์เรื่อง Congo, Escape From LA โดยจอห์น คาร์เพนเตอร์และภาพยนตร์ดรามาอาชญากรรมอินดี้เรื่อง Running Timeหลังจากนั้น เขาก็ได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์โรแมนติกคอเมดีโดยพาราเมาท์เรื่อง Serving Sara, ภาพยนตร์โดยจิม แคร์รีย์เรื่อง The Majestic และซีรีส์บล็อกบัสเตอร์โดยแซม ไรมีเรื่อง Spider-Man
หลังจากหวนคืนสู่จอแก้วด้วยซีรีส์ต่อสู้เรื่อง “Jack of All Trades” แคมป์เบลก็ได้รับบทนำในภาพยนตร์คัลท์ของเอ็มจีเอ็มเรื่อง Bubba Ho-Tep เมื่อเร็วๆ นี้ ผลงานการกำกับเรื่องแรกของเขา “Man with the Screaming Brain” เพิ่งแพร่ภาพทางไซไฟ แชนแนลและดาร์ค ฮอร์ส คอมิกส์ก็ได้ตีพิมพ์การ์ตูนเรื่องนี้ออกมา ผลงานภาพยนตร์ปัจจุบันของแคมป์เบลได้แก่ภาพยนตร์ฮิตสนุกสนานของดิสนีย์เรื่อง Sky High, ทริลเลอร์ของเอ็มจีเอ็มเรื่อง The Woods และ “Touch the Top of the World” โดยเอแอนด์อี ซึ่งเป็นเรื่องราวจริงที่สร้างแรงบันดาลใจเกี่ยวกับคนตาบอดคนแรกที่ปีนยอดเขาเอฟเวอเรสต์
แคมป์เบลได้ก้าวสู่สื่อบันเทิงรูปแบบอื่น และประสบความสำเร็จในฐานะนักเขียนหนังสือเบสต์เซลเลอร์ของนิวยอร์กไทม์ ซึ่งประกอบไปด้วยอนุทินเรื่อง If Chins Could Kill: Confessions of a B Movie Actor และนิยายเรื่องแรกของเขา Make Love the Bruce Campbell Way ในอุตสาหกรรมมัลติมีเดีย แคมป์เบลได้พากย์เสียงในวิดีโอเกมใหม่ๆ หลายเกมให้กับแอ็กทิวิชัน, ทีเอชคิวและโนวา โลจิค และเขายังได้พากย์เสียงตัวละครต่างๆ ในซีรีส์โทรทัศน์อนิเมชันของดิสนีย์เช่น “Tarzan” และภาพยนตร์วอร์เนอร์ บราเธอร์สเรื่อง The Ant Bully อีกด้วย
ล่าสุด แคมป์เบลได้กำกับและแสดงเป็นตัวเองใน “My Name is Bruce” เรื่องราวล้อเลียนการแสดงในภาพยนตร์เกรด B ของเขา ซึ่งปัจจุบันกำลังเข้าฉายทั่วประเทศ
แคมป์เบลได้ถ่ายทอดประสบการณ์การทำหนังของเขา ด้วยการบรรยายตามมหาวิทยาลัย ซึ่งรวมถึงนอร์ธเวสเทิร์น, คาร์เนจี้ เมลลอนและสแตนฟอร์ด ปัจจุบัน เขาอาศัยอยู่กับไอดา กีรอน ภรรยาของเขาในโอเรกอน
มิสเตอร์ที (เอิร์ล เดอเวอโรซ์) หรือลอว์เรนซ์ ทูร็อด เกิดในวันที่ 21 พฤษภาคม ปี 1952 ทางตอนใต้ของชิคาโก, อิลลินอยส์ เขาเป็นหนึ่งในบรรดาลูกสิบสองคนที่แม่เลี้ยงดูมาตามลำพังในอพาร์ทเมนต์สามห้องนอน เขารู้ตัวตั้งแต่เด็กๆ ว่าเขามีความแข็งแกร่งทั้งทางร่างกายและจิตใจที่จะฟันฝ่าช่วงเวลายากลำบากไปได้ และทุกวันนี้ เขาก็พูดว่า เขา “เคยอยู่ในสลัม แต่สลัมไม่ได้อยู่ในตัวผม”
ลอว์เรนซ์ได้รับทุนการศึกษาให้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยหลายแห่งหลังจากสำเร็จการศึกษาระดับไฮสคูลแต่เขาก็ตัดสินใจที่จะเข้ารับใช้กองทัพ หลังจากที่ได้เป็นตำรวจทหาร เขาก็ได้ทำความฝันในการเป็นนักกีฬาอาชีพของเขาให้เป็นจริง เขาได้เข้าคัดตัวเพื่อเล่นให้กับทีมกรีน เบย์ แพ็คเกอร์ส แต่ความฝันของเขาก็พังทลาย เมื่อเขาได้รับบาดเจ็บที่เข่า เป็นการดับความหวังในการเป็นนักฟุตบอลอาชีพของเขาโดยสิ้นเชิง
หลังจากรับใช้กองทัพ เขาก็ได้เปลี่ยนแปลงตัวเองเสียใหม่ทั้งภายในและภายนอก เขาเปลี่ยนชื่อตัวเองเป็นมิสเตอร์ที และเปลี่ยนลุคของตัวเองเสียใหม่ ระหว่างที่อ่านนิตยสาร National Geographic เขาบังเอิญได้เห็นทรงผมแปลกประหลาดที่ชื่อแอฟริกัน แมนดินกา และตัดสินใจทำทรงผมทรงนี้ให้กลายเป็นเอกลักษณ์ของเขา
มิสเตอร์ทีใช้ประสบการณ์ในกองทัพและความน่าเกรงขามของเขาในการรับงานเป็นบอดี้การ์ด คอยคุ้มกันผู้มีชื่อเสียงในวงการหมัดมวย ไม่ว่าจะเป็นมูฮัมหมัด อาลีและลีออน สพิงค์ ในเวลาว่าง เขาทำหน้าที่เป็นพนักงานเปิดประตูคลับดิงแบทส์ในชิคาโก ที่ซึ่งมีรายงานว่าเขาได้โซ่ทองที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาจากคน “ไร้ระเบียบ” ที่เขาได้เจอ ในเวลานั้น เป็นที่คาดการณ์ว่าโซ่ทองนั้นน่าจะมีค่าเกินกว่า 300,000 เหรียญเสียอีก
ในปี 1982 อาชีพนักแสดงที่ยาวนานและเจิดจรัสของมิสเตอร์ทีได้เริ่มต้นขึ้น ผู้กำกับ/นักแสดงเจ้าของรางวัลอคาเดมี อวอร์ด ซิลเวสเตอร์ สตอลโลนได้เห็นมิสเตอร์.ที ระหว่างที่เขาเข้าร่วมแข่งขัน “The World’s Toughest Bouncer” ที่แพร่ภาพทาง Games People Play ของเอ็นบีซี สตอลโลนได้เลือกเขาให้รับบทคลับเบอร์ แลง ใน Rocky III เดิมบทนี้มีบทพูดเพียงไม่กี่บรรทัด แต่หลังจากได้ร่วมงานกับที บทนี้ก็ได้รับการขยายเพิ่มขึ้น บทนั้นเองที่ทำให้เขาได้รับเลือกให้รับบทร้อยโทบอสโก “บี.เอ.” บาราคัสในซีรีส์ที่ประสบความสำเร็จเรื่อง “The A-Team” ซึ่งแพร่ภาพทางเอ็นบีซีระหว่างปี 1983-87
เขาได้กระโดดเข้าสู่แวดวงบันเทิงเมื่อเขาได้ร่วมงานกับฮัล์ค โอแกนใน Wrestlemania I และ II นับตั้งแต่นั้นมา เขาก็ได้รับหน้าที่เป็นกรรมการให้กับการแข่งขันหลายครั้งตลอดช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา
ในปี 1995 เขาได้รับการวินิฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง แต่ปัจจุบันนี้ เมื่อเวลาล่วงเลยมากว่าสิบปี เขาก็ยังมีสุขภาพแข็งแรงดี ในปี 2006 เขาได้แสดงใน “I Pity the Fool” เรียลลิตี้ของเขาเองทางทีวี แลนด์ ที่เขาได้ให้คำแนะนำตามสไตล์ที
หลังจากเฮอร์ริเคนแคทรินา มิสเตอร์ทีรู้สึกสะเทือนใจกับความทุกข์ยากของชาวมิสซิสซิปปี้และนิวออร์ลีนส์ จนเขาได้ถอดโซ่ทองอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาออก เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นหนึ่งเดียวกับเหยื่อผู้อ่อนน้อมและภาคภูมิใจในตัวเองเหล่านี้ นอกเหนือจากนั้น เขายังได้บริจาคเสื้อผ้าและเงินจำนวนมากแก่องค์กรการกุศลเพื่อเหยื่อเฮอร์ริเคนแคทรินาอีกด้วย ปัจจุบัน มิสเตอร์ทีใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิส, แคลิฟอร์เนีย
หลังจากที่เริ่มต้นอาชีพหน้ากล้องตั้งแต่อายุห้าขวบ บ็อบบี้ เจ. ธอมป์สัน (แคล) ก็สร้างชื่อเสียงในฐานะดาราเด็กก่อนที่เข้าจะเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นเสียอีก ด้วยการรับบทสมทบเล็กๆ ที่มีสีสันในบททูแพ็ค ตัวจิ๋วใน My Baby's Daddy (2003) หลังจากนั้น เขาก็ได้แสดงในซีรีส์โทรทัศน์และภาพยนตร์อีกหลายเรื่องเช่น “The Tracy Morgan Show” (2004), Shark Tale (2004), “That’s So Raven” (2004) และ “Joey” (2005) ธอมป์สันได้ร่วมแสดงใน Idlewild (2006) ดรามามิวสิคัลออฟบีทของไบรอัน บาร์เบอร์จากเอาท์คาสท์ ก่อนที่จะร่วมแสดงกับวินซ์ วอห์นในภาพยนตร์คอเมดีช่วงเทศกาลวันหยุดเรื่อง Fred Claus (2007) จากนั้น ธอมป์สันก็ได้แสดงในคอเมดีฮิตเรื่อง Role Models ในบทรอนนี ชิลด์ส์ จอมป่วน ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัล 2009 MTV Movie Awards สาขานักแสดงชายหน้าใหม่ยอดเยี่ยม
2009 นับเป็นปีทองสำหรับธอมป์สันอย่างแท้จริง เขาได้แสดงในภาพยนตร์เรื่อง Land of the Lost กับวิลล์ เฟอร์เรล และคอเมดีสำหรับครอบครัวเรื่อง Imagine That นักรีดไถตัวจิ๋วที่คุกคามเอ็ดดี้ เมอร์ฟีย์ นอกจากนี้ ธอมป์สันยังได้ร่วมแสดงในซีรีส์เอ็นบีซีเรื่อง “30 Rock” อยู่บ่อยๆ โดยเขาได้ขโมยซีนและแสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์ในการแสดงตลกด้วยการรับบทเทรซี จูเนียร์ ลูกชายของตัวละครของเทรซี มอร์แกน ไม่เพียงแค่นั้น ไนกี้ยังได้เลือกธอมป์สันให้แสดงโฆษณาหลายชิ้นในบทลิล เดซ ผู้ทำให้ดาวเด่นเอ็นบีเออย่างโกเบ ไบรแอนท์และเลบรอน เจมส์ต้องขวัญผวาระหว่างการเลี้ยงเด็ก
นอกเหนือจากผลงานภาพยนตร์แล้ว ธอมป์สันยังได้รับความสนใจจากแดนซ์ วิดีโอเออร์เบินสำหรับเยาวชน JammX Kids: Can't Dance Don't Want To ซึ่งเปิดโอกาสให้เขาได้โชว์สเต็ปเท้าและความสามารถด้านดนตรีเออร์เบินของเขาด้วย ผลงานต่อไปของธอมป์สันคือ Snowmen ที่ร่วมแสดงกับเรย์ ลิออตตา และการเป็นพิธีกรรายการ Bobb’e Says ทางช่องการ์ตูน เน็ตเวิร์ค
นอกเหนือจากนั้น เรวิลล์ก็ได้เซ็นสัญญากับนักแสดงตัวน้อยวัย 13 ปีคนนี้ โดยโปรเจ็กต์แรกของเรวิลล์กับธอมป์สันคือรายการคอเมดีครึ่งชั่วโมง เรวิลล์เป็นสตูดิโอโทรทัศน์อินดี้ชั้นนำของวงการ ที่มีบทบาทสำคัญในสื่อบันเทิงดิจิตอลและโทรทัศน์ รายการบันเทิงที่มีสคริปต์ของเรวิลล์ได้แก่ซีรีส์ “The Office” (เอ็นบีซี), “Ugly Betty” (เอบีซี), “The Tudors” (โชว์ไทม์) และ ฯลฯ
กว่า 20 ปี อาชีพนักแสดงที่ประสบความสำเร็จของเบนจามิน แบรทท์ (แมนนี) ได้รวมถึงผลงานภาพยนตร์และโทรทัศน์ด้วย แบรทท์ได้เข้าร่วมงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 2009 ในฐานะนักแสดงเป็นครั้งที่สี่ (The Woodsman, Thumbsucker, Follow Me Home) และในฐานะผู้อำนวยการสร้างเป็นครั้งที่สองด้วยภาพยนตร์เรื่อง La Mission
ผลงานภาพยนตร์ที่โดดเด่นของแบรทท์ได้แก่ภาพยนตร์ชื่อดังเรื่อง Pi?ero ซึ่งเขาได้รับการยกย่องจากการแสดงอันโดดเด่น และหลอกหลอนในบทนักแสดง นักเขียนบทละคร นักกวี มิเกล พิเนโร, Traffic โดยสตีเวน โซเดอร์เบิร์กห์ ซึ่งได้รับการเสนอชื่อชิงห้ารางวัลอคาเดมี อวอร์ดและรางวัลสมาพันธ์นักแสดงสาขาทีมนักแสดงยอดเยี่ยม และ The Woodsman ภาพยนตร์ที่เป็นขวัญใจนักวิจารณ์ในเทศกาล ที่นำแสดงโดยเควิน เบคอน
ผู้ชมโทรทัศน์อาจรู้จักเขาดีที่สุดจากบทนักสืบเรย์ เคอร์ติสในซีรีส์ดรามาที่แพร่ภาพทางเอ็นบีซีเรื่อง Law & Order ระหว่างที่เขาแสดงซีรีส์นี้ เขาและทีมนักแสดงได้รับรางวัลเอ็มมีสาขาซีรีส์ดรามายอดเยี่ยม และเขาก็ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมี อวอร์ดสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ได้รับสองรางวัลอัลมา อวอร์ด ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแซ็ก อวอร์ดร่วมกับทีมนักแสดงของเขาในสาขาทีมนักแสดงยอดเยี่ยมในซีรีส์ดรามาและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็นซีแอลอาร์ บราโว อวอร์ด แบรทท์ได้แสดงในมินิซีรีส์ฮิตทางเอแอนด์อีเรื่อง The Andromeda Strain จากริดลีย์และโทนี สก็อตต์ ที่สร้างจากนิยายโดยไมเคิล ไครช์ตัน ภาพยนตร์เรื่องหนึ่งเป็นภาพยนตร์ออริจินอลและมินิซีรีส์ยอดเยี่ยมประจำปี 2008 ซึ่งได้รับการเสนอชื่อชิงเจ็ดรางวัลเอ็มมี ปัจจุบัน เขาได้นำแสดงในซีรีส์ดรามาทางเอแอนด์อีเรื่อง The Cleaner ซึ่งเขารับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างของเรื่องด้วยเช่นกัน
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของแบรทท์ได้แก่ ภาพยนตร์โดยเคอร์ติส แฮนเซนเรื่อง The River Wild ประกบเมอริล สตรีพ, Blood In, Blood Out ให้กับผู้กำกับเทย์เลอร์ แฮ็คฟอร์ด, Clear and Present Danger ที่นำแสดงโดยแฮร์ริสัน ฟอร์ด, ผลงานการกำกับเรื่องแรกของสตีเฟน กาแกนเรื่อง Abandon ประกบเคที โฮล์มส์, ดรามาสงครามโลกครั้งที่สองเรื่อง The Great Raid ให้มิราแมกซ์ ฟิล์มส์, คอเมดีเรื่อง Miss Congeniality ที่ร่วมแสดงโดยแซนดรา บุลล็อค ซึ่งทำให้เขาได้รับบล็อกบัสเตอร์ เอนเตอร์เทนเมนต์ อวอร์ด และล่าสุดก็คือภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากนิยายชื่อดังโดยกาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ นักเขียนเจ้าของรางวัลโนเบลเรื่อง Love in the Time of Cholera ที่ร่วมแสดงโดยฮาเวียร์ บาร์เดม
ในภาพยนตร์เรื่อง La Mission ที่มีกำหนดลงโรงในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2009 แบรทท์ได้ร่วมงานกับปีเตอร์ แบรทท์ (Follow Me Home) น้องชายนักเขียนบท/ผู้กำกับ/ผู้อำนวยการสร้าง เพื่อนำแสดงและอำนวยการสร้างเรื่องราวที่บอกเล่าถึงวัฒนธรรม ผู้คนและความเชื่อในวัยเด็กของพวกเขาในย่านมิสชัน, ซานฟรานซิสโก ในการเนรมิตชีวิตให้เช แบรทท์ได้ถ่ายทอดความเป็นบุรุษที่เปี่ยมด้วยความเชื่อมั่น ความรังเกียจความอยุติธรรม ความนับถือและ…ความรัก การแสดงที่สร้างแรงบันดาลใจของเขาได้นำเสนอตัวละครแสนท้าทายที่มีทั้งความลึกและความซับซ้อน ซึ่งเป็นตัวละครที่น่าจะนำไปสู่ผลงานภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอีกมากมายในอนาคต เมื่อเร็วๆ นี้ เบนจามินและปีเตอร์ แบรทท์เพิ่งร่วมกับผู้อำนวยการสร้างอัลพิตา พาเทล ก่อตั้งบริษัท 5 สติค ฟิล์มส์ บริษัทโปรดักชันที่มุ่งหมายจะสร้างภาพยนตร์ที่มีจิตสำนึก และบอกเล่าเรื่องราวด้วยความรัก วิสัยทัศน์และภาพสะท้อนส่วนตัว La Mission เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกจากบริษัทแห่งนี้ แบรทท์แต่งงานกับนักแสดงหญิงทาลิซา โซโต แบรทท์ พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิสกับลูกๆ สองคน
นีล แพทริค แฮร์ริส (สตีฟ) นักแสดงที่ประสบความสำเร็จทั้งในแวดวงละครเวทีและภาพยนตร์ยังคงแสดงให้เห็นถึงความสามารถหลากหลายที่สร้างสรรค์ของเขา ปัจจุบัน เขารับบทเสือผู้หญิง บาร์นีย์ สตินสันในซีรีส์คอเมดีฮิตทางซีบีเอสเรื่อง “How I Met Your Mother” ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำปี 2009 และสองรางวัลเอ็มมี อวอร์ด ตัวละครบาร์นีย์ของเขาเป็นที่รู้จักดีที่สุดจากประโยคติดปากสุดฮา การชื่นชอบใส่สูทและวิธีเด็ดๆ ในการจีบสาว
เมื่อเร็วๆ นี้ แฮร์ริสซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในเอนเตอร์เทนเนอร์แห่งปี 2008 โดยนิตยสารเอนเตอร์เทนเมนต์ วีคลีย์ ได้นำแสดงในบทผู้ร้ายคลั่งรักในมินิซีรีส์มิวสิคัลที่สร้างขึ้นจากเว็บของจอส วีดอนเรื่อง Dr. Horrible’s Sing-Along Blog ซีรีส์ทางเว็บเรื่องนี้ได้เปิดตัวในชาร์ตโทรทัศน์ของ iTunes และได้ผลิตซาวน์แทร็คที่ประสบความสำเร็จตามมา ปัจจุบัน เขากำลังอยู่ระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์อินดีเรื่อง The Best and the Brightest ซึ่งเขาแสดงประกบบอนนี ซอมเมอร์วิลล์ ในบทสามีภรรยาจากเดลาแวร์ ผู้ย้ายไปอาศัยอยู่ที่ย่านอัปเปอร์ อีสต์ ไซด์ในนิวยอร์ก และเข้าสู่โลกของโรงเรียนอนุบาลเอกชนในเมือง หลังจากนั้น ในช่วงปลายซัมเมอร์นี้ เขาก็จะเริ่มต้นการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Beastly ซึ่งเป็นการนำเรื่อง “The Beauty and the Beast” มาเล่าใหม่ จากนิยายโดยอเล็กซ์ ฟินน์ แฮร์ริสจะรับบทอาจารย์ตาบอดผู้ช่วยเหลือและผูกมิตรกับเด็กหนุ่ม (อเล็กซ์ เพ็ตตี้เฟอร์) ผู้รู้สึกตกตะลึงที่ถูกเปลี่ยนให้เป็นชายอัปลักษณ์ โดยวาเนสซา ฮัดเจนส์และแมรี-เคท โอลเซนจะร่วมแสดงในภาพยนตร์โดยซีบีเอส ฟิล์มส์เรื่องนี้ด้วย
แฮร์ริสโด่งดังบนจอแก้วด้วยบทตัวละครเอกในซีรีส์ “Doogie Howser, M.D.” ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำ ซีรีส์คอเมดี-ดรามาเรื่องนี้ซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยสตีเวน บอชโกและเดวิด อี. เคลลีย์ และออกอากาศสี่ซีซันบอกเล่าเรื่องราวของคุณหมอหนุ่มผู้ปราดเปรื่อง ผู้ต้องรับมือกับปัญหาในการเป็นวัยรุ่นธรรมดาๆ ผลงานจอแก้วเรื่องอื่นๆ ของแฮร์ริสได้แก่ซีรีส์คอเมดีทางเอ็นบีซีเรื่อง “Stark Raving Mad” ที่เขาแสดงประกบโทนี เชลล็อบ, มินิซีรีส์ทางซีบีเอสเรื่อง Joan of Arc ที่ร่วมแสดงกับลีลี โซบีสกี้และปีเตอร์ โอ’ ทูล, ซีรีส์โชว์ไทม์เรื่อง The Man in the Attic, ภาพยนตร์ทางทีเอ็นทีเรื่อง Cold Sassy Tree ที่แสดงประกบเฟย์ ดันนาเวย์, My Antonia ที่ร่วมแสดงกับเจสัน โรบาร์ดส์, The Wedding Dress ที่ร่วมแสดงกับไทน์ เดลีและภาพยนตร์ที่ได้รับเรตติ้งสูงสุดของซีบีเอสในปี 2005 เรื่อง The Christmas Blessing นอกจากนี้ เขายังได้รับบทดารารับเชิญในซีรีส์ชื่อดังอย่าง “Will & Grace,” “Ed” และ “Boomtown” อีกด้วย
แฮร์ริสเป็นนักแสดงละครเวทีที่คร่ำหวอดในวงการมานาน เขาได้แสดงละครบรอดเวย์สามเรื่อง ซึ่งรวมถึงบทคู่นักขับร้องบัลลาด/ลี ฮาร์วีย์ ออสวัลด์ในมิวสิคัลที่ได้รับรางวัลโทนีเรื่อง Assassins อีกด้วย นอกจากนี้ เขายังรับบทคนที่ตามจีบแอนน์ เฮชอย่างไม่คาดฝันในละครที่สร้างขึ้นจากบทละครที่ได้รับรางวัลพูลิทเซอร์เรื่อง Proof และบทผู้ดำเนินรายการใน Cabaret at Studio 54 ด้วย ผลงานละครเวทีเรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ ละครโดยอาร์เธอร์ มิลเลอร์เรื่อง All My Sons โปรดักชันของเจฟเฟน เพลย์เฮาส์, The Paris Letter ที่โรงละครเคิร์ค ดักกลาส, tick, tick…BOOM! ที่ไมเนอร์ ช็อคโกแลต แฟคทอรีในกรุงลอนดอน, Rent โปรดักชันลอสแองเจลิส, Romeo & Juliet ที่โรงละครโอลด์ โกลบ เธียเตอร์ในซานดิเอโก และโปรดักชันคอนเสิร์ตของละครเรื่อง Sweeney Todd ที่ลินคอล์น เซ็นเตอร์ในนิวยอร์ก
แฮร์ริสได้ใช้ประสบการณ์จากบรอดเวย์ของเขาและความรู้สึกสบายๆ ยามอยู่บนเวทีของเขาในการรับหน้าที่พิธีกรพิธี 2009 TV Land Awards และพิธี 2009 Tony Awards ซึ่งทำให้เขาได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมอย่างล้นหลามและทำให้การถ่ายทอดพิธีประกาศรางวัลครั้งนั้นมียอดผู้ชมสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2006 นอกจากนี้ เขายังได้ใช้ภูมิหลังบนเวทีละครของเขาในการกำกับละครเวทีจากสคริปต์คอเมดีออริจินอลเรื่อง I Am Grock ที่เอล พอร์ทัล เธียเตอร์ในนอร์ธ ฮอลลีวูดอีกด้วย นอกเหนือจากนั้น เมื่อเร็วๆ นี้ แฮร์ริสยังได้ผสมผสานความรักในเวทมนตร์และละครเวทีเข้าด้วยกันในการกำกับละครเรื่อง The Expert at the Card Table ในงานเทศกาลเอดินเบิร์กห์ ฟรินจ์ เฟสติวัลปี 2008 อีกด้วย
นอกจากความสำเร็จบนเวทีละครและจอแก้วแล้ว แฮร์ริสยังประสบความสำเร็จอย่างงดงามบนจอเงินอีกด้วย ผลงานความสำเร็จครั้งล่าสุดของเขาคือการกลับมารับบท “นีล แพทริค แฮร์ริส” ในภาพยนตร์คอเมดีโดยนิวไลน์ ซีเนมาเรื่อง Harold and Kumar Escape from Guantanamo Bay ซีเควลของภาพยนตร์ม้ามืดปี 2004 เรื่อง Harold and Kumar Go to White Castle ผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของแฮร์ริสคือการแสดงประกบวู้ปปี้ โกลด์เบิร์กในดรามาคัมมิง-ออฟ-เอจเรื่อง Clara’s Heart ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำเป็นครั้งแรก นอกเหนือจากนั้น แฮร์ริสยังได้แสดงในคอเมดีเออร์เบินยอดฮิตโดยยูนิเวอร์แซลเรื่อง Undercover Brother ร่วมกับเอ็ดดี้ กริฟฟิน, ภาพยนตร์โดยพอล เวอร์โฮเฟนเรื่อง Starship Troopers, The Next Best Thing ที่ร่วมแสดงโดยรูเพิร์ต เอฟเวอร์เรตต์และมาดอนนาและ The Proposition ที่ร่วมแสดงโดยแมดเดอลีน สโตว์และเคนเนธ บรานาห์
แฮร์ริส นักแสดงเจ้าบทบาทยังได้รับงานพากย์เสียงไม่ขาดสาย โดยเขาได้พากย์เสียงซีรีส์และภาพยนตร์อนิเมชันหลายเรื่อง ซึ่งรวมถึง Justice League: The New Frontier (ในบทแบร์รี อัลเลน/เดอะ แฟลช) และซีรีส์เอ็มทีวีที่มีเรตติ้งสูงสุด Spider-Man โดยเขาได้พากย์เสียงทั้งตัวละครนำและอีกร่างหนึ่งของเขา ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์อีกด้วย นอกจากนี้ แฮร์ริสยังได้พากย์เสียงภาพยนตร์คอเมดีอนิเมชันสำหรับครอบครัวเรื่อง Cats & Dogs 2: Tinkles Revenge อีกด้วย
เมื่อเร็วๆ นี้ แฮร์ริสได้พากย์เสียงวิดีโอเกมจากดีธรี โปรดักชันส์ Eat Lead: The Return of Matt Hazard ร่วมกับวิลล์ อาร์เน็ตต์ ผลงานการพากย์เสียงของเขายังรวมถึงการสร้างเสียงตัวละครสำหรับหนังสือเทปหลายเรื่อง รวมถึง Henry and Ribsy โดยเบเวอร์ลี เคลียรี, Slake’s Limbo, Ribsy, Lump of Coal, A Very Marley Christmas และ Henry Huggins ที่ได้รับรางวัลหนังสือเด็กยอดเยี่ยม แฮร์ริสเดิมเป็นชาวอัลบูเคอร์คี, นิวเม็กซิโก ปัจจุบัน เขาใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิส
เกี่ยวกับทีมผู้สร้าง
ฟิล ลอร์ด (เขียนบทภาพยนตร์โดย/กำกับโดย) และคริสโตเฟอร์ มิลเลอร์ ได้เริ่มต้นการทำงานด้วยการร่วมสร้างภาพยนตร์อนิเมชันด้วยกันที่ดาร์ทเมาธ์ คอลเลจ ซึ่งไปสะดุดสายตาของวอลท์ ดิสนีย์ คัมปะนี ที่ซึ่งพวกเขาได้สร้าง ควบคุมงานสร้างและกำกับซีรีส์อนิเมชันทางเอ็มทีวีเรื่อง “Clone High“
นอกเหนือจากผลงานการเขียนบทแล้ว ลอร์ดและมิลเลอร์ยังได้รับหน้าที่ผู้ร่วมควบคุมงานสร้างใน “How I Met Your Mother” ซิทคอมไพรม์ไทม์ที่ได้รับรางวัลเอ็มมี และเริ่มแพร่ภาพทางซีบีเอสในเดือนกันยายน ปี 2005 และเป็นผู้ควบคุมงานสร้างของซีรีส์ “Awesometown” ที่นำเสนอคณะตลกเดอะ โลนลี ไอแลนด์และตอนไพล็อต “Phil Hendrie” นอกจากนี้ พวกเขายังรับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างที่ปรึกษาในซีรีส์ “Jake in Progress” และเรื่อง Cracking Up รับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างควบคุมในซีรีส์ “Method & Red” และ “Luis” และส่วนหนึ่งของทีมเขียนบทใน “Zoe, Duncan, Jack & Jane”
นอกจากนี้ ลอร์ดยังได้พากย์เสียงอาจารย์ใหญ่สคัดเวิร์ธและเจงกิส ข่านในซีรีส์ “Clone High” และรับบทประจำเป็นบิลล์ในซีรีส์ “Caroline in the City” อีกด้วย
ลอร์ดและมิลเลอร์เห็นพ้องต้องกันว่า ความผิดพลาดทำให้พวกเขาได้งานพัฒนาการ์ตูนช่วงเช้าวันเสาร์ให้กับวอลท์ ดิสนีย์ คัมปะนี ซึ่งมันก็ได้นำไปสู่งานพัฒนาซีรีส์อนิเมชันช่วงไพรม์ไทม์ให้กับทัชสโตน เทเลวิชันของพวกเขา
ลอร์ดสำเร็จการศึกษาเกียรตินิยมสาขาประวัติศาสตร์ศิลป์จากดาร์ทเมาธ์ คอลเลจ เรื่องสั้นอนิเมชันสมัยมหาวิทยาลัยของเขาเรื่อง Man Bites Breakfast ได้รับรางวัลอนิเมชันยอดเยี่ยมในงานเทศกาลภาพยนตร์และวิดีโอนิวอิงค์แลนด์ปี 1998 และได้เข้าฉายในเทศกาลอื่นๆ อีกหลายงานรวมถึงเอซิฟา อีสต์และเอซิฟา ซานฟรานซิสโก ลอร์ดเป็นชาวโคโคนัท โกรฟ, ฟลอริดา
คริสโตเฟอร์ มิลเลอร์ (เขียนบทภาพยนตร์โดย/กำกับโดย) และฟิล ลอร์ด ได้เริ่มต้นการทำงานด้วยการร่วมสร้างภาพยนตร์อนิเมชันด้วยกันที่ดาร์ทเมาธ์ คอลเลจ ซึ่งไปสะดุดสายตาของวอลท์ ดิสนีย์ คัมปะนี ที่ซึ่งพวกเขาได้สร้าง ควบคุมงานสร้างและกำกับซีรีส์อนิเมชันทางเอ็มทีวีเรื่อง “Clone High“
นอกเหนือจากผลงานการเขียนบทแล้ว ลอร์ดและมิลเลอร์ยังได้รับหน้าที่ผู้ร่วมควบคุมงานสร้างใน “How I Met Your Mother” ซิทคอมไพรม์ไทม์ที่ได้รับรางวัลเอ็มมี และเริ่มแพร่ภาพทางซีบีเอสในเดือนกันยายน ปี 2005 และเป็นผู้ควบคุมงานสร้างของซีรีส์ “Awesometown” ที่นำเสนอคณะตลกเดอะ โลนลี ไอแลนด์และตอนไพล็อต “Phil Hendrie” นอกจากนี้ พวกเขายังรับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างที่ปรึกษาในซีรีส์ “Jake in Progress” และเรื่อง Cracking Up รับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างควบคุมในซีรีส์ “Method & Red” และ “Luis” และส่วนหนึ่งของทีมเขียนบทใน “Zoe, Duncan, Jack & Jane”
มิลเลอร์ได้พากย์เสียงเป็นจอห์น เอฟ. เคนเนดีและมิสเตอร์บัตเลอร์ทรอนในซีรีส์ “Clone High” และรับบทคลิฟฟ์ในซีรีส์ “Caroline in the City” อีกด้วย
มิลเลอร์และลอร์ดเห็นพ้องต้องกันว่า ความผิดพลาดทำให้พวกเขาได้งานพัฒนาการ์ตูนช่วงเช้าวันเสาร์ให้กับวอลท์ ดิสนีย์ คัมปะนี ซึ่งมันก็ได้นำไปสู่งานพัฒนาซีรีส์อนิเมชันช่วงไพรม์ไทม์ให้กับทัชสโตน เทเลวิชันของพวกเขา
ระหว่างที่กำลังศึกษาอยู่ มิลเลอร์ได้รับรางวัลงานเทศกาลภาพยนตร์และวิดีโอนิวอิงค์แลนด์ปี 1998 จากภาพยนตร์สั้นอนิเมชันของเขาเรื่อง Sleazy Goes to France นอกจากนี้ เขายังรับหน้าที่หัวหน้ากองบรรณาธิการนิตยสารขำขันประจำมหาวิทยาลัยดาร์ทเมาธ์ในชื่อ The Jack-O-Lantern อีกด้วย
มิลเลอร์เป็นชาวเลค สตีเวนส์, วอชิงตัน เขาไปศึกษาที่ดาร์ทเมาธ์ คอลเลจ ที่ซึ่งเขาได้พบกับเพื่อนรัก ฟิล ลอร์ด ระหว่างศึกษาด้านรัฐบาลและศิลปะสตูดิโอ มันเป็นความสำเร็จสามอย่าง ซึ่งสองในสามอย่างนั้นมีประโยชน์ต่อการทำงานของเขา
ก่อนหน้าที่จะเข้าทำงานที่โซนี พิคเจอร์ส อนิเมชันในปี 2005 แพม มาร์สเดน (ผู้อำนวยการสร้าง) ได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Dinosaur ให้กับวอลท์ ดิสนีย์ ฟีเจอร์ อนิเมชันและภาพยนตร์โฮม เอนเตอร์เทนเมนต์เรื่อง Twice Upon a Christmas ให้กับดิสนีย์ตูน สตูดิโอส์ในวอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์ส
มาร์สเดนเริ่มต้นทำงานในตำแหน่งผู้จัดการเวที และไม่นานหลังจากนั้น เธอก็ได้ไต่เต้าขึ้นมาเป็นผู้อำนวยการสร้างเทศกาลละครเวทีนานาชาติในชิคาโก ซึ่งเป็นหน้าที่ที่เธอได้รับมาถึงสิบปี
มาร์สเดนเป็นชาวคาลามาซู, มิชิแกน แบ็คกราวน์ด้านการศึกษาของเธอได้แก่ปริญญาตรีสาขาการละครจากคาลามาซู คอลเลจและปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยแมสซาซูเซทส์, แอมเฮิร์สท์
คอมโพสเซอร์เจ้าของรางวัลเอ็มมี มาร์ค มาเธอร์สโบห์ (ดนตรีโดย) ได้แต่งดนตรีให้กับโปรเจ็กต์ภาพยนตร์และโทรทัศน์กว่า 70 เรื่อง เขาเริ่มโด่งดังในโลกดนตรีในยุค 70s ในฐานะนักร้องนำและนักคีย์บอร์ดของวงนิวเวฟ/ร็อค เดโว ผู้ออกอัลบัมเสียดสี แหวกแนวหลายต่อหลายชุด รวมถึง “Are We Not Men?” และ “Freedom of Choice”
กลางยุค 80s มาเธอร์สโบห์ได้เริ่มแต่งดนตรีให้โฆษณา ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลคลีโอจากผลงานของเขา หลังจากนั้น เขาก็ได้แต่งดนตรีให้กับโปรเจ็กต์โทรทัศน์หลายเรื่อง ซึ่งรวมถึงเพลงธีมและทำนองประกอบที่น่าจดจำของซีรีส์ “Pee-Wee's Playhouse” หลังจากนั้น เขาก็ได้แต่งดนตรีประกอบซีรีส์สำหรับเด็กยอดนิยมเรื่อง “Rugrats” นอกจากนี้ เขายังได้แต่งดนตรีสำหรับภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเรื่อง The Rugrats Movie อีกด้วย
ในปี 1996 มาเธอร์สโบห์ได้พบกับเวส แอนเดอร์สัน และได้แต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์เรื่อง Bottle Rocket ของเขา เขาได้แต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์โดยแอนเดอร์สันเรื่อง Rushmore ที่นำแสดงโดยบิลล์ เมอร์เรย์และ The Royal Tenenbaums ที่นำแสดงโดยยีน แฮ็คแมน, กวินเนธ พัลโทรว์, แองเจลิกา ฮูสตันและโอเวน วิลสัน The Life Aquatic With Steve Zissou เป็นผลงานเรื่องที่สี่ที่เขาร่วมงานกับแอนเดอร์สัน
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของมาเธอร์สโบห์ได้แก่ภาพยนตร์โดยแคทเธอรีน ฮาร์ดวิคเรื่อง Lords of Dogtown และ Thirteen, ภาพยนตร์โดยโจและแอนโธนี รุสโซเรื่อง Welcome to Collinwood ที่นำแสดงโดยจอร์จ คลูนีย์, Happy Gilmore ที่นำแสดงโดยอดัม แซนด์เลอร์, 200 Cigarettes และ The New Age จากผู้กำกับไมเคิล โทลคินและผู้อำนวยการสร้างโอลิเวอร์ สโตน
มาร์คเป็นผู้ได้รับรางวัลเกียรติคุณแห่งชีวิตริชาร์ด เคิร์คของบีเอ็มไอ ผลงานจอแก้วเรื่องล่าสุดของเขาได้แก่ “Big Love” ทางเอชบีโอและ“Eureka” ทางไซไฟ
นอกจากนี้ มาเธอร์สโบห์ยังได้ขยายขอบเขตผลงานของเขาด้วยการแต่งดนตรีประกอบวิดีโอเกมหลายเกมรวมถึง “The Sims” ด้วย
มาเธอร์สโบห์เป็นศิลปินระดับโลก ผู้มีแอนดี้ วอร์ฮอลเป็นแรงบันดาลใจ ภาพเขียนและภาพวาดของเขาถูกจัดแสดงตามแกลเลอรีต่างๆ ทั่วโลก
เขายังคงแสดงร่วมกับวงเดโว ซึ่งเพิ่งกลับมาใหม่เมื่อไม่กี่ปีมานี้ พวกเขาได้เล่นคอนเสิร์ตหลายครั้งทั่วประเทศ ซึ่งรวมถึงที่เซ็นทรัล ปาร์คในนิวยอร์กเมื่อซัมเมอร์ปีที่แล้วอีกด้วย
มาเธอร์สโบห์เกิดในโอไฮโอและศึกษาที่มหาวิทยาลัยรัฐเคนท์
“ACADEMY AWARD?” และ “OSCAR?” เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนและเครื่องหมายบริการของสถาบันศิลปะและวิทยาการภาพยนตร์