การวิจัยชี้ว่า เครื่องมือทดสอบ CD4 มีความคุ้มค่าเหมาะสำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวี ที่อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ที่ยากต่อการเข้าถึง โดยใช้วิธีการรักษาแบบ SECOND-LINE ARV

ข่าวทั่วไป Wednesday September 20, 2006 14:37 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--20 ก.ย.--โทเทิล ควอลิตี้ พีอาร์
ผลการวิจัยล่าสุด ได้ถูกนำเสนอในงานประชุมเอดส์โลกครั้งที่ 16 ทางด้านวิธีใช้เครื่องมือทดสอบ CD4 ซึ่งชี้ว่ามีประสิทธิภาพอย่างคุ้มค่าในการหลีกเลี่ยงวีธีรักษาโรคเอดส์โดยไม่จำเป็นและฟุ่มเฟือย
บริษัท เบคตัน ดิคคินสัน แอนด์ คัมพานี หรือ บีดี ประกาศอย่างเป็นทางการว่าการศึกษาจากนักวิจัยสถาบันสาธารณสุข จอห์นส์ ฮ็อพกินส์ บลูมเบิร์ก ซึ่งสาธิตการทำงานของเครื่องมือทดสอบ CD4 ซึ่งนับว่าเป็นวิธีเพื่อทดสอบการทำงานอย่างมีความคุ้มค่า สำหรับการดูแลผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวีในประเทศที่มีรายได้ต่ำ และอยู่ในพื้นที่ที่ยากแก่การเข้าถึง โดยการใช้ยาต้านไวรัสเอดส์ แบบ Second line ARV (Second line antiretroviral treatment) โดยผลการวิจัยดังกล่าวได้รับเงินทุนสนับสนุนจาก บีดี ไบโอซายส์ ซึ่งเป็นแผนกหนึ่งของบีดี การศึกษาดังกล่าวได้รับการประกาศอย่างเป็นทางการในงานประชุมเอดส์โลกครั้งที่ 16 (AIDS 2006) ณ กรุงโตรอนโต้ โดยงานประชุมเอดส์โลกครั้งก่อนได้จัดขึ้นในกรุงเทพฯ ในปี พ.ศ. 2547
การศึกษานี้ได้รับการเปรียบเทียบเรื่องความคุ้มค่าของเครื่องทดสอบ CD4 ที่วัดค่าจำนวนลิมโฟซัยส์ทั้งหมด และการทดสอบ ค่า CD 4 ร่วมกับ วัดค่าปริมาณของเชื้อไวรัส การตรวจสอบการทำงานของ CD4 ทำโดยให้ผู้ดูแลเข้าไปวัดความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกันโรคของผู้ป่วยแต่ละคน และเครื่องนี้สามารถแบ่งผู้ติดเชื้อเอชไอวีออกเป็นสองกลุ่มย่อยที่สำคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพแน่ชัด: ผู้ป่วยกลุ่มแรกถูกวัดโดยเครื่อง CD4 ผลออกมาอยู่ในระดับกลาง แต่อาการของผู้ป่วยกลุ่มนี้ กลับมีอาการของโรคเหมือนผู้ติดเชื้อเอชไอวีขั้นรุนแรง ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งที่อาการดูเหมือนคนปกติทั่วไป แต่ CD4 กลับวัดออกมาได้ว่า เชื้อเอชไอวีได้แพร่กระจายเพิ่มมากขึ้นไปถึงจุดที่ควรใช้ ARV จึงจะเป็นประโยชน์ ดังนั้น การรักษาผู้ติดเชื้อ หากอิงตามหลักเกณฑ์การวัดของเครื่อง CD4 แล้ว ผู้ติดเชื้อที่ CD4 วัดออกมาอยู่ในระดับกลาง ก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องไปรับการรักษาหรือทานยาที่ไม่จำเป็น ผลดีที่ตามมาก็คือพวกเขาก็ไม่ต้องได้รับผลกระทบจากผลข้างเคียงจากการรักษาหรือยาที่ไม่จำเป็นเหล่านั้น ขณะที่กลุ่มผู้ป่วยที่วัด CD4 แล้วได้ระดับต่ำ ผู้ป่วยกลุ่มนี้ก็สมควรต้องได้รับยาหรือการรักษาที่เหมาะสมกับระดับอาการของตนเอง
“ผลจากการศึกษาออกมาเป็นที่น่าประหลาดใจมาก เพราะเครื่องมือทดสอบ CD4 สามารถยืนยันได้เลยว่ามันปลอดภัยมากแค่ไหนในการใช้เครื่องมือ CD4 ทดสอบเพื่อให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีไม่ต้องรับการรักษาหรือทานยาที่ไม่จำเป็นและฟุ่มเฟือย” รองศาสตราจารย์ นายแพทย์เดวิด บิไช นักวิจัยตรวจสอบ แผนกประชากรและการบริการสุขภาพครอบครัว สถาบันสาธารณสุข จอห์นส์ ฮ็อพกินส์ บลูมเบิร์ก กล่าว “เราลองกำหนดจำนวนประชากร sub-Saharan African แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม เพื่อทดสอบการแพร่กระจายของเชื้อเอชไอวี กลุ่มแรกได้รับการรักษาอย่างเต็มที่ กลุ่มที่สองไม่ได้รับการรักษาใดๆ ในการศึกษา เราสามารถลดค่าใช้จ่ายลงในการทดสอบกลุ่มคนที่ได้รับเชื้อเอชไอวี ในช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมา การศึกษายังแสดงให้เห็นว่าเรายังลดค่าใช้จ่ายได้เพิ่มขึ้นอีกในผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวีที่มีอัตราการแพร่กระจายของเชื้อน้อย”
นักวิจัยใช้ทฤษฎีทางคณิตศาสตร์กับผู้ติดเชื้อเอชไอวี 10,000 ราย เพื่อประเมินผลกระทบที่เพิ่มขึ้น และวัดความคุ้มค่าของวิธีทดสอบปฏิบัติการแบบมีทางเลือก สำหรับวัตถุประสงค์ของการศึกษา นักวิจัยได้สร้างกราฟแนวยาวที่มีช่วงเวลา 10 ปี ซึ่งประกอบไปด้วยการประเมินผลที่ได้รับต่อสุขภาพชีวิตในแต่ละปี คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในแต่ละปี และค่าใช้จ่ายทางสังคม ลดลง 3 เปอร์เซ็นต์ ผลการศึกษายังอธิบายได้อีกว่าการเพิ่มการทดสอบด้วยเครื่อง CD4 ยังช่วยรักษาชีวิตให้ยาวนานขึ้น แลกกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นมาไม่มาก เปรียบเทียบระหว่างค่าใช้จ่ายประมาณ $635 ต่อหนึ่งปี เทียบกับค่าใช้จ่าย $628 ต่อหนึ่งปีสำหรับผู้ติดเชื้อที่ได้รับการรักษาด้วย ARV เพียงอย่างเดียว และไม่ได้ทดสอบด้วยเครื่อง CD4 ที่สามารถตรวจสอบการเติบโตของเชื้อได้อย่างแม่นยำ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ (URL ของการศึกษา)
วิธีตรวจสอบสี่ประเภทเมื่อได้รับการเปรียบเทียบ:
การดูแลอาการ โดยปราศจากการทดสอบในห้องแล็บ (ใช้เฉพาะ ARV เท่านั้น)
การดูแลอาการ พร้อมวัดจำนวนลิมโฟซัยส์ทั้งหมด ทุก 6 เดือน การดูแลอาการ พร้อมทดสอบเครื่อง CD4 ทุกๆ 6 เดือน (CD4)
การดูแลอาการ พร้อม CD4 และการทดสอบ VL สี่สัปดาห์หลังจากการเริ่มรักษา หลังจากนั้นทดสอบทุก 6 เดือน (VL)
“เราหวังว่าการศึกษานี้จะมีส่วนช่วยผู้มีอำนาจตัดสินใจในประเทศกำลังพัฒนา เพราะมันสามารถไปกำหนดวิธีรับมือกับโรคเอดส์ได้” ดร. บิไช กล่าว “ความคุ้มค่าอย่างเดียวไม่ใช่ปัจจัยการตัดสินใจที่สำคัญที่สุดในการกำหนดนโยบายสุขภาพ แต่การศึกษานี้สามารถไปสนับสนุนความคิดที่อาจขาดการรักษาแบบ second line การทดสอบ CD4 จะไปทดแทนค่าใช้จ่ายที่เสียไป เพราะมันสามารถวัดได้ว่าผู้ติดเชื้อบางรายไม่จำเป็นต้องใช้ยาหรือการบำบัดโรค และเครื่องนี้ยังสามารถอธิบายได้ว่าแม้แต่การรักษาแบบ second line ที่ฟุ่มเฟือย เครื่องทดสอบ CD4 และ VL จะไปเพิ่มขีดความสามารถในการเลือกผู้ป่วยบางรายให้เหมาะกับการรักษา”
การศึกษาที่คล้ายคลึงกันได้รับการคิดขึ้นมาเพื่อตรวจสอบความคุ้มค่าของการวินิจฉัยโรควัณโรค (TB) ปัจจุบันกำลังทดสอบอยู่ที่สถาบันสาธารณสุข จอห์นส์ ฮ็อพกินส์ บลูมเบิร์ก ซึ่งได้รับเงินช่วยเหลือโดย บีดี วัณโรคสามารถติดเชื้อได้โดยง่ายที่สุดและเป็นสาเหตุใหญ่ทำให้คนที่ติดเชื้อเอชไอวีเสียชีวิตมากที่สุด ประชากรประมาณ 14 ล้านคน ล้วนแล้วแต่ติดเชื้อวัณโรคและเอชไอวีพร้อมกันและมีผู้ป่วยจำนวน 10 ล้านคนอาศัยในอัฟริกา
เกี่ยวกับ บีดี
บีดี เป็นบริษัทผู้ผลิตเทคโนโลยีทางการแพทย์ชั้นนำระดับโลก ผลิตและขายเครื่องมือทางการแพทย์ ระบบและสารที่ใช้เพื่อตรวจวัด บริษัทมีความตั้งใจในการเสริมสร้างสุขภาพของประชาชนทั่วโลกให้ดีขึ้น บีดี เชี่ยวชาญการคิดค้นและพัฒนายาบำบัดโรค เพิ่มคุณภาพและความเร็วของการวินิจฉัยโรคที่ติดเชื้อได้ง่าย และส่งเสริมการวิจัยแบบก้าวหน้า และการค้นพบตัวยาและวัคซีนใหม่ๆ บริษัทฯยังเชี่ยวชาญการต่อสู้กับโรคที่เกิดชึ้นใหม่ๆในโลกและหาวิธีรักษาและป้องกัน บีดี ก่อตั้งขึ้นในปี 1897 และมีสาขาใหญ่อยู่ใน แฟรงคลิน เลคส์, นิว เจอร์ซี่, บีดี มีพนักงานมากกว่า 25,000 คนในกว่า 50 ประเทศทั่วโลก บริษัทฯ ให้บริการทางด้านสถาบันดูแลสุขภาพ นักวิจัยชีววิทยา ห้องปฏิบัติการคลินิก อุตสาหกรรมและประชาชนทั่วไป ข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเข้าไปที่ www.bd.com
สอบถามรายละเอียดและรูปภาพเพิ่มเติม กรุณาติดต่อที่:
ฤทัยวรรณ ตันวงษ์วาน
บริษัท โทเทิล ควอลิตี้ พีอาร์ (ประเทศไทย) จำกัด
โทร. 0-2260-5820 ต่อ 114 แฟกซ์ 0-2260-5847-8
อีเมล์: tqprthai@tqpr.com

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ