กรุงเทพฯ--7 ก.ย.--ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ดร.สันติ กีระนันทน์ ผู้จัดการตลาดตราสารหนี้ (Bond Electronic Exchange — BEX) ตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้รับพันธบัตรออมทรัพย์รุ่นที่ 2 จำนวน 2 รุ่น รวมมูลค่า 20,187.90 ล้านบาท เข้าจดทะเบียนในตลาดตราสารหนี้ ตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน 2548 เป็นต้นไป โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “SB119A” และ “SB149A”
“การเข้ามาจดทะเบียนในตลาดตราสารหนี้หรือ BEX จะทำให้การซื้อหรือขายพันธบัตรออมทรัพย์ทั้ง 2 รุ่นนี้ สามารถซื้อหรือขายก่อนกำหนดได้ โดยผู้สนใจสามารถซื้อหรือขายพันธบัตรได้โดยผ่านบริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งวิธีการซื้อขายพันธบัตรดังกล่าวสามารถทำได้ 2 วิธี คือ 1.จับคู่อัตโนมัติ (Automatic Order Matching) และ 2. การซื้อขายรายใหญ่ (Put through) ส่วนกรณี ที่ต้องการซื้อขายต่ำกว่า 100 หน่วย สามารถทำการซื้อขายได้บนกระดาษย่อย (odd-lot)” ดร.สันติกล่าว
ผู้จัดการตลาดตราสารหนี้ กล่าวต่อว่า “ การเข้ามาจดทะเบียนในตราสารหนี้ของพันธบัตรออมทรัพย์ทั้ง 2 รุ่นนี้จะทำให้พันธบัตรรัฐบาลใน BEX มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 408,377.90 ล้านบาท ส่งผลให้มูลค่าคงค้างในตลาดตราสารหนี้เป็น 659,237.54 ล้านบาท และจำนวนตราสารหนี้เพิ่มขึ้นเป็น 73 รายการ
เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2547 กระทรวงการคลังได้ออกพันธบัตรออมทรัพย์จำนวน 2 ชุดประกอบด้วย
รุ่นที่ 1 พันธบัตรออมทรัพย์ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ครั้งที่ 2 อายุ 7 ปี ชื่อย่อว่า “SB119A” มูลค่า 9,367.45 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 5.1 ต่อปี
รุ่นที่ 2 พันธบัตรออมทรัพย์ปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ครั้งที่ 2 อายุ 10 ปี ชื่อย่อว่า“SB149A” มูลค่า 10,820.45 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 5.9 ต่อปีเพื่อจำหน่ายให้แก่ บุคคลธรรมดาที่ถือสัญชาติไทย สหกรณ์ มูลนิธิ วัด สถานศึกษา และโรงพยาบาล โดยกำหนดเงื่อนไขการถือครองพันธบัตรว่าผู้ถือพันธบัตรจะไม่สามารถขายคืนหรือโอนกรรมสิทธิ์ได้จนกระทั่งถึงวันที่ 9 กันยายน 2548
ทั้งนี้ พันธบัตรออมทรัพย์ทั้ง 2 รุ่นกำหนดชำระดอกเบี้ยทุกวันที่ 9 มีนาคม และ 9 กันยายน ตลอดอายุ พันธบัตร
ผู้ที่สนใจลงทุนในพันธบัตรหรือหุ้นกู้ หรือต้องการเปลี่ยนมือสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่บริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์ฯ และดูข้อมูลตราสารหนี้จากเว็บไซต์ของตลาดตราสารหนี้ได้ที่ www.bex.or.th--จบ--