6 เดือนแรกปี 49 บริษัทจดทะเบียนกำไรรวมกว่า 2.7 แสนล้าน

ข่าวทั่วไป Friday August 18, 2006 14:06 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--18 ส.ค.--ตลท.
บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และ mai ประกาศผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกของปี 2549 มีผลกำไรสุทธิรวม 273,245 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 7 กลุ่มทรัพยากร กลุ่มธุรกิจการเงิน และกลุ่มบริการ มีกำไรสุทธิรวมสูงสุด 3 อันดับแรก
นายสุทธิชัย จิตรวาณิช รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัท จดทะเบียนประจำงวด 6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2549 ว่า บริษัทจดทะเบียนทั้งในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ได้นำส่งงบการเงินแล้วจำนวน 499 บริษัท หรือคิดเป็นร้อยละ 97 จากบริษัทจดทะเบียนทั้งสิ้น 516 บริษัท
“จากงบการเงินงวด 6 เดือนปี 2549 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่นำส่งงบแล้ว 462 บริษัทจากทั้งหมด 479 บริษัท มียอดขายรวม 2,698,551 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 22 จากงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิรวม 272,596 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 7 โดยมีบริษัทที่ประกาศผลกำไรสุทธิ 377 บริษัท คิดเป็นร้อยละ 82” นายสุทธิชัยกล่าว
บริษัทในกลุ่ม SET50 มีกำไรสุทธิ 212,304 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 78 ของกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนรวม โดยมียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 27 มีกำไรขั้นต้นร้อยละ 23 และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 13
ส่วนบริษัทในกลุ่ม SET100 มีกำไรสุทธิ 224,751 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 82 ของกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนรวม โดยมียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 27 มีกำไรขั้นต้นร้อยละ 22 และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 13
รองผู้จัดการกล่าวต่อว่า “บริษัทที่มีกำไรสุทธิสูงสุด 5 อันดับแรก คือ บมจ. ปตท. (PTT) บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) บมจ. ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) บมจ.ไทยออยล์ (TOP) และบมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC)
1. บมจ.ปตท. (PTT) มีกำไรสุทธิรวม 55,381 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน (44,350 ล้านบาท) ร้อยละ 25 เนื่องจากบริษัทมียอดขายที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับราคาขายผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลก และผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ทำให้บริษัทมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน นอกจากนี้ บริษัทยังมีกำไรจากการขายหุ้นในบริษัท โรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด (มหาชน) (RRC)
2. บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) มีกำไรสุทธิรวม 17,178 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน (18,718 ล้านบาท) ร้อยละ 8 เนื่องจากผลการดำเนินงานที่ลดลงของธุรกิจเคมีภัณฑ์ ธุรกิจซิเมนต์ และธุรกิจผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น
3. บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม(PTTEP) มีกำไรสุทธิ 15,116 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน (9,735 ล้านบาท) ร้อยละ 55 เนื่องจากบริษัทมียอดขายเพิ่มขึ้น
4. บมจ.ไทยออยล์ (TOP) มีกำไรสุทธิ 10,971 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน (7,222 ล้านบาท) ร้อยละ 52 เนื่องราคาน้ำมันสำเร็จรูปปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นค่อนข้างมาก
5. บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) มีกำไรสุทธิ 9,415 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน (9,930 ล้านบาท) ร้อยละ 5 เนื่องจากบริษัทมีการลดราคาค่าบริการ เพื่อดึงลูกค้ากลุ่มใหม่และรักษาฐานลูกค้าเดิม
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน 8 กลุ่มอุตสาหกรรม (Industry Group) จำนวน 437 บริษัท ไม่รวมบริษัทจดทะเบียนที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน (NC) และ บริษัทจดทะเบียนในกลุ่มที่แก้ไขการดำเนินงานไม่ได้ตามกำหนด (NPG) มีกำไรสุทธิรวม 259,901 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 95 ของกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนรวม โดยเรียงลำดับตามกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสุทธิสูงสุดได้ ดังนี้
1. กลุ่มทรัพยากร (หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค และหมวดเหมืองแร่) มีกำไรสุทธิ 101,040 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 18 จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการใช้ปิโตรเลียมโดยรวมของประเทศและราคาขายปิโตรเคมียังคงอยู่ในระดับสูง
2. กลุ่มธุรกิจการเงิน (หมวดธนาคาร หมวดเงินทุนและหลักทรัพย์ และหมวดประกันภัยและประกันชีวิต) มีกำไรสุทธิ มีกำไรสุทธิ 52,030 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 9 จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นลดลงค่อนข้างมาก
3. กลุ่มบริการ (หมวดพาณิชย์ หมวดสื่อและสิ่งพิมพ์ หมวดการแพทย์ หมวดการท่องเที่ยวและสันทนาการ
หมวดบริการเฉพาะกิจ และหมวดขนส่งและโลจิสติกส์ ) มีกำไรสุทธิ 31,370 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 50 จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากยอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน
4. กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง (หมวดวัสดุก่อสร้าง และหมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์) มีกำไรสุทธิ 30,462 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 8 จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นจากผลกระทบของราคาน้ำมันที่สูงขึ้นมาก
5. กลุ่มเทคโนโลยี (หมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หมวดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์) มีกำไรสุทธิ 18,301 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 6 จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการรับรู้รายได้จากการพัฒนาและวางระบบลดลง ประกอบกับการแข่งขันที่รุนแรงของกลุ่มอุตสาหกรรม
6. กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม (หมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ หมวดวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร หมวดบรรจุภัณฑ์ หมวดกระดาษและวัสดุการพิมพ์ และหมวดยานยนต์) มีกำไรสุทธิ 16,584 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยหมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ มีสัดส่วนกำไรสุทธิร้อยละ 76 ของกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 81 จากงวดเดียวกันของปีก่อน
7. กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร (หมวดอาหารและเครื่องดื่ม และหมวดธุรกิจการเกษตร) มีกำไรสุทธิ 7,017 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 24 จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นเป็นผลให้ดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้น
8. กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (หมวดแฟชั่น ของใช้ในครัวเรือน และของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์) มีกำไรสุทธิ 3,098 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4 จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้น
สำหรับบริษัทจดทะเบียนที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน (Non-Compliance : NC) และบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มที่แก้ไขการดำเนินงานไม่ได้ตามกำหนด (Non-Performing Group : NPG) จำนวน 33 บริษัท นำส่งงบการเงินจำนวน 25 บริษัท
“บริษัทที่ขึ้นเครื่องหมาย NC ในหมวดธุรกิจปกติ นำส่งงบการเงิน 15 บริษัท จาก 16 บริษัท มีกำไรสุทธิ 12,569 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 3.3 เท่า เนื่องจากมีกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้เพิ่มขึ้น 4 เท่า และมียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 22 เนื่องจากบริษัทในหมวดพลังงานได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งผลจากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นทำให้มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน
ด้านบริษัทในกลุ่ม NPG นำส่งงบการเงินจำนวน 10 บริษัท จาก 17 บริษัท มีกำไรสุทธิ 126 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 98 เนื่องจากกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้และยอดขายลดลง”นายสุทธิชัยกล่าว
ทั้งนี้ สรุปสถานะการฟื้นฟูกิจการของบริษัทในกลุ่มนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2549 ถึงวันที่ 16 สิงหาคม 2549 สรุปได้ดังนี้
- ไม่มีบริษัทใดที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน (NC) เพิ่มเติม
- บริษัทที่พ้นเกณฑ์อาจถูกเพิกถอนและหลักทรัพย์ได้กลับไปซื้อขายได้ตามปกติ 9 บริษัท ได้แก่
บมจ.โรงพิมพ์ตะวันออก (EPCO) , บมจ.เอเวอร์แลนด์ (EVER) , บมจ.อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ วิศวการ (IFEC) บมจ.พรีเมียร์ เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เทคโนโลยี่ (PE&T ) , บมจ.ปรีชากรุ๊ป (PRECHA) , บมจ.สยามอุตสาหกรรมการเกษตรสัปปะรดและอื่น ๆ (SAICO) , บมจ.ไทยฮีทเอ็กซ์เช้นจ์ (THECO) ,
บมจ.ไทยนามพลาสติกส์ (TNPC) , บมจ.ไทยไวร์โพรดัคท์ (TWP)
ติดต่อส่วนสื่อมวลชนสัมพันธ์ ฝ่ายสื่อสารองค์กร
ลดาวัลย์ กันทวงศ์ โทร. 0-2229 — 2036 / กุลวิดา จินตกะวงส์ โทร. 0-2229 — 2037/
ณัฐพร บุญประภา โทร. 0-2229 — 2049 / วรรษมน เสาวคนธ์เสถียร โทร. 0-2229-2797

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ