MOVIE: "Dear John": รักจากใจจร

ข่าวบันเทิง Tuesday February 23, 2010 13:07 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--23 ก.พ.--สหมงคลฟิล์ม ชื่อภาษาไทย รักจากใจจร ประเภท Romantic กำหนดฉาย 4 มีนาคม 2553 เว็บไซด์ภาพยนตร์ http://www.dearjohn-movie.com/ บริษัทจัดจำหน่าย มงคลเมเจอร์ อำนวยการสร้าง มาร์ตี้ โบเว็น (Twilight, The Twilight Saga: New Moon) กำกับ ลาสซี ฮอลสตรอม (The Cider House Rules ) เขียนบท เจมี่ ลินเด็น (We Are Marshall) นำแสดง แชนนิ่ง เททัม (G.I. Joe, Step Up) อาแมนด้า ไซเฟร็ด (Mamma Mia!) ริชาร์ด เจนกิ้นส์ (The Visitor, Burn After Reading) สก็อต พอร์เตอร์ (Bandslam, Speed Racer) สร้างจากนวนิยายขายดีของ นิโคลัส สปาร์ค ผู้แต่ง The Notebook และ A Walk to Remember กับการประกบคู่สองดาราสุดฮ็อต แชนนิ่ง เททัม จาก G.I. Joe และ Step Up และ อาแมนด้า ไซเฟร็ด จาก Mamma Mia! เปิดผนึกซองจดหมาย “การรักใครสักคนอย่างแท้จริงความหมายว่ายังไง" ความพิศวงของความรู้สึกที่เรียกว่า “รัก” เปิดเผยในความสัมพันธ์ของคู่รัก ความทุ่มเทให้แก่กันและกันถูกทดสอบผ่านอุปสรรคกั้นขวาง นี่คือภาพยนตร์รักโรแมนติกของหนุ่มสาว ที่เจอกับรักแรกและหวังให้เป็นรักครั้งสุดท้าย จากผลงานการกำกับของ ลาสซี ฮอลสตรอม ผู้หยิบวรรณกรรมมาสร้างเป็นหนังโรแมนติคสุดซึ้งใน Chocolat และ The Cider House Rules โดยเขากลับมาในปี 2010 พร้อมกับภาพยนตร์ที่ทำให้ทุกหัวใจเชื่อมั่นว่า "รักแท้" อยู่เหนือทุกกาลเวลา Dear John สร้างจากนวนิยายขายดีของ นิโคลัส สปาร์ค เจ้าของบทประพันธ์อย่าง A Walk to Remember และ The Notebook โดยนี่เป็นเรื่องของ จอห์น (แชนนิ่ง เททัม จาก Step up 1 และ G.I Joe) นายทหารหนุ่มที่กลับมาจากสงครามเพื่อพักผ่อน แต่โชคชะตาฟ้าลิขิตทำให้เขารู้จักกับ ซาวันนาห์ (อาแมนด้า ไซเฟร็ด จาก Mamma Mia!) หญิงสาวผู้เปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณที่เป็นอิสระ ทั้งสองใช้เวลาที่ดูแสนสั้นร่วมกัน แต่ยาวนานในความรู้สึกที่มีให้แก่กันและกัน เมื่อ จอห์น ต้องเดินทางกลับไปรบ ซาวันนาห์ ก็ได้ขอเขาไว้อย่างหนึ่งว่า ให้เขียนจดหมายหากันเพื่อทำให้เธอรู้สึกว่า เขายังคงอยู่เคียงข้างเธอ ถึงแม้ว่าร่างกายของทั้งคู่จะไม่ได้อยู่ด้วยกัน เขารักษาสัญญาจนกลับมาหาเธออีกครั้ง แต่ด้วยภารกิจที่เขาต้องทำเพื่อรับใช้ชาติ ทำให้ จอห์น ต้องเลือกระหว่างหน้าที่อันยิ่งใหญ่กับผู้หญิงที่เขารัก แชนนิ่ง เททัม (G.I. Joe, A Guide to Recognizing Your Saints) และ อาแมนด้า ไซเฟร็ด (Mamma Mia, TV’s Big Love) รับบทคู่รักใน Dear John จากผลงานการกำกับของ ลาสซี ฮอลสตรอม (The Cider House Rules, Chocolat) จากบทภาพยนตร์ของ เจมี่ย์ ลินเด็น (We Are Marshall) ดัดแปลงจากนวนิยายขายดีของ นิโคลัส สปาร์ค (The Notebook, Message in a Bottle) อำนวยการสร้างโดย มาร์ตี้ โบเว็น, วิค ก็อดฟรีย์ และ ไรอัน คาวานาห์ Dear John ร่วมแสดงโดย เฮนรี่ โธมัส (E.T.: The Extra-Terrestrial, Legends of the Fall) ผู้รับบทเป็น ทิม เพื่อนผู้ซื่อสัตย์ของ ซาวันนาห์ ที่ทำทุกอย่างให้เธอมีความสุข, สก็อตต์ พอร์เตอร์ (Friday Night Lights) และ ริชาร์ด เจนกิ้นส์ ผู้เข้าชิงราวัลออสการ์จาก The Visitor ที่รับบทเป็นพ่อของ จอห์น เบื้องหลังการสร้าง Dear John การดัดแปลง Dear John ให้เป็นเวอร์ชั่นภาพยนตร์เริ่มต้นขึ้นเมื่อผู้อำนวยการสร้าง มาร์ตี้ โบเว็น ได้ต้นฉบับของนิยายขายดีของ นิโคลัส สปาร์ค เรื่องนี้ก่อนที่จะถูกตีพิมพ์ "ผมรู้สึกซาบซึ้งระหว่างที่นั่งอ่านนิยายเรื่องนี้ สปาร์ค มีวิธีการเล่าเรื่องที่ปล่อยให้คุณจมเข้าไปในโลกของเขา เข้าไปถึงจิตใจของตัวละครในเรื่อง และเดินเข้าสู่ชายหาดที่เขาได้อธิบายเอาไว้ในหนังสือ และมันก็ยังมีจุดผลิกพันที่คุณคาดไม่ถึง" โบเว็น เล่าต่อว่า "เมื่อผมอ่านจบ สิ่งที่ผมกังวลประการแรกก็คือ ไม่มีนักแสดงคนไหนที่สามารถถ่ายทอด จอห์น ออกมาได้แบบในนิยาย จอห์น เป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบ เป็นนายทหารที่เข้มแข็ง และพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อประเทศชาติ และเขาก็ยังมีด้านที่อ่อนโยนสำหรับใครบางคน ที่จะเข้ามาแล้วตกหลุมรักเขาอย่างเต็มหัวใจ และใจสลายไปกับประสบการณ์ที่ได้พบเจอ" ในที่สุด โบเว็น ก็นึกถึง แชนนิ่ง เททัม เขาเล่าว่า "ผมเคยเห็น แชนนิ่ง ในภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่น A Guide to Recognizing Your Saints และ Step Up ผมพบว่าเขามีทั้งสองบุคลิกของ จอห์น ในตัวเอง ผมคิดว่าถ้า แชนนิ่ง สนใจในตัวละครนี้ มันคงจะดีต่อโปรเจ็คของเรา ดังนั้นผมจึงส่งต้นฉบับไปให้ผุ้จัดการของเขา และ แชนนิ่ง ก็ชอบมันมาก ในที่สุดพวกเราก็ได้พบกับ จอห์น" เมื่อได้ เททัม เข้ามารับบทนำแล้ว โบเว็น และเพื่อนผู้อำนวยการสร้าง วิค ก็อดฟรีย์ ที่เพิ่งมีผลงานอำนวยการสร้างเรื่อง Twilight และ Twilight Saga: New Moon รู้ว่าพวกเขามีโปรเจ็คที่ต้องลงมือสร้างแล้ว และเมื่อนิยายเรื่อง Dear John กลายเป็นหนังสือขายดีเล่มล่าสุดของ นิโคลัส สปาร์ค ภาพยนตร์ก็ดูเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น ทีมผู้อำนวยการสร้างหันไปหาผู้เขียนบท เจมี่ย์ ลินเด็น เพื่อดัดแปลงนิยายให้เป็นภาพยนตร์ โดยตอนแรกนั้น ลินเด็น บอกปฏิเสธในการรับหน้าที่เขียนบท เนื่องจากไม่มีประสบการณ์ในการดัดแปลงนิยายรักโรแมนติกมาก่อน "แต่เมื่อผมคิดถึงมัน ผมก็ไม่สามารถเอาออกจากหัวได้" นี่คือภาพยนตร์โรแมนติก แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่จับใจ ลินเด็น ก็คือความสัมพันธ์ระหว่าง จอห์น และพ่อ และเขาต้องการที่จะถ่ายทอดฉากระหว่างพ่อและลูกให้มีจากหนังสือ ลินเด็น อธิบายว่า "ในหนังสือนั้นฉากระหว่าง จอห์น และพ่อถูกเล่าออกมาอย่างตรงๆ พวกเขาเปิดอกพูดโต้ตอบกัน" ในขณะเดียวกัน ลินเด็น ได้คิดถึงไอเดียเพื่อขยายขอบเขตเรื่องของการใช้จดหมาย ด้วยการให้ จอห์น เขียนจดหมายถึงพ่อ จากนั้นให้เขาอ่านจดหมายฉบับนั้นให้พ่อให้ฉากการเผชิญหน้ากัน "ผมต้องการเห็นฉากนั้นถูกใส่เข้าไปในหนัง และการที่จะทำแบบนั้นได้ ผมก็ต้องเขียนบทภาพยนตร์นี้ทั้งเรื่อง" ลินเด็น สรุปถึงสิ่งที่เขาได้จากการเขียนบทว่า "Dear John เป็นเรื่องราวความรักระหว่าง จอห์น และ ซาวันนาห์ แต่มันก็ยังเป็นเรื่องราวความรักระหว่าง จอห์น และพ่อของเขา เมื่อเรามองดูภาพรวม ผมคิดว่ามันมีทั้งความลึกซึ้ง มีสโคปที่กล้างพอ และตัวละครที่ทำให้ทุกอย่างสอดคล้องกัน" จากใจถึง ผู้กำกับ... เมื่อมีบทภาพยนตร์อยู่ในมือแล้ว โปรเจ็คนี้ก็ก้าวกระโดดไปอีกขั้นเมื่อเซ็นสัญญากับ ลาสซี ฮอลสตรอม โดยผลงานการกำกับของเขาเป็นที่รู้จักจากการถ่าดทอดความรู้สึกของตัวละครอย่างลึกซึ้ง และโอมอ้อมคุณค่าของการใช้ชีวิต ใน Dear John จอห์น และ ซาวันนาห์ มีบุคลิกที่สามารถโยงไปถึงเด็กชายในหนังแจ้งเกิดของ ฮอลสตรอม เรื่อง My Life as a Dog, กิลเบิร์ต (จอห์นนี่ เด็ปป์) ใน What’s Eating Gilbert Grape, โฮเมอร์ (โทบี้ แม็คไกวร์) ใน The Cider House Rules และ วิเวียน (จูเลียต บิโนช) ใน Chocolat ภาพยนตร์เหล่านี้ได้แชร์คความสะเทือนทางอารมณ์ขึ้นสู่จอภาพยนตร์ โบเว็น พูดถึงการหาตัวผู้กำกับว่า "ถ้าคุณมีบทภาพยนตร์ที่มีอารมณ์ที่ดีแล้ว คุณก็ต้องหวังให้หนังทรงพลังและเคลื่อนไหวอารมณ์คนดูได้ และไม่ได้ตกอยู่ในวังวนของละครน้ำเน่า และผู้กำกับที่ทำเช่นนั้นได้ก็คือ ลาสซี ฮอลสตรอม เขามีความพิเศษตรงการที่ทำให้อะไรก็ตามให้ไม่รู้สึกบีบบังคับจิตใจมากไป และสามารถเอื้อมไปจับอารมณ์และถ่ายทอดได้อย่างซื่อตรง ซึ่งก็ทำให้เขากลายเป็นตัวเลือกแรกและตัวเลือกเดียวของเรา" ในการอธิบายสิ่งที่ดึงดูดเขาเข้ามาในโปรเจ็ค ฮอลสตรอม เล่าว่า "สิ่งที่ดึงดูดผมที่สุดใน Dear John ก็คือตัวละคร เรื่องราวของเด็กหนุ่มสาวสองคนที่ตกหลุมรักกัน และการเล่าเรื่องราวแห่งความรักที่มีพื้นที่ในการสร้างสรรค์ที่กว้างใหญ่ไพศาล และพวกเราก็ใช้มันทุกตารางนิ้ว" ฮอลสตรอม เล่าต่อว่า "ผมรู้สึกสนใจในเรื่องที่มีตัวละครเป็นตัวขับเคลื่อน ผมสนใจในอารมณ์ที่เข้มแข็งและพยายามหลีกหนีให้ห่างจากละครน้ำเน่า แต่ผมก็ชอบความสะเทือนทางอารมณ์แบบละครเวที มันมีเส้นบางๆที่แบ่งระหว่างเอาไว้ ผมชอบที่จะเดินบนเส้นกึ่งกลางและดูว่าตัวเองทำมันได้ไหม ผมต้องการหยั่งรากลึกลงไปในความจริงและซื่อตรงกับตัวเองให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้" นักแสดงในเรื่องต่างก็ชื่นชมในวิสัยทัศน์ของ ฮอลสตรอม โดย แชนนิ่ง เททัม พูดถึงผู้กำกับว่า "ผมรู้สึกตื่นเต้นที่ ลาสซี เข้ามาอ่านและชื่นชอบบทภาพยนตร์ เขามีอารมณ์ที่อ่อนไหว เป็นคนสุภาพ และมองสิ่งต่างๆได้อย่างชัดเจน" อาแมนด้า ไซเฟร็ด พูดถึงผู้กำกับว่า "เขาเป็นคนที่มีความตั้งใจสูง เขาเห็นและได้ยินทุกอย่างตามที่เกิดขึ้นในกองถ่าย ฉันคิดว่าเพราะเขาเป็นคนยุโรปมั้ง (หัวเราะ) มันมีบางอย่างที่น่าสนใจเกี่ยวกับชาวสวีเดน" ริชาร์ด เจนกิ้นส์ พูดถึงผู้กำกับว่า "ลาสซี่ ต้องการสำรวจและหาบางสิ่งที่ไม่มีอยู่ตรงนั้น เขาเป็นคนที่ใจดี ให้ความร่วมมือ และให้ความสนใจในเรื่องแสดงที่มีชีวิตและสมจริง นั้นเป็นสิ่งที่คุณควรต้องปฏิบัติเมื่อสร้างหนังสักเรื่อง" เฮนรี่ โทมัส พูดถึงผู้กำกับว่า "จุดประสงค์หลักที่ผมต้องการทำงานในโปรเจ็คนี้ก็เพราะ ลาสซี ฮอลสตรอม จากประสบการณ์ของผม เมื่อคุณทำงานร่วมกับผู้กำกับชื่อดัง อารมณ์ความรู้สึกก็จะมีความเกี่ยวพันมากขึ้น แต่ในกองถ่ายก็ยังมีความผ่อนคลายอยู่" การทุ่มเทของ ฮอลสตรอม ยังส่งผลไปถึงทีมงานสร้าง ลินเด็น ผู้ร่วมอำนวยการสร้างและผู้เขียนบท ได้พูดถึงผู้กำกับว่า "เขาเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดในเรื่องราวประเภทนี้ เพราะว่าเขามีสัญชาตญาณที่เป็นธรรมชาติ เขามองดูทุกอย่างในบทและคอยหลบหลีกทุกจังหวะที่เขาคิดว่ามันบังคับจิตใจมากเกินไป เขาต้องการปล่อยให้ตัวละครสื่อถึงเรื่องที่อยากจะพูดโดยไม่ต้องใช้คำพูด และไม่จำเป็นต้องโชว์ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นผ่านการกระทำ" จากใจถึง จอห์น... เมื่อคิดถึงอาชีพการแสดงของเขา แชนนิ่ง เททัม ไม่เคยฝันว่าจะได้เล่นหนังโรแมนติก "ตั้งแต่เด็กคุณก็มักจินตนาการว่าตัวเองวิ่งไปมาเหมือนอยู่ในหนังแอ็คชั่น มีภาพยนตร์ไม่กี่เรื่องที่พูดถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ผ่านมุมมองของผู้ชาย ดังนั้นผมจึงคิดว่านี้จึงเป็นโอกาสทอง" เททัม เล่าต่อว่า "หนังสือของ นิโคลัส สปาร์ค แต่ละเล่มมีความงดงามของภาษา แต่นิยายเล่มนี้มีบางอย่างที่เล่มอื่นของเขาไม่มี ผมคิดว่าตัวคงเป็นเรื่องสนุกที่ได้ทำอะไรบางอย่างที่เบาลงมา บางอย่างที่อบอุ่นใจมากผลงานเรื่องก่อนๆ แค่เข้ามาในกองและแสดงจากใจเป็นครั้งแรก” เมื่อถามว่าทำไม จอห์น ถึงได้พัฒนาความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับ ซาวันนาห์ ตั้งแต่แรกพบ เททัม อธิบายว่า "เป็นเพราะตั้งแต่วินาทีแรกที่ จอห์น พบบางคนที่เปิดใจเขา ผมพบผู้คนมากมายในชีวิตที่ทำให้ผมมีความสุข และผมก็คิดว่า ซาวันนาห์ คือคนคนนั้นของ จอห์น เธอคือคนที่เขาไม่สามารถหยุดคิดถึงได้ เขาต้องการให้เธออยู่ใกล้ๆตลอดเวลา" เททัม เตรียมพร้อมอย่างหนักในตัวละครตัวนี้ ในการถ่ายทอดตัวละครจจากหนัง และยังอธิบายว่าทำไม จอห์น และ ซาวันนาห์ ถึงทำอย่างที่ทำ เททัม ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างของทั้งสอง ตั้งแต่เรื่องของพื้นเพชีวิตและฐานะทางสังคม "เพราะว่าพ่อของ จอห์น เป็นพวกแอนตี้สังคม ทำให้เขาไม่ได้เรียนรู้อะไรมากเกี่ยวกับสังคมนัก" เททัม เล่าต่อว่า "จอห์น เป็นพวกชอบฉายเดี่ยว เขาเข้าร่วมในกองทัพสหรัฐเพื่อหลีกหนีจากทุกสิ่งที่เขารู้จัก บางครั้งก็อาจเป็นการหนีให้ห่างจากพ่อของตัวเอง ผมโชคดีที่ได้แสดงหนังเกี่ยวกับทหารมาแล้วใน G.I. Joe ซึ่งทำให้ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตทหาร มีบางอย่างในแววตาของพวกเขา และผมก็ใช้มันเพื่อถ่ายทอดความเป็นทหารในตัวของ จอห์น" นอกจากการฝึกฝนในแฝ่มุมทหารแล้ว เททัม ยังค้นพบงานอดิเรกใหม่ระหว่างการเตรียมพร้อมเพื่อรับบท นั้นก็คือการเล่นเซิร์ฟบอร์ด จอห์น เล่นเซิร์ฟในฉากเปิดของเรื่อง และ เททัม ก็ต้องการเล่นมันด้วยตัวเอง "ถึงแม้ว่าผมเติบโตในฟลอริด้า แต่ผมก็ไม่เคยเล่นเซิร์ฟมาก่อน มันเป็นเรื่องเยี่ยมที่ผมได้เรียนเพื่อเล่นมันสำหรับหนังเรื่องนี้" เททัม เล่าถึงประสบการณ์ในการเรียนเล่นเซิร์ฟว่า "พวกเราตื่นตีห้าและอยู่ที่ชายหาดตอนตีห้าครึ่งทุกวัน และฝึกเล่นเซิร์ฟจนถึงเก้าโมงเช้า ถึงแม้ว่าจะหนาวแต่มันก็เป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่า มันไม่มีขั้นตอนหรือวิธีการใดๆในการฝึก คุณแค่ต้องรู้สึกไปกับมัน ผมกลายเป็นพวกติดเซิร์ฟไปเลย ตอนนี้ผมซื้อบอร์ดมาเป็นของตัวเองสองอัน และหาเวลาว่างเพื่อไปเล่น" สำหรับ ฮอลสตรอม ผู้ที่ช่วยให้ทั้ง จอห์นนี่ เด็ปป์, ลีโอดาร์โน ดิคาปริโอ และ โทบี้ แม็คไกวร์ เฉิดฉายในบทเรื่องแรกๆของพวกเขา กล่าวถึงนักแสดงอย่าง เททัม ว่า "เขามีคุณภาพในการแสดงและยังเป็นคนหัวไว เขามีความคิดสร้างสรรค์ มีอารมณ์ขัน และเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ เขาสามารถดั้นสดสิ่งนอกเหนือจากบทภาพยนตร์" ฮอลสตรอม กล่าวต่อว่า "ในภาพยนตร์เรื่องนี้ แชนนิ่ง ได้แสดงให้เห็นถึงฝีมือการแสดงที่แท้จริง เพราะก่อนหน้านี้เขาไม่ได้รับโอกาสให้แสดงมันออกมามากมายนัก แต่ครั้งนี้ แชนนิ่ง ก็พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่าเขามีความสามารถแค่ไหน" จากใจถึง ซาวันนาห์... ซาวันนาห์ เป็นตัวละครนำฝ่ายหญิงของเรื่องนี้ พื้นหลังของเธอมีความสดใสกว่า จอห์น เธอเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัย มีครอบครัวที่มั่งคั่ง มีโรงงานและฟาร์มม้าและบ้านริมชายหาด แต่เธอก็ยังเป็นคนที่มีหัวคิด เธอช่วยสร้างบ้านให้กับผู้ไร้ที่อยู่ในช่วงปิดเทอมใหญ่ นี่คือตัวละครที่เต็มไปด้วยสีสัน และเป็นบทที่มีความซับซ้อน การหาตัว ซาวันนาห์ ที่เหมาะสมเป็นเรื่องท้าทายสำหรับทีมผู้สร้าง นอกจากที่เธอต้องมีอารมณ์ที่สอดคล้องกับตัวละครแล้ว พวกเขายังต้องการนักแสดงที่สามารถรับบทเป็นสาววัยรุ่น และเมื่อหนังดำเนินไปข้างหน้า เธอก็ต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างน่าเชื่อถือ ในที่สุดพวกเขาก็พบกับ ซาวันนาห์ ในตัวของนักแสดงอย่าง อาแมนด้า ไซเฟร็ด ผู้เขียนบท ลินเด็น อธิบายในการเลือก อาแมนด้า ว่า "พวกเราพยายามอย่างหนักในการพัฒนาบทเพื่อทำให้ ซาวันนาห์ เป็นคนที่น่าค้นหามากที่สุดเท่าที่ทำได้ และ อาแมนด้า ก็เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะว่ามันไม่มีความลึกลับเกี่ยวกับตัวเธอเลยแม้แต่น้อย สัญชาตญาณของเธอคือการต่อสู้เพื่อพัฒนาตัวละครตัวนี้" อาแมนด้า อธิบายถึงตัวตนของ ซาวันนาห์ ว่า "ซาวันนาห์ เป็นผู้หญิงจิตใจดี เธอฉลาด มีจิตใจเปิดกว้างรับทุกสิ่ง และไม่จริงจังกับชีวิตมากเกินไป เธอยังเป็นคนโรแมนติก นั้นเธอและ จอห์น จูนเข้าหากันอย่างรวดเร็ว เธอตกหลุมรักเขาเข้าอย่างจัง ฉันไม่คิดว่าเธอเคยรักใครมาก่อน ก่อนที่จะมาพบผู้ชายคนนี้ เธอรู้สึกว่าตัวเองเข้าใจเขา ซึ่งมันเป็นสิ่งที่สวยงาม" อาแมนด้า เล่าต่อว่า "แต่โชคร้ายที่เธอพบเขาในช่วงเวลาที่ไม่ดี การเจอเขาแค่สองเดือนและไม่ได้เจออีกเป็นเวลานาน ความรู้สึกในการอยู่ตัวคนเดียวโดยไม่มีเขา และการต้องรับมือกับความจริงที่ว่า เขาคือทหารที่ต้องออกไปผจญกับสงครามในพื้นที่ที่อันตราย" เททัม เห็นด้วยกับการอธิบายเรื่องราวของ อาแมนด้า ในเรื่องเกี่ยวกับตัวละคร "เมื่อ จอห์น กลับบ้านและพบกับ ซาวันนาห์ ผมคิดว่านั้นคือครั้งแรกที่เขาพบใครบางคนที่เปิดใจเขา เธอคือคนที่เขาคิดถึงตลอดเวลาและต้องการอยู่ด้วย ซาวันนาห์ เป็นคนที่น่ารักและเป็นมนุษย์เพียงคนเดียวที่ทำให้ จอห์น รู้สึกมีชีวิตบนโลกใบนี้ เขาก็ไม่เคยได้รับการยอมรับจากใครมากเท่านี้มาก่อน" แชนนิ่ง เททัม พูดถึงการร่วมงานกับ อาแมนด้า ว่า "ผมคิดว่า อาแมนด้า เป็นนักแสดงที่มีทั้งพรสวรรค์และความสวยจนน่าทึ่ง เธอเข้ามาทดสอบบทคู่กับผมและเธอก็ต่างจากนักแสดงสาวคนอื่นๆ เธอได้นำความสดใสและบุคลิกตลกร้ายเข้ามาในตัว ซาวันนาห์ หญิงสาวที่มีจิตใจอันเป็นอิสระ และเป็นผู้แง้มประตูหัวใจของ จอห์น ซึ่งปิดตายหลังจากใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมายมานาน ฮอลสตรอม พูดถึงดารานำหญิงของเขาว่า "อาแมนด้า ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แบบในการเติมแต่งบุคลิกภาพเข้ามาในตัว ซาวันนาห์ ความคาดเดาไม่ได้ในบุคลิกของเธอป็นเรื่องที่น่าทึ่ง เธอมีเลือกที่จะไม่ตกไปอยู่ในสถานการณ์ซ้ำซาก หรือกระทำในสิ่งที่สามารถคาดเดาได้" ทีมสร้างยังรู้สึกกับการแสดงของ อาแมนด้า และเคมีที่ต้องกันระหว่างนักแสดงทั้งสอง ฮอลสตรอม เล่าต่อว่า "มันเป็นเรื่องเยี่ยมที่ได้ทำงานร่วมกับนักแสดงดาวรุ่งทั้งสอง การได้กำกับนักแสดงอย่าง อาแมนด้า และ แชนนิ่ง เป็นเรื่องที่เปี่ยมไปด้วยแรงบัลดาลใจ และช่วยเติมชีวิตให้กับคนแก่อย่างผม (หัวเราะ)" ฮอลสตรอม รู้สึกซาบซึ้งกับการที่ทั้งคู่พยายามที่จะดั้นสดในฉาก ซึ่งเป็นสิ่งที่เข้ามักกระตุ้นในนักแสดงทำในผลงานของเขา "ผมต้องการทำให้นักแสดงมีส่วนร่วมในทุกระดับ พวกเขามีสิทธิในการแชร์ความคิดเห็นอย่างเต็มที่ ทั้งสองสนุกในการได้พูดอะไรที่อยู่ในใจและอยู่นอกเหนือบท พวกเราพยายามถ่ายทำฉากหนึ่งในหลายๆครั้ง พวกเขาทั้งสองต่างกระตุ้นซึ่งกันและกัน และทำให้สิ่งที่เราเก็บภาพได้มีความสมจริงและบริสุทธิ์" ผู้อำนวยการสร้าง โบเว็น เสริมว่า "ตัวละครในนวนิยายของ สปาร์ค เป็นคู่รัก แต่พวกเขาก็ยังเป็นเพื่อนกัน สายสัมพันธ์ที่สมจริงระหว่าง แชนนิ่ง และ อาแมนด้า ไม่เพียงแต่เป็นนักแสดงแต่รวมถึงความสนิท พวกเขาเป็นคนขี้เล่น และเมื่อเวลาที่ทั้งสองอยู่ต่อหน้ากล้อง สายสัมพันธ์นั้นก็ถูกนำออกมาใช้อย่างเต็มที่" ลินเด็น กล่าวสรุปว่า "แชนนิ่ง และ อาแมนด้า มีความเป็นธรรมชาติทั้งคู่ ในแววตาของพวกเขาไม่มีความรู้สึกเสแสร้ง พวกเขายังคุยถูกคอกัน เคมีระหว่างนักแสดงเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นเอง คุณไม่สามารถสร้างมันขึ้นมาได้ และพวกเขาก็มีมันอย่างเต็มเปี่ยม มันมีบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้เมื่อมองพวกเขาและรู้สึกว่าเหมาะสม" จากใจถึง มิสเตอร์ไทรีย์... พล็อตเรื่องรองใน Dear John แต่ก็เป็นพล็อตเรื่องที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน ก็คือความสัมพันธ์ระหว่าง จอห์น กัยพ่อของเขา ริชาร์ด เจนกิ้นส์ รับบทเป็น มิสเตอร์ไทรีย์ โดยเขาเป็นนักแสดงที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ ในสาขานักแสดงนำขายยอดเยี่ยมจาก The Visitor ของผู้กำกับ โทมัส แม็คคาร์ธี่ย์ สำหรับบทบาทของเขา เจนกิ้นส์ เห็นตัวละครของเขาเป็นผู้ชายที่เลี้ยงดู จอห์น ตัวคนเดียว และรักเขายิ่งกว่าแก้วตาดวงใจ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะแสดงอย่างอย่างไร "มิสเตอร์ไทรีย์ เป็นคนตรงและเงียบครึม เขาไม่ค่อยเข้าสังคม และความสัมพันธ์ระหว่างพ่อและลูกก็ระหองระแหงมานาน" เจนกิ้นส์ เล่าต่อว่า "เมื่อ ซาวันนาห์ เดินเข้ามาในชีวิตของพ่อลูก ความสัมพันธ์ก็ยิ่งซับซ้อนขึ้น เธอบอกให้ จอห์น เปิดใจกับพ่อของตัวเอง เพราะบางครั้งการมองจากคนภายนอก จะเข้าใจถึงสถานการณ์ในครอบครัวมากกว่าที่สามาชิกจะเข้าใจกันเอง ซาวันนาห์ เริ่มเปิดใจให้กับ จอห์น แสดงให้เขาเห็นว่าพ่อไม่ได้ตั้งใจจำในสิ่งที่ทำ แสดงให้เห็นว่าพ่อของเขาไม่ได้เพิกเฉยหรือทอดทิ้งเขา เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าจะสื่อสารกับลูกยังไง" เจนกิ้นส์ ให้ความเห็นกับตัวละครของเขาว่า "ผมคิดว่ามันน่าสนใจ สำหรับความสัมพันธ์ของพ่อและลูกเริ่มที่ต้นจาการสะสมเหรียญ แต่เมื่อเด็กเติบโตและหันไปสนใจอย่างอื่น พ่อก็ยังคงอยู่ในโลกใบเดิมอย่างเดียวดาย ผมเข้าใจในความครอบงำของผู้ชายคนนี้ เขาเป็นคนที่ถูกครอบงำโดยบางสิ่ง ด้วยเหรียญนี้ก็ทำให้เขารู้สึกปลอดภัยและควบคุมได้" ฮอลสตรอม พูดถึงตัวละคร มิสเตอร์ไทรีย์ ว่า "ผมคิดว่าตัวละครที่อยู่ในหน้ากระดาษเป็นสิ่งหน้าสนใจ แต่เมื่อได้นักแสดงอย่าง ริขาร์ด ก็ทำให้เขายิ่งน่าสนใจขึ้นไปอีก เขาเป็นนักแสดงที่สนใจในรายละเอียดปลีกย่อย ริชาร์ด มักทำบางสิ่งที่น่าสนใจ และทำให้ตัวละครนี้มีความสมจริงขึ้นมาอีกระดับ" อยากให้คุณ อยู่ตรงนี้... Dear John ถ่ายทำในเมืองที่เปี่ยมไปด้วยวัฒนธรรมและสวยงามที่ชื่อ ชาร์ลสตัน ในรัฐเซาท์แคโรไลนา ทัศนียภาพที่กว้างขวางช่วยมอบความงดงามให้กับบ้านริมชายหาดของ ซาวันนาห์ ท่าเรือที่ทั้งสองพบกันครั้งแรก และชายหาดที่ทั้งสองนั่งกอดกัน และสถานที่ที่ ซาวันนาห์ เขียนและรับจดหมายจาก จอห์น เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยของชาร์ลสตัน และบ้านพ่อแม่ของเธอและฟาร์มม้าก็เกิดขึ้นใน เอดิโซ โบเว็น เล่าถึงการหาบ้านพ่อแม่ของ ซาวันนาห์ ว่า "เมื่อเรามองหาบ้านพ่อแม่ของ ซาวันนาห์ พวกเราต้องการสถานที่ที่มอบความรู้สึกให้ผู้ชมถึงพื้นหลังของครอบครัว ว่าพวกเขาเป็นคนที่อาศัยอยู่ที่นี่มาหลายชั่วคน มันเป็นการยากที่จะหาบ้านที่ไม่หรูหราเกินไป จนในที่สุดเราก็พบสถานที่ที่เหมาะสม และยังสามารถทำให้คุณลืมหายใจได้" แชนนิ่ง เททัม พูดถึงสถานที่ถ่ายทำว่า "ผมรักรัฐเซาท์แคโรไลนามาก ผมมาจากรัฐทางใต้อยู่แล้ว ดังนั้นผมจึงคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม ทั้งเรื่องอาหารการกิน นิสัยผู้คน และการใช้ชีวิตความเป็นอยู่ มันเปี่ยมไปด้วยมนต์สเน่ห์ พวกเราได้ทานทั้งอาการทะเล ไก่ทอด และบาร์บิคิว ทุกอย่างยอดเยี่ยมจริงๆ" อาแมนด้า ไซเฟร็ด ก็รักรัฐแห่งนี้ไม่ต่างกัน "รัฐทางใต้เป็นเมืองที่แตกต่างจากที่ฉันคุ้นเคย มันมีพลังงานบางอย่างที่คุณอธิบายไม่ได้ มันมีความโรแมนติกซ่อนอยู่ สถานที่แห่งนี้สวยงามมาก มันช่วยดึงบางสิ่งที่คุณหาไม่ได้จากภาพยนตร์ที่ถ่ายทำในสถานที่อื่น" ตอนหนึ่งของ Dear John เกิดขึ้นในต่างประเทศ ซึ่งเขาต้องกลับไปประจำการสถานีรบ ผู้ออกแบบงานสร้าง คาร่า ลินด์สตอร์ม เล่าว่า "พวกเราต้องสร้างประเทศเยอรมัน, อัฟกานิสถาน, แอฟริกา และคองโก ในเมืองชาร์ลสตัน ทุกอย่างเกิดขึ้นในเมืองนี้ ความท้าทายของพวกเราก็คือระยะเวลาและเงินทุน คาเฟ่ในตะวันออกกลางเราไปสร้างกันในโรงเรียนประธมร้างในตัวเมือง หมู่บ้านในอัฟกานิสาถนเราก็ไปถ่ายทำกันในโรงงานปูนซีเมนส์ที่กำลังถูกรื้อถอน ทุกอย่างเป็นงานท้าทายทั้งสิ้น" โบเว็น เล่าถึงการสร้างว่า "คุณต้องมีความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างสถานที่จากทั่วทุกมุมโลกในพื้นที่เดียว พวกเรามีทีมงานที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถ ที่สร้างให้ผู้ชมรู้สึกเชื่อว่าพวกเรากำลังถ่ายทำกันในสถานที่จริง ไม่ใช่เพียงแต่ฉากที่เราจัดตั้งขึ้นนอกตัวเมืองชาร์ลสตัน" ผู้กำกับภาพ เทอร์รี่ สเตซี่ย์ เองก็ได้รับแรงบันดาลใจจากสถานที่ถ่ายทำ "เมื่อผมอ่านบทภาพยนตร์ มันให้ความรู้สึกเหมือนหนังคลาสสิกอย่าง A Farewell To Arms ที่การถ่ายทำแบบซิเนม่าสโคปจะช่วยจัดความยิ่งใหญ่ และช่วยเพิ่มมนต์ขลังค์ให้กับทุกฉาก พวกเราต้องการสร้างโลกทั้งโลกในเมืองแห่งหนึ่ง การใช้เครนถ่ายทำขนาดใหญ่ในฉากที่เกิดในอเมริกา และกล้องแบบติดตามใกล้ชิดในฉากที่เกิดนอกอเมริกา เพื่อสร้างความแตกต่างภายในจิตใจของ จอห์น" จอห์น กับชีวิตทหาร... จอห์น เป็นสมาชิกของหน่วยทหารพิเศษ ที่รู้จักกันในนาม Green Berets ซึ่งเป็นหน่วยที่มีรูปแบบการรบที่ไม่เหมือนใคร และประกอบไปด้วยนายทหารที่มีประสบการณ์อย่างโชกโชน พวกเขาเป็นหน่วยรบพิเศษที่เคลื่อนไหวคล่องแคล่วที่สุดในโลก นี่คือหน่วยทหารที่เก่งที่สุด พวกเขาถูกใช้ในการต่อสู้ทุกรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป้าหมายที่มีความสำคัญ เกวิน แม็คคัลลี่ย์ คือที่ปรึกษาด้านการทหารของภาพยนตร์เรื่อง Dear John ที่เคยประจำการในอิรักและอัฟกานิสถานมาแล้ว โดยเขายังรับบทเป็นเพื่อนทหารของ จอห์น ในเรื่องด้วย "ผมมอบคำแนะนำเกี่ยวกับสถานการณ์ที่หน่วยพิเศษต้องเผชิญ ผมทำงานร่วมกับทีมออกแบบงานสร้าง อุปกรณ์ และเครื่องแต่งกาย เพื่อทำให้แน่ใจว่าทุกอย่างถูกต้อง รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนทหารต่างยศ และสมาชิกในทีมเพื่อให้มีความสมจริงยิ่งขึ้น" แม็คคัลลี่ย์ ทำงานร่วมกับ แชนนิ่ง เททัม และนักแสดงคนอื่นๆที่รับบทเป็นทหารหน่วยพิเศษ ในการเคลื่อนไหวไปพร้อมอาวุธปืน การให้สัญญาณมือ และการเคลื่อนหน่วยจากจุดเอไปจุดบี โดยเขาได้ชื่อชมความตั้งใจของ แชนนิ่ง "เขาเป็นคนที่ทุมเททุกอย่างไปกับการฝึกฝน เขาเป็นคนที่เรียนรู้ไว และมีระดับความจริงจังที่สูงจนน่ากลัว" ผู้พัน จอร์จ บิชอฟ ที่เป็นผู้ประสานงานระหว่างภาพยนตร์และกองทัพสหรัฐ ช่วยดูแลในเรื่องความถูกต้องของการถ่ายทอด และช่วยติดต่อให้ภาพยนตร์หนังยืมเครื่องมือและยานพาหนะของกองทัพ รวมถึงจัดหาและสนับสนุนทางเทคนิกให้กับกองถ่าย "ลาสซี และ แชนนิ่ง พยายามอย่างมากที่จะทำให้ฉากในสนามรบมีความสมจริงที่สุด และมันก็เป็นหน้าที่ของผมในการทำให้มันถูกต้อง" ถึงแม้ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้จะเกิดในปัจจุบัน แต่ทีมผู้สร้างก็ระมัดระวังตัว ในเรื่องการไม่พูดถึงความขัดแย้งในเรื่องสหรัฐกับอิรักและอัฟกานิสาถน ลินเด็น อธิบายว่า "สิ่งหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกชื่นชอบนั้นก็คือ คุณสามารถจับเอาเนื้อเรื่องและตัวละครเหล่านี้เข้าไปยุคไหนก็ได้ มันสามารถเป็นสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่งหรือครั้งที่สอง นี่ไม่ใช่หนังการเมือง มันไม่เกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน" ฮอลสตรอม รู้สึกซาบซึ้งในประสบการณ์ที่ถ่ายทอดแง่มุมของกองทหารของภาพยนตร์เรื่องนี้ "ผมเรียนรู้อย่างมากมายเกี่ยวกับสิ่งที่เราทำในภาพยนตร์เรื่องนี้ การได้ใช้เวลาครึ่งปีในโลกของทหาร ผมเรียนรู้มากมายและเคารพในแรงใจและสิ่งที่ทหารเหล่านี้ได้ทำ" ปัจฉิมลิขิต... เททัม สรุปถึงสาระสำคัญของเรื่องว่า "สำหรับผมแล้วหนังเรื่องนี้เกี่ยวกับความรู้สึกของ จอห์น และการตามหาความเป็นไปได้เกี่ยวกับความรัก ผมไม่รู้ว่าเขาเคยมีความรักมาก่อนรึเปล่า และสำหรับผมแล้วหนังเรื่องนี้เกี่ยวกับการเปิดใจและพบกับความรัก และหลังจากนั้นก็สู้เพื่อมัน และถ้าคุณสูญเสียสิ้งนั้นไป สิ่งที่คุณทำหลังจากนั้นจะเป็นตัวพิสูจน์ความเป็นคุณ" ไซเฟร็ด ก็สรุปถึงสาระสำคัญของเรื่องว่า "ฉันหวังว่าคนดูจะจมลงไปกับเรื่องราวนี้ และรู้สึกตื้นตันในสิ่งที่ผู้คนสามารถมอบความรักให้แก่กันและกัน และทำในสิ่งที่ผู้คนทำเพื่อรักษาให้มันคงอยู่ตลอดไป" ฮาลสตอร์ม ก็สรุปถึงประสบการณ์ที่เขาได้รับว่า "ผมรู้สึกพอใจกับผลที่ได้รับ ภาพยนร์เรื่องนี้มีความรู้สึกที่เข้มแข็ง มีสโคปที่ยิ่งใหญ่ และเป็นสิ่งที่ผมหลงไหล มันมีทุกสิ่งที่ผมรักในโลกภาพยนตร์ และผมก็ภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมัน" ทีมนักแสดง แชนนิ่ง เททัม (รับบทเป็น จอห์น) แชนนิ่ง เททัม คือนักแสดงดาวรุ่งที่มาแรงที่สุดในขณะนี้ โดยเขาเพิ่งมีผลงานในหนังซัมเมอร์สุดฮิตเรื่อง G.I. Joe และหนังแอ็คชั่นเรื่อง Fighting ที่แสดงคู่กับ เทอเรนส์ โฮเวิร์ด ซึ่งยังเป็นการกลับไปร่วมงานกับผู้กำกับ ดิตโต้ มอนเทล ตั้งแต่เรื่อง A Guide to Recognizing Your Saints ที่ถือเป็นภาพยนตร์ที่ เททัม ได้ฝากฝีมือการแสดงเอาไว้ เมื่อเขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงยอดเยี่ยมใน Independent Spirit Award และ Gotham Award ปี 2006 แชนนิ่ง เททัม แสดงคู่กับ อแมนด้า ไบน์ส ในหนังโรแมนติด/คอมเมดี้เรื่อง She’s the Man ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมากจากบทละครของ เชคสเปียร์ เรื่อง Twelfth Night ก่อนที่ปลายปี เททัม จะรับบทนำในหนังเต้นสุดฮิตเรื่อง Step Up ที่มีภาคสองตามมา (ที่ เททัม มีบทรับเชิญ) และกำลังมีภาคสามในปี 2010 ส่วนผลงานเรื่องอื่นๆของเขาก็ยังมี Stop/Loss, Coach Carter และ Havoc แชนนิ่ง เททัม เกิดในรัฐอลาบามาและเติบโตขึ้นในรัฐฟลอริด้า เขาเริ่มเป็นนายแบบตั้งแต่อายุ 21 และเมื่ออายุ 23 เขาก็ได้แสดงในโฆษณาเป๊ปซี่ที่ถูกออกอากาศไปทั่วประเทศสหรัฐ โดยบุคลิกที่เป็นธรรมชาติของเขา บวกกับความเป็นนักกีฬาเป็นส่วนที่ช่วยดึงดูดแมวมองจากฮอลลิวู้ด จนในที่สุดเขาก็ได้ย้ายมาอยู่ในเมืองลองแองเจลิส และก้าวเข้ามาในโลกการแสดงมาจนถึงปัจจุบัน อาแมนด้า ไซเฟร็ด (รับทเป็น ซาวันนาห์) ด้วยบทบาทจากทางจอแก้วและจอเงิน ทำให้เธอกลายเป็นนักแสดงสาวที่ได้รับการจับตามากที่สุดคนหนึ่ง ไซเฟร็ด แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการร้องเพลงและเต้น เคียงข้างกับ เมอรีล สตรีป ในหนังเพลงสุดฮิต Mamma Mia! ที่ทำเงินไปกว่า 500 ล้านเหรียญทั่วโลก ในจอแก้ว ไซเฟร็ด ก็ยังได้รับเสียงชื่นชม จากซีรี่ย์ดราม่าที่เข้าชิงลูกโลกทองคำ Big Love ซึ่งเธอรับบทเป็นลูกสาวคนโตของ บิล (บิล แพ็กซ์ตัน) ที่ต้องดินรนกับการใช้ชีวิตในครอบครัวใหญ่ ไซเฟร็ด เติบโตในเมืองเพนซิลวาเนีย เริ่มต้นอาชีพนางแบบตั้งแต่อายุ 11 ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่เวทีการแสดงในละครโทรทัศน์เรื่อง As the World Turns ในปี 2002 เธอได้เซ็นสัญญาเป็นหนึ่งในทีมนักแสดงของ All My Children โดยผลงานทางทีวีเรื่องอื่นๆของเธอก็ยังมี Law and Order: SVU, House และ Veronica Mars ผลงานการแสดงทางภาพยนตร์ที่แจ้งเกิดให้เธอคือ Mean Girls หนังฮิตที่นำแสดงโดย ลินด์ซี่ย์ โลฮาน และ เรเชล แม็คอาดัมส์ ในปี 2005 เธอแสดงใน Nine Lives ที่ถูกคัดเลือกให้เข้าฉายในเทศกาลหนังซันแด้นส์ ก่อนที่ปี 2006 แสดงใน Alpha Dog ของผู้กำกับ นิค แคสซาเวส และในปีเดียวกันเธอก็แสดงใน American Gun ร่วมกับ โนัลด์ ซัทเธอร์แลนด์, ฟอเรส วิทเธเกอร์ และ มาเชีย เกย์ ฮษร์เด็น ริชาร์ด เจนกิ้นส์ (รับทเป็น มิสเตอร์ไทรีย์) ผลงาน >>> The Visitor, Burn After Reading, The Man Who Wasn’t There, Step Brothers เฮนรี่ โทมัส (รับบทเป็น ทิม) ผลงาน >>> E.T. The Extra-Terrestrial, Gangs of New York, Valmont, Legends of the Fall สก็อต พอร์เตอร์ (รับบทเป็น แรนดี้) ผลงาน >>> Friday Night Lights, Speed Racer, Prom Night, Bandslam ทีมผู้สร้าง ลาสซี ฮอลสตรอม (ผู้กำกับ) เขาเพิ่งมีผลงานการกำกับเรื่องล่าสุด Hachiko: A Dogs Story สร้างจากเรื่องจริงของสุนัขซื่อสัตย์ นำแสดงโดย ริชาร์ด เกียร์ และ โจน อัลเลน โดยเขายังมีการกำกับซีรี่ย์ทางโทรทัศน์เรื่อง New Amsterdam เกี่ยวกับนักสืบอมตะที่อาศัยอยู่ในกรุงนิวยอร์ค ปี 2007 เขากำกับเรื่อง The Hoax ที่นำแสดงโดย ริขาร์ด เกียร์, Casanova นำแสดงโดย ฮีธ เล็ดเจอร์, An Unfinished Life นำแสดงโดย โรเบิร์ต เรดฟอร์ด และ มอร์แกน ฟรีแมน รวมถึงการดัดแปลงจากนิยายชื่อดังของ โจแอนนา แฮร์ริส Chocolat นำแสดงโดย จูเลียต บิโนช, จอห์นนี่ เด็ปป และ จูดี้ เดนส์ โดยหนังได้เข้าชิงถึงห้ารางวัลออสการ์ รวมถึงภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและผู้กำกับยอดเยี่ยม ซึ่ง ฮอลสตรอม เคยเข้าชิงมาแล้วจาก The Cider House Rules ที่นำแสดงโดย โทบี้ แม็คไกวร์, ชาร์ลีซ เธียรอน และ ไมเคิล เคน ผู้กำกับชาวสวีเดนคนนี้เคยเข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้ว จากหนังแจ้งเกิดของเขาเรื่อง My Life as a Dog ในปี 1985 ซึ่งก็ยังเข้าชิงบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมด้วย ในปี 1993 ฮอลสตรอม กำกับเรื่อง What’s Eating Gilbert Grape นำแสดงโดย จอห์นนี่ เด็ปป์ และทำให้ ลีโอนาโด ดิคาปริโอ เข้าชิงออสการ์เป็นครั้งแรก เจมี่ ลินเด็น (ผู้เขียนบท) ผลงาน >>> We Are Marshall มาร์ตี้ โบเว็น (ผู้อำนวยการสร้าง) ผลงาน >>> Twilight, The Twilight Saga: New Moon, The Nativity Story เทอร์รี่ สเตซี่ย์ (ผู้กำกับภาพ) ผลงาน >>> American Splendor, The Door In The Floor, In Her Shoes คาร่า ลินด์สตอร์ม (ผู้ออกแบบงานสร้าง) ผลงาน >>> French Kiss, When a Man Loves a Woman, Race to Witch Mountain

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ