กรุงเทพฯ--22 มิ.ย.--โอเอซิส มีเดีย
ภาพรวมตลาดอสังหาฯ และธุรกิจรับสร้างบ้านครึ่งปีแรกได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่าง ๆ ที่รุมเร้าโดยเฉพาะปัญหาการเมือง ซึ่งส่งผลต่อความไม่เชื่อมั่นของผู้บริโภค ทำให้กำลังซื้อหดตัวค่อนข้างรุนแรง และบางส่วนก็ชะลอการตัดสินใจออกไป เพื่อรอดูสถานการณ์ที่จะสร้างความมั่นใจและนำเงินมาลงทุนเรื่องที่อยู่อาศัยในครึ่งปีหลัง
ผลจากกำลังซื้อหดตัวในครึ่งปีแรก ทำให้ผู้ประกอบการต้องมีการปรับเป้าหมายและยกเครื่องแผนการตลาดกันใหม่ พร้อมทั้งพยายามที่จะเสนอมาตรการช่วยเหลือไปยังรัฐบาล ให้ยื่นมือมาช่วยเหลือธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจก่อสร้างก่อนจะสายเกินไป โดยเฉพาะสิ่งสำคัญคือ การสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภคในแง่ของการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศ
ในส่วนของตลาดรับสร้างบ้านครึ่งปีแรกที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากปัญหาที่เกิดขึ้นเช่นกัน โดยกลุ่มลูกค้าและผู้บริโภคที่มาใช้บริการสร้างบ้านในช่วงปี 2548 จะใช้เงินสดหรือเงินออมต่อการกู้เงินสถาบันการเงินในสัดส่วน 60 : 40 ซึ่งก่อนหน้านี้คาดการณ์กันว่าปี 2549 กลุ่มลูกค้าจะใช้เงินกู้หรือสินเชื่อจากสถาบันการเงินมีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้น แต่ปรากฏว่าลูกค้ากลุ่มนี้เกือบจะหายไปทั้งหมด เพราะเกิดความไม่เชื่อมั่นต่อภาพรวมของเศรษฐกิจและการเมือง และยังส่งผลไปถึงกลุ่มลูกค้าที่ใช้เงินสดก็ลดลงตามไปด้วย
เมื่อเปรียบเทียบมูลค่ารวมในตลาดปี 2548 ครึ่งปีแรกอยู่ที่ประมาณเกือบ 3,000 ล้านบาทเศษ แต่ในปี 2549 นี้คาดว่าตลาดรวมครึ่งปีแรกมีมูลค่าไม่เกิน 1,800 ล้านบาท หรือลดลงประมาณ 40 % และค่าก่อสร้างบ้านต่อหน่วยมีมูลค่าลดลงด้วยเช่นกัน
มั่นใจครึ่งปีหลังกำลังซื้อเพิ่มขึ้น
เล็งเป้าหมายกลุ่มใช้เงินออมเป็นหลัก
จากผลกระทบที่ได้รับในครึ่งปีแรก ผู้ประกอบการหวังที่จะเร่งกู้สถานการณ์หรือเรียกกำลังซื้อให้กลับคืนมาโดยเร็วในครึ่งหลัง กลยุทธ์การตลาดและกิจกรรมส่งเสริมการขาย ทั้ง ลด แลก แจก แถม คงเริ่มทยอยออกมานับตั้งแต่เดือนแรกของครึ่งปีหลังแน่นอน เพื่อเร่งกระตุ้นกำลังซื้อและอาจนับว่าเป็นโอกาสดีสำหรับผู้บริโภคที่มีความพร้อม หรืออยู่ระหว่างตัดสินใจซื้อหรือสร้างบ้านใหม่ในช่วงนี้
บรรดากลุ่มผู้ประกอบการได้มีการเตรียมตัวกระตุ้นกำลังซื้อ โดยจะร่วมมือกันจัดงาน รับสร้างบ้าน 2006 ขึ้นในเดือนสิงหาคมนี้ เพื่อให้ผู้บริโภคได้สัมผัสและเข้าถึงกลุ่มผู้ประกอบการที่มาร่วมประชันออกบูธในงานกันโดยตรง ถือเป็นการประชาสัมพันธ์และสร้างยอดขายไปพร้อมๆกัน ซึ่งประสบความสำเร็จด้วยดีจากที่ผ่านมาทั้ง 2 ปี
ทั้งนี้หากไม่มีปัจจัยอื่นมากระทบอีก นอกจากราคาน้ำมันและราคาวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้นแล้ว เชื่อว่าธุรกิจรับสร้างบ้านยังสามารถประคองตัวได้ดีในระดับหนึ่ง เนื่องจากกำลังซื้อส่วนใหญ่มาจากกลุ่มลูกค้าเงินออมหรือเงินสด ซึ่งมีการวางแผนสร้างบ้านมาก่อนแล้ว อย่างไรก็ดีโดยรวมแล้วมูลค่าตลาดในครึ่งปีหลังคงมีไม่มากพอที่จะช่วยให้มูลค่าตลาดรวมทั้งปีสูงดังที่ตั้งเป้าไว้ 8,500 ล้านบาท
ผู้รับเหมารายย่อยยังมุ่งสงครามราคา หวั่นทิ้งงานกระทบลูกค้า
ปัญหาสำคัญที่ควรระวังทุกครั้งที่ตลาดหดตัว คือ การแข่งขันตัดราคา ซึ่งปีนี้ดูจะน่าเป็นห่วงสำหรับผู้บริโภคที่ขาดการตรวจสอบข้อมูลของผู้รับจ้างที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้รับเหมารายย่อยที่ไม่มีการจัดการที่ดี และขาดความเป็นมืออาชีพในงานรับสร้างบ้าน ซึ่งได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างๆที่รุมเร้าอยู่ในขณะนี้ เหตุเพราะว่าราคาวัสดุและค่าดำเนินงานที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งสวนทางกับการตัดราคาหรือลดราคาบ้านของผู้ประกอบการเพื่อให้ได้งาน หากว่ามีการประเมินราคาผิดพลาดและไม่สามารถก่อสร้างได้แล้วเสร็จเพราะขาดทุน อาจส่งผลเสียตามมาทั้งในส่วนของตัวผู้ประกอบการเอง และผู้บริโภคย่อมได้รับความเดือดร้อนไปด้วยจากการสร้างบ้านไม่ได้บ้าน ดังนั้นจึงควรที่ทุกฝ่ายจะต้องระมัดระวัง ขณะนี้เริ่มมีเหตุการณ์เช่นนี้ปรากฏให้เห็นบ้างแล้ว
หน่วยงานและองค์กรที่ดูแลผู้บริโภค ควรต้องมีการประชาสัมพันธ์และให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ผู้บริโภค รวมทั้งพยายามหาทางป้องกันและให้ความช่วยเหลือผู้บริโภคด้วยเช่นกัน ซึ่งหากสามารถแยกน้ำดี-น้ำเสียให้ผู้บริโภคได้เห็นอย่างชัดเจน ก็จะทำให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจและจะทำให้ธุรกิจรับสร้างบ้านเติบโตได้ยั่งยืน อย่างไรก็ดีบางคราวปัญหาก็มิใช่เกิดจากผู้ประกอบการเสมอไป แต่เกิดจากตัวของผู้บริโภคเองที่พยายามจะสร้างเงื่อนไขความได้เปรียบผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อยๆที่ต้องการได้งานหรือต้องการเงินมาหมุนเวียน สุดท้ายก็เกิดความขัดแย้งกันและนำไปสู่ปัญหาฟ้องร้องดำเนินคดี
เสนอ 3 มาตรการ
ยกมาตรฐานตลาดรับสร้างบ้าน
นายสิทธิพร สุวรรณสุต เลขาธิการสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน กล่าวเพิ่มเติมว่า การที่จะทำให้ภาพรวมของธุรกิจรับสร้างบ้านได้รับความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภค และสร้างมูลค่าตลาดให้สูงขึ้นในอนาคตดังที่ตั้งเป้าหมายไว้นั้น กลุ่มผู้ประกอบการจะต้องร่วมมือกันสร้างความรู้ความเข้าใจ เพื่อต่อยอดจากเดิมที่มีได้สร้างการรับรู้ของธุรกิจรับสร้างบ้าน ไปสู่ผู้บริโภคในวงกว้างดังที่ผ่านมา
สิ่งที่ควรให้ความสำคัญในลำดับต่อไปก็คือ 1.กำหนดคุณสมบัติที่ดีของผู้ประกอบการรับสร้างบ้านที่ผู้บริโภคควรรู้ 2.การกำกับดูแลผู้ประกอบการที่ไม่สุจริตต่ออาชีพมิให้สร้างความเสียหายต่อธุรกิจและผู้บริโภค และ 3.การพัฒนาตลาดแรงงานฝีมือและอาชีพก่อสร้างให้เป็นที่ยอมรับต่อสังคม
หากทั้ง 3 สิ่งนี้ได้รับการดูแลและพัฒนาจากกลุ่มผู้ประกอบการในธุรกิจรับสร้างบ้าน ในอนาคตธุรกิจรับสร้างบ้านจะเป็นที่น่าเชื่อถือและผู้บริโภคจะหันมาใช้บริการมากขึ้น ที่ผ่านๆมาผู้ประกอบการต่างมุ่งหากำไรจากการทำธุรกิจ แต่ขาดการเอาใจใส่ต่อผู้ที่เกี่ยวข้องอยู่ในแวดวงธุรกิจ รวมทั้งบุคลากรที่ทำมาหากินอยู่ในอาชีพก่อสร้างก็ไม่ได้รับการเหลียวแลเรื่องค่าจ้างและสวัสดิการที่ดี จนปัจจุบันเกือบจะกล่าวได้ว่า 90 % แรงงานก่อสร้างมาจากแรงงานภาคการเกษตร ซึ่งว่างเว้นจากฤดูกาลเก็บเกี่ยวพืชสวนไร่นา ดังนั้นการพัฒนาตลาดแรงงานฝีมือในประเทศไทยจึงถอยหลังเข้าคลอง และนับวันก็จะยิ่งมีมาตรฐานฝีมือที่ต่ำลงทุกที และเกือบจะไมมีคนใหม่ๆเข้ามาในอาชีพนี้ อีกส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะสังคมยังยึดติดกับภาพลักษณ์เก่าๆว่าอาชีพก่อสร้างเป็นอาชีพที่ต่ำและต้องทำงานหนัก นอกจากนี้ยังมีเจ้าของธุรกิจและผู้ประกอบการอีกจำนวนไม่น้อยที่ยังเอาเปรียบแรงงานเหล่านี้ วันนี้จึงส่งผลให้แรงงานก่อสร้างขาดตลาดและค่าจ้างสูงขึ้นเรื่อยๆ ฉะนั้นถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่ายจะร่วมมือกันอย่างจริงจัง
ที่มา : สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน
ข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ บริษัท โอเอซิส มีเดีย จำกัด โทร.0-2937-4658-9,0-2937-4735
คุณชัชวาล ตรีเนตร / คุณศรัญญรัตน์ สุวรรณคาม / คุณปิยะพร จำเนียร
Email : [email protected] , [email protected] , [email protected]
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net