MOVIE: REMEMBER ME

ข่าวบันเทิง Friday March 12, 2010 16:42 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--12 มี.ค.--สฟมงคงฟิล์ม ประเภท Romantic / Drama Tagline “Live in the Moments” กำหนดฉาย 25 มีนาคม 2553 ความยาว 128 นาที เว็บไซด์ภาพยนตร์ http://www.facebook.com/rememberme บริษัทจัดจำหน่าย มงคลเมเจอร์ อำนวยการสร้าง แคโรล คัดดี้ (Rachel Getting Married) กำกับ อัลเลน โคลเตอร์ (Hollywoodland, The Sopranos, Sex and the City) เขียนบทภาพยนตร์ วิล เฟตเตอร์ (The Lucky One, Gossip Girl) ดูแลบทภาพยนตร์ เจนนี่ ลูเมท (Rachel Getting Married) นำแสดง โรเบิร์ต แพททินสัน (Twilight, The Twilight Saga: New Moon) เอมิลี่ เดอ ราวิน (Lost, Public Enemies) เพียร์ซ บรอสแนน (Mamma Mia!, Die Another Day) คริส คูเปอร์ (The Kingdom, Syriana, Adaptation) ในวันที่เราล้ม “รักแท้” จะทำให้หัวใจเราลุกขึ้นสู้ได้อีกครั้ง ภาพยนตร์รักโรแมนติกของพระเอกหนุ่มสุดฮ็อต โรเบิร์ต แพททินสัน จากภาพยนตร์ชุด THE TWILIGHT SAGA หนังรักโรแมนติกเรื่อง Remember Me นำแสดงโดย โรเบิร์ต แพททินสัน (จาก Twilight) รับบทเป็น ไทเลอร์ ชายหนุ่มชาวนิวยอร์คที่ระหองระแหงกับ เดวิด (เพียร์ซ บรอสแนน) พ่อของเขา ตั้งแต่เกิดโศกนาฏกรรมภายในครอบครัว ไทเลอร์ ไม่คิดว่าจะมีใครเข้าใจสิ่งที่เขากำลังประสบ... จนกระทั่งวันหนึ่ง โชคชะตาทำให้เขาได้พบกับ อัลลี (เอมิลี่ เดอ ราวิน) ความรักคือสิ่งสุดท้ายที่เขาต้องการในตอนนี้ แต่จิตวิญญาณที่เปี่ยมล้นของเธอก็ช่วยรักษาบาดแผลในจิตใจเขา การเดินทางผ่านห้วงแห่งความรัก ไทเลอร์ เริ่มพบกับความสุขและความหมายของชีวิต แต่ในไม่ช้าความลับที่ถูกซ่อนไว้ก็ถูกเปิดเผย สถานการณ์ที่ทำให้พวกเขามาเจอกัน กลายเป็นอุปสรรคที่จะทำให้พวกเขาแยกจากกัน... Remember Me คือภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องราวด้วยพลังแห่งความรัก ความเข้มแข็งของสถาบันครอบครัว และความสำคัญของชีวิต และการใช้มันทุกวันอย่างคุ้มค่า สารจากผู้กำกับ อัลเลน โคลเตอร์ เมื่อผมได้อ่านบทภาพยนตร์ครั้งแรก (โดยตอนนั้นยังใช้ชื่อ Memoirs) มีสามสิ่งที่ส่งตรงผ่านเข้ามายังจิตใจ สิ่งแรกคือมันแสดงให้เห็นถึงนครนิวยอร์คในช่วงเวลาที่สำคัญ ด้วยการที่ผมเป็นชาวนิวยอร์ค ผมอยากที่จะแสดงให้เห็นถึงสภาพความเป็นจริงที่ผมคุ้นเคยและรัก สิ่งที่สองก็คือการแสดงให้เห็นถึงความซื่อสัตย์และความรักหนุ่มสาวที่บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมสนใจทำมานานแล้ว สิ่งสุดท้ายคือฉากเปิดของหนัง บทภาพยนตร์เรื่องนี้มีการผสมผสานจากองค์ประกอบหลายอย่าง อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อสายฟ้าผาดผ่านลงมายังโลกส่วนตัวที่เป็นระเบียบของคุณ คุณจะรับมือกับเรื่องราวไม่คาดฝันอย่างไร และมันเปลี่ยนแปลงคุณในฐานะมนุษย์แค่ไหน Remember Me เป็นเรื่องราวแห่งความรัก ที่เบ่งบานขึ้นระหว่างหนุ่มสาวสองคน และเป็นการวาดภาพอย่างละเอียดอ่อน ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างสองครอบครัว ที่ส่งผลกระทบต่อโศกนาฏกกรรมที่เกิดขึ้นกับพวกเขา บทภาพยนตร์กลายเป็นการค้นหาความหมายของคำว่า รัก ความสูญเสีย และความสำคัญของการใช้ชีวิต จุดเริ่มต้นของการสร้าง Remember Me ในช่วงฤดูร้อนก่อนวันที่ 11 กันยายน ปี 2001 ก่อนที่เหตุการณ์หนึ่งจะเปลี่ยนชีวิตของชาวอเมริกันทุกคน คือช่วงเวลาที่หนังรักโรแมนติก Remember Me ถือกำเนิดขึ้น ภาพยนตร์นำแสดงโดย โรเบิร์ต แพททินสัน ที่รับบทเป็น ไทเลอร์ นักศึกษามหาวิทยาลัยที่ใช้ชีวิตตามใจ เขากำลังต่อสู้กับความเชื่อในใจของเขา เกี่ยวกับชีวิต ความรัก ความเป็นจริง และความซับซ้อนในชีวิตมนุษย์ มันกลายเป็นสิ่งแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่เปราะบางระหว่างเขาและพ่อ (เพียร์ซ บรอสแนน) ชีวิตที่ใช้อย่างสิ้นเปลืองของ ไทเลอร์ พบกับจุดเปลี่ยนเมื่อเขาพบกับ อัลลี (เอมิลี่ เดอ ราวิน) ผู้หญิงที่เขาเข้าไปคุยจากการรับคำท้าของเพื่อน แพททินสัน ได้นำภาพลักษณ์กบฏภายนอก แต่อ่อนไหวภายในจิตใจ ความจริงจังทางอารมณ์ และจิตวิญญาณของการเป็นวัยรุ่นเข้ามาใส่ในตัว ไทเลอร์ ชายหนุ่มที่พยายามหนีจากเงาของพ่อ ในขณะเดียวกันก็พยายามทำความเข้าใจและเชื่อมต่อถึงพ่อ หนังเผยให้เห็นว่าตัวละครของ แพททินสัน และ เดอ ราวิน พบกับความสูญเสียในอดีต ความสูญเสียที่พาให้พวกเขามาเจอกัน และเมื่อเรื่องราวถูกพัฒนามากขึ้น เราได้ทำความรู้จักกับสมาชิกครอบครัวที่เหลือ โดยถูกเล่าผ่านทีมนักแสดงที่ยอดเยี่ยมอย่าง เพียร์ซ บรอสแนน, ลีน่า โอลิน, รูบี้ เจรินส์ และ คริส คูเปอร์ โดยเราจะเห็นว่าความสูญเสียได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างในครอบครัว ทำให้บางคนสนิทกันมากขึ้น ทำให้บางคนห่างเหินออกไป ผู้กำกับ อัลเลน โคลเตอร์ อธิบายถึงตัวภาพยนตร์และคนเขียนบทว่า "วิล เฟตเตอร์ ได้เขียนบทภาพยนตร์ที่ประทับใจที่สุด Remember Me เป็นเรื่องของหนุ่มสาวสองคน ที่ต่างพบกับโศกนาฏกรรมในอดีต และความรักช่วยฟื้นฟูให้แก่กันและกัน เขามาจากครอบครัวมีฐานะ ในขณะที่เธอมาจากชนชั้นกลาง พวกเขาได้แชร์ความสัมพันธ์ที่ไม่ต้องมีคำพูด ซึ่งผสานให้ทั้งสองได้รู้จักกันมากขึ้น บทภาพยนตร์ถูกเติมเต็มไปด้วยอารมณ์ที่อบอุ่นและสะเทือนอารมณ์ มันเป็นเรื่องของความรักที่สวยงามที่สุด" ผู้อำนวยการสร้าง นิค ออสบอร์น เล่าถึงแก่นของภาพยนตร์ว่า "ภาพยนตร์เรื่องนี้เกี่ยวกับความรักและความสูญเสีย เกี่ยวกับความพยายามในการหาคำตอบให้กับชีวิต ทำไมเหตุการณ์บางอย่างถึงเกิดขึ้นโดยไม่มีคำตอบ บางทีเราอาจต้องวิ่งเข้าไปหาคำตอบ ผมคิดว่าปัญหาเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราต้องรับมือทุกวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่อยู่ในวัยเดียวกับตัวละครนำทั้งสอง" โรเบิร์ต แพททินสัน ได้เล่าถึงตัวละคร ไทเลอร์ ฮอว์กินส์ ว่า “หลังจากการสูญเสียของคนในครอบครัว ทำให้ ไทเลอร์ เป็นชายหนุ่มที่หลงทาง พ่อแม่ของเขามีฐานะ แต่เขาเป็นคนที่มั่นใจว่าตัวเองถูกต้องเสมอ และใช้ชีวิตทิ้งๆขว้างๆ เขามีทัศนคติ ที่ว่าตัวเองรู้ดีกว่าทุกคน แต่เขาไม่ต้องการพิสูจน์มัน จนในที่สุดเขาก็พบกับผู้หญิงคนหนึ่ง ที่แสดงให้เห็นอีกมุมมองของการใช้ชีวิต มุมมองที่ทำให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่" เอมิลี่ เดอ ราวิน ผู้รับบทเป็น อัลลี เคร็ก เล่าถึงแก่นของภาพยนตร์ว่า "นี้ไม่ใช่หนังรักตามขนบทั่วไป ตัวละครอย่าง ไทเลอร์ และ อัลลี เจอกันในสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน และพวกเขาต่างมีอดีตอันฝังใจ ความสัมพันธ์ของพวกเขาก่อร่างสร้างตัวจากความสมจริงที่บริสุทธิ์ หนังสร้างเรื่องราวจากความสัมพันธ์ของพวกเขา มันไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบผิวเผิน แต่เป็นความสัมพันธ์ที่ส่งผ่านไปถึงคนรักทั้งสองฝาก" การตามหาบทภาพยนตร์ ผู้อำนวยการสร้าง นิค ออสบอร์น เล่าว่า "เพื่อนของผม เทรเวอร์ เองเกิลสัน อ่านบทภาพยนตร์เมื่อ 4 ปีก่อน เขาบอกว่าผมควรอ่านมัน และเมื่อผมอ่านบทภาพยนตร์ร่างแรกของ วิล เฟตเตอร์ ผมรู้สึกประทับใจไปกับมัน ผมโทรไปหา เทรเวอร์ และบอกเขาว่าเราต้องสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้" ออสบอร์น เล่าต่อว่า "จากนั้นพวกเรามองหาคนเข้ามาร่วมงาน และเราก็ได้รับความสนใจจากผู้กำกับ อัลเลน โคลเตอร์ ผมและ อัลเลน ทำงานร่วมกับ วิล ในการพัฒนาบท จากนั้น ร็อบ ก็สนใจและเข้ามาร่วมโปรเจ็ค ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้งานทุกอย่างเดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว การพูดคุยของเราเกิดขึ้นก่อนที่เขาแสดงนำใน Twilight เขาอ่านบทภาพยนตร์ของเรื่องนี้ก่อนที่จะโด่งดังจากการรับบทเป็น เอ็ดเวิร์ด แวมไพร์หนุ่มรูปงามเสียอีก" นิค ออสบอร์น อธิบายถึงสิ่งที่ผู้เขียนบท วิล เฟตเตอร์ มอบให้กับ Remember Me ว่า "ถึงแม้ว่าเราจะให้ เจนนี่ ลูเมท เข้ามาช่วยปรับบทภาพยนตร์ให้สมบูรณ์ แต่ถ้าไม่มี วิล เราก็คงไม่มีภาพยนตร์เรื่องนี้ เขาเป็นคนต้นคิดเรื่องราวนี้ และเมื่อผม, อัลเลน และ ร็อบ ได้อ่านบทภาพยนตร์ พวกเราก็รู้สึกถึงหน้าที่ที่ต้องทำ นั้นก็คือการรักษาสิ่งที่ วิล ได้มอบให้กับภาพยนตร์ มันไม่ง่ายเลยที่จะสร้างหนังฮอลลิวู้ดในปัจจุบัน โดยเฉพาะหนังโรแมนติก-ดราม่า" ออสบอร์น เล่าต่อว่า "สิ่งที่น่าสนใจก็คือ วิล สวมวิญญาณเป็น ไทเลอร์ ขณะที่เขาเขียนบทภาพยนตร์ เขาคือคนหนุ่มที่ต้องการทำอะไรบางอย่างเพื่อตัวเอง แต่เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะไปถึงจุดนั้นได้ยังไง เขามีความคิดที่ลึกล้ำ ผมคิดว่าสิ่งที่ออกมาจากตัวของ ไทเลอร์ ฮอว์กินส์ คือสิ่งที่ วิล เคยประสบมา และนั้นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เรื่องราวนี้มีความสมจริงที่สุด" เพียร์ซ บรอสแนน เล่าว่า บทภาพยนตร์ได้มอบพื้นที่ ให้นักแสดงได้แสดงผีมือกันอย่างเต็มที่ "วิล เฟตเตอร์ สร้างตัวละครที่มีมิติและอารมณ์ร่วม ซึ่งติดอยู่ในความขัดแย้งของชีวิต และเมื่อหนังไปถึงจุดสิ้นสุด มันก็จะทำให้คุณรู้สึกจุกไปถึงคอหอย ผมรู้สึกดีใจที่เข้ามารับเล่นบทนี้ ผมถึงช่วงเวลาในอาชีพที่สามารถทำสิ่งที่ต้องการ นี้เป็นบทภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยม อยู่ในมือของผู้กำกับที่วางใจได้ และยังมีทีมนักแสดงที่เหมาะสมกับบทที่ได้รับ" ผู้กำกับ อัลเลน โคลเตอร์ สรุปว่า "ใครก็ตามที่ได้อ่านบทภาพยนตร์ ก็จะรู้สึกประทับใจและถูกดึงดูดเข้าไป ทุกอย่างเป็นเพราะ วิล เฟตเตอร์ มีแรงบันดาลใจในการเขียนบท เมื่อผมตอบตกลงเข้ามากำกับ สิ่งเดียวที่ผมต้องการก็คือการถ่ายทอดเรื่องราวอย่างซื่อตรงต่อต้นฉบับให้มากที่สุด" จดหมายรักถึงนครนิวยอร์ค ทั้งผู้กำกับ อัลเลน โคลเตอร์ และผู้อำนวยการสร้าง นิค ออสบอร์น รู้สึกว่า การถ่ายทำในมหานครนิวยอร์ค จะทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นอีกหนึ่งตัวละครของเรื่อง โคลเตอร์ เล่าถึงการถ่ายทำในนิวยอร์คว่า "ด้วยความที่ตัวเองเกิดและเติบโตที่นี่ ผมรู้สึกโชคดีที่เรื่องราวเกิดขึ้นในนิวยอร์ค โดยเมื่อบทภาพยนตร์หน้าแรกเขียนว่า "เรื่องราวเปิดตัวในกรุงนิวยอร์ค" ผมก็บอกภรรยาเลยว่าชอบบทภาพยนตร์เรื่องนี้ ทั้งที่ยังไม่ได้อ่านเนื้อหาข้างในด้วยซ้ำ" ออสบอร์น เล่าถึงการใช้นิวยอร์คเป็นสถานที่ถ่ายทำว่า “ทีมงานพยายามหาสถานที่พิเศษเพื่อใช้ถ่ายทำ พวกเราไม่ต้องการใช้สถานที่สำคัญเพื่อแสดงให้เห็นว่าเราถ่ายทำในสถานที่จริง เราต้องการมอบให้ผู้ชมรู้สึกถึงการเป็นคนนิวยอร์คอย่างแท้จริง" โดย ออสบอร์น ยังพูดถึงกระแสคลั่ง โรเบิร์ต ว่า "ปกติแล้วคุณต้องมีการกั้นคนเพื่อถ่ายทำ แต่ครั้งนี้มันเป็นเรื่องที่ลำบากมากขึ้น เพราะว่าความคลั่งไคล้ในตัวของนักแสดงนำ" โคลเตอร์ เล่าถึงกระแสคลั่ง โรเบิร์ต ว่า "มันเป็นประสบการณ์ที่แปลกเมื่อมีปาปารัซซี่คอยตามพวกเราไปทุกหนทุกแห่ง บางวันมีปาปารัซซี่มากกว่า 30 คน บางวันก็มีแฟนคลับกว่า 400 คนรอบสถานที่ถ่ายทำ แต่ในที่สุดพวกเราก็ทำสำเร็จ ผมคิดว่าทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ผู้กำกับภาพ โจนาธาน ฟรีแมน ทำหน้าที่ได้สมบูรณ์แบบ มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในกรุงนิวยอร์ค และนี้ถือเป็นการส่งจดหมายรักให้ประชาชนในเมือง ไม่มีเมืองไหนในโลกที่สามารถทดแทนได้อีกแล้ว" การคัดเลือกนักแสดง ผู้กำกับ อัลเลน โคลเตอร์ และผู้อำนวยการสร้าง นิค ออสบอร์น มีส่วนเกี่ยวข้องในการคัดเลือกนักแสดงตั้งแต่เริ่มแรก โดย โคลเตอร์ เล่าว่า "พวกเรานัดพูดคุยกับ ร็อบ แพททินสัน หลังจากที่เขาให้ความสนใจ พวกเราทานอาหารกลางวันประมาณปีที่แล้ว เรารู้สึกถูกชะตาและสนใจในตัวเขาทันที และเขาก็สนใจที่จะเข้ามาการรับบทนี้ นั้นคือจุดเริ่มต้นของการคัดเลือกนักแสดง" จุดเด่นที่สุดของ อัลเลน โคลเตอร์ ก็คือการทำงานร่วมกับนักแสดง และดึงศักยภาพของเขาออกมาใช้อย่างสูงสุด โดย โคลเตอร์ จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการคัดเลือกนักแสดงทุกขั้นตอน เขาเล่าว่า "ผมคิดไม่ออกว่าจะทำงานยังไง ถ้าไม่มีส่วนร่วมในการคัดเลือกนักแสดง พวกเราได้กลุ่มนักแสดงที่ผมและ นิค รู้สึกตื่นเต้นที่สุด เมื่อคุณดูรายชื่อนักแสดงก็จะรู้ว่ามันยอดเยี่ยมแค่ไหน คุณอาจเห็นบางคนจากหนังบล็อคบัสเตอร์ และอาจเห็นบางคนจากหนังอินดี้" โคลเตอร์ กล่าวสรุปว่า "ทีมนักแสดงคือการผสมผสานที่น่าสนใจ ตั้งแต่ เพียร์ซ บรอสแนน ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในการเป็น เจมส์ บอนด์ มาจนถึง คริส คูเปอร์ นักแสดงรางวัลออสการ์ที่โด่นเด่นจากการแสดงหนังดราม่า ทั้งคู่ก็ป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมในแนวทางจของตัวเอง รวมทั้งยังมี โรเบิร์ต แพททินสัน, เอมิลี่ เดอ ราวิน และ ลีน่า โอลิน เราคงไม่สามารถหาทีมนักแสดงที่ดีไปกว่านี้ได้อย่างแน่นอน" โรเบิร์ต แพททินสัน กับการรับบทเป็น ไทเลอร์ ฮอว์กินส์ ผู้กำกับ อัลเลน โคลเตอร์ พูดถึงตัวละครที่ โรเบิร์ต ต้องเข้ามารับบทว่า "ผมมีความรู้สึกว่า โรเบิร์ต จะสามารถสวมวิญญาณเป็นชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยความซับซ้อน ความโกรธของเขา ความรู้สึกผิดของเขา เกิดขึ้นอยู่รายรอบเรื่องราว ความผิดหวังของเขาในความสัมพันธ์กับพ่อ และความอ่อนแอของเขาต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป เขาคือชายหนุ่มที่กำลังหลงทางและลืมไปแล้วว่าตัวเองคือใคร" โรเบิร์ต แพททินสัน เห็นตัวละครนี้เป็นคนที่ต้องเติบโตขึ้น ซึ่งมันก็กลายเป็นกระจกสะท้อนถึงประสบการณ์จริงของตัวเอง เขาเล่าว่า "มีหลายเหตุผลที่ผมต้องการแสดงในหนังเรื่องนี้ เพราะ ไทเลอร์ อยู่ในจุดที่เขารู้สึกว่ากำลังทำตัวล่องหน เขาพบว่าตัวเองอาจต้องก้าวออกจากโลกส่วนตัว มันถึงจุดที่เขาต้องเชื่อในความรู้สึกตัวเอง และเขาก็ทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ เขากำลังเติบโต และผมก็คิดว่ามันเกิดขึ้นกับชีวิตจริง" ตัวละครของ แพททินสัน ได้รับความเจ็บปวด ในช่วงเวลาของการพัฒนาทางอารมณ์ แพททินสัน เล่าต่อว่า "ไทเลอร์ มีความกดดันและความทุกข์ ซึ่งเขาเก็บมันไว้หลายต่อหลายปี มันมากจนกลายเป็นปัญหาเรื้อรัง เขาและ ชาร์ล ทะเลาะกันในเรื่องเดิมมาหลายปี ไทเลอร์ รู้สึกเบื่อหน่ายกับอารมณ์ที่ฉุนเฉียวของตัวเองตลอดเวลา" เพียร์ซ บรอสแนน กล่าวชื่นชมนักแสดงดาวรุ่งคนนี้ว่า "แพททินสัน เป็นนักแสดงที่ดีดตัวเองขึ้นสู่จุดสูงสุด ผมคิดว่าเขาสามารถรับมือกับสิ่งที่ถาโถมเข้ามาได้ดี เขาเป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ และเขายังชอบท้าทายตัวเองด้วยการแสดงนอกโซนตัวเอง ถึงแม้ว่าเขาจะมีแฟรนไชส์ Twilight เป็นหลัก และคุณก็ได้เห็นหนังเรื่องอื่นที่มีคุณค่า และเปิดโอกาสให้คุณรู้จักตัวตนของ ร็อบ มากขึ้น" บอรสแนน พูดถึง แพททินสัน ต่อว่า "เขามีหน้าตาที่หล่อเหลา และมีสัญชาตญารการเอาตัวรอดได้ดี เขาเพิ่งเริ่มต้นในเส้นทางการแสดง แต่เขามีเซ้นส์ในการเลือกรับบท ผมรู้ว่าเขาเป็นผู้รับผิดชอบในการทำให้หนังเรื่องนี้ถือกำเนิดขึ้น ผมอยากให้เขาประสบความสำเร็จ ผมอยากให้เขามีอาชีพนักแสดงที่ดีและยาวนาน" เอมิลี่ เดอ ราวิน กล่าวว่า ไทเลอร์ เป็นตัวละครที่ซับซ้อนและมีความหลังฝังใจ ซึ่งก็เหมือนตัวละครที่เธอรับบท และ โรเบิร์ต ก็ทุ่มเททุกอย่างให้กับในตัวละครนี้ "ถึงตอนนี้ฉันก็ยังทึ่งเลยว่า เขามีหลักในการแสดงอย่างไร เขาทำยังไงถึงทำให้ตัวละครอย่าง ไทเลอร์ มีความพิเศษไม่เหมือนใคร" ผู้อำนวยการสร้าง ออสบอร์น รู้สึกทราบซึ้งกับการที่เขาซื่อสัตย์กับโปรเจ็คนี้ "เมื่อ Twilight เปิดฉายและกลายเป็นปรากฏการณแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ปกติแล้วนักแสดงที่กลายเป็นซุปเปอร์สตาร์ชั่วข้ามคืน ก็มักบอกว่าเขาไม่สามารถเล่นหนังของคุณได้อีกแล้ว แต่ ร็อบ ไม่เปลี่ยนใจจากโปรเจ็คของเรา เขาเป็นคนสำคัญที่ช่วยให้หนังเรื่องนี้สร้างจนสำเร็จ ร็อบ ทุ่มเททุกอย่างในการรับบทเป็น ไทเลอร์ เขาเป็นคนที่ไม่เคยเห็นแก่ตัวเลย" ออสบอร์น ยังได้พูดถึงความตั้งใจของ โรเบิร์ต ในการรับบทนี้ "พวกเราได้ทำงานกันตลอด เรามักโทรศัพท์พูดคุยกับ ร็อบ และเอาไอเดียของเขามาปรับใช้ในบทภาพยนตร์ เขามีส่วนร่วมกับหนังซึ่งถือเป็นสิ่งที่วิเศษ ตัวละครของเขาอยู่ในหนังแทบทุกฉาก และเขาก็อยู่ในกองถ่ายทุกวัน ผมรู้ว่า ร็อบ ทำงานหนักมาก เขาเพิ่งปิดกล้องจาก The Twilight Saga: New Moon และมาเปิดกล้องภาพยนตร์เรื่องนี้ต่อเลยทันที" เอมิลี่ เดอ ราวิน กับการรับบทเป็น อัลลี เคร็ก ผู้อำนวยการสร้าง ออสบอร์น เล่าว่า ความสัมพันธ์ระหว่าง ไทเลอร์ และ อัลลี เกื้อกูลกัน เมื่อ อัลลี เป็นคนที่ช่วยให้ชีวิตเขามีความสงบในใจขึ้น "อัลลี เป็นคนแรกที่เดินเข้ามาในชีวิตเขา และไม่เชื่อว่าสิ่งที่เห็นคือตัวตนที่แท้จริงของเขา นี่คือผู้ชายที่ไม่มีปัญหาในการทำให้ผู้หญิงตกหลุมรัก แต่เธอเป็นคนแรกที่กล้าท้าทายเขา เธอเป็นคนที่ฉีกเปลือกนอกที่เขาสร้างเพื่อปิดกั้นตัวเอง และทำความเข้าใจตัวตนที่แท้จริงของ ไทเลอร์" ออสบอร์น พูดถึงนักแสดงนำจากซีรี่ย์ Lost อย่าง เอมิลี่ ว่า "เอมิลี่ เป็นทุกอย่างที่ผมคิดเอาไว้ในตัวตนของ อัลลี หญิงสาวธรรมดาที่รับมือกับโศกนาฏกกรรมในชีวิต เธออยู่กับพ่อเพราะทั้งสองต่างต้องพึ่งกันและกัน เธอไม่เคยมีความสนุกสนานในชีวิต เธอทำตัวล่องหนในมหาวิทยาลัย เธอเป็นคนเรียนหนังสือเก่ง เธอมีงานที่ดี... จนกระทั่งผู้ชายคนนี้เดินเข้ามาในชีวิต เขาแสดงให้เธอเห็นถึงอีกด้านหนึ่งของโลกใบนี้ ผมคิดว่า เอมิลี่ จับเอาความพิเศษในตัวของ อัลลี ได้อย่างหมดจด" ทีมงานได้ใช้เวลาค้นหาผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบที่สุดเข้ามารับบทเป็น อัลลี เคร็ก โดยผู้กำกับ โคลเตอร์ เล่าว่า "พวกเราทดสอบหน้ากล้องกับนักแสดงมากกว่า 180 คน มันเป็นกระบวนการที่ยาวนาน พวกเราต้องหาใครบางคนที่สามารถจับคู่กับ ร็อบ ได้เหมาะสมที่สุด เราต้องการใครบางคนที่เข้มแข็งและสามารถยืนหยัดคู่กับเขาได้" โคลเตอร์ เล่าถึงประวัติของ อัลลี ว่า "เธอเป็นลูกสาวของตำรวจจากควีนส์ แม่ของเธอเป็นนางพยาบาล เธอเรียนในมหาวิทยาลัยนิวยอร์ค พยายามที่จะสร้างอนาคตที่ดีด้วยตัวเอง เธอมาจากครอบครัวชั้นกลาง พวกเรามีความเชื่อมั่นในตัวเธอ ผมคิดว่า เอมิลี่ แสดงออกในบทบาทนี้ได้อย่างน่าเชื่อถือ" การแสดงของ เดอ ราวิน เปี่ยมไปด้วยมนต์สเน่ห์ และทำให้คนดูตกหลุมรักเธอ โคลเตอร์ เล่าว่า "เราคิดว่ามันคงเป็นการตีความตัวละครที่ดี เมื่อ ไทเลอร์ สังเกตุเห็นความเข้มแข็งในตัวเธอ พวกเราถ่ายทำฉากที่เธอแสดงกับ คริส คูเปอร์ และได้เห็น อัลลี ยืนขึ้นต่อสู้กับพ่อ คุณจะรู้ได้เลยว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ" เพียร์ซ บรอสแนน กับการรับบทเป็น ชาร์ล ฮอว์กินส์ ผู้กำกับ อัลเลน โคลเตอร์ สนใจ เพียร์ซ บอรสแนน เมื่อเขาดูหนังเรื่อง Matador ที่ บรอสแนน แสดงให้บทบาทที่ท้าทายตัวเอง "ผมพยายามคิดถึงใครบางคน ที่สามารถเป็นพ่อพระเอกที่มีสเน่ห์และความจริงจัง และผมคิดว่า บอรสแนน น่าจะทำได้ดี เราเสนอไอเดียให้ทาง Summit และพวกเขาก็ตื่นเต้นไปกับความเป็นไปได้" ผู้อำนวยการสร้าง นิค ออสบอร์น พยายามหาความสมดุลย์ของตัวละครพ่อ ชาร์ล ฮอว์กินส์ เขาเล่าว่า "ผมรู้สึกว่า ชาร์ล เป็นผู้ชายทรงอำนาจที่ไม่แสดงความรู้สึกใดๆออกมา เขาเป็นคนที่ไม่สามารถเอ่ยปากว่ารักลูกได้ เขาผิดหวังในตัว ไทเลอร์ เพราะเขาไม่เคยทำอะไรจริงจังในชีวิต ผมคิดว่า เพียร์ซ มีความสามารถในการตีความตัวละครนี้ตั้งแต่เริ่มแรก" โรเบิร์ต แพททินสัน อธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครของเขากับ ชาร์ล ว่า "ผมคิดว่า ไทเลอร์ มีความคล้ายคลึงกับพ่อ ผมไม่คิดว่าความบาดหมางไม่เกี่ยวกับการที่พ่อของเขาไม่รัก เขาต้องการให้พ่อตอบสนองในแนวทางที่เขาคาดหวัง แต่เขาไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง และเขาไม่มีทางที่จะพอใจกับสิ่งที่ได้รับ ผมคิดว่าพ่อของ ไทเลอร์ เริ่มหมดหวังต่อพฤติกรรมของเขา แต่มันก็เป็นเพราะ ชาร์ล คิดว่าเขากำลังทำตัวเป็นพ่อที่สมบูรณ์แบบ" โรเบิร์ต เล่าต่อว่า "ชาร์ล คอยช่วยเหลือ ไทเลอร์ และอดทนกับสิ่งไร้สาระที่เขาได้รับ ผมคิดว่า ไทเลอร์ คงคิดว่าทุกคนควรทำตัวให้แตกต่างจากเดิม แต่ ไทเลอร์ ก็ไม่มีคำตอบให้กับใครสักคน เพราะเขาก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองต้องการอะไร ดังนั้นผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการพูดคุยกันในครอบครัว" คริส คูเปอร์ กับการรับบทเป็น นีล เคร็ก ตามคำบอกเล่าของผู้อำนวยการสร้าง นิค ออสบอร์น ไม่มีคำบรรยายเกี่ยวกับตัว คริส คูเปอร์ เท่ากับคำว่า"สุดยอด” โดยเขาพูดถึงนักแสดงคนนี้ต่อว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำในภาพยนตร์ ตั้งแต่ฉากแรกที่เขาไว้ทุกข์สำหรับความสูญเสีย และวิธีที่เขาปกป้อง อัลลี ลูกสาวคนเดียวของเขา คริส แสดงได้อย่างยอดเยี่ยม" ผู้กำกับ อัลเลน โคลเตอร์ ดูจะเห็นด้วย โดยเขาพูดถึงนักแสดงคนนี้ว่า "คริส เป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยม พวกเราก็รู้สึกโชคดีที่ได้เขาเข้ามาเล่น เราโชคดีที่เขาอ่านบทแล้วชอบ ก่อนเริ่มการถ่ายทำผมโทรไปหาเพื่อนผู้กำกับ บิลลี่ เรย์ ที่เคยทำงานร่วมกับ คริส ในเรื่อง Breach เขาบอกว่าผมว่า คริส เป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่เขาเคยร่วมงานด้วย และมันก็เป็นเรื่องจริง มันตัดสินที่ลำบากระหว่าง เพียร์ซ และ คริส ใครจะเป็นนักแสดงที่มีนิสัยดีกว่ากัน เพราะพวกเขาต่างก็เป็นสุดยอดนักแสดงที่คุณอยากร่วมงานด้วยที่สุด" โรเบิร์ต แพททินสัน เล่าถึงประสบการณ์ในการถ่ายทำ เมื่อเขาต้องแปลกใจกับความแข็งแรงของ คริส คูเปอร์ "ผมคิดว่ามันน่าเหลือเชื่อมาก คุณจะไม่รู้สึกเลยเมื่ออยู่ในกองถ่ายทำเขา เขาดูจะตัวเล็กกว่าผมเมื่อยืนคู่กัน แต่เมื่อเวลาที่เขาต้องอัดผมในฉากแรกของหนัง ผมคิดว่าในชีวิตจริงเขาคงอัดผมจนน่วมได้สบาย คริส คูเปอร์ เป็นผู้ชายที่แข็งแรงจริงๆ" ลีน่า โอลิน กับการรับบท ไดแอน เฮิร์ทซ์ ผู้อำนวยการสร้าง นิค ออสบอร์น และผู้กำกับ อัลเลน โคลเตอร์ พูดถึงสิ่งที่ ลีน่า โอลิน นำเข้ามาสู่ตัวละครแม่ของ ไทเลอร์ ว่า "ผมรู้สึกเห็นใจเธอในช่วงระหว่างการถ่ายทำ นี้คือผู้หญิงที่ยังไว้ทุกข์กับโศกนาฏกรรมเมื่อหกปีที่แล้ว และเมื่อหนังดำเนินไปเรื่อยๆ และคุณก็จะพบแสงสว่างแห่งความสุข คุณไม่อยากให้เธอเจ็บปวดอีกต่อไป" นิค ออสบอร์น เล่าถึงการได้นักแสดงคนนี้มารับบทว่า "ผมเห็นการแสดงของ ลีน่า ใน The Reader และผมก็รู้สึกประทับใจ ทั้งความเป็นมนุษย์และความเป็นธรรมชาติของเธอ ลีน่า ต้องรับบทเป็นแม่ที่ห่วงใยชายหนุ่มเช่น ไทเลอร์ โดยการได้ทั้ง เพียร์ซ บรอสแนน และ ลีน่า โอลิน ผมไม่รู้ว่าทำไมเราถึงโชคดีขนาดนี้ ที่ได้พวกเขามารับบทเป็นพ่อและแม่" เพียร์ซ บรอสแนน พูดถึงนักแสดงร่วมจอว่า "ผมรู้สึกตะลึงไปกับการแสดงของ ลีน่า ใน The Unbearable Lightness of Being เมื่อหลายปีก่อน และเธอยังคงทำได้ดีเรื่อยมา ตัวละครของเรามีเวลาด้วยกันไม่มากนัก แต่อย่างไรก็ตามเธอก็เป็นตัวละครที่สำคัญ ในฉากเปิดที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า พวกเขาถูกแนะนำตรงร้านไอศครีมหลังพิธีสดุดี มันทำให้ผมรู้สึกทึ่งไปเลย ด้วยการแสดงที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตและอารมณ์ร่วม มันมีความเป็นธรรมชาติที่ ลีน่า ได้มอบให้กับตัวละครตัวนี้" เอมิลี่ เดอ ราวิน ก็ได้พูดถึง ลีน่า โอลิน เช่นกันว่า "เมื่อคุณรับบทเป็นสมาชิกครอบครัวในภาพยนตร์ บางครั้งพวกเขาก็อาจดูไม่เข้ากัน และทำให้คุณไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น แต่ ลีน่า ทำคือการทำให้ส่วนประกอบของครอบครัวมีความสมจริง" รูบี้ เจรินส์ กับการับบทเป็น แคโรไลน์ ฮอว์กินส์ เพียร์ซ บรอสแนน พูดถึงนักแสดงเด็กคนนี้ว่า "น่ารักที่สุด" และผู้อำนวยการสร้าง นิค ออสบอร์น ก็รู้สึกทึ่งกับความสามารถของเธอ "รูบี้ ยอดเยี่ยมมาก คุณจะรู้สึกเลยว่าเธอและ ร็อบ เป็นพี่น้องกันในชีวิตจริง พวกเราทุกคนตกหลุมรักเธอในกองถ่าย และรู้สึกแปลกใจว่าถึงการแสดงที่เป็นธรรมชาติ" นิค เล่าถึงตัวละครของ รูบี้ ว่า "ผมคิดว่าเธอทำให้ ไทเลอร์ อยากเป็นคนที่ดีขึ้น เพราะเขาเอาตัวเข้าไปพัวพันอยู่ในความผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ แคโรไลน์ เป็นคนเดียวที่ ไทเลอร์ ยอมอุทิศตนให้โดยไม่หวังผลตอบแทน" โรเบิร์ต แพททินสัน เล่าถึงประสบการณ์ในการทำงานกับ รูบี้ ว่า "มีบางอย่างที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับตัวเธอ เธอให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าคุณกำลังเล่นกับใครบางคน และคุณไม่รู้สึกเลยว่าตัวเองกำลังทำงานอยู่" Remember Me ภาพยนตร์ที่จะส่งตรงถึงใจผู้ชม เป้าหมายหลักของทีมสร้างก็คือการทำให้ผู้ชมสามารถเข้าใจความรู้สึกของตัวละคร โดยผู้อำนวยการสร้าง นิค ออสบอร์น อธิบายว่า "ทุกคนคงเคยประสบความสูญเสียในชีวิต ทุกคนคงเคยรู้สึกผิดหวัง ทุกคนคงเคยมีรักแรกที่ไม่รู้ลืม พวกเราคงเคยทำให้พ่อแม่ผิดหวัง ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้ถูกขุดขึ้นมาใช้ในภาพยนตร์ และผมก็รู้สึกว่ามันวิเศษ ที่ตัวละครของเราลงไปคลุกกับประเด็นเหล่านี้ระหว่างการดำเนินเรื่อง" ผู้กำกับ อัลเลน โคลเตอร์ ดูจะเห็นด้วยกับ ออสบอร์น "ผมคิดว่าผู้ชมคงเข้าใจประเด็นของหนังด้วยเหตุผลดังกล่าว ผมคิดว่าเรื่องราวที่เรานำเสนอจะช่วยให้ผู้ชมเข้าใจถึงตัวละครเหล่านี้ ซึ่งแต่ละคนมีบาดแผลในอดีต ที่ทำให้พวกเขามีโดดเด่นและสร้างอารมณ์ที่เจ็บปวดแก่ผู้ชม" หลังจากได้ดูหนัง ออสบอร์น มองเห็นคำถามที่จะสะท้อนถึงการใช้ชีวิต เขาอธิบายว่า "Remember Me ตั้งคำถามให้กับคุณว่า อะไรคือความสำคัญในชีวิต กำแพงที่กั้นขวางระหว่างคุณกับใครบางคน คุณต้องทบทวนว่ากำแพงถูกสร้างตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่ว่าคุณกำลังโกรธ ขมขื่น หัวเสีย หรืออิจฉา ท้ายที่สุดแล้วมันคุ้มค่ากับการเหินห่างไหม และถ้าคุณปลดเปลื้องอารมณ์เหล่านั้นทิ้ง บางทีคุณอาจสร้างความสัมพันธ์ที่สูญเสียไปขึ้นมาใหม่ได้" โคลเตอร์ กล่าวสรุปว่า "ผมหวังว่า Remember Me จะช่วยแสดงให้เห็นถึงการตกหลุมรักอย่างบริสุทธิ์ ผมหวังว่าคนดูจะสนุกไปกับเรื่องราวที่ผกผันและเซอร์ไพรซ์ไปกับการแสดง ผมหวังว่าพวกเขาจะรู้สึกตื้นตันในตอนจบ และเดินออกจากโรงภาพยนตร์ด้วยความรู้สึกของตัวเอง ที่สะท้อนให้เห็นถึงประสบการณ์จริงกับตัวละครในเรื่อง" เบื้องหลังงานสร้างของ Remember Me ผู้กำกับ อัลเลน โคลเตอร์ พูดถึงการทำงานร่วมกับผู้กำกับภาพ โจนาธาน ฟรีแมน เกี่ยวกับแนวทางการถ่ายทำ ที่พวกเขาต้องการสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ "ผมทำงานร่วมกับ โจนาธาน มาใน Hollywoodland ผลงานเรื่องที่แล้ว และพวกเราก็เคยร่วมงานกันมาหลายครั้งในซีรี่ย์ โจนาธาน และผมเป็นเพื่อนสนิทและผู้ร่วมงานที่รู้ใจกัน พวกเราพูดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในเรื่องนี้ ด้วยแนวคิดหลักที่จะทำให้มันมีความเป็นธรรมชาติมากที่สุด" โคลเตอร์ เล่าต่อว่า "พวกเราไม่ต้องการใช้แม่สีที่จัดจ้านเกินไป หรือดูเป็นการออกแบบฉากอย่าง Hollywoodland ซึ่งเป็นหนังที่เกิดในยุค 1950s พวกเราตัดสินใจที่จะมอบสีสันที่หยิบยืมจากธรรมชาติ ผมคิดว่าคนดูรู้สึกว่ามันเกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน โดยเมื่อคุณเข้าไปอยู่ในวัฒนธรรมและสังคมนิวยอร์ค มันก็เห็นชัดในเรื่องของยุคและรายละเอียดในด้านภาพ โคลเตอร์ กล่าวสรุปว่า "ดังนั้นพวกเราจึงพยายามทำให้ทุกอย่างมีความเรียบง่าย ผู้ออกแบบงานสร้างของเรา สก็อตต์ เมอร์ฟี่ย์ และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ซูซาน ไลเยาว์ สิ่งที่พวกเรามุ่งหวังก็คือการทำให้ทุกอย่างเรียงง่าย ทำให้คนดูรู้สึกว่าตัวละครถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด” การฝึกพูดสำเนียงชาวนิวยอร์คของทีมนักแสดง Remember Me โรเบิร์ต, เอมิลี่ และ เพียรซ์ ต่างก็ไม่ใช่คนอเมริกันและมีสำเนียงการพูดที่แตกต่างกัน แต่นี่คือหนังที่เกิดขึ้นในนครนิวยอร์ค ทำให้พวกเขาจำเป็นต้องพูดภาษาอังกฤษแบบชาวนิวยอร์ค ผู้อำนวยการสร้าง ออสบอร์น เล่าว่า "พวกเราไม่เคยมีปัญหากับ ร็อบ เพราะเขาพูดอังกฤษสำเนียงอเมริกันได้อย่างยอดเยี่ยม ในขณะเดียวกัน เพียรซ์ บรอสแนน ก็ตัดสินใจใช้สำเนียงของชาวบรูคลิน เพราะเขาคือผู้ชายที่เติบโตในบรูคลิน ต่อสู้จนกลายเป็นเศรษฐี ผมคิดว่า เพียรซ์ ทำได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นกัน" ผู้กำกับ โคลเตอร์ เสริมว่า "ผมชอบไอเดียที่ เพียรซ์ มีพื้นหลังจากการเติบโตมาบนท้องถนน มันทำให้ ชาร์ล ดูเข้มแข็งขึ้น ทำให้เขาเป็นคนที่ไม่ต้องการอ่อนข้อกับใครทั้งสิ้น เขาชอบแนวคิดนี้ และเราก็จัดหาโค้ชเพื่อช่วยเขาฝึกพูดสำเนียงบรูคลิน" ออสบอร์น พูดถึงสำเนียงของนักแสดงสาวว่า "เอมิลี่ และผมพูดกันว่า เธอควรมีสำเนียงจากควีนส์ แต่เมื่อพวกเราได้พบกับตำรวจที่เป็นชาวควีนส์ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาให้กับเรา เขามีลูกสาวสองคนที่มีอายุพอๆกับ อัลลี แค่ทั้งคู่ไม่มีสำเนียงควีนส์เลย ดังนั้นเราจึงให้ คริส คูปเปอร์ มีสำเนียงควีนส์ ในขณะที่ เดอ ราวิน ไม่มีสำเนียงอะไรที่เป็นพิเศษ พวกเราต้องการให้เธอพูดในสำเนียงที่มีการผสมผสานจากทุกวัฒนธรรม" ฉากโปรดของผู้กำกับ อัลเลน โคลเตอร์ Remember Me ได้มอบความท้าทายและความพอใจให้กับผู้กำกับ อัลเลน โคลเตอร์ โดยเขาได้ถึงประสบการณ์และความประทับใจของเขาต่อการกำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ มันฉากมีการเผชิญหน้าที่รุนแรงระหว่าง ไทเลอร์ (แพททินสัน) และ นีล (คูเปอร์) ซึ่งผมคิดว่าพวกเขาแสดงกันได้ดีมาก และยังมีฉากระหว่าง ไทเลอร์ และ ชาร์ล ซึ่งเป็นการเฉือดเชือนกันทางอารมณ์ และก็ยังมีฉากที่ ไทเลอร์ ตื่นขึ้นมาในเช้าวันหนึ่ง เขากำลังอยู่ในห้วงความรักโดยมีแสงจากดวงอาทิตย์ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง เขาทำเมือเป็นนกเพื่อเล่นกับเงา ผมคิดว่านี่คือฉากที่ยอดเยี่ยมที่สุด เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่ ไทเลอร์ ได้ความบริสุทธิ์ในใจกลับคืนมา และยังมีทุกฉากที่มี รูบี้ เจรินส์ (แคโรไลน์) ผมไม่เคยทำงานร่วมกับนักแสดงเด็กอย่างเธอมาก่อน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับ รูบี้ ทำให้ทีมงานทุกคนเปี่ยมไปด้วยความสุข เช่นเดียวกับ เอมิลี่ เดอ ราวิน และผมก็ยังชอบฉากที่แสดงโดย ลีน่า โอลิน มันเป็นเรื่องยากที่จะเลือกฉากที่ผมชื่นชอบที่สุด มีฉากหนึ่งที่ทำให้ผมประทับใจ ผมคิดว่าฉากในรถไฟใต้ดินที่เกิดขึ้นในช่วงต้นของเรื่อง โดยในช็อตแรกเราต้องถ่ายทำภายในเทคเดียว และถ่ายในช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดโดยให้พอดีกับตอนที่รถไฟวิ่งเข้ามา ผมภาวนาว่ามันจะสำเร็จไปได้ด้วยดี เพราะผมมีโอกาสเพียงครั้งเดียวที่จะทำให้ทุกอย่างอยู่ในโฟกัส โชคดีที่เมื่อรถไฟวิ่งผ่านมาและเราก็เก็บภาพทุกอย่างตามที่ต้องการ ผมจำวินาทีนั้นได้ดีเมื่อผมและ โจนาธาน ต่างตระโกนว่า "โอ้ พระเจ้า" เพราะเรามีโอกาสเพียงแค่ครั้งเดียว มันไม่ใช่รถไฟที่เราเช่ามา พวกเราไม่สามารถควบคุมทุกอย่างได้ มันเป็นเพียงแค่รถไฟด่วนที่เผอิญผ่านมาแล้วพวกเราก็พูดว่า "เรามาถ่ายทำฉากนี้กันเถอะ!" มันเป็นประสบการณ์ที่ตื่นเต้นมากสำหรับผม ทีมนักแสดง โรเบิร์ต แพททินสัน (รับบทเป็น ไทเลอร์ ฮอว์กินส์) เมื่ออายุ 19 ปี เขาก็ได้รับเลือกให้เล่นเป็น เซดริค ดิคกอรี่ ในภาพยนตร์มหากาพย์พ่อมดเรื่อง Harry Potter & Goblet of Fire แต่ผลงานที่ทำให้เขาเป็นที่รู้จักกันมากกว่า สำหรับนักแสดงหนุ่มชาวอังกฤษคนนี้ ก็คือการรับบทเป็น เอ็ดเวิร์ด แวมไพร์หนุ่มรูปงามในภาพยนตร์เรื่อง Twilight ที่เขาสามารถเอาชนะนักแสดงที่เข้ามาทดสอบบทถึง 5,000 คน ก่อนหน้านี้เขายังมีผลงานอย่างเช่น How to Be ชองผู้กำกับ โอลิเวอร์ เออร์วิ่ง (Oliver Irving) ที่ได้รับรางวัล Special Honorable Mention for Narrative Feature ในเทศกาลหนัง Slamdance และยังมี Little Ashes ของผู้กำกับ พอล มอรริสัน (Paul Morrison) ที่เขาเล่นเป็นนักวาดภาพชื่อก้อง ซัลวาดอร์ ดาลี ผลงานล่าสุดในปี 2009 ของ โรเบิร์ต ก็คือ The Twilight Saga: New Moon มหากาพย์ภาคต่อของ Twilight ซึ่งทำเงินไปกว่า 23,000 ล้านบาททั่วโลก โดยในปีนี้นอกจากจะมีผลงานรักโรแมนติกใน Remember Me แล้ว โรเบิร์ต ยังกลับมาในมหากาพย์บทที่สามของหนังแวมไพร์ The Twilight Saga: Eclipse ที่มีกำหนดฉายในเดือนมิถุนายน เอมิลี่ เดอ ราวิน (รับบทเป็น อัลลี เคร็ก) เอมิลี่ เดอ ราวิน เกิดในประเทศออสเตรเลีย เมื่ออายุได้ 15 ปี เธอได้รับเลือกให้เข้าเรียนในโรงเรียนบัลเล่ต์ชื่อดังของกรุงเมลเบิร์น อย่างไรก็ตามในอีกหนึ่งปีต่อมา เอมิลี่ ก็ตัดสินใจลาออกเพื่อสานต่อความฝันในการเป็นนักแสดงของเธอ เอมิลี่ มีผลงานในซีรี่ย์ที่ถ่ายทำในออสเตรเลียเรื่อง BeastMaster ก่อนที่เธอจะได้ยินว่าซีรี่ย์ฮิตในอเมริกาเรื่อง Roswell กำลังเสาะหานักแสดงประจำเพื่อรับบทตัวละครใหม่ เอมิลี่ มุ่งหน้าสู่ลอสแองเจลิสและทดสอบบท จนในที่สุดเธอก็ถูกคัดเลือกให้รับบท เทส มนุษย์ต่างดาวในซีรี่ย์ไซไฟเรื่องดัง และทำให้เธอตัดสินใจย้ายมาฮอลลิวู้ด ด้วยความสามารถที่เป็นธรรมชาติและความสวยอันโดดเด่นของ เอมิลี่ ทำให้เธอได้รับโอกาสในโลกภาพยนตร์ โดยภาพยนตร์เรื่องแรกของเธออย่าง Brick ก็ได้รับรางวัล Special Jury Prize จากเทศกาลหนังซันแด๊นซ์ และ The Hills Have Eyes ในปี 2006 ก็ได้รับเสียงตอบรับที่ดี และยังเปิดตัวอันดับหนึ่งในประเทศอังกฤษ ในปัจจุบันนอกจากผลงานการแสดงนำร่วมกับ โรเบิร์ต แพททินสัน ใน Remember Me แล้ว เอมิลี่ ก็รับบทเป็นหนึ่งในนักแสดงนำของซีรี่ย์สุดฮิตเรื่อง Lost เป็นปีที่ 6 และถือเป็นปีสุดท้าย เพียรซ์ บรอสแนน (รับบทเป็น ชาร์ล ฮอว์กินส์) เพียรซ์ บรอสแนน เพิ่งมีผลงานการแสดงใน Percy Jackson: The Lightning Thief ซึ่งสร้างมาจากวรรณกรรมเยาวชนขายดี โดยเขายังจะมีผลงานใหม่ที่ชื่อ The Ghost Writer ของผู้กำกับ โรมัน โปลันสกี้ และ The Greatest ที่แสดงคู่กับ ซูซาน ซาแรนดอน และ แครี่ มัลลิแกน ก่อนหน้านี้ บรอสแนน ก็มีผลงานหนังเพลงสุดฮิตเรื่อง Mamma Mia! ที่นำแสดงโดย เมอรีล สตรีป และ อาแมนด้า ไซเฟร็ด, The Matador ที่ทำให้เขาถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ, Tailor of Panama ซึ่งสร้างจากนิยายของ จอห์น บัวร์แมน และ Grey Owl ผลงานของผู้กำกับ เซอร์ ริชาร์ด แอทเทนโบโรห์ ผลงานเรื่องอื่นๆของ บรอสแนน ก็ยังมี The Thomas Crown Affair ที่กำลังมีแผนสร้างภาคสองภายในปีนี้, Laws of Attraction หนังโรแมนติก-คอมเมดี้ ที่แสดงคู่กับ จูลี่แอนน์ มัวร์, Evelyn หนังดราม่าเรื่องเยี่ยม รวมถึง The Mirror Has Two Faces ที่แสดงนำโดย บาร์บรา สไตรแซนด์ คริส คูเปอร์ (รับบทเป็น นิล เคร็ก) เขาคือนักแสดงที่ดีที่สุดคนหนึ่งของวงการ โดยได้รับรางวัลออสการ์และลูกโลกทองคำ ในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจาก Adaptation ภาพยนตร์ที่เขียนบทโดย ชาร์ลี คอฟแมน และยังทำให้เขาได้รับรางวัลมาเกือบทุกสถาบัน เช่น Broadcast Film Critics, Los Angeles Film Critics Association และ Toronto Film Critics Association ในปี 2007 คูเปอร์ มีผลงานการแสดงใน The Kingdom หนังแอ็คชั่นแสดงนำโดย เจมี่ ฟ็อกซ์ และ เจนนิเฟอร์ การ์เนอร์ และ Breach ของผู้กำกับ บิลลี่ เรย์ ที่เขาแสดงนำร่วมกับ ไรอัน ฟิลิปเป้ รวมถึงการรับบทสมทบที่น่าจดจำใน Capote แสดงนำโดย ฟิลลิป ซีมัวร์ ฮอฟแมน ที่ทำให้เขาได้รับรางวัลออสการ์สาขานำชายยอดเยี่ยม, Jarhead ของผู้กำกับ แซม เมนเดส และ Syriana ที่ทำให้ จอร์จ คลูนี่ย์ ได้รับรางวัลออสการ์สาขาสมทบชายยอดเยี่ยม ผลงานเรื่องอื่นๆของเขาก็ยังมี Seabiscuit ที่เข้าชิงเจ็ดรางวัลออสการ์, The Bourne Identity ที่เขารับบทเป็นหัวหน้าซีไอเอ, The Patriot ที่เขาแสดงคู่กับ เมล กิบสัน American Beauty ภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลออสการ์ในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประจำปี 1999 และ October Sky ที่เขารับบทเป็นพ่อของ เจค จิลเลนฮาล ลีน่า โอลิน (รับบทเป็น ไดแอน เฮิร์ทซ์) เธอคือนักแสดงสาวชาวสวีเดนที่มีผลงานในฮอลลิวู้ดมากว่าสองทศวรรษ โดยปีที่แล้วเธอมีผลงานในหนังรางวัลเรื่อง The Reader ที่นำแสดงโดย เคท วินสเลท และ ราล์ฟ ไฟนส์ โดยในชีวิตจริงเธอเป็นภรรยาของผู้กำกับ ลาสซี ฮอลสตรอม และทำงานร่วมกับเขาในเรื่องหนังรักโรแมนติก Chocolat ที่เข้าชิงถึงห้ารางวัลออสการ์ และ Casanova ที่นำแสดงโดย ฮีธ เล็ดเจอร์ ลีน่า โอลิน ได้รับคำชมอย่างท่วมท้นในการแสดงคู่กับ แดเนียล เดย์ ลูอิส เรื่อง The Unbearable Lightness of Being ในปี 1989 และเธอยังถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์จากผลงานใน Enemies: A Love Story รวมถึงการรับบทเป็นนักฆ่าหญิงในภาพยนตร์เรื่อง Romeo Is Bleeding ทีมสร้าง อัลเลน โคลเตอร์ (ผู้กำกับ) โคลเตอร์ เริ่มต้นเส้นทางอาชีพของเขาด้วยการเป็นแมสเซนเจอร์ของสตูดิโออิสระในกรุงนิวยอร์ค ในขณะเดียวกันก็รับงานทุกชนิดที่ทำให้เขาเอาตัวรอดในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ เขาเขียนและกำกับหนังสั้นเรื่อง The Hobb Case ซึ่งเปิดโอกาสห้เขาเข้าสู่เส้นทางการกำกับอย่างเต็มที่ โดยเขาได้รับมอบหมายให้กำกับซีรี่ย์ชื่อดังอย่าง The Sopranos, Sex & the City, Six Feet Under และ Rome ภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาคือ Hollywoodland นำแสดงโดย เอเดรียน โบรดี้, เบน แอฟเฟล็ค และ ไดแอน เลน ซึ่งเปิดตัวในปี 2006 และทำให้ เบน แอฟเฟล็ค ได้รับรางวัลนักแสดงนำชายจากเทศกาลหนังเมืองเวนิส โดยล่าสุดเขาก็ยังมีผลงานการกำกับซีรี่ย์อย่างต่อเนื่อง ได้แก่ Nurse Jackie, Sons of Anarchy รวมถึง Damages ที่ทำให้เขาถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอมมี่ วิล เฟตเตอร์ (ผู้เขียนบท) ผลงาน >>> The Lucky One, Gossip Girl (ซีรี่ย์) นิค ออสบอร์น (ผู้อำนวยการสร้าง) ผลงาน >>> License to Wed, The Thin Red Line, Apt Pupil สก็อตต์ เมอร์ฟี่ย์ (ผู้ออกแบบงานสร้าง) ผลงาน >>> Spiderman I & II, The Sixth Sense, Eternal Sunshine of the Spotless Mind, Men In Black ซูซาน ไลเยาว์ (ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย) ผลงาน >>> Rachel Getting Married, Music & Lyrics, Flightplan, Invincible โจนาธาน ฟรีแมน (ผู้กำกับภาพ) ผลงาน >>> The Rebound (ซีรี่ย์), Sons of Anarchy (ซีรี่ย์), Damages (ซีรี่ย์), Rubicon (ซีรี่ย์)

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ