กรุงเทพฯ--25 มี.ค.--เวเบอร์ แชนวิค
เชฟโรเลต โคโลราโด ไมเนอร์เชนจ์ ปิกอัพอเมริกันพันธุ์แกร่งเวอร์ชั่นล่าสุด รุ่นปี 2010 มาพร้อมกับดีไซน์ใหม่ที่ทันสมัยยิ่งขึ้น เพิ่มความบึกบึนที่พร้อมตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต โดยยังคงสะท้อนสไตล์อเมริกัน อย่างเต็มเปี่ยม ด้วยสัญลักษณ์ “โบว์ไท” สีทอง เอกลักษณ์ของ เชฟโรเลต ประดับโดดเด่นอยู่ที่กระจังหน้าขนาดใหญ่
บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เผยโฉม เชฟโรเลต โคโลราโด ไมเนอร์เชนจ์ ครั้งแรกในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 31 โดยได้รับการปรับแต่งเพิ่มความสดใหม่หลายจุด เริ่มจากกรอบไฟหน้าแบบโคมใส ดูหรูหราทันสมัยและมีเอกลักษณ์ยิ่งขึ้น อยู่เคียงคู่กับไฟตัดหมอกหน้าทรงกลมที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิม เพิ่มความดุดัน และส่องสว่างดีมากยิ่งขึ้น ขณะที่กันชนหน้าถูกติดตั้งแผ่นกันกระแทกเสริมความบึกบึนขึ้นอีกหลายขุม
ภายในห้องโดยสารของ เชฟโรเลต โคโลราโด ไมเนอร์เชนจ์ มีการปรุงแต่งเพิ่มความสะดวกสบาย แฝงความเป็นรถเอนกประสงค์แบบเอสยูวี และยังรองรับการใช้งานด้านการบรรทุกสัมภาระได้เป็นอย่างดี พร้อมระบบเครื่องเสียงใหม่ที่รองรับ DVD และ MP3 พร้อมหน้าจอ LCD ที่สามารถใช้ควบคู่กับระบบนำทางเนวิเกเตอร์ ขณะที่รุ่น ท็อป รหัส Maxx ได้รับการติดตั้งระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ หรือ ครูซคอนโทรล เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายขณะเดินทางในวันพักผ่อนอย่างแท้จริง
สำหรับรูปแบบตัวถังของ เชฟโรเลต โคโลราโด ไมเนอร์เชนจ์ มีให้เลือก 3 สไตล์ โดยแบ่งเป็น
C-Cab — รถปิกอัพ 4 ประตู รถเอนกประสงค์ ที่เพียบพร้อมด้วยอุปกรณ์และความแข็งแกร่ง ที่สามารถตอบสนองความสะดวกสบาย และให้ความหรูหราสำหรับครอบครัวคนรุ่นใหม่ที่ใช้ชีวิตฉีกกรอบอย่างมีสีสัน
X-Cab — รถปิกอัพ 2 ประตูตอนครึ่ง ออกแบบมาสำหรับการใช้งานแบบเอนกประสงค์ ทั้งการทำงาน และการท่องเที่ยว
S-Cab — ทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการใช้งานอย่างสมบุกสมบัน ให้ทั้งความแข็งแกร่งเหมาะกับการขนส่งเพื่อการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนคุ้มค่าแก่ธุรกิจของคุณ
ขุมพลังของ เชฟโรเลต โคโลราโด ไมเนอร์เชนจ์ แบ่งเป็น 2 ขนาด เริ่มจาก 2.5 ลิตร ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ที่กำลังให้ความสำคัญกับความประหยัด แต่ยังไม่ทิ้งความโดดเด่นในด้านสมรรถนะที่เหนือกว่า และเพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน ทั้งในการเดินทางไกล หรือ ใช้ในงานบรรทุกหนักต่าง ๆ ด้วยเครื่องยนต์ตัวล่าสุด คอมมอนเรล ดีเซลเทอร์โบ รหัส 4JK1-TC 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.5 ลิตร พร้อมระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงคอมมอนเรล และระบบอัดอากาศเทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ กำลังสูงสุด 116 แรงม้า (PS) ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร ที่ รอบเครื่องยนต์ระหว่าง 1,800 - 2,200 รอบ/นาที มีให้เลือกครบทุกตัวถัง ทั้งแบบ S-Cab, X-Cab และ C-Cab
เชฟโรเลต โคโลราโด ไมเนอร์เชนจ์ 3.0 ลิตร สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ที่รักในการเดินทาง เพื่อแสวงหาเป้าหมายที่ตั้งใจ ด้วยเครื่องยนต์ใหม่รหัส 4JJ1-TC 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ขนาด 3,000 ซีซี พร้อมระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงคอมมอนเรล และระบบอัดอากาศเทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ 146 แรงม้า (PS) ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 294 นิวตันเมตร ที่รอบเครื่องยนต์ตั้งแต่ 1,400-3,400 รอบ/นาที ให้อัตราเร่งแซงที่ต่อเนื่อง ในช่วงทางตรงระยะยาว และให้พละกำลังฉุดลากตัวรถขึ้นสู่ทางลาดชันได้อย่างดีเยี่ยม
ช่วงล่างของ เชฟโรเลต โคโลราโด ไมเนอร์เชนจ์ ผสมผสานระหว่างความแข็งแกร่งและความนุ่มนวล โดยช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบปีกนกคู่ และคอยล์สปริงในรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ ให้ความนุ่มนวลในการขับขี่บนทุกสภาพถนน รวมถึงในช่วงการจราจรติดขัด และรองรับการบรรทุกหนักได้ด้วย ขณะที่ในรุ่นขับเคลื่อนสองล้อนั้น ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบปีกนกคู่ พร้อมทอร์ชั่นบาร์ ถูกออกแบบมาเพื่อเสถียรภาพการเกาะถนนเป็นเยี่ยม โดยเฉพาะในสภาพถนนลูกรัง สำหรับช่วงล่างด้านล่างเป็นแบบสปริงแหนบ และโช้คอัพแก๊ส ที่ให้ความมั่นใจในการขับขี่แม้ยามบรรทุกหนัก
ระบบขับเคลื่อนของ เชฟโรเลต โคโลราโด ไมเนอร์เชนจ์ มีให้เลือกทั้งแบบขับสองล้อ และขับสี่ล้อ โดย เชฟโรเลต โคโลราโด ไมเนอร์เชนจ์ รุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อนั้นมีระบบขับสี่ชั่วคราว ที่ทำงานร่วมกับการปรับเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนแบบอิเลกทรอนิคส์ INSTATRAC เชฟโรเลตขับสี่ทุกรุ่น ยังมาพร้อมกับระบบเฟืองท้ายป้องกันล้อหมุน G80 Diff-Lock ฟรี เพื่อควบคุมแรงบิดให้กระจายลงสู่พื้นอย่างเต็มกำลัง ที่มีเฉพาะในรถเชฟโรเลตเท่านั้น นอกจากนี้ เชฟโรเลต โคโลราโด ไมเนอร์เชนจ์ ยังมีช่วงล่างแบบยกสูง Z71 สำหรับคอรถปิกอัพที่มีไลฟ์สไตล์แตกต่างอีกด้วย
เครื่องยนต์ขนาด 2.5 ลิตรของ เชฟโรเลต โคโลราโด ไมเนอร์ ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์ธรรมดา 5 สปีด ขณะที่เครื่องยนต์ 3.0 ลิตร ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และอัตโนมัติ 4 สปีดให้เลือกใช้เพื่อตอบสนองในทุกการใช้งาน