MOVIE: Chloe

ข่าวบันเทิง Friday March 26, 2010 15:41 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--26 มี.ค.--สหมงคลฟิล์ม ประเภท Drama / Thriller กำหนดฉาย 15 เมษายน 2553 ความยาว 99 นาที เว็บไซด์ภาพยนตร์ http://www.sonyclassics.com/chloe/ บริษัทจัดจำหน่าย มงคลเมเจอร์ อำนวยการสร้าง ไอวาน ไรท์แมน (Up in the Air, Disturbia) กำกับ อะตอม อีโกยัน (Where the Truth Lies, The Sweet Hereafter) เขียนบท อีริน เครสสิด้า วิลสัน (Secretary) นำแสดง อาแมนด้า ไซเฟร็ด (Mamma Mia!) จูลี่แอนน์ มัวร์ (Far From Heaven, I’m Not There) เลียม นีสัน (Taken, Batman Begin) “ ผู้หญิงสมัยนี้ ... รู้หน้า ไม่รู้ใจ “ แคทธาลีน (จูลี่แอน มัวร์) แพทย์หญิงที่ประสบความสำเร็จ และ เดวิด (เลียม นีสัน) อาจารย์มหาวิทยาลัย แต่งงานกันและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ทั้งสองมีหน้ามีตาในสังคมและมีลูกชายที่มีอนาคตในเส้นทางดนตรี แต่แล้วภาพลักษณ์ภายนอกที่ดูสวยงามก็เริ่มสั่นคลอน เมื่อ เดวิด ไม่ปรากฏตัวในงานวันเกิดของตัวเอง ซึ่งทำให้ แคทธารีน เริ่มสงสัยถึงความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวของสามี เพื่อไขข้อข้องใจ แคทธาลีน ตัดสินใจจ้าง โคลอี้ (อาแมนด้า ไซเฟร็ด) เอสคอร์ทสาวให้มาล่อลวงสามีเพื่อทดสอบ แต่การทำงานของ โคลอี้ ในการล่อลวง เดวิด นั้น กลับทำให้ แคทธาลีน เดินเข้าสู่วังวนของกิเลสและตัณหา และค้นพบกับความรู้สึกที่ลืมเลือนไปอีกครั้ง แต่การเปิดประตูสู่เขตแดนอันต้องห้าม อาจทำให้ชีวิตของคนทั้งสามพบกับการพลิกผันครั้งใหญ่ในชีวิต Chole คือภาพยนตร์ทริลเลอร์ที่บอกเล่าถึงความรักและการหลอกลวง ได้รับแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์ปี 2003 เรื่อง Natalie ของ แอน ฟองแต็ง ผู้กำกับหญิงชาวฝรั่งเศสชื่อดัง โดยเป็นการประชันกันของสามดาราชั้นนำอย่าง อแมนด้า ไซเฟร็ด ดาราสาวจาก Mamma Mia! และ Dear John, จูลี่แอนน์ มัวร์ นักแสดงที่เคยเข้าชิงออสการ์มาแล้ว 4 ครั้ง และ เลียม นีสัน ที่เพิ่งมีผลงานแอ็คชั่นสุดมันส์อย่าง Taken Chloe เป็นผลงานของ อะตอม อีโกยัน ผู้กำกับหนังมือรางวัลชื่อดัง ที่ได้รับรางวัลจากเวทีการประกวดทั่วโลกมาแล้วกว่า 40 ครั้ง โดยมีผลงานเด่นอย่าง The Sweet Hereafter ที่ทำให้เขาได้เข้าชิงถึงสองรางวัลออสการ์ และเขียนบทโดย อีริน เครสสิด้า วิลสัน ผู้สร้างชื่อจากการเขียนบทให้กับ Secretary หนังรักโรแมนติกอารมณ์แปลกใหม่ ซึ่งทำให้เธอได้รับรางวัลนักเขียนบทหน้าใหม่ยอดเยี่ยมจาก Independent Spirit Awards เบื้องหลัง Chloe เป็นเรื่องราวของความรัก การหลอกลวง และการหักหลัง เกี่ยวกับความซับซ้อนทางอารมณ์ของตัวละครทั้งสาม ทุกอย่างถูกสร้างสรรค์ผ่านบทภาพยนตร์อันยอดเยี่ยม โดยผู้อำนวยการสร้าง ไอวาน ไรท์แมน ได้ติดต่อให้ อีริน เครสสิด้า วิลสัน นักเขียนบทที่มีผลงานอย่าง Secretary และ Fur: An Imaginary Portrait of Diane Arbus ที่สร้างความประทับใจทุกคน ไอวาน ไรท์แมน เล่าถึงการเลือกเธอมาเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า "พวกเราคิดว่าเธอเป็นนักเขียนที่ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะบทของ Secretary ที่เล่าเรื่องราวรักอีโรติกในมุมมองที่สร้างสรรค์ ผมคิดว่ามันเหมาะกับสิ่งที่เราต้องการสร้างในเรื่องนี้” ทั้งสองร่วมงานสร้างกันในการพัฒนาบทกว่า 4 ปี โดย วิลสัน เล่าถึงประสบการณ์ครั้งนี้ว่า "มันเป็นเรื่องน่าแปลกเมื่อฉันเริ่มต้นการเขียนโดยเอาตัวเองเป็น โคลอี้ แต่เมื่อการเดินทางสิ้นสุดฉันกลับกลายเป็น แคทธาลีน" ช่วงฤดูใบไม้ผลิ ปี 2007 ไรท์แมน ส่งบทภาพยนตร์ไปในเพื่อนผู้กำกับชาวแคนาดาของเขาที่ชื่อ อะตอม อีโกยัน โดยเล่าว่า "พวกเราไปหา อะตอม เพื่อให้เขารับหน้าที่กำกับ เพราะมีหลายสิ่งหลายอย่างในหนังเรื่องนี้ที่สอดคล้องกับบรรยากาศในผลงานของเขา จุดเชื่อมโยงที่น่าเหลือเชื่อนี้เองที่กลายเป็นส่วนประกอบสำคัญของ Chloe” อะตอม อีโกยัน ถือเป็นผู้กำกับที่โดดเด่นในการเล่าประเด็นความรักด้วยความละเมียด ในขณะเดียวก็เร่าร้อนและเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ และความซับซ้อนในตัวละคร พลังงานที่ขับดันสิ่งที่เรียกว่า “ครอบครัว” และความแตกต่างระหว่างสิ่งที่อยู่ข้างในและสิ่งที่อยู่นอกกาย นั้นคือธรรมชาติของ Chloe เช่นกัน ในที่สุดภาพยนตร์เรื่องนี้ก็กลายเป็นหนังเรื่องแรกในจำนวนผลงาน 13 เรื่องของเขา ที่ไม่ได้เขียนบทขึ้นด้วยตัวเอง เมื่อได้อ่านบทภาพยนตร์เรื่องนี้ อีโกยัน พบว่าเขาสนใจเรื่องราวในหลายระดับ "ผมรู้สึกสนใจกระบวนการการเล่าเรื่อง โดยเฉพาะความทรงจำของคนและอำนาจในการบิดให้เกิดประโยชน์กับตัวเอง Chloe เป็นหนังที่ถ่ายทอดความคิดนั้นออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ผมรู้สึกตื่นเต้นไปกับบทภาพยนตร์ และยังรวมถึงการได้ร่วมงานกับ อิริน ซึ่งผมเป็นแฟนตัวยงของเธอ และผมยังได้ร่วมงานกับเพื่อนเก่าอย่าง ไอวาน ไรท์แมน อีก มันเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมมาก" “ เมื่อหญิงก็ร้าย ชายก็เลว “ การคัดเลือกนักแสดง โจ เม็ดดักซ์ เพื่อนของผู้อำนวยการสร้าง ไรท์แมน เห็นด้วยว่า สิ่งที่ท้าทายที่สุดในการสร้างหนังเรื่องนี้คือ การหานักแสดงที่เหมาะสมที่สุดในการทำให้ตัวละครมีชีวิต "ผมคิดว่าพวกเราพบทีมนักแสดงที่วิเศษสุด ไอวาน เคยทำงานร่วมกับ จูลีแอนน์ มาก่อน และ อะตอม ก็เคยทำงานร่วมกับ เลียม และสำหรับตัวละครอย่าง โคลอี้ มันเป็นเรื่องสำคัญที่จะหานักแสดงสาวที่สามารถรับบทนี้ได้อย่างน่าเชื่อถือ" ด้วยลักษณะภายนอกที่ใสซื่อบริสุทธิ์ แต่ในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความเร่าร้อน ถือเป็นตัวตนของ โคลอี้ และเป็นสิ่งที่ช่วยผลักดันภาพยนตร์ให้ไปสู่จุดมุ่งหมาย การคัดเลือกนักแสดงที่เข้ามารับบทเป็น โคลอี้ ถือว่าเป็นความยากลำบาก ผู้อำนวยการสร้างและผู้กำกับ อะตอม อีโกยัน เปิดการคัดเลือกนักแสดงที่ ลอสแองเจลิส โตรอนโต้ และลอนดอน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะได้เห็นการแสดงที่ทรงพลังของนักแสดงหญิงบางคน มันก็เป็นเรื่องชัดแจ้งว่า อาแมนด้า ไซเฟร็ด คือผู้หญิงที่เกิดมาเพื่อเล่นบทนี้ ไอแวน ไรท์แมน เล่าว่า "การได้ อาแมนด้า เข้ามารับบทเป็น โคลอี้ เป็นเรื่องที่น่ายินดี ถ้าไม่ได้เธอเข้ามารับบทนี้ พวกเราคิดว่าคงไม่มีทางสร้างหนังเรื่องนี้ได้เลย อาแมนด้า เป็นผู้หญิงที่มีความสวยและการแสดงที่เป็นธรรมชาติที่สุด อารมณ์ของเธอสอดคล้องกับการแสดงของ จูลี่แอนน์ อย่างน่าทึ่ง ความใกล้ชิดระหว่าง แคทธาลีน และ โคลอี้ กลายเป็นชนวนที่สร้างผลกระทบต่อโลกอันสมบูรณ์ของครอบครัว" ผู้เขียนบท อิริน กล่าวว่า "ฉันคิดว่าเรามีทีมนักแสดงสมบูรณ์ที่สุด ทั้งหมดเป็นตัวละครที่มีความซับซ้อน ซึ่งพวกเขาก็ได้นำการตีความของตัวเองเข้ามาในตัวละคร อาแมนด้า เป็นนักแสดงที่ได้รับพรจากสวรรค์ และมีใบหน้าที่งดงามราวพระเจ้าสร้างเองกับมือ ความฉลาดของเธอไม่สามารถคาดเดาได้ เธอเป็นคนที่เปี่ยมไปด้วยความกระตือรือล้น" ในขณะเดียวกัน วิลสัน ยอมรับว่า จูลีแอนน์ เป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เธอนึกถึง ในการเข้ามารับบทเป็น แคทธาลีน สจ๊วตในช่วงระหว่างที่เขียนบทภาพยนตร์ "ฉันเขียนบทสนทนาของ แคทธาลีน โดยมี จูลี่แอนน์ อยู่ในหัว ฉันรู้สึกตื่นเต้นจนแทบคลั่งไปเลยเมื่อรู้ว่าเธอตอบตกลงรับบทนี้" ตัวละครของ มัวร์ คือ ดร. แคทธาลีน สจ๊วต ผู้หญิงที่พบว่าตัวเองอยู่ในช่วงของชีวิตที่ไม่สามารถคงบคุมอะไรได้เลย ลูกชายคนเดียวก็เข้าสู่วัยรุ่น เธอรู้วึกว่าตัวเองกำลังห่างออกจากเขาเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันความสัมพันธ์ของเธอและสามี เดวิด ที่รับบทโดย เลียม นีสัน ก็เริ่มเย็นชามากขึ้นทุกวัน ความห่างเหินทำให้ทั้งสองพูดคุยกันถึงสาเหตุว่าทำไมถึงได้กลายเป็นแบบนี้ ซึ่ง แคทธาลีน ตอบ เดวิด ว่า "เพราะวันหนึ่งพวกเราตื่นขึ้นมา และไม่มีเวลาให้แก่กันอีกแล้ว" จูลี่แอนน์ มัวร์ เล่าถึงตัวละครของเธอว่า "สิ่งหนึ่งที่ แคทธาลีน คิดว่าเธอเข้าใจ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเธอและสามีและลูกชาย แต่แล้วจู่ๆเธอก็ไม่เข้าใจพวกเขาอีกต่อไป เธอไม่เข้าใจว่าตัวเองเป็นอะไร คนที่เธอห่วงใยดูจะลอยห่างออกไปเรื่อยๆ ความตั้งใจแรกของเธอในการจ้าง โคลอี้ ก็คือ ความต้องการที่จะเข้าใจสิ่งที่สามีคิดอีกครั้ง แต่ความใกล้ชิดระหว่างเธอและ โคลอี้ ก็เริ่มพัฒนาขึ้น ด้วยธรรมชาติของความใกล้ชิดก่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่อันตราย ฉันคิดว่ามันเป็นสิ่งที่น่าค้นหา ฉันคิดว่า แคทธาลีน ก็เป็นผู้หญิงธรรมดาเหมือนพวกเรา เธอเป็นใครบางคนที่ถึงช่วงหนึ่งของชีวิตที่เกิดการเปลี่ยนแปลง ฉันคิดว่าผู้ชมทุกคนก็คงเชื่อมถึงตัวเธอได้" จูลีแอนน์ มัวร์ เป็นนักแสดงที่มีฝีมือเฉียบขาดที่สุดคนหนึ่ง เธอเข้ามาในโปรเจ็คนี้เพราะ อะตอม อีโกยัน ส่งบทภาพยนตร์มาให้เธอโดยตรง โดย มัวร์ ก็พูดถึงผู้กำกับว่า "อะตอม เป็นผู้กำกับที่ฉันติดตามผลงานมาโดยตลอด และฉันก็ใฝ่ฝันที่จะร่วมงานกับเขามานานแล้ว ฉันมั่นใจในวิสัยทัศน์ของเขา เพราะผลงานของ อะตอม มักตีแผ่อารมณ์ตัวละครได้อย่างหมดเปลือก จุดเด่นของเขาไม่ใช่การเล่นแสงหรือเล่นมุมกล้อง จุดเด่นของเขาคือการสร้างสิ่งที่ยั่วยุอารมณ์ และการแสดงพฤติกรรมที่คนดูรู้สึกถึงและเข้าใจได้" เลียม นีสัน ได้อ่านบทภาพยนตร์ตั้งแต่แรกเช่นกัน แต่การทำงานร่วมกับ อะตอม บนละครเวที ทำให้ขาตอบตกลเพื่อรับบท "ผมพบว่าหนังเรื่องนี้ทั้งอันตรายและมีความเป็นอีโรติก มีผู้กำกับไม่กี่คนในวงการที่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวแบบนี้ได้ ผมคิดว่ามันเป็นงานถนัดของ อะตอม เขามีวิธีการที่จะทำให้มันออกมาพิเศษและแตกต่างอย่างแน่นอน" เลียม เล่าถึงตัวละครของเขาว่า "การรับบทเป็น เดวิด สามีที่ซื่อสัตย์และทุ่มเทในงาน ผมต้องแสดงในแต่ละฉากให้สมจริง และมันก็กลายเป็นเรื่องง่ายเมื่อคุณได้แสดงคู่กับ จูลีแอนน์ และ อาแมนด้า มันมีบรรยากาศแห่งความเชื่อใจกัน เราสามคนแสดงกันได้อย่างเข้าขาที่สุด" โดยนักแสดงที่มีพลังอย่าง เลียม นีสัน ก็ยิ่งทำให้ตัวละครของเขามีความน่าสนใจ อีโกยัน พูดถึง นีสัน ว่า "ผมคิดว่าผู้คนจะรู้สึกแปลกใจ เมื่อได้เห็นเขาแสดงออกในด้านที่ไม่เคยเห็นมาก่อน" ในช่วงการเตรียมตัวถ่ายทำ อีโกยัน จำได้ว่า "สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผมก็คือ ผู้หญิงสองคนที่ถูกตีแผ่จะต้องมีชีวิตอยู่จริง ทั้งผู้หญิงวัยกลางคนในช่วงวิกฤตของชีวิต รวมถึงเอสคอร์ทสาวที่ทำงานในโรงแรม ความกลัวอย่างหนึ่งของผมก็คือ จะยังมีผู้หญิงที่ทำงานในโรงแรมเพื่อติดต่อลูกค้าอีกไหมในปัจจุบัน แต่เมื่อผมได้ศึกษาค้นคว้าข้อมูล ก็พบว่าเรื่องแบบนี้ยังคงมีอยู่" อีโกยัน อธิบายต่อว่า "แต่มันเป็นนัยนะมาก ทุกอย่างเกี่ยวกับการสบตาและมีการใช้กริยาท่าทางที่ตีความได้ยาก ผมคุยกับ อาแมนด้า เกี่ยวกับสิ่งที่ผมค้นคว้า พวกเราพูดถึงตัวละครของเธอ และช่วงเวลาที่เธอพบใครบางคนเช่น แคทธาลีน ผมคิดว่า อาแมนด้า เป็นนักแสดงที่มีการแสดงที่ยืดหยุ่นมาก เพราะเธอมีพื้นที่เพื่อรองรับอารมณ์ที่ถาโถมเข้ามา เธอเป็นคนมีความสามารถที่ไม่ได้หากันง่ายๆ" การรับบทเป็น โคลอี้ ถือเป็นสิ่งที่ท้าทาย อาแมนด้า ในการเข้ามารับบท "ตอนแรกที่ได้อ่านบทภาพยนตร์ มันไม่เหมือนสิ่งไหนที่ฉันเคยทำมาก่อน ฉันรู้ว่ามันต้องเป็นงานที่ยากลำบากแน่ๆ ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความเข้มข้นในโครงสร้างและความซับซ้อน โคลอี้ เป็นสาวเอสคอร์ทลึกลับ แต่เธอก็เป็นผู้หญิงที่มีวิญญาณบอบช้ำ เธอใช้ชีวิตคนเดียวตั้งแต่อายุ 15 เธอเป็นคนที่มีประสบการณ์มากกว่าคนรุ่นเดียวกัน และมีความฉลาดในเรื่องธุรกิจ ถึงแม้ว่าตอนนี้เธออายุเพียง 23 เท่านั้น" อาแมนด้า เล่าต่อว่า "เมื่อ โคลอี้ พบกับ แคทธาลีน การพัฒนาความสัมพันธฺของ โลเอ้ ก็เริ่มต้นขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่ แคทธาลีน ทำมีผลกระทบต่อ โคลอี้ โดยการรับบทเป็นเธอ ทั้งเครื่องแต่งกาย ทรงผม และการแต่งหน้า ช่วยให้ฉันเข้าสวมบทเป็นเธอได้ทั้งกายและใจ ฉันค้นพบความรู้สึกที่ทรงพลังในการมอบสิ่งที่ผู้ชายต้องการ และเดินออกมาพร้อมกับสิ่งที่เธอได้เติมเต็มให้พวกเขา ฉันไม่รู้ว่าตัวเองทำสำเร็จไหม และฉันก็คิดว่าผลลัพท์มีความน่าสนใจ" อาแมนด้า กล่าวถึงประสบการณ์ของเธอในการถ่ายทำว่า "เป็นความโชคดีของฉันที่ได้ร่วมงานกับนักแสดงอย่าง จูลีแอนน์ และ เลียม รวมถึงผู้กำกับ อะตอม เขาเป็นคนที่มีสไตล์การทำงานที่ยอดเยี่ยม เขาทำให้การแสดงในวัตถุดิบที่อันตรายแบบนี้เปี่ยมไปด้วยความสนุกสนาน" --------------------------Chloe กับมุมมองของผู้กำกับ อะตอม อีโกยัน-------------------------- Chloe เป็นภาพยนตร์เรื่องที่พูดถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันตามธรรมชาติ แต่ผมคิดว่ามันเกี่ยวกับสิ่งที่เรามองหาในความสัมพันธ์ การพบกับใครบางคน พวกเราต้องการให้คนอื่นมองเห็น และการล่วงละเมิดเข้าไปในในชีวิตส่วนตัวของอีกคนหนึ่ง สำหรับผมแล้วนั้นคือสิ่งที่หนังต้องการสื่อ โดยเฉพาะแนวทางในเรื่องการปล่อยให้จินตนาการของตนเอง แทรกตัวเข้าไปในความสัมพันธ์ คุณต้องระวังตัวเมื่อเข้าไปในความสัมพันธ์ที่เกี่ยวกับความรัก เพราะคุณอาจไม่ทราบถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของฝ่ายตรงข้าม และมันอาจส่งผลร้ายต่อตัวคุณ นี่คือสิ่งที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องการเล่า ทั้งแนวคิดของการแต่งงาน รวมถึงการอยู่ด้วยกันระหว่างวิญญาณสองดวง ซึ่งตามหาบางสิ่งที่พวกเขาคิดว่าพบแล้วต่อกันและกัน ภาพยนตร์เรื่องนี้เกี่ยวกับความอันตรายของความคิด และในการตีความด้วยมุมมองของตัวเอง สุดท้ายแล้วพวกเราต้องการเชื่อในสิ่งที่ต้องการให้เป็นจริง พวกเราต้องการเป็นผู้ควบคุมเรื่องราวที่ตัวเองกำลังเล่า อย่างไรก็ตามพวกเราก็ไม่มีอำนาจควบคุมส่วนประกอบอื่นๆ พวกเราไม่สามารถคาดหวังให้ปัจจัยต่างๆสอดคล้องกันได้ มันมีปัจจัยที่รับมือกับชีวิตของมนุษย์ พวกเรามีจิตวิญญาณที่สลับซับซ้อน ความสัมพันธ์ไม่สามารถวัดได้จากเครื่องวัด นั้นคือสิ่งที่สามารถพัฒนาและเปลี่ยนแปลงได้ตลอด เราต้องการเข้าไปในชีวิตคนอื่น เราต้องการตกหลุมรัก เราต้องการท่องไปในต่างๆ แต่เราก็ต้องเข้าใจว่าชีวิตของผู้อื่นเปราะบางแค่ไหน และถ้าเราเพิกเฉย มันก็จะเกิดผลกระทบตามมาเสมอ ------------------------------------------สถานที่ถ่ายทำ Chloe------------------------------------------ Chloe ถ่ายทำในเมืองโตรอนโต้ ช่วงระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม ปี 2009 ถึงแม้ว่าผู้เขียนบท อีริน เครสสิด้า วิลสัน จะเขียนให้เกิดเรื่องราวเกิดขึ้นในเมืองซานฟรานซิสโก แต่เมื่อ อีโกยัน เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง เขก็าชักชวนให้ผู้อำนวยการสร้างเปลี่ยนสถานที่ไปยังเมืองตรอนโต้ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของตัวผู้กำกับ ผู้อำนวยการสร้าง โจ เม็ดดักซ์ ที่อาศัยอยู่ในโตรอนโต้มากว่า 15 ปี และเป็นผู้ที่เป็นอาจารย์สอน อีโกยัน ในมหาวิทยาลัยโตรอนโต้ เล่าว่า "พวกเรารู้สึกชื่นชอบสิ่งที่ อะตอม ทำกับเมืองโตรอนโต้ในภาพยนตร์เรื่อง Exotica เขาเข้าใจในความสัมพันธ์แบบใกล้ชิด และเป็นสถานที่ที่เขาสามารถทำงานร่วมกับทีมงานที่คุ้นเคย" โดยทีมงานของ อีโกยัน ประกอบไปด้วยผู้กำกับภาพมือรางวัล พอล ซารอซซี่ และผู้ออกแบบงานสร้าง ฟิลลิป บาร์คเกอร์ เมืองโตรอนโต้ถูกใช้อย่างคุ้มค่า ตั้งแต่ร้านอาหารที่รวมถึง คาเฟ่ ดิโพรมาติโก้ และ เดอะ ริโวรี่ย์ และสถานที่สำคัญอย่าง เกอะ วินเซอร์ อาร์มส์ และ โรงแรมแฟร์มอนด์ รอยัล ยอร์ค รวมถึงสถานที่ที่เป็นฉากหลังให้กับเรื่องราวอย่าง ตึกซีเอ็น, ห้องแสดงศิลปะแฟรงค์ เกอร์รี่ย์ และ สถาบันสอนศิลปะวิล อัลซอป ซึ่งแต่ละที่ก็ให้ความสำคัญกับเรื่องราวเป็นอย่างดี ผู้กำกับภาพ ซารอซซี่ พูดถึงการใช้เมืองโตรอนโต้เป็นสถานที่ถ่ายทำว่า "ส่วนสำคัญของ Chloe ก็คือความจริงที่ว่า เราใช้เมืองโตรอนโต้เป็นเมืองโตรอนโต้จริงๆ เพราะส่วนมากแล้วมันจะเป็นตัวแทนของเมืองอย่างเช่น นิวยอร์ค หรือ ชิคาโก้ นี้จึงเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะแสดงให้เห็นถึงเมืองที่เราภูมิใจ และอิสระภาพในการใช้สถานที่สำคัญต่างๆ" อีโกยัน ก็รู้สึกตื่นเต้นในการแสดงให้เห็นถึงเมืองโตรอนโต้ที่แท้จริง "สิ่งที่ทำให้ผมตื่นเต้นก็คือ การที่มันหยั่งรากลึกลงไปในเมืองที่ผมรู้จักเป็นอย่างดี การเล่าเรื่องในช่วงเวลาที่หนาวที่สุดของปี ผลงานด้านภาพได้อธิบายแนวคิดของการที่ผู้คนพยายามใช้ตัวอาคาร เพื่อที่ปกป้องตัวเองจากสภาพอากาศหนาวเย็นข้างนอก พวกเขาพยายามถอยเข้าไปในพื้นที่ที่พวกไม่ถูกเปิดเผย ซึ่งมันก็กลายเป็นการเปรียบเปรยกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น และมันก็ถูกส่งเสริมด้วยผลงานด้านภาพที่สามารถสร้างให้คุณรู้สึก เหมือนกับว่าตัวอาคารก็คือสถานที่พักพิงใจ" -------------------------------------การออกแบบงานสร้าง Chloe------------------------------------- ในยุคสมัยของโลกดิจิตอล ที่ฝังรากลึกลงไปในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ Chloe เลือกที่จะใช้การถ่ายทำด้วยฟิลม์ 35 มม โดย ผู้กำกับภาพ ซารอซซี่ อธิบายว่า "ถึงแม้พวกเราจะทำโพสโปรดักชั่นด้วยคอมพิวเตอร์ แต่การถ่ายทำด้วยฟิล์ม ซึ่งเป็นสิ่งที่คลาสสิก และเป็นความเหมาะสมที่เราต้องการทำให้สำเร็จ เราไม่มีทางหนีโลกดิจิตอลได้อยู่แล้ว และผมคิดว่ามันขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น แต่ตอนนี้เรายังสนุกกับการทำหนังตามวิถีทางเดิม" กระจก แก้ว และแสงสะท้อน ถูกใช้เป็นพื้นหลังตลอดทั้งเรื่อง และมันก็ยังเป็นกุญแจสำคัญในหลายฉาก แคทธาลีน พบกับ โคลอี้ ครั้งแรกหน้ากระจกที่เธอยืนอยู่ในห้องน้ำโรงแรม ซารอซซี่ อธิบายว่า "การใช้มุมมองจากกระจกและแก้วเป็นเรื่องที่ท้าทาย ในขณะที่เราต้องการที่ใช้เงาสะท้อนเพื่อเลาเรื่อง พวกเราก็ต้องพยายามหาวิธีเพื่อเพิ่มความซับซ้อนเข้าไปในกระบวนการ ซึ่งมันก็กลายเป็นประสบการณ์ที่ลำบากแต่ก็สนุกเหมือนกัน" เครื่องแต่งกายก็ถือเป็นการสะท้อนถึงตัวหนังเช่นกัน โดยผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย เดบร้า แฮนเซ่น อธิบายว่า "มันมีรูปแบบ สีสัน และ โครงสร้างที่สะท้อนให้เห็นถึงทางเลือกของแต่ละตัวละคร อย่างเช่น โคลอี้ คุณจะพบได้ว่าเธอเลือกการแต่งกายด้วยสีสันตัดกับสภาพแวดล้อมภายนอก เช่นเสื้อโค้ทที่เธอสวมในฉากบ้านกระจก หรือเสื้อโค้ทที่มีเครื่องประดับใบไม้สีทอง โดยมันยังเป็นสิ่งที่ถูกซ่อนเอาไว้ เมื่อเครื่องแต่งกายของ แคทธาลีน และ โคลอี้ ต่างตอบสนองซึ่งกันและกัน" -------------------------------------------------ทีมนักแสดง------------------------------------------------- อาแมนด้า ไซเฟร็ด (รับทเป็น โคลอี้) ด้วยบทบาทจากทางจอแก้วและจอเงิน ทำให้เธอกลายเป็นนักแสดงสาวที่ได้รับการจับตามากที่สุดคนหนึ่ง ไซเฟร็ด แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการร้องเพลงและเต้น เคียงข้างกับ เมอรีล สตรีป ในหนังเพลงสุดฮิต Mamma Mia! ที่ทำเงินไปกว่า 500 ล้านเหรียญทั่วโลก ในจอแก้ว ไซเฟร็ด ก็ยังได้รับเสียงชื่นชม จากซีรี่ย์ดราม่าที่เข้าชิงลูกโลกทองคำ Big Love ซึ่งเธอรับบทเป็นลูกสาวคนโตของ บิล (บิล แพ็กซ์ตัน) ที่ต้องดินรนกับการใช้ชีวิตในครอบครัวใหญ่ ไซเฟร็ด เติบโตในเมืองเพนซิลวาเนีย เริ่มต้นอาชีพนางแบบตั้งแต่อายุ 11 ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่เวทีการแสดงในละครโทรทัศน์เรื่อง As the World Turns ในปี 2002 เธอได้เซ็นสัญญาเป็นหนึ่งในทีมนักแสดงของ All My Children โดยผลงานทางทีวีเรื่องอื่นๆของเธอก็ยังมี Law and Order: SVU, House และ Veronica Mars ผลงานการแสดงทางภาพยนตร์ที่แจ้งเกิดให้เธอคือ Mean Girls หนังฮิตที่นำแสดงโดย ลินด์ซี่ย์ โลฮาน และ เรเชล แม็คอาดัมส์ ในปี 2005 เธอแสดงใน Nine Lives ที่ถูกคัดเลือกให้เข้าฉายในเทศกาลหนังซันแด้นส์ ก่อนที่ปี 2006 แสดงใน Alpha Dog ของผู้กำกับ นิค แคสซาเวส และในปีเดียวกันเธอก็แสดงใน American Gun ร่วมกับ โนัลด์ ซัทเธอร์แลนด์, ฟอเรส วิทเธเกอร์ และ มาเชีย เกย์ ฮาร์เด็น จูลีแอนน์ มัวร์ (รับบทเป็น แคทธาลีน) จูลี่แอนน์ มัวร์ คือนักแสดงที่เข้าชิงออสการ์มาแล้วสี่ครั้งจาก Boogie Nights, The End of the Affair, The Hours และ Far From Heaven และยังได้รับการกล่าวขวัญว่า เป็นหนึ่งในนักแสดงหญิงที่ผู้กำกับอยากร่วมงานมากที่สุด เธอเริ่มต้นอาชีพการแสดงในละครทางโทรทัศน์เรื่อง As the World Turns ที่ทำให้ได้รับรางวัลเอ็มมี่ในปี 1988 ก่อนที่จะเริ่มก้าวเข้ามาสู่ในโลกภาพยนตร์ช่วงต้นทศวรรษที่ 90 ไม่ว่าจะเป็น The Hand That Rocks the Cradle, The Fugitive และ Safe หนังของผู้กำกับ ท็อดด์ เฮย์เนส ก่อนที่จะมาแจ้งเกิดอย่างเต็มที่ใน Boogie Nights ที่ทำให้เธอได้เข้าชิงออสการ์เป็นครั้งแรก จูลีแอนน์ มัวร์ สานต่อความสำเร็จด้วยผลงานหนังอย่าง The End of the Affair (เข้าชิงออสการ์), Magnolia และ Far from Heaven ที่ทำให้เธอได้เข้าชิงทั้งออสการ์, ลูกโลกทองคำ และสมาคมนักแสดง และในปีเดียวกันนั้นเอง การแสดงของ จูลีแอนน์ จากเรื่อง The Hours ก็ทำให้เธอได้เข้าชิงออสการ์อีกด้วย นอกจากหนังคุณภาพแล้ว จูลีแอนน์ ก็ยังมีผลงานบล็อคบัสเตอร์อย่างเช่น The Lost World: Jurassic Park ที่ผู้กำกับ สตีเว่น สปีลเบิร์ค เลือกให้เข้ามาแสดงโดยที่ไม่มีการทดสอบบท และ Hannibal ที่เธอเข้ามารับบทเป็น แคลริซ สตาร์ลิ่ง แทนที่ โจดี้ ฟอสเตอร์ เลียม นีสัน (รับบทเป็น เดวิด) เลียม นีสัน เป็นที่รู้จักในหมู่นักดูหนังจากบทตัวละครที่มีเอกลักษณ์อย่าง ออสการ์ ชินด์เลอร์ จาก Schindler's List หนังยอดเยี่ยมออสการ์ประจำปีของผู้กำกับ สตีเว่น สปีลเบิร์ค, ไมเคิล คอลลินส์ จาก Michael Collins หนังดราม่าเรื่องเยี่ยม, ไควกอน จินน์ จาก Star Wars Episode I: The Phantom Menace และรวมถึงการให้เสียงเป็น อัสลาน จากหนังชุด The Chronicles of Narnia เขาเกิดในกรุงเบลฟาส ประเทศไอร์แลนด์ ก่อนที่จะย้ายมายังกรุงดับลินเพื่อสานต่อความฝันในการเป็นนักแสดงละครเวที ก่อนที่ในช่วงต้นทศวรรษที่ 90 เขาได้ย้ายเข้ามาที่อเมริกาและแสดงหนังฮอลลิวู้ดอย่าง Darkman หนังของผู้กำกับ แซม ไรมี่ย์ ในบทซุปเปอร์ฮีโร่, Kingdom of Heaven ของผู้กำกับ ริดลี่ย์ สก็อตต์, Batman Begins ของ คริสโตเฟอร์ โนแลน รวมถึง Taken หนังแอ็คชั่นสุดเซอร์ไพรซ์ประจำปี 2009 เลียม นีสัน กำลังจะมีหนังบล็อคบัสเตอร์ที่ถูกฉายในปีนี้อย่าง Clash of the Titans ที่เขารับบทเป็น ซีอุส เทพเจ้าแห่งสายฟ้า และ The A-Team ในบทหัวหน้าหน่วยทหารที่ทำภารกิจที่ไม่มีใครกล้าทำ แม็กซ์ เธียริอ็อต (รับบทเป็น ไมเคิล) ผลงาน >>> The Pacifier, Jumper, Kit Kittredge: An American Girl นีน่า ดูเบรฟ (รับบทเป็น แอนนา) ผลงาน >>> Away from Her, How She Move, Repo! The Genetic Opera ---------------------------------------------------ทีมผู้สร้าง-------------------------------------------------- อะตอม อีโกยัน (ผู้กำกับ) อะตอม อีโกยัน ผู้กำกับหนังมือรางวัล ที่โดดเด่นในการเล่าประเด็นความรักด้วยความละเมียด ในขณะเดียวก็เร่าร้อนและเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ โดยเขาสร้างชื่อจาก The Sweet Hereafter ที่ทำให้ตัวเองเข้าชิงถึงสองรางวัลออสการ์ และ Where the Truth Lies ที่นำแสดงโดยสามดาราชั้นนำ เควิน เบคอน, โคลิน เฟิร์ธ และ อลิสัน โลห์แมน จากผลงานที่ผ่านมา ทำให้เขาได้รับรางวัลจากเวทีการประกวดทั่วโลกมาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็นผลงานแจ้งเกิดอย่าง Next of Kin, หรือว่าจะเป็น Family Viewing และ The Adjuster ที่ทำให้เขาได้รับรางวัลจากเทศกาลหนังเมืองเบอร์ลิน และ มอสโคว์, รวมถึงหนังซ้อนหนังที่ทำให้เขากลายเป็นที่รู้จักอย่าง Ararat อะตอม อีโกยัน ยังเป็นผู้กำกับที่เคยได้รับรางวัลจากเทศกาลหนังเมืองคานส์มาแล้วถึง 4 ครั้ง, จากเทศกาลหนังโตรอนโต้ 4 ครั้ง, จากรางวัลจีนี่ (ออสการ์ของประเทศแคนาดา) 7 ครั้ง และทำให้เขากลายเป็นผู้กำกับ ที่ได้รับการกล่าวขวัญมากที่สุดคนหนึ่งของโลกในปัจจุบัน อีริน เครสสิด้า วิลสัน (ผู้เขียนบท) เธอคือผู้สร้างชื่อจากการเขียนบทให้กับ Secretary หนังรักโรแมนติกอารมณ์แปลกใหม่ ซึ่งทำให้เธอได้รับรางวัลนักเขียนบทหน้าใหม่ยอดเยี่ยมจาก Independent Spirit Awards โดยเธอยังรับหน้าที่เขียนบทให้กับ Fur: An Imaginary Portrait of Diane Arbus หนังดราม่าที่นำแสดงโดย นิโคล คิดแมน และ โรเบิร์ต ดาวนี่ย์ จูเนียร์ ไอวาน ไรท์แมน (ผู้อำนวยการสร้าง) ผลงาน >>> Up in the Air, Disturbia พอล ซารอซซี่ (ผู้กำกับภาพ) ผลงาน >>> Adoration, The Wicker Man, Where the Truth Lies ฟิลลิป บาร์คเกอร์ (ผู้ออกแบบงานสร้าง) ผลงาน >>> Adoration, Where the Truth Lies, Redacted

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ