กรุงเทพฯ--30 เม.ย.--เอสเอสไอ
เอสเอสไอประกาศผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2553 กำไร 1,470 ล้านบาท จากยอดขายและราคาขายที่เพิ่มสูงขึ้นรวมถึงค่าการรีดที่ยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่บริษัทย่อยและบริษัทร่วมผลการดำเนินงานที่น่าพอใจทั้ง WCE, PPC และ TCRSS มั่นใจปีนี้บรรลุเป้าหมายผลิตและส่งมอบที่ 2.7 ล้านตัน และยอดขาย 50,000 ล้านบาท หลังทุบสถิติยอดการผลิตและส่งมอบผลิตภัณฑ์สูงสุดเป็นประวัติการณ์ คาดตลาดเหล็กยังสดใส
นายวิน วิริยประไพกิจ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ เอสเอสไอเปิดเผยผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในไตรมาสที่ 1 ปี 2553 ว่ามีการขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งด้านรายได้จากการขาย และกำไรสุทธิ เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2552 โดยบริษัทและบริษัทย่อย มีรายได้รวม 13,976 ล้านบาท โดยเป็นรายได้จากการขายเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน จำนวน 13,677 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 105 และ 106 เมื่อเทียบกับรายได้รวม 6,820 ล้านบาท และรายได้จากการขายจำนวน 6,654 ล้านบาทในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2552 รายได้จากการขายดังกล่าว แบ่งออกเป็นรายได้จากการจำหน่ายในประเทศจำนวน 12,334 ล้านบาท และรายได้จากการส่งออกจำนวน 1,343 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 115 และร้อยละ 48 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2552 ที่มีรายได้จากการขายภายในประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 5,747 ล้านบาท และรายได้จากการส่งออกจำนวน 907 ล้านบาทตามลำดับ
สำหรับสัดส่วนในการจัดจำหน่ายนั้น บริษัทฯ มีปริมาณการจำหน่ายในประเทศคิดเป็นร้อยละ 91 และต่างประเทศร้อยละ 9 ตามลำดับ แบ่งเป็น Premium Value Products (ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มกับลูกค้า) ร้อยละ 44 ของปริมาณการขายรวม โดยบริษัทมีผลกำไรสุทธิ 1,470 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 178 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2552 ซึ่งมีผลขาดทุนจำนวน 1,878 ล้านบาท
นายวินกล่าวว่า ผลกำไรที่เพิ่มขึ้นนี้ มาจาก 1. ปริมาณยอดขายที่เพิ่มขึ้น อันเนื่องจากได้ส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้น การเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ซึ่ง ล่าสุดสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยรายงาน ยอดการผลิตรถยนต์ในประเทศไตรมาสแรกสูงสุดถึง 3.8 แสนคัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 92 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน การบริการลูกค้าที่รวดเร็วมีประสิทธิภาพ และกลยุทธในการส่งเสริมการขายของฝ่ายธุรกิจการค้า อาทิการร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ของลูกค้า 2. ราคาขายที่เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 4 จากไตรมาส 4/2552 เนื่องจากการฟื้นตัวของตลาดโลก 3. บริษัทสามารถลดต้นทุนการผลิตต่อหน่วยจากปริมาณการผลิตได้ถึงร้อยละ 9 เมื่อเปรียบเทียบกับต้นทุนการผลิตต่อหน่วยเฉลี่ยของปี 2552 และ 4. ค่าการรีด (Rolling Spread) อยู่ในระดับสูง
“ในไตรมาสแรกบริษัทได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าเพิ่มมากขึ้นทั้งในด้านปริมาณการซื้อผลิตภัณฑ์และจำนวนลูกค้าโดย บริษัทมีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น 3 ราย และ พัฒนาผลิตภัณฑ์เหล็กแผ่นรีดร้อนใหม่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า 3 ชนิด ซึ่งทำให้บริษัทมีความมั่นใจว่าการดำเนินการแผนธุรกิจตามแนวทางของวิสัยทัศน์ใหม่ คือ“สร้างสรรค์นวัตกรรมผลิตภัณฑ์เหล็กและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มกับลูกค้า สร้างกำไรสม่ำเสมอ สร้างผลตอบแทนแก่ผู้มีส่วนได้เสียอย่างยั่งยืน” จะทำให้บริษัทบรรลุวัตถุประสงค์เชิงธุรกิจในทุกๆด้าน” กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสเอสไอกล่าว
ทั้งนี้ในไตรมาส 1/2553 บริษัทสามารถผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนได้ทั้งสิ้น 689,831 ตันนับเป็นยอดผลิตรายไตรมาสสูงสูดของบริษัทและของบริษัทเหล็กในประเทศไทย จากสถิติยอดการผลิตสูงสุด 655,565 ตันในไตรมาสที่ 4 /2552 บริษัทมีปริมาณส่งมอบผลิตภัณฑ์ 679,049 ตัน ซึ่งเป็นปริมาณการส่งมอบผลิตภัณฑ์รายไตรมาสสูงสูดของบริษัทและของบริษัทเหล็กในประเทศไทยเช่นเดียวกัน จากสถิติปริมาณการส่งมอบสูงสุด 556,068 ตันในไตรมาสที่ 2 /2549 ทั้งนี้ ในปี 2553 เอสเอสไอตั้งเป้าหมายการผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนและส่งมอบให้กับลูกค้า 2.7 ล้านตัน และมียอดขาย 50,000 ล้านบาท
ในส่วนของบริษัทร่วมทุน และ บริษัทย่อยของเอสเอสไอนั้นล้วนประสบผลสำเร็จในการดำเนินธุรกิจในไตรมาสแรกและได้สร้างผลตอบแทนคืนสู่เอสเอสไอ โดยในส่วนของ บริษัท เหล็กแผ่นรีดเย็นไทย จำกัด (มหาชน) (TCRSS) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุน เอสเอสไอได้รับประโยชน์โดยตรงจากความร่วมมือด้านการตลาดที่ช่วยกระตุ้นยอดขาย และลดระดับสินค้าคงคลังของทั้งสองบริษัทให้ต่ำลง ในไตรมาสที่ 1/2553 บริษัทรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก TCRSS 53.5 ล้านบาท เนื่องจากการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์และรับรู้ผลการดำเนินงานบริษัทย่อย คือ บริษัท เวสท์โคสท์เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (WCE) มีผลกำไรจากการดำเนินงาน 11 ล้านบาท และมั่นใจว่าดีขึ้นอีกจากปริมาณงานวิศวกรรมบริการทั้งจากลูกค้าภายในกลุ่มและลูกค้าภายนอกที่มีศักยภาพ และเป็นบริษัทชั้นนำระดับประเทศจำนวนเพิ่มมากขึ้น 10 ราย อาทิ บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย), กลุ่มธุรกิจซิเมนต์ เอสซีจีกรุ๊ป บริษัท ,อุตสาหกรรมกระดาษคราฟท์ไทย Howden Australia PTY Ltd. ,บริษัท คริสตอลลา เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด , GFA Anlagenban GmbH เป็นต้น และบริษัท ท่าเรือประจวบ จำกัด (PPC) ที่มีผลกำไรจากการดำเนินงาน 54 ล้านบาท
สำหรับภาวะอุตสาหกรรมเหล็กโลกและภายในประเทศนั้นกำลังฟื้นตัวจากปริมาณความต้องการบริโภคที่เพิ่มมากขึ้น ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเริ่มกลับมา การเติบโตของอุตสาหกรรมต่อเนื่อง อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์ และ อุตสาหกรรมพลังงาน อาทิ ถังก๊าซ ท่อก๊าซ และหม้อแปลง อุตสาหกรรมเหล่านี้มีความต้องการใช้เหล็กแผ่นที่มีคุณภาพพิเศษเป็นวัตถุดิบในการผลิต ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดสินค้าเหล็กแผ่นชั้นคุณภาพพิเศษให้เติบโตตามไปด้วย ส่วนราคาเหล็กมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากการลดกำลังการผลิตของผู้ผลิตเหล็กทั่วโลก และราคาสินแร่เหล็กและถ่านโค้กที่ปรับตัวสูงขึ้น
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 02 238 3063 สำนักประชาสัมพันธ์ เอสเอสไอ