MOVIE: Letters to Juliet

ข่าวบันเทิง Monday May 24, 2010 14:24 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--24 พ.ค.--สหมงคลฟิล์ม ชื่อภาษาไทย สะดุดเลิฟ...ที่เมืองรัก ประเภท Romantic / Comedy Tagline What if you had a second chance to find true love? กำหนดฉาย 10 มิถุนายน 2553 ความยาว 105 นาที เว็บไซด์ภาพยนตร์ http://www.letterstojuliet-movie.com/ บริษัทจัดจำหน่าย มงคลเมเจอร์ อำนวยการสร้าง แพททริค วอร์ชเบอร์เกอร์ (Step Up 1 & 2, Mr. & Mrs. Smith) กำกับ แกรี่ วินิก (13 Going on 30, Bride Wars) เขียนบท โจเซ่ ริเวร่า (The Motorcycle Diaries) นำแสดง อาแมนด้า ไซเฟร็ด (Dear John, Mamma Mia!) คริสโตเฟอร์ อีแกน (Resident Evil: Extinction, Eragon) กาเอล การ์เซีย เบอร์นัล (Y Tu Mama Tambien, Babel) วาเนสซ่า เร็ดเกรฟ (Atonement, Venus) ฟรานโก เนโร (Camelot, Two Families) What if you had a second chance to find true love? ----------------------------------------------เนื้อเรื่อง--------------------------------------------- โซเฟีย (อาแมนด้า ไซเฟร็ด) คือนักเขียนคอลัมน์ในนิตยสาร เธอเดินทางไปยังอิตาลีกับแฟนหนุ่ม วิคเตอร์ (กาเอล การ์เซีย เบอร์นัล) เพื่อจุดไฟรักโรแมนติกขึ้นมาใหม่ ในขณะที่ วิคเตอร์ ต้องไปทำธุระ โซเฟีย ก็เดินทางมาถึง “บ้านของจูเลียต” สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่ โรมิโอ และ จูเลียต คู่รักในบทละครอมตะของ วิลเลียม เช็คสเปียร์ พบรักกัน และเป็นที่ซึ่งผู้หญิงทั่วโลกเขียนจดหมายจ่าหน้าซองถึงจูเลียต เพื่ออธิษฐานให้ช่วยตามหาความรักที่หายไป โซเฟีย พบกับจดหมายฉบับหนึ่งที่มีอายุกว่า 50 ปี เขียนขึ้นโดย แคลร์ (วาเนสซ่า เร็ดเกรฟ) ถึงผู้ชายชาวอิตาลี (ฟรานโก เนโร) ที่เธอเคยตกหลุมรักเมื่อครั้งเยาว์วัย เมื่อได้อ่านจดหมายแล้ว โซเฟีย ก็รู้สึกแปลกใจและเกิดแรงบันดาลใจบางอย่าง เธอเขียนตอบกลับไปหา แคลร์ เพื่อให้คำมั่นสัญญาในการช่วยตามหหนุ่มอิตาลี จากการตอบกลับจดหมายฉบับนั้นในนามจูเลียต ได้ทำให้ แคลร์ ตัดสินใจเดินทางมายังอิตาลีพร้อมกับหลานชาย ชาร์ลี (คริสโตเฟอร์ อีแกน) และทั้งสามเดินทางไปทั่วแคว้นทัสคานี และพบว่าการตามหารักที่สูญหายไปนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ถึงแม้ว่า โซเฟีย ต้องการใช้เรื่องราวในการเดินทางของเธอ เพื่อเขียนบทความลงในนิตยสาร ซึ่งอาจเป็นหัวข้อที่ทำให้อาชีพการงานของเธอก้าวหน้า แต่ยิ่งเธอมีอารมณ์ร่วมกับการได้ช่วย แคลร์ พร้อมกับการได้เห็นโอกาสที่สองในความรัก เธอก็พบว่าเรื่องราวที่ตัวเองกำลังค้นหานั้น ก็คือเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวเอง ---------------------------------------จุดเริ่มต้นการสร้าง-------------------------------------- ไม่ว่าเรื่องราวระหว่าง โรมิโอและจูเลียต จะเคยเกิดขึ้นจริงหรือไม่ เมืองเวโรน่าในประเทศอิตาลีก็ถือเป็นสถานที่ที่ วิลเลียม เชคสเปียร์ ถูกใช้เป็นสถานที่ในการเล่าเรื่อง ในแต่ละปี นักท่องเที่ยวกว่าครึ่งล้านคนขึ้นไปเที่ยวประเทศอิตาลีทางตอนเหนือ (90 นาทีจากเมืองเวนิส) เพื่อที่จะไปเยี่ยมเยียน บ้านของจูเลียต ซึ่งเป็นเครื่องหมายแห่งความรักที่สูญหาย ไม่ว่าจะเป็นกำแพงที่เต็มไปด้วยข้อความถึงคนรัก ระเบียงหน้าบ้านที่คู่รักพร่ำเรียกหากัน และรูปปั้นทองแดงจูเลียต ที่หน้าอกซ้ายถูกลูบคลำจนเงา อันเนื่องมาจากธรรมเนียมของความโชคดีในความรัก การถ่ายทำเริ่มต้นในสถานที่จริงในเมืองเวโรน่า ซึ่งถือเป็นเมืองในอิตาลีที่มีคนไปเที่ยวมากที่สุดเป็นอันดับสี่ โดยผู้กำกับ แกรี่ วินิก พูดถึงความสำคัญของ บ้านของจูเลียต ว่า "มันมีมนต์ขลังแห่งความรักในบ้านหลังนี้ ทุกคนช่างเชื่อมั่นในความศักดิ์สิทธิ์ ตั้งแต่ทศวรรษที่ 30 บ้านของจูเลียต มีจดหมายที่ถูกส่งมากว่าล้านฉบับ บางซองจ่าหน้าเพียงแค่ “จูเลียต, เวโรน่า” แต่ทุกฉบับก็ส่งถึงที่หมาย โดยจะมีอาสาสมัครในการช่วยตอบจดหมายกลับไป จุดกำเนิดของเรื่องนี้เริ่มมาจากสองผู้อำนวยการสร้าง แคโรไลน์ แคปแลนด์ และ เอลเลน บาร์คิน ได้รับแรงบันดาลใจจากเพลง The Juliet Letters ของ เอลวิส คอสเตลโล ซึ่งก็ทำให้ทั้งสองได้รู้จักกับ บ้านจูเลียต แห่งเมืองเวโรน่า ไม่นานหลังจากนั้น พวกเขาก็ค้นพบหนังสือ Letters to Juliet: Celebrating Shakespeare’s Greatest Heroine, the Magical City of Verona and The Power of Love ที่เขียนโดย ซิสเตอร์ลิเซ่ และ ซีล ฟรี้ดแมน แคปแลนด์ เล่าถึงจุดเริ่มต้นของโปรเจ็คว่า "เราคิดว่ามันน่าจะเป็นไอเดียหนังที่โรแมนติกและน่ารัก พวกเราพยายามต่อยอดไอเดียหนังมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดพวกเราก็ได้เข้าไปหาสตูดิโอ Summit ด้วยข้อแม้ว่า แกรี่ วินิก จะต้องเป็นผู้กำกับเรื่องนี้ จากนั้นทุกอย่างก็เป็นไปตามกระบวนการด้วยดี" แกรี่ วินิก ที่เคยมีผลงานการกำกับหนังฮิตอย่าง 13 Going on 30 เล่าว่า "สำหรับผมแล้ว สิ่งที่น่าสนใจและสามารถเชื่อมถึงคนทั้งโลกได้ก็คือเนื้อหา ซึ่งเล่าถึงความสัมพันธ์ของคนสองคนและอารมณ์ความรู้สึกของพวกเขา มันเป็นหนังสำหรับใครบางคนที่ใช้ชีวิตอยู่บนกระดานหมากรุก และเคลื่อนไหวไปตามช่องสี่เหลี่ยมที่ถูกกำหนดและออกแบบไว้ แต่ลองคิดดดูว่า ถ้าคุณสามารถเปลี่ยนชีวิตตัวเองด้วยความกล้า และสามารถก้าวไปเองได้โดยไม่มีใครมาขยับคุณ มันจะเป็นความรู้สึกที่ดีขนาดไหน" ผู้อำนวยการสร้าง มาร์ค แคนนอน เสริมว่า "แกรี่ มีแนวทางที่ชัดเจนสำหรับหนังประเภทนี้ Letters to Juliet คือหนังรัก-โรแมนติกที่สร้างได้อย่างสมบูรณ์แบบ มันสำรวจถึงเนื้อแท้ของมนุษย์ ผมคิดว่ามันยากที่จะวิ่งหนีจากสิ่งที่หัวใจคุณเรียกร้อง แต่บางครั้งมันก็ยากที่จะวิ่งเข้าใส่สิ่งที่หัวใจคุณเรียกร้องเช่นกัน" ----------------------------------------คัดเลือกนักแสดง---------------------------------------- หลังจากแจ้งเกิดไปทั่วโลกในหนังมิวสิเคิลสุดฮิต Mamma Mia! รวมถึงในหนังโรแมนติก/ดราม่าในปีนี้อย่าง Dear John อาแมนด้า ไซเฟร็ด ได้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่าเธอมีดีแค่ไหน โดยเฉพาะในบทนำที่มีเธอปรากฏอยู่ในทุกฉาก วินิก พูดถึงเธอว่า "อาแมนด้า แบกหนังเรื่องนี้เอาไว้บนบ่า แต่เธอยังสามารถเปล่งประกายได้ทุกครั้งบนจอภาพยนตร์ การเดินทางของ โซเฟีย ทำให้เธอได้พบกับสองสิ่งในชีวิต นั้นก็คือแม่คนที่สองในตัวละครของ วาเนสซ่า และรักแท้ที่ไม่ใช่แฟนคนปัจจุบันอย่าง วิคเตอร์ ผมคิดว่า อาแมนด้า แสดงได้อย่างลึกซึ้ง เธอมีอารมณ์ขัน และมีอะไรมากกว่าดวงตาโตใสแจ๋วคู่นั้น" ไซเฟร็ด พูดถึงการเข้ามารับบท โซเฟีย ว่า "เมื่อฉันได้อ่านบทภาพยนตร์และพบว่ามีตัวเองอยู่ทุกฉาก ฉันคิดว่ามันต้องเป็นเรื่องที่กดดันมาก แต่ฉันก็ตื่นเต้นที่จะได้มีปฏิสัมพันธ์กับทีมงานและนักแสดง ฉันเป็นคนชอบเข้าสังคม และฉันก็คิดว่าตัวเองได้พยายามทำเต็มที่ที่สุดแล้ว" วินิก พูดถึงนักแสดงอาวุโสอย่าง วาเนสซ่า เร็ดเกรฟ ว่า "ไม่มีข้อโต้เถียงเลยที่จะบอกว่า วาเนสซ่า เหมาะสมกับบทนี้ที่สุด เพราะเธอแสดงได้ยอดเยี่ยมทุกครั้งไม่ว่าจะได้รับบทไหน ในภาพยนตร์แต่ละเรื่อง คุณจะมีนักแสดงคนหนึ่งที่ตั้งมาตรฐานให้คนอื่นทำตาม และคนคนนั้นก็คือ วาเนสซ่า" หนึ่งในผู้อำนวยการสร้าง มาร์ค แคนตั้น ก็พูดถึงนักแสดงในตำนานคนนี้ว่า "ถ้าคุณร่วมงานกับ วาเนสซ่า เร็ดเกรฟ คุณก็ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เพราะว่าเธอจะเข้ากองถ่ายเป็นคนแรก และออกจากกองเป็นคนสุดท้าย เธอรู้บทพูดของตัวเองและรวมถึงบทพูดของคุณด้วย" แต่สำหรับ ไซเฟร็ด ความกลัวในการทำงานร่วมกับตำนาน ก็ดูเหมือนจะมลายหายไปอย่างเร็ว เธอเล่าว่า "ไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องซีเรียสสำหรับเธอ เธอเป็นผู้หญิงที่ฉลาดและมีไหวพริบ ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันและไม่เคยทำอะไรพลาดบนจอ คุณจะรู้สึกผ่อนคลายเมื่อได้ยืนอยู่ใกล้เธอ" นักแสดงมากความสามารถ กาเอล การ์เซีย เบอร์นัล รับบทเป็น วิคเตอร์ แฟนหนุ่มของ โซเฟีย เขาเล่าถึงการเข้ามารับบทนี้ว่า "มันเป็นบทที่ผมไม่เคยแสดงมาก่อน วิคเตอร์ มีความจริงจังในชีวิตและรักอาหารมากกว่าทุกสิ่ง เขาต้องการให้ โซเฟีย เข้าใจในสิ่งที่เขาหลงไหล" ไซเฟร็ด เสริมต่อว่า "ปัญหาก็คือ โซเฟีย และ วิคเตอร์ ไม่ได้มีความหลงไหลในเรื่องเดียวกัน แน่นอนที่พวกเขารักและห่วงใยกัน แต่ดูเหมือนทั้งคู่จะจูนกันไม่ติด วิคเตอร์ มีความฝันในการเปิดร้านอาหาร ในขณะที่ โซเฟีย และ ชาร์ลี เชื่อมถึงกันได้มากกว่า เพราะเธอเห็นบางอย่างในความสัมพันธ์ที่จับต้องได้" การตามหานักแสดงที่จะมารับบทเป็น ชาร์ลี หลานชายของ แคลร์ และเป็นผู้ชายที่จะทำให้ โซฟีย์ ทบทวนถึงความสัมพันธ์ปัจจุบันของตัวเอง ถือเป็นงานที่หินพอควร ผู้อำนวยการสร้าง แคโรไลน์ แคปแลนด์ เล่าว่า "การคัดเลือกนักแสดงที่มารับบทเป็น ชาร์ลี ถือเป็นงานที่ท้าทาย เพราะการจะทำให้คนสองคนรักกัน มันจะต้องมีพื้นฐานของความรู้สึกที่เปี่ยมไปด้วยมนต์ขลัง" ผู้กำกับ วินิก เล่าต่อว่า "สุดท้ายแล้ว มันก็ขึ้นอยู่กับนักแสดงสองคนในห้อง ถ้าพวกเขาก็มีเคมีที่ต้องกัน และมี "บางอย่าง" คุณก็จะรู้สึกถึงได้ทันที พวกเรามีการทดสอบบททั้งในนิวยอร์คและลอนดอน จนในที่สุดการค้นหาก็จบสิ้นเมื่อเราได้พบกับ คริส อีแกน" สำหรับนักแสดงที่มารับบทเป็น ลอเรนโซ่ ชายหนุ่มผู้เป็นรักที่สูญหายของ แคลร์ ทีมงานก็ไม่ต้องมองหาไกล วินิก เล่าว่า "ฟรานโก เนโร คือสามีของ วาเนสซ่า ทั้งคู่พบรักในกองถ่ายหนังเรื่อง Camelot ในปี 1966 เขาเป็นนักแสดงที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ ตั้งแต่วินาทีที่ตัวละครทั้งสองพบกันหลังจากผ่านไป 50 ปี ผมคิดว่าไม่มีใครที่สร้างความประทับใจได้ดีกับ วาเนสซ่า และ ฟรานโก และเขาเองก็เป็นคนอิตาลีอยู่แล้ว ทุกอย่างเลยดูสมบูรณ์แบบ" เนโร พูดถึงภรรยาของเขาว่า "วาเนสซ่า เป็นนักแสดงที่เก่งที่สุดในวงการ ซึ่งผมก็ไม่ได้พูดในฐานะสามี เพราะนั้นเป็นคำพูดของผู้กำกับในตำนานอย่าง อาเธอร์ มิลเลอร์ และผมก็เห็นด้วยกับเขา ผมใช้ชีวิคตคู่กับเธอมากว่า 43 ปีและแสดงหนังร่วมกันกว่า 10 เรื่อง พรสวรรค์ของเธอก็เป็นเหมือนของขวัญที่วิเศษสุดที่เธอมอบให้แก่ผู้กำกับ" สำหรับ วินิก เคมีที่โดดเด่นระหว่าง วาเนสซ่า และ ฟรานโก ถือเป็นสิ่งที่สำคัญ และการถ่ายทำในอิตาลีโดยมีนักแสดงที่เป็นชาวอิตาเลียนแท้ๆ ก็ช่วยทำให้หนังดูมีความรู้สึกสมจริงที่สุด เพราะนอกจากนักแสดงหลักสามคนแล้ว นักแสดงสมทบคนอื่นๆก็ล้วนแล้วแต่เป็นชายอิตาลีทั้งนั้น ------------------------------------------สถานที่ถ่ายทำ----------------------------------------- เมื่อการคัดเลือกนักแสดงเสร็จสิ้นลงแล้ว ความสำคัญก็เปลี่ยนไปที่การสร้างบรรยากาศโดยรอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำบางสิ่งที่แทบเป็นไปไม่ได้ เช่นการปิดสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอย่าง บ้านของจูเลียต เพื่อใช้ในการถ่ายทำเป็นเวลาสองวัน โดยทีมงานต้องใช้เวลาถึงสามอาทิตย์ในการต่อรองกับทางการ เพื่อให้พวกเขาเข้าใจว่ามันจะมีส่วนช่วยในด้านการท่องเที่ยว ผู้ออกแบบงานสร้าง สจ๊วต เวิร์ธเซล ได้เปลี่ยนแปลงสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้เล็กน้อย โดยเฉพาะทางเข้าที่เป็นกำแพงสีขาวที่เต็มไปด้วยตัวหนังสือ เขาได้เพิ่มก้อนอิฐเข้าไปเพื่อบังกำแพงเอาไว้ ทำให้มันไม่ดูสกปรกเลอะเทอะ และมีความรู้สึกเหมือนสถานที่ท่องเที่ยวน้อยลง เพราะมันคือตัวแทนที่แสดงให้เห็นว่ายุคสมัยของ จูเลียต นั้นสถานที่แห่งนี้มีสภาพเป็นอย่างไร "สีสันในเรื่องนี้คือสีตามธรรมชาติ ผมไม่ต้องการให้มันดูโดดเด่นและก้าวล้ำเข้ามาในเนื้อเรื่อง" จุดมุ่งหมายของ วินิก ก็คือ การทำให้มันไม่ใช่หนังที่ถูกสร้างเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว เขาเล่าว่า "ท้ายที่สุดแล้วพวกเราต่างเห็นพ้องต้องกันว่า สิ่งที่สำคัญในหนังเรื่องนี้คือเรื่องราวและอารมณ์ความรู้สึก บรรยากาศและฉากหลังอาจเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างมนต์เสน่ห์ให้กับท้องเรื่อง แต่มันก็ไม่ใช่ประเด็นหลัก" สถานที่อื่นในเมืองเวโรน่าที่ใช้ในการถ่ายทำ ประกอบไปด้วยทุ่งหญ้าราบ วิลล่า เออร์เวดี้ ซึ่งเป็นฉากที่ แคลร์ พบกับ ลอเรนโซ่ อีกครั้ง หมู่บ้านเล็กๆในโซอาเว่ อันเลื่องชื่อจากการผลิตไวน์ขาว รวมถึงฉากที่ โซเฟีย เดินมาตามท้องถนนในตัวเมืองเวโรน่า จนมาถึงด้านหน้าโคลอสเซียมอายุ 2,000 ปี ซึ่งกลายเป็นโรงละครโอเปร่าที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ทีมงานยังได้ไปถ่ายทำที่ทะเลสาบการ์ดา ซึ่งเป็นหนึ่งในสามทะเลสาบชื่อดังของประเทศอิตาลี ก่อนที่จะย้ายไปถ่ายทำยังเมืองเซียน่า และเดินทางไปทั่วแคว้นทัสคานี โดยใช้เวลา 10 วันในสวนไวน์อาเจียดาโน่ ที่ไวน์ชื่อดัง “บรูเนลโล่” ถูกผลิตและส่งออกจากที่นี่ ทีมงานใช้เวลาสองวันในเมืองเซียน่า เมืองแห่งประวัติศาสตร์ ซึ่งประกอบไปด้วยถนนสายเล็กๆที่มุ่งหน้าเข้าสู่ “จตุรัส เปียซ่า เดล คัมโป” โดยทีมงานได้แอบถ่ายทำฉากที่ โซเฟีย และ ชาร์ลี เดินผ่านฝูงชนกลางจตุรัส ในขณะที่นักท่องเที่ยวนับพันคนให้ความสนใจกับประติมากรรมรอบจตุรัส โดยที่ไม่ทันได้สังเกตุกล้องที่ใช้ถ่ายทำด้วยซ้ำ โรงแรมบอร์โก สกอพิโต้ ซึ่งเคยเป็นบ้านของตระกูลดังในหลายศตวรรษ ถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำที่ โซเฟีย, ชาร์ลี และ แคลร์ พักผ่อนระหว่างการเดินทาง โรงแรมแห่งนี้ถูกสร้างอยู่ท่ามกลางสวนไวน์และสวนมะกอก ห่างจากตัวเมืองเซียน่าเพียง 20 นาที โดยนี้เป็นสถานที่สุดท้ายสำหรับการถ่ายทำในประเทศอิตาลี ก่อนที่ทีมงานจะมุ่งหน้ากลับไปยังนิวยอร์คเพื่อทำการปิดกล้อง ผู้กำกับ วินิก เล่าถึงประสบการณ์การถ่ายทำในอิตาลีว่า "มันถึงจุดหนึ่งที่คุณจะรู้สึกว่าสถานที่กลายเป็นหนึ่งในตัวละคร การที่ผมเติบโตในกรุงนิวยอร์คและดูหนังของ วู้ดดี้ อัลเลน ผมก็เคยมีความรู้สึกแบบนี้ และผมก็รู้สึกเช่นเดียวกันกับ Letters to Juliet ในขณะที่คุณสามารถสร้างฉากหลังจากที่ไหนก็ได้ การใช้ชีวิตในอิตาลีก็ทำให้คุณต้องมนต์เสน่ห์ และมันก็ถูกถ่ายทอดออกมาจากการแสดง ที่สะท้อนให้เห็นถึงสีสันและประติมากรรมในเมือง ไม่มีที่ใดที่เหมือนกับที่นี่อีกแล้ว" สำหรับ คริสโตเฟอร์ อีแกน การสร้างอารมณ์ร่วมให้เข้ากับเรื่องราวไม่ใช่งานที่ยากเลย "อาแมนด้า และผมถ่ายทำฉากที่นั่งอยู่ในร้านกาแฟที่เซียน่า พวกเราใช้เวลาทั้งวันในการถ่ายทำฉากที่เดินไปตามท้องถนน ถึงแม้ว่าเราต้องถ่ายทำอยู่หลายเทคและถูกห้อมล้อมไปด้วยฝูงชน มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะอินไปกับบรรยากาศ ทัศนียภาพและมนต์ขลังจะพาคุณให้ล่องลอยไปแบบไม่รู้ตัว" วาเนสซ่า เร็ดเกรฟ ทิ้งท้ายถึงประเทศอิตาลีว่า "ฉันคิดว่าอิตาลีเป็นชาติที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ ถึงแม้เมืองที่ฉันรู้จักสมัยเด็กจะสูญหายไปแล้ว มันถูกแทนที่ด้วยกลุ่มนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้ามา แต่ฉันคิดว่าอย่างน้อย Letters to Juliet ก็สามารถถ่ายทอดให้เห็นถึงอิตาลีในฝันของทุกคนได้อย่างดี" -------------------------------------------------ทีมนักแสดง------------------------------------------------- อาแมนด้า ไซเฟร็ด (รับทเป็น โซเฟีย) ด้วยบทบาทจากทางจอแก้วและจอเงิน ทำให้เธอกลายเป็นนักแสดงสาวที่ได้รับการจับตามากที่สุดคนหนึ่ง ไซเฟร็ด แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการร้องเพลงและเต้น เคียงข้างกับ เมอรีล สตรีป ในหนังเพลงสุดฮิต Mamma Mia! ที่ทำเงินไปกว่า 500 ล้านเหรียญทั่วโลก ไซเฟร็ด เติบโตในเมืองเพนซิลวาเนีย เริ่มต้นอาชีพนางแบบตั้งแต่อายุ 11 ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่เวทีการแสดงในละครโทรทัศน์เรื่อง As the World Turns ในปี 2002 เธอได้เซ็นสัญญาเป็นหนึ่งในทีมนักแสดงของ All My Children โดยผลงานทางทีวีเรื่องอื่นๆของเธอก็ยังมี Law and Order: SVU, House และ Veronica Mars ผลงานการแสดงทางภาพยนตร์ที่แจ้งเกิดให้เธอคือ Mean Girls หนังฮิตที่นำแสดงโดย ลินด์ซี่ย์ โลฮาน และ เรเชล แม็คอาดัมส์ ในปี 2005 เธอแสดงใน Nine Lives ที่ถูกคัดเลือกให้เข้าฉายในเทศกาลหนังซันแด้นส์ ก่อนที่ปี 2006 แสดงใน Alpha Dog ของผู้กำกับ นิค แคสซาเวส และในปีเดียวกันเธอก็แสดงใน American Gun ร่วมกับ โนัลด์ ซัทเธอร์แลนด์, ฟอเรส วิทเธเกอร์ และ มาเชีย เกย์ ฮาร์เด็น ในปีนี้เธอก็เพิ่งมีผลงานหนังโรแมนติกเรื่อง Dear John ที่สร้างจากวรรณกรรมขายดีของ นิโคลัส สปาร์ค ที่เธอประกบคู่กับ แชนนิ่ง เททั่ม โดยหนังสามารถเปิดตัวอันดับหนึ่งในอเมริกา โดยโค่นเจ้าของตำแหน่งเดิม Avatar ลงได้ หลังจากครองอันดับหนึ่งมากว่า 7 สัปดาห์ คริสโตเฟอร์ อีแกน (รับบทเป็น ชาร์ลี) ปี 2009 เป็นปีที่เส้นทางอาชีพนักแสดงของ คริสโตเฟอร์ อีแกน พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากที่เขาใช้เวลาสองเดือนในอิตาลีกับการถ่ายทำ Letters to Juliet เขาก็ยังมีผลงานในซีรี่ย์สุดฮิตเรื่อง Kings ที่เขาแสดงคู่กับ เอียน แม็คเชน และหนังอินดี้เรื่อง Crush ในปี 2006 เขาได้รับบทเป็น โรลาน ในหนังที่สร้างจากวรรณกรรมเยาวชนเรื่อง Eragon และมีผลงานการแสดงที่ผ่านตาเราอีกมากมาย เช่น Resident Evil: Extinction, Alpha Male และ Virgin Territory โดยมีผลงานในซี่รี่ย์ชื่อดังอย่าง Everwood และมินิซีรี่ย์ Empire คริสโตเฟอร์ เป็นนักแสดงที่เกิดและโตในซิดนี่ย์ เขาเริ่มต้นอาชีพนักแสดงในซีรี่ย์สุดฮิตของออสเตรเลีย Home and Away ซึ่งทำให้เขาถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Logie ซึ่งเปรียบได้กับรางวัล Emmy ของอเมริกา รวมถึงการแสดงละครเวทีในกรุงซิดนี่ย์อย่าง Les Miserables และ West Side Story กาเอล การ์เซีย เบอร์นัล (รับบทเป็น วิคเตอร์) กาเอล เริ่มเข้าวงการแสดงเมื่อปี 1989 โดยแสดงในละครทางโทรทัศน์ของเม็กซิโกเรื่อง Teresa และ El Abuelo Y Yo ก่อนที่ในปี 1996 เขาได้แสดงหนังสั้นเรื่องแรกคือ De Tripas Coraz?n ก่อนที่จะไปเรียนวิชาการแสดงในลอนดอน โดยหลังจากที่เรียนจบเขาก็กลับมารับงานแสดงอีกครั้งในเรื่อง Amores Perros และแสดงนำกับเพื่อนสนิทของเขาอย่าง ดิเอโก้ ลูน่า ในหนังของ ผู้กำกับ อัลฟองโซ คัวรอน เรื่อง Y Tu Mama Tambien ที่ทำให้ กาเอล แจ้งเกิดอย่างแท้จริง หนังสัญชาติสหรัฐเรื่องต่อมาที่เขาแสดงก็คือ The Motorcycle Diarie ซึ่งเขารับบทเป็น เช เกวาร่า นักปฏิวัติผู้ยิ่งใหญ่ โดยหนังได้รับการตอบรับที่ดี โดยเข้าชิงถึงสองรางวัลออสการ์ ในปีเดียวกันนั้น เขาก็เล่นหนังให้ผู้กำกับชื่อดัง เปโดร อัลโมโดวาร์ เรื่อง Bad Education ซึ่งได้รับเกียรติให้เปิดเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ กาเอล ยังมีงานแสดงอย่างต่อเนื่อง เช่น The King, The Science of Sleep ของผู้กำกับ มิเชล กงดรี้, Blindness ของผู้กำกับ เฟอร์นันโด เมเรลเรส, Rudo y Cursi ที่เขากลับไปร่วมงานกับเพื่อนนักแสดง ดิเอโก้ ลูน่า และล่าสุดใน The Limits of Control ของผู้กำกับ จิม จาร์มุช วาเนสซ่า เรดเกรฟ (รับบทเป็น แคลร์) วาเนสซ่า เรดเกรฟ ได้รับรางวัลออสการ์และสถาบันอันทรงเกียรติอีกมากมาย เช่น ลูกโลกทองคำ, ชมรมนักวิจารณ์ลอสแองเจลิส และชมรมนักวิจารณ์แคนซัส จากการแสดงอันทรงพลังใน Julia กำกับโดย เฟรด ซินเนมานน์ ดัดแปลงจากนวนิยายชื่อดังของ ลิเลียน เฮลล์แมน วาเนสซ่า ยังเคยถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 5 ครั้ง และรางวัลลูกโลกทางคำถึง 12 ครั้ง โดยนักแสดงจากลอนดอนคนนี้ เริ่มต้นอาชีพการแสดงตั้งแต่ปี 1961 โดยเป็นหนึ่งในคณะละครเวทีของ รอยัล เช็คสเปียร์ ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่วงการภาพยนตร์ และแสดงในหนังคลาสสิกมากมาย เช่น A Man for All Seasons, Camelot (ที่ทำให้เธอพบกับสามีในอนาคต ฟรานโก เนโร), Agatha, Wetherby, Howards End และ Atonement เธอยังกลับไปแสดงในละครเวทีเมื่อมีโอกาส โดยในปี 2003 วาเนสซ่า ได้รับบทรางวัลโทนี่ จากการแสดงอันยอดเยี่ยมในละครบรอดเวย์ของ โรเบิร์ต ฟอลส์ ที่ชื่อ Long Day’s Journey Into Night และในปี 2007 เธอก็ได้แสดงละครบรอดเวย์ชื่อ The Year of Magical Thinking ที่ทำให้เธอถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโทนี่ --------------------------------------------------ทีมผู้สร้าง--------------------------------------------------- แกรี่ วินิก (ผู้กำกับ) ผลงานการกำกับสามเรื่องล่าสุดของเขาอย่าง Bride Wars, 13 Going On 30 และ Charlotte's Web ต่างได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากผู้ชม และกลายเป็นหนังฮิตทำเงินไปทั่วโลก วินิก สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเท็กซัส และเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยนิวยอร์คเป็นเวลา 7 ปี ก่อนที่เขาจะเป็นผู้อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์ เช่น Chealsea Walls ที่กำกับโดย อีธาน ฮอว์ค ที่เปิดฉายรอบปมทัศน์ในเทศกาลหนังเมืองคานส์, Tape กำกับโดย ริชาร์ด ลิงค์เลเตอร์ และ Ten Tiny Love Stories กำกับโดย ร็อดริโก การ์เซีย วินิก ยังมีผลงานการกำกับมาก่อนหน้านี้ เช่น Cerfew, Out of the Rain, Sweet Nothing และ The Tic Code ซึ่งได้รับรางวัลจากเทศการหนังเมืองเบอร์ลิน รวมถึง Sam the Man และ Tadploe ที่ทำให้เขาได้รับรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมจากเทศกาลหนังซันแด๊นซ์ โจเซ่ ริเวร่า (ผู้เขียนบท) ผลงาน >>>The Motorcycle Diaries, Trade, The Winged Man แพททริค วอร์ชเบอร์เกอร์ (ผู้อำนวยการสร้าง) ผลงาน >>> Step Up 1 & 2, Mr. & Mrs. Smith มาร์โค พอนเทคอร์โว (ผู้กำกับภาพ) ผลงาน >>> Firewall, The Last Legion, My One and Only บิล พันคัวร์ (ผู้ตัดต่อภาพ) ผลงาน >>> Redacted, Assault on Precinct 13, Drumline

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ