เครือเปาโลฯ ฉลองครบรอบ 38 ปี ชูความเชี่ยวชาญด้านศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง สานต่อเทคโนโลยีดูแลชีวิต “Scan & Scope” ภาค 2 พร้อมแนะโรคในกลุ่มวัยทำงาน แก้ง่ายกว่าที่คิด

ข่าวทั่วไป Wednesday June 16, 2010 10:39 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--16 มิ.ย.--เอ็ม.โอ.ชิค เครือโรงพยาบาลเปาโล เมโมเรียล ฉลองครบรอบ 38 ปี ชูความเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านศูนย์การแพทย์เฉพาะทางแบบครบวงจร เดินหน้าสานต่อเทคโนโลยีดูแลชีวิตคุณ “Scan & Scope” ภาค 2 หลังมีกระแสตอบรับดีเกินคาด โดยมุ่งเน้นที่กลุ่มคนวัยทำงานเป็นหลัก พร้อมเผยโรคยอดฮิตของคนทำงาน และแนะการดูแลรักษาสุขภาพของคุณแม่มือใหม่วัยทำงาน ด้วยการเปิดตัว 4 โปรโมชั่นสุดพิเศษในราคาสบายใจ...สบายกระเป๋า เอาใจคนวัยทำงานโดยเฉพาะ นายสิทธิชัย สุขเจริญมิตร กรรมการผู้จัดการ เครือรพ.เปาโล เมโมเรียล เปิดเผยว่า “ในปีนี้ถือได้ว่าเป็นปีที่ทางเครือโรงพยาบาลเปาโล เมโมเรียล ครบรอบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจเป็นปีที่ 38 โดยเรามีการพัฒนาและปรับปรุงการให้บริการทางการแพทย์ของทั้งเครือ รพ.ฯ มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อความเป็นมาตรฐานเดียวกัน และเพื่อก้าวสู่ความเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์เฉพาะทางแบบครบวงจร โดยเราเริ่มดำเนินการปรับภาพลักษณ์ และพัฒนาเทคโนโลยีของศูนย์การแพทย์เฉพาะทางต่าง ๆ อาทิ ศูนย์ข้อเทียม, ศูนย์กระดูกและข้อ, ศูนย์หัวใจ, ศูนย์สูติ — นรีเวช ฯลฯ มาตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา อีกทั้งในช่วงต้นปีเรายังมีแคมเปญเทคโนโลยีดูแลชีวิต “Scan & Scope” ที่ทางเครือ รพ.ฯ เลือกใช้เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์การตลาดในการขยายฐานผู้ใช้บริการ เพื่อให้ได้เห็นถึงความหลากหลายของการให้บริการด้านสุขภาพของทางเครือ รพ.ฯ มากยิ่งขึ้น โดยกระตุ้นให้ผู้ใช้บริการได้เล็งเห็นข้อดีของการตรวจสุขภาพ ซึ่งทำให้รักษาได้ไว และมีโอกาสหายสูงภายใต้คอนเซ็ปต์ Scan & Scope “รู้เร็ว รักษาไว ได้ผล” โดยเรามีการนำเทคโนโลยีเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ความเร็วสูง 64 Slice และเทคโนโลยีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า MRI (Magnetic Resonance Imaging) มาเป็นอุปกรณ์ช่วยในการวินิจฉัยโรค อีกทั้งมีการนำเทคโนโลยีการผ่าตัดผ่านกล้อง Endoscope สำหรับผู้ป่วยโรคกระดูกและข้อ เช่น อาการหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท และเทคโนโลยีการผ่าตัดผ่านกล้อง Laparoscope สำหรับผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ มาช่วยในการรักษาโรคได้อย่างแม่นยำ แผลเล็ก ฟื้นตัวเร็ว ซึ่งแคมเปญฯ นี้ได้รับความสนใจจากผู้มาใช้บริการเป็นอย่างมาก” นายสิทธิชัยกล่าวต่อไปว่า “จากความสำเร็จของแคมเปญฯ ดังกล่าว ในช่วงครึ่งปีหลัง เราจึงได้มีการสานต่อแคมเปญเทคโนโลยีดูแลชีวิต “Scan & Scope” ภาค 2 เพื่อเป็นการตอกย้ำกระแสของแคมเปญฯ ให้มีความต่อเนื่อง โดยเราจะโฟกัสไปที่กลุ่มคนวัยทำงานมากขึ้น เนื่องจากคนกลุ่มนี้มักจะมีโรคหรืออาการต่าง ๆ ที่มีผลข้างเคียงมาจากการทำงาน อาทิ ปวดหลัง, ปวดคอ, ปวดท้อง, ปวดหัว และส่วนใหญ่จะมองข้ามเรื่องการดูแลรักษาสุขภาพของตนเอง เราจึงมองว่าหากสามารถปรับเปลี่ยนทัศนคติของกลุ่มคนนี้ให้หันมารักและใส่ใจสุขภาพของตนเองได้ เราก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของกลุ่มคนวัยทำงานในสังคมไทยได้อีกด้วย ทั้งนี้สำหรับแคมเปญเทคโนโลยีดูแลชีวิตคุณ “Scan & Scope” ภาค 2 เรายังคงมุ่งคอนเซปต์การรักษาแบบ “Scan&Scope” ที่เน้น “รู้เร็ว รักษาไว ได้ผล” ด้วยเทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัย ให้ค้นพบโรคโรคได้แต่เนิ่นๆ เพื่อให้แพทย์วางแผนการรักษาได้แม่นยำ รวมถึงมีโอกาสรักษาหายได้สูง ด้วยเทคโนโลยีการผ่าตัดผ่าน กล้องเอนโดสโคป (Endoscope) นั่นเอง” สำหรับโรคยอดฮิตในกลุ่มคนวัยทำงาน นายแพทย์พรภวิษญ์ ศรีภิรมย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยศาสตร์ ออโธปิดิกซ์ ประจำศูนย์ข้อเทียม ศูนย์กระดูกและข้อ เครือรพ.เปาโล เมโมเรียล ให้ความเห็นว่า “โรคในกลุ่มคนวัยทำงานที่พบมากสุด คือ โรคปวดหลัง โดยกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ที่พบ มาจากการยืน นั่ง เดิน และการนอนที่ไม่เหมาะสม สรีระที่ไม่ดี เช่น น้ำหนักตัวที่มากเกินไป ทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องแบกรับน้ำหนักและพยุงร่างกายมากขึ้น ทั้งนี้ อาการปวดหลัง มีหลายสาเหตุ เช่น อาการปวดหลังจากกล้ามเนื้อ จะปวดเล็กน้อย ซึ่งเมื่อนอนพักหรือทานยาก็จะหาย โดยไม่ควรเกิน 3-5 วัน หรืออาการปวดจากหมอนรองกระดูก อาการปวดจะเพิ่มมากขึ้นและเรื้อรัง ปวดร้าวลงไปที่ขา ขาอ่อนแรง มีอาการชาที่เท้าและขา ทั้งหมดนี้เป็นสัญญาณเตือนที่ควรเข้ามารับการตรวจและวินิจฉัยจากแพทย์โดยเร็ว เพราะมีอาการเสี่ยงต่อการเป็นโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทได้ “สำหรับขั้นตอนการวินิจฉัยและการรักษาอาการปวดหลังนั้น จะเริ่มตั้งแต่สอบถามประวัติ ตรวจร่างกาย ให้ยาทาน และกายภาพบำบัด หากอาการยังไม่ดีขึ้น มีอาการปวดร้าวลงขา ขาชาหรืออ่อนแรง มีอาการปวดอย่างต่อเนื่อง หรือมีความผิดปกติของระบบขับถ่าย ก็มีความเป็นไปได้สูงที่หมอนรองกระดูกนั้นเคลื่อนมากดทับเส้นประสาท ซึ่งแพทย์จะแนะนำให้ทำ MRI (Magnetic Resonance Imaging) เพื่อวิเคราะห์หมอนรองกระดูกที่มีปัญหาได้อย่างตรงจุด และด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ของเครือรพ.เปาโล เมโมเรียลที่มีเทคโนโลยีทางเลือกในการรักษาที่เหมาะสม เช่นการรักษาอาการปวดหลัง ก็จะเป็นตัวเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาให้แม่นยำและเร็วยิ่งขึ้น เช่น สำหรับผู้ที่กลัวการผ่าตัด อาจเลือกเทคโนโลยีการรักษาแบบ Nucleoplasty ที่ใช้คลื่นวิทยุ (High Radio Frequency) รักษาหมอนรองกระดูกที่เคลื่อนออกมาให้มีขนาดที่เล็กลง หรือเทคโนโลยีการผ่าตัดผ่านกล้องเอนโดสโคป (Endoscope) ที่สามารถส่องได้ถึงชั้นหมอนรองกระดูก และสามารถผ่าตัดได้เสร็จภายในเวลาที่รวดเร็ว ( 30 นาที — 1 ชั่วโมง) นับเป็นอีกก้าวของการพัฒนาทางการแพทย์ด้านการผ่าตัดที่จะไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอีกต่อไป ด้วยจุดเด่นเรื่องขนาดแผลที่เล็ก ความยาวไม่เกิน 1 เซนติเมตร เสียเลือดน้อย การบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อที่ไม่จำเป็นลดลง และฟื้นตัวได้เร็วภายใน 1-2 วัน สิ่งเหล่านี้ถือเป็นเหตุผลและทางเลือกที่ดีสำหรับกลุ่มคนวัยทำงานที่มีอาการปวดจากโรคดังกล่าว และกลัวว่าหากเข้ารับการผ่าตัดจะต้องพักฟื้นเป็นเวลานาน จนมีผลกระทบต่อการทำงาน” นายแพทย์พรภวิษญ์ กล่าว ด้านนายแพทย์มาโนชญ์ สัมฤทธิ์โสภาค แพทย์เฉพาะทางโรคกระดูกและข้อ ประจำโรงพยาบาล กล่าวเสริมว่า “การดูแลตนเองหลังรับการผ่าตัดนั้น สิ่งที่สำคัญคือ ต้องหมั่นทำกายภาพบำบัดโดยเฉพาะบริเวณกล้ามเนื้อหลังและกล้ามเนื้อหน้าท้อง เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรง และเพื่อช่วยลดอาการปวดหลังได้ รวมถึงการพยามยามใช้หลังให้ถูกวิธี เช่น ไม่นั่งหลังค่อม ยืนหลังตรง อกผาย ไหลผึ่ง หรือเมื่อต้องยืนนานๆ ควรมีการพักเท้าสลับกันทั้ง 2 ข้าง และสำหรับคุณผู้หญิงก็ไม่ควรใส่รองเท้าส้นที่สูงเกินไป เพราะจะทำให้เกิดอาการปวดหลังได้เช่นกัน หากจำเป็นต้องก้มลงเก็บของ ควรย่อเข่าลงแทนการโน้มตัวลงทั้งตัว ก็จะสามารถช่วยเลี่ยงอาการบาดเจ็บหรือปวดที่หลังได้เช่นกัน” อีกกลุ่มคนวัยทำงานที่สำคัญที่ทางเครือรพ.เปาโล เมโมเรียลได้ให้ความใส่ใจ ภายใต้แคมเปญ “Scan & Scope” ภาค 2 คือ “กลุ่มคุณแม่มือใหม่วัยทำงานในระหว่างตั้งครรภ์เจ้าตัวน้อย” ซึ่งแพทย์หญิงศศิลักษณ์ ทังสมบัติ สูตินรีแพทย์ ประจำโรงพยาบาลเปาโล เมโมเรียล ได้แนะเคล็ดลับในการดูแลสุขภาพและข้อควรระวังว่า “3 เดือนแรกสำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์นั้น เป็นช่วงที่เสี่ยงต่อการแท้งมากที่สุด ดังนั้นลักษณะของการทำงานที่อาจจะกระทบกระเทือนถึงเด็ก เช่น ต้องเดินทำงานตลอดทั้งวัน หรือการทำงานที่ต้องอยู่ในภาวะที่เครียดมากๆ ก็ควรหลีกเลี่ยง หรือพยายามลดให้น้อยที่สุด และควรพักผ่อนให้เพียงพอในแต่ละวันด้วย ในช่วงเดือนต่อๆ ไป จะเริ่มมีอาการปวดหลัง ปวดตัว และปวดท้อง รวมถึงมดลูกจะเริ่มมีการขยายตัว ทำให้ขวางทางเดินของเส้นเลือด ซึ่งจะส่งผลต่อการไหลกลับของเส้นเลือดที่จะมีประสิทธิภาพลดลง ทำให้คุณแม่จะมีอาการขาบวม ดังนั้นควรมีการเปลี่ยนอิริยาบทหรือพักระหว่างทำงานสลับกันไป เช่น การเดิน การยืน ซึ่งจะช่วยให้เลือดหมุนเวียนได้ดีขึ้น และในด้านโภชนาการคุณแม่วัยทำงานที่กำลังตั้งครรภ์ ควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำอัดลม เครื่องดื่มที ่มีคาเฟอีนอย่างชา กาแฟ หรือรับประทานอาการประเภทที่มีไขมันสูง เพราะสิ่งเหล่านี้จะไปขัดขวางและทำให้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์อื่นๆ ต่อเด็กในครรภ์ได้น้อยลง และจะทำให้คุณแม่อ้วนง่ายด้วย ทั้งนี้อาหารที่ควรรับประทานช่วงตลอดระยะเวลาตั้งครรภ์ ได้แก่ ถั่วชนิดต่างๆ ผัก และนมทั้งแบบพร่องมันเนยหรือขาดมันเนย” ด้านคุณปอ-ปุณยาวีร์ สุขกุลวรเศรษฐ์ กับบทบาทเวิร์คกิ้งมัม (Working Mom) ล่าสุด เจ้าตัวได้ออกมาเผยหลังจากได้รู้ว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์ได้ 3 เดือน ว่า “ดีใจมาก หลังใช้ความพยามยามมากว่า 3 ปี พอได้ทราบว่าท้องและได้ลูกแฝด ก็ยิ่งรู้สึกดีใจเป็น 2 เท่า และตนเองก็ตั้งครรภ์ตอนอายุมากแล้ว ดังนั้น เรื่องสุขภาพจึงเป็นเรื่องที่ต้องยิ่งใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะต้องทำงานนอกบ้านทุกวัน และมีโอกาสได้เข้ามาปรึกษากับสูติ-นรีแพทย์ จึงทำให้ทราบถึงวิธีปฏิบัติตัวในช่วงกำลังตั้งครรภ์ โดยพยายามทำตามที่คุณหมอสั่งทุกอย่างอย่างเคร่งครัด ที่สำคัญจะไม่ปล่อยให้เครียด เพราะกลัวจะส่งผลถึงลูก ด้านร่างกาย ช่วง 3 เดือนแรกนั้นแพ้ท้องหนักมากและอาเจียนตลอด มีหลายคนแนะนำสูตรแก้แพ้ท้องดีๆ ก็พยายามทำตาม เช่น ทานขนมปังกรอบกับน้ำขิง เป็นต้น แต่ส่วนใหญ่ตนจะชอบทานพวกไอศกรีม ขนมหวาน ซึ่งก็พยายามคุม ไม่ทานเยอะ เพราะน้ำหนักขึ้นเร็วมาก และก็กลัวจะเป็นเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์ด้วย” แพทย์หญิงศศิลักษณ์ ยังได้ให้คำแนะนำสำหรับคุณแม่มือใหม่วัยทำงานหลังจากคลอดลูกเพิ่มเติมว่า “ภายหลังจากคลอดลูกแล้ว ส่วนใหญ่คุณแม่จะมีภาวะซึมเศร้า เนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ควรรักษาอารมณ์ให้แจ่มใส และเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพื่อกระตุ้นการทำงานต่างๆ ของระบบร่างกาย และควรทำการอยู่ไฟ เพื่อช่วยให้เนื้อเยื่อที่บวมกลับคืนสภาพเดิม หากไม่สะดวกหรือไม่มีเวลาอาจใช้การอบไอน้ำ หรืออบเซาว์น่า เพื่อไล่น้ำในร่างกายที่อยู่ในเนื้อเยื่อได้เช่นกัน” เรื่องการเตรียมความพร้อมสำหรับลูกน้อย คุณปอ-ปุณยาวีร์ แนะนำว่า “คุณแม่วัยทำงานควรมีการประเมินสถานะทางการเงินของครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน บางคนยอมเสียค่าใช้จ่ายเลือกสถานพยาบาลที่มีคุณภาพแลกกับราคาแพคเกจค่าคลอดที่แสนแพง จึงอยากฝากถึงคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ไว้ว่า ปัจจุบันยังมีสถานพยาบาลที่เข้ามาเป็นทางเลือก ด้วยสิทธิประโยชน์ที่คุ้มค่าให้คุณแม่ ได้ใช้บริการอย่างตรงใจ เพื่อชื่นชมลูกน้อยที่กำลังจะเกิดมาอย่างไร้กังวล และเปี่ยมไปด้วยความสุขในวันสำคัญที่ลูกน้อยลืมตาดูโลกนั่นเอง” และในโอกาส “ฉลองครบรอบ 38 ปี เครือโรงพยาบาลเปาโล เมโมเรียล” ทางเครือ รพ.ฯ ได้ออก 4 โปรแกรมพิเศษ สำหรับการตรวจรักษาสุขภาพของกลุ่มคนวัยทำงานโดยเฉพาะ ในรูปแบบราคาที่สบายใจ...สบายกระเป๋า ภายใต้ คอนเซ็ปต์ “เปาโลฯ ครบรอบ 38 ปี สบายใจ...สบายกระเป๋า กับ 4 โปรโมชั่นพิเศษเพื่อคนวัยทำงาน” ได้แก่ 1) โปรแกรมตรวจสุขภาพ 18 รายการราคา 3,800 บาท พร้อมรับสิทธิอัลตราซาวน์ช่องท้อง 2) โปรแกรมผ่าตัดหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทผ่านกล้องเอนโดสโคป ราคา 138,000 บาท พร้อมรับส่วนลดทันที 10,000 บาท เมื่อนำฟิล์ม MRI มาด้วย 3) โปรแกรมผ่าตัดหัวใจแบบบายพาส ในราคาพิเศษเพียง 380,000 บาท และโปรแกรมไฮไลท์สำหรับการฉลองครั้งนี้ สำหรับว่าที่คุณแม่มือใหม่วัยทำงานเลือกโปรแกรมผ่าคลอดสบายๆ ราคา 28,900 บาท ทั้งนี้เพื่อให้สอดรับกับสภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน ตั้งแต่วันนี้ — 30 มิถุนายน 2553 ณ เครือโรงพยาบาล เปาโล เมโมเรียล ทั้ง 4 สาขา (พหลโยธิน, โชคชัย 4, สมุทรปราการ และนวมินทร์)…เรียกได้ว่า เป็น 4 โปรโมชั่นสุดพิเศษ ในราคาสบายใจ...สบายกระเป๋า เพื่อคนวัยทำงานจริงๆ ... สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 02-513-9784 บ.เอ็ม.โอ.ชิค จำกัด

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ