MovieKnight and Day

ข่าวบันเทิง Thursday June 24, 2010 14:55 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--24 มิ.ย.--MMM Digital ไนท์ แอนด์ เดย์ โคตรคนพยัคฆ์ร้ายกับหวานใจมหาประลัย 24 มิถุนายน 2010 ในโรงภาพยนตร์เท่านั้น ภาพยนตร์เรื่อง KNIGHT AND DAY หรือ ไนท์ แอนด์ เดย์ โคตรคนพยัคฆ์ร้ายกับหวานใจมหาประลัย เป็นผลงานแนวแอ็คชั่น-เฮฮาที่ ทอม ครูซ (Tom Cruise) มารับบทเป็นพยัคฆ์ร้ายสายลับพลิกพริ้ว กับคาเมร่อน ดิแอซ (Cameron Diaz) เป็นสาวสวยที่จับพลัดจับผลูมาตกอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ชุลมุนที่เขาอ้างว่าถูกใส่ร้าย ในขณะที่การผจญภัยของทั้งคู่เกิดขึ้นแทบจะทั่วทุกหนแห่ง ยิ่งป่วนยิ่งฮาด้วยมุขตีหน้าตายขายผ้าเอาหน้ารอด, เฉียดตายชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด, แอบอ้างตัวเองเป็นใครที่ไหนก็ไม่รู้, แล้วยังแทรกอารมณ์โรแมนติคสุดกุ๊กกิ๊กที่ทำให้ใจเต้นหัวหมุน กว่าทั้งคู่จะตระหนักว่าสามารถพึ่งพาอาศัยไว้วางใจกันและกันด้วยชีวิตได้ บริษัทภาพยนตร์ Twentieth Century Fox และ Regency Enterprises ภูมิใจเสนอผลงานการสร้างของ Pink Machine, Todd Garner, และ Tree/Line Film ใน KNIGHT AND DAY หรือ ไนท์ แอนด์ เดย์ โคตรคนพยัคฆ์ร้ายกับหวานใจมหาประลัย ภาพยนตร์ของเจมส์ แมนโกลด์ (James Mangold จาก Walk The Line และ 3:10 To Yuma) ที่นำแสดงโดยทอม ครูซ (Tom Cruise) และคาเมร่อน ดิแอซ (Cameron Diaz) พร้อมด้วยนักแสดงสมทบคับคั่ง อาทิ ปีเตอร์ ซาร์สการ์ด (Peter Sarsgaard), วิโอล่า เดวิส (Viola Davis), จอร์ดี้ มอลล่า (Jordi Moll?), และพอล ดาโน่ (Paul Dano) แพทริค โอนีล (Patrick O’Neill) เป็นผู้เขียนบทภาพยนตร์, แคธี่ คอนราด (Cathy Konrad), สตีฟ พิ้งค์ (Steve Pink), และท็อดด์ การ์เนอร์ (Todd Garner) เป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ โจ ร็อธ (Joe Roth), อาร์นอน มิลแชน (Arnon Milchan), และอี เบ็นเน็ตต์ วอลช์ (E. Bennett Walsh) เป็นผู้บริหารงานอำนวยการสร้างภาพยนตร์ แมนโกลด์ยังเลือกคณะผู้สร้างภาพยนตร์มือฉมังที่เคยร่วมงานกับเขามาก่อนแล้วทั้งจาก Walk the Line และ 3:10 To Yuma มาร่วมงานด้วย อาทิ เฟด้อน พาพาไมเคิ้ล (Phedon Papamichael, ASC) เป็นผู้กำกับภาพ, ไทเคิ้ล แม็คคัสเตอร์ (Michael McCusker, A.C.E.) เป็นผู้ตัดต่อภาพยนตร์, เอเรียน ฟิลลิป (Arianne Phillips) เป็นผู้ออกแบบเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย, และแอนดรู เม็นซิส (Andrew Menzies ที่เคยร่วมงานกับแมนโกลด์ใน 3:10 to Yuma แค่เรื่องเดียว) เป็นผู้ออกแบบสร้างสรรค์ฉากที่ส่งให้ผลงานแอ็คชั่นสุดพริ้ว, เต็มไปด้วยมุขเฮฮา, และลุ้นระทึกกันทุกฉากทุกตอนท่ามกลางสถานที่ตื่นตาสุดอลังการ จอห์น โพเวล (John Powell) เป็นผู้ประพันธ์ดนตรีประกอบภาพยนตร์ เขาเคยแต่งแต้มสีสันผ่านเสียงดนตรีให้กับผลงานลุ้นระทึกร่วมสมัยหลาย ๆ เรื่อง รวมทั้ง The Bourne ทั้ง 3 ภาค, Mr. and Mrs. Smith, และ The Italian Job ด้วย กว่าจะมาเป็น KNIGHT AND DAY หรือ ไนท์ แอนด์ เดย์ โคตรคนพยัคฆ์ร้ายกับหวานใจมหาประลัย (BEGINNINGS) ด้วยความเร็วจนแทบไม่ทันกระพริบตา รอย มิลเลอร์ (Roy Miller รับบทโดยทอม ครูซ - Tom Cruise) พยัคฆ์ร้ายสายลับสุดหล่อก็เหวี่ยงชีวิตของ จูน ฮาเว่นส์ (June Havens รับบทโดยคาเมร่อน ดิแอซ - Cameron Diaz) หญิงสวยแสนสุดจะธรรมดาให้ล้มลุกคลุกคลานหัวหกก้นขวิดชนิดไม่คาดฝันมาก่อน หรือว่าใครเหวี่ยงใครกันแน่นะ จูนกำลังจะขึ้นเครื่องบินมุ่งหน้าไปยังเมืองวิชิต้า, รัฐแคนซัส (Wichita, Kansas) อดไม่ได้ที่จะหว่านเสน่ห์ สรวญเสเฮฮา สนทนาไปกับ รอย หนุ่มหล่อสุดลึกลับที่นั่งใกล้ ๆ แล้ววจู่ ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ทันใดนั้นเครื่องบินทั้งลำก็ถลำพุ่งลงสู่ทุ่งข้าวโพดเบื้องล่าง ไม่เหลือผู้โดยสาร หรือลูกเรือรอดชีวิตเลยแม้สักคนเดียว ยังไม่ทันจะหายใจทั่วท้อง จูนก็ถูกติดตามไล่ล่าไปทุกแห่งหน ต้องหลบกระสุนนับร้อยนัดที่ยิงถล่มเธอในบอสตั้น (Boston), โดดข้ามหลังคาอาคารหลังแล้วหลังเล่าในออสเตรีย (Austria), วิ่งหนีวัวกระทิงอย่างไม่คิดชีวิตในเซวิล (Seville) ซึ่งทุกสถานการณ์ผจญภัยเฉียดตายเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นขณะที่ จูน เคียงบ่าเคียงไหล่กับพยัคฆ์ร้ายสายลับหนุ่มหล่อที่ไม่เพียงน่าฉงนสนเท่ห์ หากยังอาจมีปัญหาทางจิต และไม่น่าไว้วางใจสุดอีกด้วย แต่ก็ด้วยเหตุการณ์ทั้งหมดนี่แหละ ส่งให้สองชีวิตจากโลกคนละใบที่แตกต่างกันสุดขั้วได้เข้ามาร่วมสร้างสรรค์กิจกรรมที่ต่างคนก็ต่างเฝ้ารอคอยมาชั่วชีวิต นั่นคือ การไว้วางใจใครสักคนอย่างสนิทใจ บัดนี้ ชีวิตของทั้งคู่พลิกผันไปอย่างสิ้นเชิง และไม่อาจจะหวนกลับไปเป็นเยี่ยงเดิมได้อีกแล้ว ก็ด้วยภารกิจพยัคฆ์ร้ายหาใดเหมือนไม่ได้อีกแล้วครั้งนี้ ทำให้เขาค้นพบความรักแสนสุดจะธรรมดา ในขณะที่เธอก็ได้ล่วงรู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว สาวบ้าน ๆ ก็สามารถลุกขึ้นมาทำกิจกรรมสุดระห่ำเกินกว่าที่คาดฝันได้เหมือนกัน “ภาพยนตร์เรื่อง KNIGHT AND DAY หรือ ไนท์ แอนด์ เดย์ โคตรคนพยัคฆ์ร้ายกับหวานใจมหาประลัย นี่เต็มเปี่ยมไปด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมรักเลยครับ” ทอม ครูซ (Tom Cruise) กล่าว “มันลงตัวทั้งแอ็คชั่น, เฮฮา, และยังมีตัวละครที่สดใหม่แต่ไม่ถึงกับหลุดโลกจนเทียบชั้นปุถุชนไม่ได้ไง ไหนจะยังอาศัยเรื่องราวความรักที่เข้ามาช่วยสร้างบรรยากาศให้สัมผัสได้อย่างซาบซึ้งใจอีกด้วย ผมประทับเค้าโครงเรื่องของหนังตรงที่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับ รอย และ จูน ล้วนผ่านสถานการณ์แอ็คชั่นสุดมันส์ คาเมร่อนกับผมรู้สึกได้เลยว่าความท้าทายและความสนุกสนานของงานนี้อยู่ตรงที่ เราจะต้องหาแสดงให้เห็นตัวตนที่แท้จริงของบทบาทที่เราได้รับท่ามกลางสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายตลอดเวลา จะต้องแสดงให้เห็นว่าทั้ง รอย และ จูน ดึงศักยภาพของกันและกันออกมาใช้ได้อย่างลงตัวสุด ๆ ซึ่งผมว่านั่นเป็นแนวคิดที่โรแมนติคสุด ๆ เลยครับ” คาเมร่อน ดิแอซ (Cameron Diaz) ตกปากรับคำแสดงบทนำทันทีที่รู้ว่า ครูซ จะเป็นพระเอก เธอปลื้มที่คู่พระคู่นางจะได้แสดงบทบาทรับส่งกันอย่างเข้าขา ทั้งเรื่องราวความรัก, โอกาสที่จะได้ผจญภัยไปยังสถานที่ต่าง ๆ ร่วมกับนักแสดงหนุ่มหล่อ “ฉันสนใจหนังเรื่อง KNIGHT AND DAY หรือ ไนท์ แอนด์ เดย์ โคตรคนพยัคฆ์ร้ายกับหวานใจมหาประลัย ไม่ใช่แค่เพราะแอ็คชั่นเหนือชั้น แต่เพราะเรื่องราวความรักแสนดูดดื่มที่ดึงให้คนจากโลกที่ต่างกันสุดขั้วมาลงเอยกันได้” ดิแอซกล่าว “รอยกับจูนดึงศักยภาพของกันและกันออกมาได้อย่างน่าสนใจและอีกฝ่ายก็คาดไม่ถึงว่าจะมีความสามารถนั้น ๆ ซุกซ่อนอยู่ในตนเอง ฉันเองก็คิดว่าน่าจะสนุกไม่น้อยที่จะได้ระห่ำไปพร้อม ๆ กับทอมระหว่างการถ่ายทำหนังเรื่องนี้” ผู้กำกับภาพยนตร์ เจมส์ แมนโกลด์ (James Mangold) ขึ้นชื่อเรื่องมีกลเม็ดเชิงสร้างสรรค์มุมมองแปลกใหม่ให้กับผลงานแนวคลาสสิค เขาเพิ่งกำกับภาพยนตร์ชีวประวัติของจอห์นนี่ แคช (Johnny Cash) เรื่อง Walk the Line ที่คว้ารางวัลออสการ์ (Oscar?-winning) มาครอง และ 3:10 To Yuma ภาพยนตร์แนวสิงห์ตะวันตกที่เดินเรื่องกระชับฉับไวและเฉลียวฉลาดมาก ๆ บัดนี้เขาจะแสดงฝีไม้ลายมือขั้นก้าวกระโดดด้วยการผสมผสานแอ็คชั่นสุดระห่ำของพยัคฆ์ร้ายสายลับ เข้ากับ เรื่องราวความรักสุดปราดเปรื่อง และถมฉากไล่ล่าท้ามฤตยู, การต่อสู้ฉากแล้วฉากเล่า, และซ่อนเร้นหลบหนีท่ามกลางกลิ่นไอรักรัญจวนที่เต็มไปด้วยความหรูหรา และเฮฮา ภาพยนตร์เรื่อง KNIGHT AND DAY หรือ ไนท์ แอนด์ เดย์ โคตรคนพยัคฆ์ร้ายกับหวานใจมหาประลัย แตกต่างไปจากภาพยนตร์แนวแอ็คชั่นในระดับเดียวกันตรงที่ เค้าโครงเรื่องของภาพยนตร์ไม่ได้อ้างอิงมาจากหนังสือการ์ตูน, ไม่ได้สร้างดัดแปลงจากซีรี่ย์ทางโทรทัศน์, หรือสร้างจากภาพยนตร์ภาคต่อใด ๆ ทั้งสิ้น หากแต่เกิดจากสมองของแพทริค โอนีล (Patrick O’Neill) ที่ร่างขึ้นมาคร่าว ๆ โดยแท้ แมนโกลด์มองว่า นี่เป็นโอกาสที่เขาจะได้สร้างสรรค์มุมมองใหม่ให้กับผลงานแนวคลาสสิคอีกครั้ง “เรามองว่าหนังเรื่อง KNIGHT AND DAY หรือ ไนท์ แอนด์ เดย์ โคตรคนพยัคฆ์ร้ายกับหวานใจมหาประลัย นี่จะเป็นผลงานพลิกโฉมหน้าหนังแนวที่เคยเป็นดาวเด่นของฮอลลีวู้ด (Hollywood) เลยล่ะ หนังเต็มไปด้วยการเดินทางท่องโลก, ความหราหราฟู่ฟ้า, มุขตลกเฮฮา, ความรักแสนโรแมนติค, และการผจญภัยให้มีลุ้นกันตลอด แต่ทั้งหมดนั่นเล่าผ่านตัวละครที่ทันสมัย และฉากแอ็คชั่นที่เข้มข้นและไม่เคยอยู่นิ่งเลยด้วย” เขากล่าว “ในฐานะผู้กำกับที่เคยทำหนังทั้งดราม่าและตลกเฮฮามาแล้วหลายเรื่อง สิ่งหนึ่งที่สำคัญกับผมมากคือจะไม่ยอมปล่อยให้ KNIGHT AND DAY หรือ ไนท์ แอนด์ เดย์ โคตรคนพยัคฆ์ร้ายกับหวานใจมหาประลัย กลายเป็นหนังคล้ายเจมส์ บอนด์ (James Bond) อีกเรื่องแน่ ๆ เราอยากจะทำหนังให้สีสันจัดจ้านกว่านั้น อยากให้เป็นแบบ Charade หรือ North by Northwest มากกว่า แต่จะให้ออกมาเป็นหนังแอ็คชั่นยุคใหม่ที่มีเรื่องราวของหัวใจกุ๊กกิ๊ก ๆ สอดแทรกด้วย เราอยากพาผู้ชมไปท่องเที่ยวทั่วโลกอย่างสนุกสนาน เป็นการเดินทางที่เต็มไปด้วยความเฮฮา, แต่ตัวละครทุกคนยังให้ความรู้สึกสมจริง และนักแสดงที่สร้างความน่าเชื่อถือให้ได้อย่างเต็มร้อย” แมนโกลด์กล่าวต่อไปว่า “เพื่อให้ได้ผลงานที่ออกมาสมความตั้งใจ เราต้องการนักแสดงที่เหมาะสมที่สุด เรามั่นใจว่า ทั้งทอมและคาเมร่อนตีบทแตกแน่นอน ช่วงหลายปีมานี้เราไม่ได้เห็นทอมแสดงบทบาทอย่างที่เราอยากเห็นเลย และเราอยากเห็นทอมใน KNIGHT AND DAY หรือ ไนท์ แอนด์ เดย์ โคตรคนพยัคฆ์ร้ายกับหวานใจมหาประลัย ที่ดูเป็นปุถุชนและตลกเฮฮา ผมรู้สึกตื่นเต้นมากที่จะได้กำกับเขาแสดงเป็นรอย มิลเลอร์ (Roy Miller) ผู้ชายใจพยัคฆ์ที่จู่ ๆ ก็เกิดฉุกคิดขึ้นมาใคร่ครวญว่า แท้ที่จริงแล้วชีวิตของเขาต้องการอะไรกันแน่ จากนั้นโลกทั้งใบของเขาก็เปิดรับคาเมร่อน ดิแอซ (Cameron Diaz) ที่รับบทเป็นจูน ฮาเว่นส์ (June Havens) ที่ก้าวเข้ามาพลิกโลกทั้งใบของเขาให้ต้องทำหรือรู้สึกอย่างที่เขาไม่เคยทำ หรือไม่เคยรู้สึกอย่างนั้นมาก่อน ผมชอบอกชอบใจสุดก็ตรงความลงตัวระหว่างความรักแนวพ่อแง่-แม่งอนกับแอ็คชั่นสุดอลังการนี่แหละ” บุคคลสำคัญที่มีส่วนร่วมสร้างสรรค์ภาพยนตร์เรื่อง KNIGHT AND DAY หรือ ไนท์ แอนด์ เดย์ โคตรคนพยัคฆ์ร้ายกับหวานใจมหาประลัย คือแคธี่ คอนราด (Cathy Konrad) ซึ่งเป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ ที่เป็นทั้งคู่หูผู้ร่วมสร้างภาพยนตร์ของเขามานานแสนนาน และคู่ชีวิตที่ทำงานเบื้องหลังมาจนเข้าขากันเป็นอย่างดี เพราะเขาสื่อสารกับเธอได้จนแทบจะไม่ต้องเอ่ยปาก จนเข้าขั้นร่ำ ๆ จะเป็นโทรจิตแล้วด้วยซ้ำไป คอนราดปลื้มภาพยนตร์เรื่อง KNIGHT AND DAY หรือ ไนท์ แอนด์ เดย์ โคตรคนพยัคฆ์ร้ายกับหวานใจมหาประลัย ตรงความสดใหม่และไม่ซ้ำใครของเค้าโครงเรื่องนั่นเอง “ทุกวันนี้แทบจะหาบทหนังที่ไม่ได้สร้างอ้างอิงจากเหล่าซูเปอร์ฮีโร่ หรือยอดมนุษย์อะไรพวกนั้นยากแล้วนะ” เธอตั้งข้อสังเกต “แต่ KNIGHT AND DAY หรือ ไนท์ แอนด์ เดย์ โคตรคนพยัคฆ์ร้ายกับหวานใจมหาประลัย นี่ได้ใจของเราตรงที่คู่พระ-คู่นางนี่แหละ แล้วยิ่งเสริมแอ็คชั่นระห่ำขนาดนี้เข้าไป ยิ่งโดนสุด ๆ มันสะท้อนตัวตนของเราเท่าที่เคยสร้างสรรค์มาตลอดเส้นทางในวงการนะ เพราะเราเชื่อมั่นในแนวคิดที่ว่า เบื้องหลังเรื่องราวดี ๆ ทั้งหลายล้วนเกิดขึ้นได้ด้วยผู้คนผู้ยิ่งใหญ่” แมนโกลด์ยังเผยความท้าทายของการพลิกโฉมแนวภาพยนตร์สุดโปรดว่า “เราระมัดระวังมากที่จะหยิบจะจับความยิ่งใหญ่และความขลังของหนังแนวสายลับทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเจมส์ บอนด์ (Bond), เจสัน บอร์น (Bourne), หรือ Mission: Impossible มาพลิกแพลง และก็พยายามมองมุมที่เราจะยกระดับให้ผลงานออกมาแปลกหูแปลกตา” เขาสาธยาย “KNIGHT AND DAY หรือ ไนท์ แอนด์ เดย์ โคตรคนพยัคฆ์ร้ายกับหวานใจมหาประลัย นี่ไม่ใช่หนังล้อเลียนเสียดสีนะ เราตั้งใจสร้างโลกของพยัคฆ์ร้ายสายลับที่ผู้ชมสัมผัสแล้วบอกได้เลยว่า สมจริงมาก ๆ แต่ก็ยังไม่วายขำฮาเต็ม ๆ” แมนโกลด์ยังยกระดับความลงตัวระหว่าง เครื่องไม้เครื่องมือของสายลับสุดไฮเทค ให้เข้ากับมุขเฮฮาและความรักแสนโรแมนติค ในขณะเดียวกันก็พาตัวละครเข้าไปเสี่ยงชีวิตเฉียดตายครั้งแล้วครั้งเล่า เขาเล่าว่า “คำถามสุดฮาที่หนังขยันถามก็คือ ถ้าสายลับที่ร่อนเครื่องบินทั้งลำ หรือแม่แต่ช่วยโลกทั้งใบไว้ได้นี่ จะสามารถรับมือกับความสัมพันธ์ฉันท์ชายหนุ่ม-หญิงสาวไว้ได้หรือไม่ คู่พระ-คู่นางที่ต่างกันสุดขั้ว หญิงสาวที่ได้แต่เฝ้าฝันแต่ไม่เคยลงมือทำอะไรจริงจังให้เป็นจริง มาเจอกับชายหนุ่มที่ตะลุยมาแล้วทั่วโลกแต่หาหัวใจของตัวเองไม่เจอ ช่างเป็นการประสานงาของความปรารถนาที่ต่างกันสุดขั้วแต่ดึงดูดเข้าหากันตั้งแต่แรกพบเลยก็ว่าได้” ประวัติคณะนักแสดง (ABOUT THE CAST) ทอม ครูซ รับบทเป็น รอย มิลเลอร์ (TOM CRUISE: Roy Miller) ทอม ครูซประสบความสำเร็จอย่างสูงทั้งในฐานะนักแสดง, ผู้อำนวยการสร้าง, และนักสิทธิมนุษยชนตลอดช่วงกว่า 20 ปีที่อยู่ในวงการบันเทิง เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ (Academy Award nominee) ถึง 3 ครั้ง, ได้รับรางวัลลูกโลกทองคำ (Golden Globe Award winner) ถึง 3 ครั้ง, และยังมีผลงานภาพยนตร์ที่ทำรายได้รวมกันมากกว่า 6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ — ซึ่งถือเป็นความสำเร็จที่หาใครเปรียบได้ยาก มากกว่า 28 ปีแล้วนับตั้งแต่ ครูซ เริ่มก้าวเข้ามาเป็นนักแสดง เขาเลือกแสดงบทบาทที่แตกต่างในภาพยนตร์หลากหลายแนว ทั้ง 37 เรื่องที่เปิดโอกาสให้เขาได้ร่วมงานกับผ็กำกับภาพยนตร์ชั้นครูของวงการอย่างฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปล่า (Francis Ford Coppola), พอล บริคแมน (Paul Brickman), ริดลี่ย์ สก๊อต (Ridley Scott), โทนี่ สก๊อต (Tony Scott), มาร์ติน สกอร์เซซี่ (Martin Scorsese), แบร์รี่ เลวินสัน (Barry Levinson), โอลิเวอร์ สโตน (Oliver Stone), รอน โฮเวิร์ด (Ron Howard), ร็อบ ไรเนอร์ (Rob Reiner), ซิดนี่ย์ พอลแล็ค (Sydney Pollack), นีล จอร์แดน (Neil Jordan), ไบรอั้น เดอ พัลม่า (Brian de Palma), คาเมร่อน โครว์ (Cameron Crowe), สแตนลี่ย์ คูบริค (Stanley Kubrick), พอล โธมัส แอนเดอร์สัน (Paul Thomas Anderson), จอห์น วู (John Woo), สตีเว่น สปีลเบิร์ก (Steven Spielberg), ไมเคิ้ล มาน (Michael Mann), เจ เจ เอบรามส์ (J.J. Abrams), โรเบิร์ต เร็ดฟอร์ด (Robert Redford), ไบรอั้น ซิงเกอร์ (Bryan Singer), และล่าสุดก็ร่วมงานกับ เจมส์ แมนโกลด์ (James Mangold) หลังจาก ครูซ ประกบคู่กับ คาเมร่อน ดิเอซ (Cameron Diaz) ในภาพยนตร์เรื่อง KNIGHT AND DAY หรือ ไนท์ แอนด์ เดย์ โคตรคนพยัคฆ์ร้ายกับหวานใจมหาประลัย ผลงานแอ็คชั่น-เฮฮาแล้ว ก็จะเปิดกล้องถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Mission: Impossible IV ที่ภาคแรก ๆ ทำรายได้ทั่วโลกได้มากกว่า 2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯนับตั้งแต่ ครูซ อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ Paramount และนำแสดงเป็นอีธาน ฮั้นต์ (Ethan Hunt) สายลับระดับตำนาน ซึ่ง Mission: Impossible ภาคแรกเป็นผลงานที่ทำรายได้ให้กับ Paramount สูงที่สุดเมื่อปี 1996 โดยครูซจะอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Mission: Impossible IV ร่วมกับเจเจ เอบรามส์ (J.J. Abrams) เมื่อปี 2008 ครูซรับบทนายพันคลอส ฟอน สตอฟเฟ็นเบิร์ก (Colonel Claus von Stauffenberg) นายทหารเยอรมัน (German officer) ใน Valkyrie ภาพยนตร์แนวย้อนยุคไปลุ้นระทึกกับวินาทีสำคัญของเสี้ยวประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับความพยายามลอบสังหารอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง (World War II) ที่กำกับโดยไบรอั้น ซิงเกอร์ (Bryan Singer) และได้รับความนิยมทั่วโลกทำรายได้มากกว่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และเป็นภาพยนตร์ว่าด้วยสงครามโลกครั้งที่สอง (WWII-set film) ที่ทำรายได้สูงสุดอันดับที่ 5 ด้วย ครูซยังปรากฎตัวใน Tropic Thunder ภาพยนตร์เฮฮาสุดฮิตของเบน สติลเลอร์ (Ben Stiller) โดยรับบทเป็นเลส กรอสแมน (Les Grossman) ขาใหญ่แวดวงฮอลลีวู้ด (Hollywood) ที่ปากดีทำตัวสุดฮิพด้วย ซึ่งตัวละครที่อุปโลกน์ขึ้นเองนี้ส่งให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ (Golden Globe Award nomination) เป็นครั้งที่ 7 ด้วย ครูซเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ (Academy Award nominations) สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (Best Actor) จาก Born on the Fourth of July และ Jerry Maguire ทั้งยังเคยได้รับการเสนอเข้าชิงสาขานักแสดงสบทบชายยอดเยี่ยม (Best Supporting Actor nomination) จาก Magnolia ด้วย ครูซเคยคว้ารางวัลลูกโลกทองคำ (Golden Globe Awards) สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (Best Actor) จาก Born on the Fourth of July และ Jerry Maguire และสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (Best Supporting Actor) จาก Magnolia ด้วย นอกจากนั้นก็ยังเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนี้จากบทบาทการแสดงของเขาใน Risky Business, A Few Good Men, The Last Samurai, และ Tropic Thunder ครูซยังเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง และคว้ารางวัลจากสถาบันต่าง ๆ มาครองมากมาย ทั้ง BAFTA, Screen Actors Guild, Chicago Film Critics Association, และ National Board of Review เป็นต้น ครูซยังอำนวยการสร้าง หรือไม่ก็บริหารงานอำนวยการสร้างภาพยนตร์ 17 เรื่อง รวมทั้ง Valkyrie, The Last Samurai, Mission: Impossible ทุกภาค, Narc, Vanilla Sky, The Others, Shattered Glass, และ Without Limits เป็นต้น ครูซยังได้รับรางวัลเกียรติยศจากสถาบันหรือองค์กรมากมาย นับตั้งแต่รางวัล Hasty Pudding Man of the Year Award ของ Harvard, รางวัล Artists Rights Foundation จาก John Huston Award, และรางวัล The American Cinematheque Award ยกย่องให้ ครูซ เป็นบุคคลในวงการภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง (Distinguished Achievement in Film) ครูซยังเป็นนักแสดงฮอลลีวู้ด (Hollywood) เพียงคนเดียวที่ได้รับการยกย่องจากประเทศญี่ปุ่น (Japan) ให้วันที่ 6 ตุลาคม ของทุกปีเป็นวันทอม ครูซ (Tom Cruise Day) ครูซยังคงค้นพบแนวทางใหม่ ๆ ที่ท้าทายความสามารถของเขาเสมอ เขาอาศัยความสำเร็จบนเส้นทางอาชีพเป็นตัวขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงสร้างสรรค์ และกลายเป็น ผู้นำระดับนานาชาติ, นักต่อสู้, และผู้รณรงค์คนสำคัญในแวดวงสุขภาพและการศึกษา ครูซได้รับการยกย่องจาก Mentor-LA organization ในฐานะที่เขาเสียสละทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับงานเพื่อเด็ก ๆ ในลอสแองเจลิส (Los Angeles) และทั่วโลก ในเดือนพฤษภาคมปี 2511 ครูซจะขึ้นรับรางวัล Simon Wiesenthal Humanitarian Award ด้วย ปัจจุบัน ครูซ อาศัยอยู่ในลอส แองเจลิส (Los Angeles) กับเคท (Kate) ภรรยาและบุตรอีก 3 คน คาเมร่อน ดิแอซ รับบทเป็น จูน เฮเว่นส์ (CAMERON DIAZ: June Havens) คาเมร่อน ดิแอซแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกเมื่ออายุ 21 ปีโดยรับบททิน่า คาร์ไลล์ (Tina Carlyle) สาวสวยสุดสะดุดตาใน The Mask ซึ่งเป็นผลงานเรื่องที่ทำรายได้สูงสุดของจิม แคร์รี่ (Jim Carrey) และแจ้งเกิดให้กับคาเมร่อน ดิแอซ (Cameron Diaz) กลายเป็น ซูเปอร์สตาร์ของวงการภาพยนตร์ ไปในทันที หลังจาก The Mask คาเมร่อนเลือกแสดง The Last Supper ภาพยนตร์เล็ก ๆ ของค่ายอิสระที่กำกับโดยผู้กำกับมือใหม่ ซึ่งผลงานตลกร้ายสุดเสียดสีเรื่องนี้จัดจำหน่ายโดย Sony Pictures Entertainment เปิดโอกาสให้คาเมร่อนตีบทแตกเป็นนักศึกษาปริญญาโทที่สนุกสนานกับการใช้ชีวิตอย่างร่าเริงและไม่ใส่ใจกับโลกรอบตัว ทั้งยังได้ร่วมงานกับนักแสดงระดับเก๋าวงการอย่าง แอนนาเบ็ธ กิช (Annabeth Gish), รอน เอลดาร์ด (Ron Eldard), โจนาธาน เพ็นเนอร์ (Jonathan Penner), และคอร์ทนี่ย์ บี แว้นซ์ (Courtney B. Vance) ซึ่งผลงานหนังอาร์ตเรื่อง The Last Supper นี้เป็นจุดเริ่มต้นของการทำงานในวงการภาพยนตร์อย่างไม่ได้หยุดหย่อนของเธอไปอีก 2 ปี ผลงานการแสดงภาพยนตร์เรื่องที่ 3 ของคาเมร่อนเป็นแนวรักหลุดกรอบเรื่อง Feeling Minnesota ของสตีเว่น ไบเกลแมน (Steven Baigelman) ผู้กำกับและเขียนบทภาพยนตร์ที่จับคาเมร่อนประกบ คีอานู รีฟ (Keanu Reeves) และวินเซ็นต์ ดีออนโนฟริโอ้ (Vincent D’Onofrio) โดยให้เธอเป็นเจ้าสาวหลายใจที่ตกหลุมรักกับน้องชายของสามีตัวเอง หลังจากนั้นคาเมร่อนก็รับบทสาวขาวนิวยอร์ค (New Yorker) สุดเฉียบแสนเยือกเย็นช่างเจ้ากี้เจ้าการใน The Brothers McMullen ของเอ็ดเวิร์ด เบิร์น (Edward Burns) แล้วตามมาด้วยเรื่อวราวความรักแสนหวานของชนชั้นกลางใน She’s the One ที่เบิร์นเขียนบท, กำกับ, และร่วมแสดงด้วย แล้วคาเมร่อนก็ร่วมแสดงกับฮาร์วี่ย์ ไคเทล (Harvey Keitel) กับเคร้ก เชฟเฟอร์ (Craig Sheffer) ใน Head Above Water ผลงานลุ้นระทึกว่าด้วยท่านผู้พิพากษาอันทรงเกียรติ, ภรรยาของท่าน, ชายคนรักเก่าของหล่อน, เพื่อนบ้านของพวกเขา, และศพที่ไม่ย่อมถูกกำจัดให้หายไปโดยง่าย เมื่อปี 1996 คาเมร่อน ได้รับการยกย่องจาก National Association of Theatre Owners ให้เป็น ShoWest’s Female Star of Tomorrow ซึ่งนักแสดงหญิงที่เคยได้รับตำแหน่งนี้ก่อนหน้าเธอก็มี วิโนน่า ไรเดอร์ (Winona Ryder), นิโคล คิดแมน (Nicole Kidman), และจูเลีย ออร์มอนด์ (Julia Ormond) หากนับกันตั้งแต่ The Mask ผลงานภาพยนตร์ระดับสตูดิโอยักษ์เรื่องแรกคาเมร่อนแล้ว ก็มา My Best Friend’s Wedding นี่แหละที่ทำรายได้สูงสุดในช่วงฤดูร้อนของปี 1997 และครองตำแหน่ง 1 ใน 10 ภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดแห่งปีด้วย ผลงานเฮฮาที่เธอรับบทเป็นว่าที่เจ้าสาวแสนสวยในช่วงก่อนถึงวันวิวาห์ และประกบกับ จูเลีย โรเบิร์ต (Julia Roberts), เดอร์ม็อต มัลโรนี่ย์ (Dermot Mulroney), และรูเปิร์ต เอฟเวอเร็ต (Rupert Everett) ซึ่ง My Best Friend’s Wedding เปิดโอกาสให้คาเมร่อนแสดงความสามารถมากขึ้นและกุมหัวใจนักวิจารณ์และผู้ชมทั่วโลกได้อยู่หมัด ส่งให้เธอได้รับรางวัล Blockbuster? Entertainment Award สาขา Favorite Supporting Actress in a Comedy จากผลการลงคะแนนของลูกค้า Blockbuster Video ทั่วโลกกว่า 11 ล้านคน จากนั้นคาเมร่อนร่วมแสดงใน A Life Less Ordinary ของแดนนี่ บอยล์ (Danny Boyle จาก Trainspotting และ Slumdog Millionaire) ผู้กำกับและนักสร้างหนังรุ่นใหม่ไฟแรง โดยเธอรับบทเป็นหญิงสาวสวยร่ำรวยและถูกเลี้ยงดูจนเสียคนที่ดันตกหลุมรักกับภารโรงหนุ่ม (รับบทโดยยวน แม็คเกร็กเกอร์ - Ewan McGregor) ที่ดันจับพลัดจับผลูมาลักพาตัวเธอนั่นเอง บทนำแสดงของคาเมร่อนใน There’s Something About Mary ผลงานแนวรัก-เฮฮาส่งให้เธอคว้ารางวัล New York Film Critics Circle Award สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (Best Actress) และยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ (Golden Globe), รางวัล American Comedy Award, รางวัล Blockbuster Entertainment Award สาขา Favorite Movie Actress, และรางวัล MTV Movie Award สาขา Best Female Performance ด้วย ผลงานการกำกับภาพยนตร์ของปีเตอร์และบ๊อบบี้ ฟารเรลลี่ (Peter and Bobby Farrelly) เรื่องนี้จัดจำหน่ายโดย Twentieth Century Fox เมื่อเดือนกรกฎาคมปี 1998 ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูง และยังสร้างสถิติใหม่เมื่อวางแผงในรูปวิดีโอ และดีวีดีด้วย หลังจากนั้นคาเมร่อนนำแสดงใน Very Bad Things ผลงานเฮฮาสุดเสียดสีของปีเตอร์ เบิร์ก (Peter Berg) นักแสดงหนุ่มและนักสร้างหนังที่เขียนบทและกำกับให้ คริสเตียน สเลเตอร์ (Christian Slater) นำแสดง ใน Being John Malkovich คาเมร่อนได้แสดงประกบกับจอห์น คูแซ็ค (John Cusack), แคทเธอรีน คีนเนอร์ (Catherine Keener), และจอห์น มัลโควิช (John Malkovich) ผลงานการกำกับของสไปค์ โจนส์ (Spike Jonze) ผู้กำกับที่เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ (Academy Award-nominee) มาแล้ว ผลงานที่นำผู้ชมทั่วโลกเข้าไปสัมผัสจิตนาการสุดขั้ว และส่งให้คาเมร่อนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ (Golden Globe), รางวัล Screen Actors Guild Award?, และรางวัล British Academy of Film and Television Arts (BAFTA) Award ในขณะที่ภาพยนตร์เองก็คว้ารางวัลจากสถาบันต่างๆ มากมาย และยังได้รับการยกย่องทั้งตัวภาพยนตร์, คณะนักแสดง, และคณะผู้สร้างภาพยนตร์กันอย่างท่วมท้น นักวิจารณ์ชื่นชมภาพยนตร์และการแสดงของทุก ๆ คน รวมทั้งกล่าวถึงบทล็อตเต้ (Lotte) ของคาเมร่อนว่า “ช่างเป็นการแสดงที่ตีบทแตกและไม่โดดเด้ง แม้คุณจะเป็นแฟนตัวยงของนักแสดงสาวคนนี้ ก็อาจจะดูหนังจนเกือบจบแล้วยังจำไมได้เลยด้วยซ้ำไปว่า เธอร่วมแสดงอยู่ด้วย” คาเมร่อนยังร่วมแสดงใน Any Given Sunday ของโอลิเวอร์ สโตน (Oliver Stone) ภาพยนตร์รวมดาราทั่วทั้งวงการอาทิ อัล ปาชิโน่ (Al Pacino), เจมี่ ฟ๊อกซ์ (Jamie Foxx), เดนนิส เคว้ด (Dennis Quaid), แอล แอล คูล เจ (LL Cool J), เจมส์ วู้ด (James Woods), และแอน-มาร์กาเร็ต (Ann-Margaret) โดยเธอรับบทเป็นเจ้าของทีมอเมริกันฟุตบอลสุดเฮี้ยบที่ส่งให้เธอคว้ารางวัล Blockbuster Entertainment Award สาขา Favorite Actress in a Drama มาครอง ความโด่งดังของเธอยังพุ่งขึ้นไม่หยุดเมื่อร่วมแสดงใน Charlie’s Angels ที่ Sony Pictures หยิบซีรี่ย์ยุคทศวรรษที่ 70 มาปัดฝุ่นสร้างเป็นภาพยนตร์ให้เธอนำแสดงร่วมกับดรู แบร์รี่มัวร์ (Drew Barrymore), ลูซี่ หลิว (Lucy Liu), และบิล เมอร์เร่ (Bill Murray) ที่สร้างสถิติใหม่ให้กับการเปิดตัวในสหรัฐอเมริกาช่วงที่ไม่ใช่วันหยุดเทศกาล และกวาดรายได้ทั่วโลกไปมากกว่า 265 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เหล่านางฟ้าชาร์ลี (The Angels) ยังคว้ารางวัล Blockbuster Entertainment Award สาขา Favorite Action Team และคาเมร่อนยังคว้ารางวัล MTV Movie Awards? สาขา Best Dance Sequence เมื่อปี 2001 ซึ่งเป็นผลจากการลงคะแนนของแฟน ๆ นั่นเอง ส่วนภาคต่อ Charlie’s Angels: Full Throttle ที่ออกฉายเมื่อปี 2003 ก็กวาดรายได้ทั่วโลกไปมากกว่า 250 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คาเมร่อนยังร่วมแสดงใน The Invisible Circus ที่สร้างอ้างอิงจากนวนิยายของเจนนิเฟอร์ อีแกน (Jennifer Egan) และร่วมแสดงกับจอร์ดาน่า บริวสเตอร์ (Jordana Brewster), และคริสโตเฟอร์ เอ็คเลสตั้น (Christopher Eccleston) คาเมร่อนนำแสดงผลงานของร็อดริโก้ การ์เซีย (Rodrigo Garcia) เรื่อง Things You Can Tell Just By Looking At Her ของ Showtime ที่ร่วมแสดงกับเกล็น โคลส (Glenn Close), คาลิสต้า ฟล็อคฮาร์ท (Calista Flockhart), แอนนี่ เบร็นเนแมน (Amy Brenneman), และฮอลลี่ ฮันเตอร์ (Holly Hunter) ด้วย คาเมร่อนยังพากย์เสียง เจ้าหญิงฟิโอน่า (Princess Fiona) ใน Shrek แอนนิเมชั่นของ DreamWorks ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงทั่วโลก โดยร่วมพากย์กับไมค์ ไมเยอร์ (Mike Myers), เอ็ดดี้ เมอร์ฟี่ (Eddie Murphy), และจอห์น ลิธกาว (John Lithgow) ซึ่ง Shrek กลายเป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จเกินหน้าใครในปี 2001 นอกจากจะสร้างรายได้เมื่อเข้าฉายในโรงภาพยนตร์แล้วก็ยังสร้างสถิติใหม่ ๆ เมื่อวางแผงในรูปแบบวิดีโอและดีวีดี อีกทั้งยังติดอันดับภาพยนตร์ที่ดีที่สุดแห่งปี 2001 ของหลาย ๆ สถาบันด้วย เมื่อภาคต่อ Shrek 2ออกฉายก็สร้างสถิติรายได้ แต่ยังถูกทำลายราบคาบเมื่อ Shrek the Third ออกฉายด้วยสถิติใหม่ในปี 2007 และครองตำแหน่งภาพยนตร์ที่เปิดตัวด้วยรายได้สูงที่สุดเป็นอันดับ 3 ของอเมริกา ในเดือนพฤศจิกายนปี 2007 ทาง ABC เปิดตัว Shrek the Halls ของ DreamWorks Animation ตอนพิเศษความยาวครึ่งชั่วโมงที่ได้ทั้งเชร็ค (Shrek), ฟิโอน่า Fiona (), และผองเพื่อนมาร่วมแสดงฉลองเทศกาลวันหยุดกันพร้อมหน้า ส่วนภาค 4 และจะเป็นภาคสุดท้าย Shrek: The Final Chapter เปิดตัวไปเมื่อเดือนพฤษภาคมปี 2010 ที่ผ่านมา คาเมร่อนยังร่วมแสดงใน Vanilla Sky ของคาเมร่อน โครว์ (Cameron Crowe) ที่นำแสดงโดยทอม ครูซ (Tom Cruise), เพเนโลปี้ ครูซ (Penelope Cruz), เจสัน ลี (Jason Lee), และเคิร์ท รัสเซล (Kurt Russell) เธอรับบทเป็นจูลี่ จิแอนนี่ (Julie Gianni) ในภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ (Golden Globe Award), รางวัล AFI Award, และรางวัล SAG Award? และ Boston Society of Film Critics ยังยกย่องให้เธอเป็นนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม (Best Supporting Actress) ด้วย ในฤดูใบไม้ผลิปี 2002 คาเมร่อนนำแสดงในผลงานแนวเฮฮาเรื่อง The Sweetest Thing ที่ร่วมแสดงกับคริสติน่า แอพเพิ้ลเกท (Christina Applegate) และเซลม่า แบลร์ (Selma Blair) คาเมร่อนยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ (Golden Globe) จาก Gangs of New York ของมาร์ติน สกอร์เซซี่ (Martin Scorsese) ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ (Academy Award-nominated) ด้วย กองถ่ายยกไปปักหลักกันที่โรม (Rome) โดยประกบกับลีโอนาร์โด ดีแค็พริโอ้ (Leonardo DiCaprio), เลียม นีสัน (Liam Neeson), และแดเนียล เดย์-ลิวอิส (Daniel Day-Lewis) คาเมร่อนนำแสดงใน In Her Shoes ประกบกับโทนี่ คอลเล็ต (Toni Collette), และเชอร์ลี่ย์ แม็คเลน (Shirley MacLaine) ที่กำกับโดยเคอร์ติส แฮนเซ็น (Curtis Hansen) หลังจากนั้นก็ยังร่วมแสดงกับจู้ด ลอว์ (Jude Law), เคท วินสเล็ต (Kate Winslet), และแจ๊ค แบล๊ค (Jack Black) ใน The Holiday ของแนนซี่ เมเยอร์ (Nancy Meyers), นำแสดงใน What Happens in Vegas ร่วมกับแอชตั้น คุทเชอร์ (Ashton Kutcher), My Sister’s Keeper, และ The Box หลังจากนี้คาเมร่อนจะร่วมแสดงกับเซ็ธ โรเก็น (Seth Rogen) ใน The Green Hornet ของไมเคิ้ล กอนดรี้ (Michel Gondry) และกำลังอยู่ในระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์ตลกร้ายเรื่อง Bad Teacher ของผู้กำกับเจค แคสแดน (Jake Kasdan) ในช่วงปี 2004 ต่อต้นปี 2005 คาเมร่อนยังร่วมตะลถุยถ่ายทำ Trippin’กับ MTV ถึง 10 ตอน เธอร่วมเดินทางกับเหล่านักท่องเที่ยว และนำเที่ยวไปตามสถานที่แปลกตาและสวยงามตามธรรมชาติหลายแห่ง ในขณะเดียวกันก็เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์โลก คาเมร่อนเติบโตมาในทางตอนใต้ของแคลิฟอร์เนีย (Southern California) ซึ่งครอบครัวของเธอสืบเชื้อสายมาจากทั้งคิวบา (Cuban), เยอรมัน (German), และชนพื้นเมืองอเมริกัน (Native American) ประวัติคณะผู้สร้างภาพยนตร์ (ABOUT THE FILMMAKERS) เจมส์ แมนโกลด์ — ผู้กำกับและร่วมเขียนบทภาพยนตร์ (JAMES MANGOLD: Director/Co-Written by) ด้วยผลงานภาพยนตร์ 7 เรื่องนับถึงวันนี้ รวมทั้งที่คว้ารางวัลมากมายอย่าง Walk the Line, 3:10 to Yuma, Heavy, และ Girl, Interrupted ส่งให้เจมส์ โกลด์แมนได้ชื่อว่าเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ที่สร้างผลงานน่าสนใจหลากหลายแนว, เน้นเค้าโครงเรื่องที่โดนใจ, ตัวละครที่มีสดใหม่ไม่ซ้ำแนวใคร, นักแสดงตีบทแตก, และยังสร้างความประทับใจไม่รู้ลืม แมนโกลด์เป็นบุตรของโรเบิร์ต แมนโกลด์ (Robert Mangold) กับซิลเวีย พลิแม็ค แมนโกลด์ (Sylvia Plimack Mangold) ศิลปินวาดภาพชื่อดัง เขาเติบโตในย่านฮัดสัน วัลเล่ย์แห่งนิว ยอร์ค (New York’s Hudson Valley) และจบการศึกษาด้านภาพยนตร์และการแสดงจาก California Institute of the Arts ร่วมชั้นเดียวกับอเล็กซานเดอร์ แม็คเค็นดริค (Alexander Mackendrick จาก Sweet Smell of Success, และ The Ladykillers) แมนโกลด์ก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงตั้งแต่อายุ 21 ปี เมื่อคว้าสัญญาผู้กำกับและผู้เขียนบทภาพยนตร์กับ Disney หลังจากใช้ชีวิตในฮอลลีวู้ด (Hollywood) ไม่กี่ปี แมนโกลด์ก็ตัดสินใจกลับไปศึกษาต่อการภาพยนตร์ที่ Columbia University และเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง Heavy ในระหว่างที่เรียนกับครูระดับผู้กำกับภาพยนตร์เจ้าของรางวัลออสการ์ (Oscar winning director) อย่างมิลอส ฟอร์แมน (Milos Forman) ซึ่งภาพยนตร์เรื่อง Heavy คว้ารางวัล Director’s Prize จาก Sundance Film Festival เมื่อปี 1996 และยังได้รับเกียรติเป็นตัวแทนผลงานอเมริกัน (United States) ฉายในค่ำคืน Director’s Fortnight ของ Cannes Film Festival หลังจาก Heavy ประสบความสำเร็จอย่างสูง แมนโกลด์ก็เริ่มสร้าง Cop Land ภาพยนตร์เรื่องที่สองว่าด้วยวิถีชีวิตแบบสิงห์ตะวันตก (Urban Western) ในนิวเจอร์ซี่ (New Jersey) ทุกวันนี้ นำแสดงโดยซิลเวสเตอร์ สตอลโลน (Sylvester Stallone), ฮาร์วี่ย์ ไคเทล (Harvey Keitel), โรเบิร์ต เดอ นีโร (Robert DeNiro), เรย์ ลิอ็อตต้า (Ray Liotta), และจานีน การาฟาโล่ (Janeane Garafalo) ซึ่งนอกจากจะเป็นผลงานที่เข้าแข่งขันเคียงบ่าเคียงไหล่กับผลงานฟอร์มยักษ์หลาย ๆ เรื่องในเทศกาล Cannes Film Festival และเปิดตัวชนะใจเหล่านักวิจารณ์ในสหรัฐอเมริกา (U.S. ) ท่วมท้น ยังเป็นผลงานเรื่องแรกที่แมนโกลด์ร่วมงานกับแคธี่ คอนราด (Cathy Konrad จาก Kids, Beautiful Girls, Citizen Ruth, และ Scream) ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์และคู่หูสร้างสรรค์ภาพยนตร์ต่อ ๆ มาทั้งหมดของแมนโกลด์ หลังจากนั้น แมนโกลด์ ก็ทำงานกึ่งสารคดีตีแผ่การต่อสู้ดิ้นรนของผู้คนที่สับสนในชีวิตโดยดัดแปลงจากหนังสือ Girl, Interrupted ของซูซานน่า เคย์เซ็น (Susanna Kaysen) เป็นภาพยนตร์ ที่ส่งให้แองเจลิน่า โจลี่ (Angelina Jolie) คว้ารางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม (Best Supporting Actress) ทั้งเวทีลูกโลกทองคำ (Golden Globe) และออสการ์ (Oscar) จากบทลิซ่า (Lisa) สาวจิตขวางโลกเสน่ห์แรงที่มุ่งมั่นเป็นเพื่อนกับหญิงสาวที่หมกหมุ่นอยู่กับชีวิตของตัวเอง ซึ่งรับบทโดนวิโนน่า ไรเดอร์ (Winona Ryder) แล้วแมนโกลด์ก็ขยับไปสร้างผลงานแนวรัก-เฮฮาเรื่อง Kate & Leopold ที่นำแสดงโดยเม็ก ไรอั้น (Meg Ryan), กับฮิวจ์ แจ๊คแมน (Hugh Jackman) ตามมาด้วยผลงานแนวลุ้นระทึกพลิกพริ้วจนจิตหลอนเรื่อง Identity ที่นำแสดงโดยจอห์น คูแซ็ค (John Cusack) และเรย์ ลิอ็อตต้า (Ray Liotta) แมนโกลด์ยังกำกับ Walk the Line ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงทั้งคำวิจารณ์และเสียงชื่นชมของผู้ชม นำแสดงโดยวาคิน ฟีนิกซ์ (Joaquin Phoenix), และรี้ส วิทเธอร์สปูน (Reese Witherspoon) เป็นคู่รักระดับตำนานแห่งวงการเพลง จอห์นนี่ แคช (Johnny Cash) และจูน คาร์เตอร์ แคช (June Carter Cash) นัแสดงทั้งคู่ร้องเพลงเองในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย ส่งให้คว้ารางวัลลูกโลกทองคำ (Golden Globes) กลับบ้านกันทั้งสองคนและยังได้รางวัลลูกโลกทองคำ (Golden Globe) สาขาภาพยนตร์แนวเพลงหรือตลกยอดเยี่ยม (Best Motion Picture — Musical or Comedy) ด้วย หลังจากนั้นก็ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ (Academy Award nominations) ถึง 5 สาขา และวิทเธอร์สปูนคว้ารางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (Best Performance by an Actress) ติดมือกลับบ้านไปด้วย โครงการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ยาวนานมาก (ทั้งแมนโกลด์และคอนราดริเริ่มงานนี้ตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว) ซึ่งต้องพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไปโดยอาศัยความช่วยเหลือและร่วมมือจากทั้งจอห์นและจูน คาร์เตอร์ แคช (John and June Carter Cash) จนกระทั่งทั้งคู่เสียชีวิตในปี 2003 ล่าสุดแมนโกลด์กำกับ 3:10 to Yuma ที่นำแสดงโดยรัสเซล โครว์ (Russell Crowe), และคริสเตียน เบล (Christian Bale) ผลงานแนววิถีชีวิตสิงห์ตะวันตกที่ได้รับการตอบรับจากทั้งนักวิจารณ์และผู้ชมอย่างอบอุ่น ทั้งยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลต่าง ๆ มากมาย รวมทั้งได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ (Oscar nominations) 2 สาขา และคว้ารางวัล SAG สาขา Outstanding Performance by a Cast in a Motion Picture มาครองด้วย แมนโกลด์ยังกำกับตอนไพล็อตของ Men in Trees ผลงานรัก-เฮฮาปนดราม่าทาง ABC ที่นำแสดงโดยแอนน์ เฮ็ค (Anne Heche) ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกเมื่อฤดูใบไม้ร่วงปี 2006 และสร้างออกอากาศทาง ABC 2 ซีซั่น ซึ่ง Tree/Line Films บริษัทของแมนโกลด์กับแคธี่ คอนราด (Cathy Konrad) อำนวยการผลิต

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ