MPA NIDA ชี้สเปรดดอกเบี้ยเหมาะสมอยู่ที่ 3% หวั่นส่วนต่างห่างมากฉุดขีดความสามารถแข่งขันภาคเอกชน

ข่าวทั่วไป Friday July 23, 2010 14:27 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--23 ก.ค.--มาสเตอร์ มายด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ ผู้อำนวยการหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต คณะรัฐประศาสนศาสตร์ นิด้า หรือ MPA NIDA หวั่นดอกเบี้ยขาขึ้นฉุดขีดความสามารถทางการแข่งขันภาคเอกชนไทย หลังส่วนต่างดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ (สเปรด) อยู่ที่ 4-5% ระบุสเปรดดอกเบี้ยที่เหมาะสมกับเศรษฐกิจไทยควรอยู่ที่ 3% ช่วยให้ภาคเอกชนไทยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตแบบยั่งยืนได้ รศ.ดร.มนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้อำนวยการหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (MPA NIDA) เปิดเผยว่า หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ส่งสัญญาณชัดเจนว่า ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น โดยธปท.ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเป็น 1.50% จากระดับ 1.25% ในการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งล่าสุด ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ซึ่งทำให้ต้นทุนทางการเงินของผู้ประกอบการเอกชนไทยเพิ่มสูงขึ้น จนมีผลต่อความสามารถทางการแข่งขันในการทำธุรกิจกับต่างประเทศลดลง ทั้งนี้ ธปท.ควรเข้ามาดูแลส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างเงินฝากและเงินกู้ (สเปรด) ของไทยให้ลดลงอย่างจริงจัง โดยอาจเลือกแนวทางการลดส่วนต่างดอกเบี้ย ด้วยการเพิ่มจำนวนสถาบันการเงินให้มากขึ้น เพื่อให้เกิดการแข่งขันในระหว่างสถาบันการเงินกันเอง หรือส่งเสริมให้สถาบันการเงินบริหารหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) โดยการขายหนี้หรือจัดตั้งบริษัทบริหารหนี้ขึ้นมา เพื่อลดภาระต้นทุนจากการกันสำรองหนี้เสียตามเกณฑ์ของ ธปท. เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์มีต้นทุนในการดำเนินงานที่ต่ำลง ซึ่งจะส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ลดลงในที่สุด “ธปท.ควรจะดูแลสเปรดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ให้ลดลง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับภาคเอกชนไทย เพราะในต่างประเทศนั้น ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ห่างกันเพียง 2-2.5% เท่านั้น ขณะที่ของไทยสูงถึง 4-5% ทำให้ยากที่ภาคเอกชนไทยจะแข่งขันในต่างประเทศ เนื่องจากมีต้นทุนทางการเงินที่สูงเมื่อเทียบกับต่างประเทศ” รศ.ดร.มนตรี กล่าว ผู้อำนวยการหลักสูตร MPA NIDA กล่าวว่า หากต้องการสร้างความแข็งแกร่งให้กับภาคเอกชนไทย เพื่อให้ภาคเอกชนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจนั้น ธปท.ควรเข้ามาดูแลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ของดอกเบี้ยในระบบของไทยในปีนี้ให้อยู่ที่ 3% ซึ่งเป็นส่วนต่างดอกเบี้ยที่เหมาะสมกับเศรษฐกิจไทย ที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : ฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท มาสเตอร์ มายด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด (ในนามหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์) พิภพ ฆ้องวง (ท๊อป) โทร. 02-248-7967-8 ต่อ 118 Email address : c_mastermind@hotmail.com

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ