บทสัมภาษณ์ : ต้า บาร์บี้ (เผ่าพล เทพหัสดินทร์ ณ อยุธยา) รับบทเป็น “เคน”

ข่าวทั่วไป Monday July 9, 2007 12:45 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--9 ก.ค.--สหมงคล ฟิล์ม
ต้า บาร์บี้ นักร้องนำขวัญใจวัยรุ่นวงบาร์บี้ ผู้คร่ำหวอดกับวงการเพลงทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลัง ด้วยรูปร่างหน้าตาบวกกับมาดเซอร์ ทำให้ต้ามีโอกาสได้เริ่มงานแสดงร่วมกับเพื่อนซี้ ลีโอ พุฒ และ เร แมคโดนัลด์ ในภาพยนตร์เรื่อง “Fake โกหกทั้งเพ” นอกจากนี้ยังมีเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณาและพิธีกรในรายการวาไรตี้แหวกแนวกระตุกต่อมคิด “พุด-ต้า-เร” ที่ออกอกาศทางทีไอทีวี
ต้าห่างหายไปจากการแสดงภาพยนตร์มานานแค่ไหนแล้ว
ผมไม่ได้เล่นหนังมาประมาณ 4-5 ปีแล้วครับ ถ้าจำไม่ผิดนะ เพราะว่าเรื่องแรกและก็เรื่องเดียวที่เล่นก็คือ เรื่อง Fake ครับ เรื่องนั้นเล่นกับ พุฒ กับ เร และก็ใม่ได้เล่นหนังอีกเลย หายไปประมาณสัก 4-5 ปี และก็มาเล่นเรื่องล่าสุดคือ VDO Clip ของพี่เพื่อน (ภาคภูมิ วงษ์จินดา ผู้กำกับ)
เข้ามาร่วมงานกับเรื่องนี้ได้ยังไง
ทีมงานแคสติ้งเค้าโทรมาให้ลองมาแคสหนังเรื่องนี้ดู เค้าส่งบทให้ผมอ่าน ผมอ่านบทหนังมาหลายเรื่องนะ บางบทที่เค้าส่งๆ มากันมันจะมีแต่ข้อสงสัยว่า มันอะไรว่ะ ๆๆ แต่บทเรื่อง vdo clip เป็นเรื่องแรกในรอบหลายๆ เรื่องที่อ่านจบแล้วอารมณ์มัน หึหึหึ อ๋อ...อย่างนี้น่ะเอง คือพออ่านจบแล้วรู้สึกว่าเออ ตัวเราสามารถที่จะสวมบทนี้ได้โดยที่ไม่เขิน อ่านจบก็อยากเล่นเลย การตัดสินใจของผมมันก็อยู่แค่ที่ว่า ลองนึกว่าถ้าเราอยู่ในเรื่องนี้เราจะเป็นแบบนั้นได้หรือเปล่า เราจะเขินอะไรไหม พอถึงเวลาถ่ายเราก็มาดูในจอว่า ดูแล้วตัวเราเป็นธรรมชาติไหม แล้วมันจะเล่นต่อไปยังไง
ในเรื่องนี้ รับบทเป็นใคร
รับบทเป็นเคน เป็นผู้ชายธรรมดาๆ คนนึง มีอาชีพรับซ่อมโทรศัพท์มือถือในร้านมือถือ เป็นคนธรรมดาอยู่บ้านคนเดียว เดินทางด้วยรถเมล์ รถไฟฟ้าไปตามประสา ชีวิตไม่ได้หวือหวาอะไร มีเพื่อนฝูงสังสรรเฮฮา มีทั้งด้านดีด้านเลวเป็นธรรมชาติของคน
บุคลิกนิสัยเป็นยังไง ตัวเคนกับต้ามีอะไรใกล้เคียงกันบ้างไหม ถึงได้บอกว่ามาเล่นตัวนี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ไม่ค่อยเหมือนนะครับ เพราะเคนเค้าไม่ค่อยตลก เป็นคนเงียบๆ เรื่อยๆ พูดไม่ค่อยเยอะ แต่ตัวผมเป็นคนที่ คิดอะไรแล้วพูดเลย คิด — พูด ผมกับเคนก็เลยไม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่ผมมีเหมือนกันคือ เคนมันมีจิตสำนึกของคนธรรมดาอยู่ ซึ่งผมเองก็มีจุดนั้น มีเหตุและผลอยู่ในตัว
อีกอย่างที่แตกต่างกันคือ ผมมารับบทเป็นเคน คนซ่อมมือถือ ต้องรู้เรื่องมือถือเยอะมาก แต่ตัวจริงผมเนี่ยเป็นคนไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย ทั้งเรื่องมือถือและเรื่องคอมพิวเตอร์ ผมก็บอกพี่เพื่อนว่าผมจะไปเรียนพวกนี้มาก่อนละกันนะ แต่พี่เพื่อนบอกว่าไม่เป็นไร ไม่ซีเรียสขนาดนั้นก็เลยโอเค (หัวเราะ)
มารับบทนี้ต้องมีการเตรียมตัวยังไงบ้างไหม
มีครับ อย่างเรื่องแรกที่เล่น ผมก็เล่นเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดอยู่แล้วมันสื่อออกมาอีกแบบนึง แต่เรื่องนี้ มีไดอะล๊อคมีความรู้สึกมากขึ้นกว่าเรื่องแรก ทางพี่เพื่อน ผู้กำกับก็เชิญครูโอ๋ (เบญญภา บุญพรรคนาวิก) มาสอนแอ๊คติ้งให้ ครูโอ๋ช่วยเยอะมากครับ ผมใหม่มากสำหรับการแสดง เพิ่งจะเล่นหนังเรื่องที่สองเท่านั้นเอง ผมรู้สึกว่าตัวเองยังใหม่ ถ้าผมรู้สึกดีกับอะไรแล้วผมจะพยายามตั้งใจ แต่ครูโอ๋เค้าจะเป็นคนมาจัดระเบียบการแสดงของผมให้เข้ารูปเข้ารอย สมัยก่อนเวลาผมเล่นมันจะดูสะเปะสะปะหลุดง่าย ครูโอ๋ก็จะคอยบอกคอยเรียงความรู้สึก เรียงลำดับให้ผมอยู่ตลอด อย่างท่าเดินครูโอ๋ก็จะบอกว่าต้าร์แกต้องเปลี่ยนท่าเดินนะ ท่าเดินแกเหมือนตัวคิวพีมากเลย ไม่เป็นพระเอกเลย ดูตลกมากกว่า ครูโอ๋จะบอกว่าเวลานี้พระเอกคนนี้คิดอะไรอยู่ ทำไม เพราะอะไร แล้วพอคิดแบบนี้แล้วต้องแสดงความรู้สึกออกมายังไง อธิบายให้ผมเข้าใจความหมายว่ามันต้องเล่นมาจากความรู้สึก เอาตัวเราออกไปแล้วเอาเคนพระเอกเนี่ยออกมา ครูเค้าจะให้เราคิดเอาเองด้วย บอกแนวทางบอกวิธีให้เราค้นหา ฉากไหนที่เราไม่เข้าใจอารมณ์ของตัวละคร เค้าก็จะคอยทำให้เรามั่นใจว่าเรามาถูกทางหรือเปล่า ซึ่งมันดีมากเลย
ในความคิดของต้า ต้าคิดว่าหนังเรื่องนี้มีความน่าสนใจตรงไหน
โดยรวมของเรื่องนี้แล้วมีความน่าสนใจหมด ไม่ใช่แค่ตัวที่ผมเล่น มันมีทั้งเคน ทั้งเพื่อน และแฟน เรื่องมันมีปมในอย่างที่มันสามารถเกิดขึ้นจริงในสังคมได้ แต่ว่าคนไม่ค่อยรู้กันเท่านั้นเอง หรือไม่คนมันก็แกล้งลืมกันไป เรื่องนี้พูดถึงเรื่องของมือถือ เรื่องของวีดีโอคลิป ซึ่งมันเยอะมาก ถ่ายเล่นกัน แอบถ่ายกันจนกลายเป็นเรื่องปรกติในสังคมไปแล้ว ไม่มีใครไปนึกถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามมาถ้าคลิปมันหลุดออกไปสู่สาธารณะ คุณอาจบอกว่าคุณเป็นคนที่ไม่คิดอะไรเลย ไม่แคร์ แต่สุดท้ายแล้วยังไงก็ตามคือถ้าภาพส่วนตัวมันหลุดออกไป มันก็เป็นเรื่องเสื่อมเสียกับความรู้สึกคนแล้วล่ะ เรื่องนี้หยิบมุมบางอย่างของสิ่งที่มันกำลังหมกมุ่นอยู่ในสังคมมาเล่าให้ฟัง เทคโนโลยีสมัยนี้มันตามทันคนหมดแล้ว มือถือมันก็ถ่ายได้แล้ว แต่เรื่องนี้กำลังบอกว่าเทคโนโลยีมันมาแล้วพัฒนาแล้ว แต่คนใช้มันยังใช้ไม่เป็น ยังไม่มีสำนึกในการใช้ บางทีมันก็กลายเป็นดาบสองคมกลับมาทำร้ายตัวเราเอง
รู้สึกยังไงกับข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ที่มีแต่เรื่องวีดีโอคลิปหลุดของคนโน้นคนนี้
พูดตรงๆ นะ ผมเองเพิ่งจะมีโทรศัพท์ที่มีกล้องเมื่อไม่นานนี่เอง พวกที่ถ่ายแล้วส่งต่อได้อะไรพวกนี้ เรื่องวีดีโอคลิปใช่ว่าเป็นเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่อยากจะโชว์อะไรพวกนี้ ผมไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องผิดอะไร บ้านเมืองเรามันมีขนบธรรมเนียม เราไม่ได้เป็นประเทศที่เปิดเหมือนฝั่งยุโรปเค้า ประเทศเรามันกึ่งปิดกึ่งเปิด วัยรุ่นสมัยนี้มันสนุกกันไปหรือเปล่า ทำแบบนี้แล้วคิดว่ามันเป็นแฟชั่นหรือไง อาจจะสนุกพอใจกันชั่วครู่ชั่วยาม มีภาพถ่ายลับกับแฟนคุณมันไม่ใช่เรื่องผิดหรอก แต่เมื่อไหร่ที่มันหลุดออกมาในสังคม ปัญหามันเกิดทุกที อย่างน้อยไม่ใช่ตัวเองที่มีปัญหา แต่พ่อแม่ และคนที่รักเราเค้าจะเป็นยังไง มันมีแต่เรื่องอับอาย มันมีกฏอยู่ในสังคม มีจิตสำนึกอยู่ในสังคม เราไม่ได้มีชีวิตอยู่คนเดียวที่นี่ บางคนอาจมองว่าผลกระทบเหล่านี้มันก็มีทั้งเล็กทั้งใหญ่ผมก็ไม่รู้นะ มันอยู่ในความรู้สึกผิดชอบของแต่ละคน เราห้ามสิ่งเหล่านี้ไม่ได้หรอก เพราะยังไงเทคโนโลยีมันก็แซงจิตใจคนไปเรื่อยๆ เราไล่กวดมันไม่ทัน มันอยู่ที่ว่าเราจะคอนโทรลมันยังไง เราคอนโทรลเทคโนโลยีไม่ได้แต่จิตใจเราเองเราคอนโทรลได้ จะใช้เทคโนโลยีให้มีประโยชน์ไปทางไหนคิดเอาเอง
ต้าเคยดูพวกนี้ไหม รู้สึกยังไงกับมัน
เคยครับมีบ้าง แต่ไม่ได้หมกมุ่น ไม่ได้เอามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต ก็แค่ผ่านตาไป สมัยนี้มันมีให้เห็นเยอะขึ้นเรื่อยๆ แล้วอายุของเด็กที่ถ่ายกันก็น้อยลงเรื่อยๆ อายุไม่เท่าไหร่กันกดมือถือกันเป็นก็ถ่ายกันแล้ว
ทำงานกับพี่เพื่อนเป็นยังไงบ้าง
เป็นกองถ่ายที่สนุกมากครับ พี่เพื่อนเป็นคนที่ดีมาก อยากเล่นอะไรก็เล่นไป พี่เพื่อนเค้าอาจจะมีจิตวิทยาในการทำงานที่ดี ซึ่งผมชอบมากเลยวิธีการแบบนี้ เค้าเข้าใจในตัวผม และก็เข้าใจในตัวทีมงานทุกคน เค้าคอนโทรลทุกอย่างในกองถ่ายได้ดีมาก ทั้งนักแสดงและทีมงานทั้งหมดคอนโทรลได้ดี เลยทำให้ผมรู้สึกสนุกกับกองถ่ายนี้ ไปแล้วรู้สึกมีความสุขดี พี่เพื่อนเป็นคนพูดน้อย แต่พูดแต่ละทีต้องได้อะไรกลับมา
พี่เพื่อนช่วยแนะนำอะไรบ้างไหม
เค้ามีวิธีในแบบของเค้า เหมือนเค้ารู้ว่าจะให้เราเล่นยังไง ส่วนมากเค้าจะปล่อยให้เราเล่นไปเรื่อยๆ แล้วเค้าจะเข้ามาตบๆ เองทีหลัง บวกกับที่มีทั้งคุณโอ๋มาช่วยเรื่องแอ๊คติ้ง ทีมงานน่ารักสนุกดี
เล่นเรื่องนึ้คู่กับนางเอกใหม่เป็นยังไงบ้าง
น้ำหวาน (งามศิริ อาศิรเลิศสิริ) เค้าเล่นเป็นนางเอกที่ชื่อว่า “มีนา” พระเอกไปเจอกับเค้าที่ร้านซ่อมมือถือเนี่ยะแหละ มีจู๋จี๋กันตามสูตรทั่วไปอะไรอย่างนี้ แต่จริงๆ แล้วบทของมีนาเด่นมากเลยนะ ตอนแรกที่ผมอ่านบท อ่านแล้วรู้สึกว่าบทนี้เด่นมากๆ ก็ไม่คิดว่าน้องเค้าจะเล่นได้ขนาดนี้
พูดถึงน้ำหวานก็เป็นนักแสดงหนังใหม่ แต่เค้ามีความตั้งใจมากนะ เค้าพยายามทำออกมาให้ดีที่สุดในความรู้สึกของผมนะ ข้อดีของน้ำหวานคือ แบบว่าเหมือนกับว่าเรามีวิทยุ เวลาเข้าป่าแล้วเหมือนเราเอาวิทยุไปด้วย คือเค้าจะเป็นสีสันมากๆเป็นคนที่ให้ความบันเทิงกับกองถ่าย ตอนแรกๆ ยังไม่ค่อยสนิทกันก็จะเฉยๆ นะ แต่พอสนิทกันแล้วเค้าก็จะวิ่งไปวิ่งมา แล้วมันทำให้รู้สึกว่าเหมือนเราหิ้ววิทยุเข้าป่าไปด้วยเครื่องนึง ช่วยคลายเครียดได้เยอะ น่ารักดีครับ ด้วยความที่เค้าเด็กกว่าผมเยอะด้วย เค้าจะเชื่อฟังคนอื่นๆ เชื่อฟังผู้กำกับ เค้าจะคอยถามนู้นนี่ แต่ผมไม่ได้ช่วยอะไรน้องเค้าเลยครับ เพราะตัวเองก็ยัง (หัวเราะ) ผมเชื่อว่าอนาคตน้องเค้าคงไปได้อีกไกล ถ้าไม่เลิกมาทางนี้ซะก่อนนะ แล้วน้องเค้ามีความตั้งใจ เล่นได้ดีด้วยในความรู้สึกผม อย่างเช่นผมเล่นฉากกุ๊กกิ๊กไม่ค่อยเป็น ผมไม่ค่อยหวานแหววมากไง เวลาเล่นก็จะรู้สึกเขินนิดหน่อย แต่น้ำหวานเนี่ยพาเราไปได้ เราไม่ต้องทำอะไรเลย เค้าช่วยเรื่องส่งความรู้สึกพาเราไปเอง
เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างนางเอกกับพระเอกในเรื่องให้ฟังหน่อยได้ไหม
ผมกับน้องน้ำหวานก็เล่นเป็นแฟนกัน มีนา กับ เคน พระเอกเค้าก็จะเคยแบบว่าทำธุรกิจเกี่ยวกับคลิปวีดีโอโป๊ แต่เค้าเลิกทุกอย่างเพราะว่ามีแฟน แต่สุดท้ายแฟนเรากลับโดนใครไม่รู้แอบถ่ายคลิปไว้ ทำให้เคนรู้สึกว่าต้องปกป้องตัวมีนาที่เป็นแฟนเรา ระหว่างนั้นพวกเพื่อนๆ เคนก็เริ่มมีคลิปส่วนตัวหลุดออกไป แล้วก็ตายไปทีละคนๆ เคนก็สงสัยว่าทำไมถึงตาย เพราะอะไร พอแฟนตัวเองมีคลิปหลุดมาให้เห็นบ้าง ก็กลัวว่าแฟนเราจะตายเหมือนพวกเพื่อนๆ และก็อยากจะรู้ว่าใครที่มันถ่าย ใครที่มันทำแบบนี้ เคนก็เลยต้องคอยปกป้องมีนาให้พ้นจากเรื่องพวกนี้
ทำงานกับพี่โป้งล่ะ “ดีเจโป้ง” ณัฏฐพงษ์ แตงเกษม (แห่งสามแยกปากหวาน)
พี่โป้งนี่จอมขโมยซีนเลยนะ เข้าฉากนิดเดียวแต่เด่นตลอด แกเล่นเต็มที่ตลอด แล้วแกไม่เคยเล่นซ้ำเลยแม้แต่คำเดียว แล้วถ้าให้แกพูดนะแกจะไปของแกเรื่อยเลย ไม่มีหยุดเลย พี่เพื่อนบอกให้เล่นเหมือนเดิมนะ พนันได้เลยว่า ไม่มีทางเหมือนเดิม (หัวเราะ) แกไหลของแกไปเรื่อยเปื่อย แต่ทุกอย่างคือลงตัวหมด โอเคหมดเลย ทำได้จริงๆ
ตอนแรกก็ไม่รู้นะว่าพี่โป้งไม่เคยเล่นหนังมาก่อน เพราะแกเนียนมาก ผมว่าเค้าใช้ได้เลยนะ เอาตัวรอดเก่งอยู่แล้ว เป็นคนคล่อง เค้าไหลของเค้าไปได้เรื่อยๆ เรื่องมีอยู่แค่นี้ เค้าไหลไปเอง
ในเรื่องนี้พี่โป้งจะเล่นเป็นคนเหมือนกับว่าสนิทที่สุดกับพระเอกแล้ว เหมือนเป็นรุ่นพี่ที่เคนสนิทสุด ทำธุรกิจบาร์แล้วก็ชอบดูชอบส่งคลิปโป๊ด้วย เป็นอาเสี่ยหลีหญิงเหมือนทั่วๆ ไปที่มีอยู่ปัจจุบัน เป็นคนที่เคยคอยถาม คอยเป็นที่ปรึกษา เหมือนตัวจริงเค้าแหละครับ เค้าจะเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ดี โดยเฉพาะกับสาวๆ บทนี้จริงๆ แล้วพี่เค้าไม่ได้เล่นหรอกครับ เพราะมันเหมือนตัวจริงแกมากเลย (หัวเราะ)
กับพี่ปอล่ะ วรฐก์ ปิฏกานนท์ (พิธีกรชื่อดังประจำ UBC Academy Fantasia)
พี่ปอเนี่ยรู้จักกันมานาน พอผมรู้ว่าเรื่องนี้มีพี่ปอมาเล่นด้วย ก็ดีใจ เพราะนางเอกเองก็ยังเป็นนางเอกใหม่ไม่ค่อยรู้จัก พอบอกมีพี่ปอก็เฮ้ย ดีใจ มีเพื่อนอยู่ในกองถ่ายด้วย เวลาอยู่ในกองจะได้มีเพื่อนคุย สุดท้ายแล้วได้เจอกับพี่ปอในกองถ่ายแค่ 2 วัน (หัวเราะ) เจอพี่ปอทำงานวันแรกแบบว่าแกเป็นคนมีความพยายามสูงส่งอยู่แล้ว อย่างที่บอกมาทำงานกองนี้แล้วแบบว่าบรรยากาศกองถ่ายมันดี อะไรๆ มันดี ทำให้คนเล่นแล้วสบายใจ ทุกคนสนุกไปกับงาน เลยยิ่งทำให้พี่ปอสนุกไปใหญ่ ไม่เครียดเลย อารมณ์ดีมาก
ในเรื่องเห็นต้าใส่ชุดวาบหวิวภายใต้ชุดกันฝนด้วย เล่าให้ฟังหน่อยว่าทำไมต้องไปทำอย่างนั้น
ที่เคนมันต้องใส่ชุดกันฝนไปยืนบนสะพานลอยเพราะว่า มันโดนขู่ว่าให้ทำตามคำสั่งไม่อย่างนั้นวีดีโอคลิปของแฟนเราจะหลุดจะถูกเผยแพร่ออกมา ด้วยความที่เคนรักมีนามาก เคนก็เลยทำทุกอย่างมีคนบอกว่าให้ใส่เสื้อตัวนี้ไปยืนตากฝนก็ต้องไป ที่เห็นชุดกันฝนเป็นชุดวาบหวิว เห็นทะลุไปถึงข้างในก็เพราะว่าชุดที่ให้ใส่มันเป็นชุดทาสีเอาไว้ โดนน้ำฝนสีมันก็โดนน้ำล้างออกหมด แล้วข้างในเนี่ยไม่ได้ใส่อะไรเลย ถามว่าถ้าชีวิตจริงมันจะทำอย่างนี้กันได้ไหม มันก็ต้องทำให้ได้อยู่แล้ว ถ้าคุณรักใครสักคนมากพอ คุณก็ยอมที่จะทำทุกอย่างให้เพื่อเค้าได้อยู่แล้ว นี่เลยเป็นเหตุผลว่าทำไมวันนั้นต้องไปเล่นฉากนี้บนสะพานลอย (หัวเราะ)
ตอนนั้นอายไหม เพราะว่าต้าร์ไม่ได้ใส่อะไรเลย
อายครับ แต่ก็ต้องถ่ายเดี๋ยวเรื่องมันจะไม่สมบูรณ์ แต่ก็ไม่ได้อายมาก มันมีเหตุผลว่าทำไมต้องเป็นอย่างนั้น มานึกถึงเหตุผลของหนัง ก็เออเหตุผลมันมีมากพอที่เราจะต้องทำ ถ้ามันช่วยให้น้ำหนักของเรื่องมันดีขึ้น เรารู้ว่ารากำลังทำงานอยู่ ตอนแรกเนี่ยว่าจะแก้หมดเลยนะ แต่ยังไงซะเดี๋ยวมันก็ต้องโดนเซนเซอร์อยู่แล้ว (หัวเราะ) ไม่ใช่ล้อเล่น ไม่กล้าหรอกเพราะถอดออกไปแค่นั้นยังอายเลย ฉากนี้เป็นฉากที่ยากแล้วล่ะสำหรับผม บางคนอาจมองว่าไม่ยากนะ อาจมองว่าฉากบู๊อะไรแบบนั้นจะยากกว่า แต่ฉากที่ต้องอยู่นิ่งๆ แล้วพยายามทำอารมณ์เยอะๆ โดยที่ไม่ต้องขยับตัวเลยเนี่ย ผมว่าอยากกว่าฉากอื่นอีก ในความรู้สึกของผมนะครับ
แล้วฉากเลิฟซีนล่ะ
ฉากนี้เป็นฉากที่เขินมากกว่า น้องเค้าก็เขิน ไอ้เราก็พอไหวอยู่ แต่ที่เขินกันเนี่ยเพราะต่างคนต่างใหม่อยู่ ตอนที่ถ่ายฉากนี้ตอนนั้นยังเจอกันไม่กี่วันเอง อยู่ๆ ก็มาเจอฉากเลิฟซีนเลย แต่มันก็ไม่ได้อะไรยังไงมันก็ต้องมีอยู่ในหนังอยู่แล้ว เพื่อยืนยันว่าสองคนนี้รักกันมาก ความสัมพันธ์มันก้าวไปอีกระดับนึงแล้ว มันก็สมเหตุสมผลของมันดี
แล้วพวกฉากกุ๊กกิ๊กล่ะ ไหนบอกว่ายาก เพราะมันไม่ได้เป็นตัวเอง
พวกฉากกุ๊กกิ๊ก มันก็เล่นยากเหมือนกัน ต้องยกความดีความชอบให้น้องน้ำหวานไปเลย เพราะเค้าช่วยผมได้เยอะมากครับ ผมเองไม่ค่อยเล่นบทกุ๊กกิ๊ก เล่นไม่เก่ง เขิน ให้เล่นฉากเศร้าน่ะได้ แต่ฉากกุ๊กกิ๊กมันยาก ผมไม่ค่อยถนัด แต่น้ำหวานเนี่ยเค้าระดับ professional อยู่แล้ว เพราะชีวิตจริงของเค้าเป็นคนร่าเริงแจ่มใส สมมติว่าผมเล่นอารมณ์แบบสีเทาๆ เศร้าๆ นะ แต่พอมีน้ำหวานมาช่วยปุ๊ป ก็กลายเป็นว่าฉากนั้นมีสีชมพู ส้มๆ มาแซมอยู่ในซีนนั้นด้วย สีมันเริ่มมา ถ้าผมเล่นคนเดียวเรื่องนี้ทั้งเรื่องสีเทาแน่นอน (หัวเราะ) สำหรับน้ำหวานเนี่ยเค้าทำให้ฉากมันดู smooth มากกว่าเดิม ดูธรรมชาติมากเลย
ได้ข่าวว่าฉากที่โดนรถชน ต้าร์ก็เล่นเอง
ใช่ ฉากที่ถูกรถชน เล่นจริงเลยครับ เล่นเองด้วย พี่เพื่อนเค้าถามว่าต้าร์เล่นได้ไหม ผมเลยบอกว่าเล่นก็ได้ ก็เล่นเองเลยไม่คิดอะไรมาก ถ้ามันทำให้หนังและอะไรหลายอย่างดีขึ้น เหนื่อยกว่าเดิมนิดนึง ก็โอเค ผมก็ถามว่าไม่ทำให้เป็นแผลใช่ไหม ถ้างั้นก็โอเค ถ้าผมทำได้ก็จะทำเองเราทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดดีกว่า จะออกมาดีหรือไม่ดีไม่รู้ล่ะ แต่ผมถือว่าผมได้พยายามทำแล้ว ถ่ายเสร็จก็มีแผลเขียวๆ นิดนึงตามธรรมดา ไม่ใช่เรื่องแปลกฉากแอ๊คชั่นมันก็ต้องมีบ้าง อย่างจา พนม เค้าคงเจ็บกว่าผมหลายเท่า (หัวเราะ)
ฉากที่ว่าต้องไปช่วยนางเอกแล้วโดนรถชนเนี่ยอารมณ์ไหน ครูโอ๋มาช่วยในเรื่องของแอ๊คติ้งไหม
(หัวเราะ) ครูโอ๋ไม่มา แอ๊คติ้งโค้ชไม่มา เลิฟซีนครูโอ๋ก็ไม่มา ซีนอารณ์นี่จะไม่ได้เห็นครูโอ๋ แต่ซีนเดินไปเดินมา ชงกาแฟกินอะไรพวกนี้ครูโอ๋จะมา (หัวเราะ) ครูโอ๋เค้ามีเหตุผลว่า เค้ากลัวว่ามาแล้วเดี๋ยวผมจะเกร็ง ไม่กล้าเล่น เค้าเชื่อว่าซีนลักษณะอย่างนั้น ต้องใช้อารมณ์มากๆ ปล่อยให้เราคิดเอาเองดีกว่า ไปเองไปเลย เดี๋ยวสับสน แต่ครูเค้ารู้ว่าจะต้องเจอกับซีนอารมณ์เมื่อไหร่ เค้าก็จะมาบอกเอาไว้ก่อน เรียบเรียงแอ๊คติ้งให้เรา มาช่วยบอกเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ให้กลับไปคิดเองมากกว่า
ในเรื่องนี้เห็นฉากนึงทำไมมีพุฒกับเรมาแสดงด้วย สองคนนั้นมาเล่นเป็นอะไร
พุฒ (ลีโอ พุฒ) กับ เร (เร แมคโดนัล) ใช่ไหม เป็นแขกรับเชิญอยู่บนรถไฟฟ้า ก็ขอขอบคุณเพื่อนทั้งสองคนตรงนี้ด้วยที่อุตส่าห์มาเล่นให้ ได้เข้าฉากด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาเลย (หัวเราะ) ไม่ได้เป็นซีนเด่นอะไรเลย แต่กลายเป็นซีนที่สนุกสำหรับผม ได้เล่นกับเรย์เล่นกับพุฒ เคยเล่นด้วยกันตอนเรื่อง fake แล้วก็ไม่ได้เล่นด้วยกันอีกเลย พอได้มาเจอกันแว๊บเดียวในหนังก็รู้สึกว่าเออ สนุกดีเหมือนไปงานเลี้ยงรุ่นโรงเรียนเก่า ได้ไปเจออารมณ์เก่าๆ ด้วยกัน
ฉากอะไรบอกได้ไหม
คือเราเป็นคนขี้ระแวงไปเลยหลังจากที่เกิดเหตุการณ์บางอย่างกับเคนและมีนา สองคนนั้นก็กำลังทำอะไรสักอย่างกับมือถือเค้า เคนก็นึกว่าถ่ายรูปแฟนเรา ผมสามคนเลยทะเลาะกัน แต่ตอนที่เล่นนะ ทะเลาะกันจริงจังมากเลยนะ แต่ความรู้สึกลึกๆ ข้างในผมเนี่ย มันรู้สึกเหมือนอยู่ในงานเลี้ยงรุ่นกับเพื่อนโรงเรียนเก่าแล้วชกกัน (หัวเราะ) แล้ววันนั้นนะรู้สึกผิดนิดหน่อย รู้สึกเหมือนเราไม่ได้ไปทำงาน แต่ไปเฮฮากับเพื่อนถ่ายเสร็จก็เที่ยวเล่นกับเพื่อนกลับบ้าน วันนี้แบบเหมือนไม่ได้ไปทำงานไง เลยเอ...เราสนุกไปไหมนะ (หัวเราะ)
มีฉากไหนที่อยากพูดถึง หรือประทับใจบ้างไหม
มีครับ ผมประทับใจวันแรกเลยที่เข้าไปกองถ่ายนี้ เป็นวันที่ต้องไปถ่ายฉากท้ายๆ ของเรื่อง แล้วคิดดูผมยังไม่เคยได้ไล่ซีเคว้นหนังเรื่องนี้มาก่อนเลย วันแรกเปิดกล้องมาเจอฉากแบบหนักเลย ถ้าเทียบเป็นสีก็เข้มที่สุดของเรื่องเลย แล้วคิดดูไม่ได้เล่นหนังมา 4 ปี เจอวันแรกก็ฉากนี้เลย โอ้พระเจ้าจอร์จ วันนั้นเลยรู้สึกว่า alert มากตอนที่เล่น ตื่นเต้นมาก เจอซีนยากเลย ยากมากด้วย ตื่นเต้นสุดๆ เลยประทับใจซีนนี้มาก มันให้ความรู้สึกเหมือนเราเป็นเด็กอายุ 12 เราเล่นแล้วเราไปดูมอนิเตอร์แล้วรู้สึกว่าเหมือนตอนเราอายุ 12 เหมือนเด็กเลย ดูก็รู้ว่าตัวเองตื่นเต้น เลยประทับใจมาก อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน แต่ชอบ
มีอุปสรรคหรือหนักใจกับการทำงานบ้างไหม เจอหนังสไตล์นี้
ไม่นะ ผมไม่มีอะไรหนักใจเลยกับหนังเรื่องนี้ ผมรู้สึกดีกับหนังเรื่องนี้มากๆ รู้สึกดีกับทีมงาน รู้สึกดีกับผู้กำกับ กับนักแสดงคนอื่นๆ ผมรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ดีที่ผมได้มาทำงานกับหนังเรื่องนี้ แค่หนักใจนิดหน่อยก็ตรงที่เราอยากให้หนังมันไปได้ถึงจุดที่มันควรจะเป็น
คิดว่าคนที่ดูเรื่องนี้แล้วจะได้อะไรกลับไป
ความบันเทิงแน่นอนเลยอย่างแรก จะชอบหรือไม่ชอบมันเป็นเรื่องของรสนิยม ถ้าคุณชอบก็อาจจะเป็นคนที่มีรสนิยมเดียวกันกับทีมงาน กับผู้กำกับ คนเขียนบท หรือถ้ารสนิยมไม่ได้ใกล้กันคนดูก็อาจจะตื่นเต้นไปกับเนื้อเรื่องก็ได้ นี่น่าจะเป็นสิ่งแรกๆ ที่คนดูจะได้ แต่อีกมุมนึงผมว่า มันเป็นเรื่องของสังคมทีมันมีอะไรบางอย่างแอบแฝงอยู่ มันมีทั้งด้านดี และไม่ดี ด้านมืดด้านสว่าง แล้วเราเอามาทำเป็นหนังให้เห็นสังคมอีกด้านนึง ถ้าคนดูอินกับมัน เค้าอาจจะหามันเจอก็ได้ว่าเค้าจะได้อะไรกลับไป หรือมันอาจจะไปสะกิดต่อมอะไรบางอย่างของคนก็ได้มากกว่า
พอใจกับการแสดงของตัวเองเรื่องนี้หรือยัง
สำหรับผม ทั้งหมดที่เล่นไปที่ผมเห็นตัวเองในมอนิเตอร์ ผมรู้สึกว่าผมโอเคหมดล้ว แต่ยังไม่ได้ดูภาพรวมของหนังทั้งหมดว่าเป็นยังไง พี่เพื่อนไม่ให้ดูเค้าให้ไปดูวันหนังฉายเลย เค้าคงอยากให้ผมตื่นเต้นมั้ง แต่ผมก็รู้สึกว่าอยากดูอยากเห็นอะไรอย่างนี้ ขอดูนิดเดียวก็ได้ แต่พี่เพื่อนไม่ให้ดูเลย ผมต้องเรียงร้อยเรื่องราวเท่าที่ผมได้เห็นในมอนิเตอร์เอาเองไง (หัวเราะ)
มีอะไรอยากฝากถึงหนังเรื่องนี้ไหม
ผมอยากฝากผลงานเรื่องนี้ไว้ เพราะว่านานๆ ผมเล่นหนังทีนึง แล้วก็พยายามกับหนังเรื่องนี้มาก พยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด จะชอบหรือไม่ชอบผมก็ไม่บังคับ แต่อยากให้เห็นความพยายามที่เราทำไป ความทุ่มเทของทีมงาน ของผู้กำกับ หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องนึงที่อยากให้ลองไปดูกัน มันไม่มีกฎตายตัวของศิลปะอยู่แล้วในเรื่องของความพอใจ บางทีตัดสินจากทีเซอร์ไม่ได้ ตัดสินจากโปสเตอร์เล็กๆ ไม่ได้ บางทีหนัง 1 ช.ม กว่าๆ มันต้องการการตัดสินจากการที่คนได้ดูหนังมันทั้งเรื่องมากกว่า มันอาจจะมีอะไรซ่อนอยู่ อยากให้ไปดูกันครับ
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ