ฟิทช์จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ชุดใหม่ของ บมจ. ปูนซิเมนต์ไทยที่ระดับ‘A(tha)’

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday August 18, 2010 13:56 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--18 ส.ค.--ฟิทช์ เรทติ้งส์ บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันไม่ด้อยสิทธิชุดใหม่(ครั้งที่ 2/2553) ของ บมจ. ปูนซีเมนต์ไทย หรือ SCC (โดยมีอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ A(tha), อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นที่ F1(tha) แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งมีมูลค่าไม่เกิน 5.0 พันล้านบาท ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2557 ที่ระดับ ‘A(tha)’ โดยเงินที่ได้รับจากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่นี้จะนำมาใช้ชำระคืนหุ้นกู้ที่ถึงกำหนดชำระ อันดับเครดิตของ SCC สะท้อนถึงการกระจายตัวที่ดีของรายได้ สถานะความเป็นผู้นำในแต่ละธุรกิจหลักของบริษัทฯ ช่องทางการจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่งและครอบคลุม รวมถึงชื่อเสียงที่เป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีในกลุ่มลูกค้าในประเทศ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง และ ทีมผู้บริหารที่มีประสบการณ์อันยาวนานในธุรกิจ นอกจากนี้ ความสามารถในการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ในประเทศ ยังเป็นปัจจัยสนับสนุนความยืดหยุ่นทางการเงินของกลุ่มบริษัทฯ อีกด้วย อันดับเครดิตยังพิจารณาถึงค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนที่น้อยลงในช่วงปี 2553-2554 เมื่อเทียบกับในช่วงปี 2551-2552 เนื่องจากโครงการก่อสร้างโรงงานโอเลฟินส์แห่งที่สองและโครงการปิโตรเคมีขั้นปลายที่ต่อเนื่องกันบางโครงการ ได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว อย่างไรก็ตามอันดับเครดิตยังพิจารณาถึงสภาวะแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจปิโตรเคมีในช่วงปี 2553-2554 ที่ต้องเผชิญกับแรงกดดันจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากประเทศในแถบตะวันออกกลาง และประเทศจีน รวมถึงราคา naphtha ที่สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีลดลง ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2553 SCC มีกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่าย และค่าเช่า (EBITDAR) (ก่อนเงินปันผลรับจากบริษัทร่วม) จำนวน 1.96 หมื่นล้านบาท ลดลงร้อยละ 3.7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนโดยเป็นผลมาจากส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบที่ลดลงอันเนื่องมาจาก แรงกดดันจากอุปทานส่วนเกินเนื่องจากกำลังการผลิตใหม่ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในตลาดโลก โดยอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่าย และค่าเช่า (ก่อนเงินปันผลรับจากบริษัทร่วม) ต่อยอดขาย (EBITDAR (pre-dividend incomes) Margins) ของ SCC ได้ลดลงมาอยู่ที่ ร้อยละ 13 ในครึ่งปีแรกของปี 2553 จากอัตราเฉลี่ยที่ ร้อยละ 17 ในปี 2552 เมื่อรวมเงินปันผลรับจากบริษัทร่วม บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่าย และค่าเช่า จำนวน 2.1 หมื่นล้านบาท ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2553 ลดลงร้อยละ 6.3 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่หนี้สินสุทธิของ SCC ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.30 แสนล้านบาท ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2553 จาก 1.22 แสนล้านบาท ณ สิ้นปี 2552 เนื่องจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ลดลง และความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการเริ่มการผลิตของโรงงานโอเลฟินส์แห่งที่สอง ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลให้ อัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม ค่าตัดจำหน่าย และค่าเช่า(รวมเงินปันผลรับจากบริษัทร่วม) สำหรับ 12 เดือนล่าสุด ของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 3.0 เท่า ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2553 จาก 2.8 เท่า ณ สิ้นปี 2552 ผลประกอบการของ SCC ยังคงมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของกำลังการผลิตในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในตลาดโลกในช่วงปี 2553 - 2554 อย่างไรก็ตามฟิทช์คาดว่า ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนที่น้อยลง และกระแสเงินสดจากธุรกิจปูนซีเมนต์ และธุรกิจกระดาษที่แข็งแกร่งขึ้น น่าจะช่วยให้ SCC มีความยืดหยุ่นทางการเงินเพียงพอสำหรับรองรับช่วงขาลงของวัฏจักรอุตสาหกรรมปิโตรเคมีได้ นอกจากนี้แม้ว่าอัตราส่วนหนี้สินดังกล่าวของ SCC มีแนวโน้มที่จะอยู่ในระดับ ที่สูงกว่า 3.0 เท่า ณ สิ้นปี 2553 แต่น่าจะปรับลดลงมาอยู่ในระดับ 2.5 ถึง 3.0 เท่าได้ ภายในสิ้นปี 2554 เนื่องมาจากค่าใช้จ่ายเพื่อลงทุนที่ลดลง รวมถึงส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่น่าจะทรงตัวมากขึ้น แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพสะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งและระดับของกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่อยู่ในระดับสูงของ SCC จะช่วยรักษาสภาพคล่องและความยืดหยุ่นทางการเงินของ SCC ให้อยู่ในระดับที่สอดคล้องกับอันดับเครดิตในปัจจุบันได้ในระยะปานกลาง ฟิทช์กล่าวว่าการลดลงของอัตราส่วนกำไรต่อรายได้และอัตราส่วนหนี้สินที่อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องอาจส่งผลกระทบในทางลบต่ออันดับเครดิตของ SCC ได้ ในทางตรงกันข้ามความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งกว่าที่คาดซึ่งส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินปรับลดลงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 2.5 เท่าได้อย่างต่อเนื่อง จะเป็นปัจจัยบวกต่ออันดับเครดิตของ SCC ติดต่อ: Primary Analyst พิมรำไพ ปันยารชุน Associate Director +66 2655 4752 บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ชั้น 13, อาคารเวฟเพลส, ถนนวิทยุ, แขวงลุมพินี, เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ