กรุงเทพฯ--8 ม.ค.--ไพลอน PYLON คาดธุรกิจก่อสร้างฐานรากปี 2550 เริ่มสดใส หลังการเมืองชัดเจน ราคาน้ำมันลดลง งานภาครัฐเริ่มขับเคลื่อนส่งผลมีงานออกสู่ตลาดมากขึ้น ทำดีกรีการแข่งลดความร้อนแรงลง ส่งผลดีต่อธุรกิจ เผยเตรียมใช้จุดแข็งในฐานะผู้ประกอบการรายใหญ่ สินค้ามีคุณภาพและการบริการเยี่ยม ครองใจลูกค้า มั่นใจสิ้นปี 2550ฝ่าด่านหินดันรายได้งานฐานรากทะลุ 550 ลบ.สำเร็จ ในขณะที่มาร์จิ้นมีแนวโน้มขยับดีขึ้นจากปี 2549 นายชเนศวร์ แสงอารยะกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไพลอน จำกัด (มหาชน) หรือ PYLON กล่าวถึง ภาพรวมธุรกิจ อุตสาหกรรมก่อสร้างงานฐานราก ของบริษัทในปี 2549 โดยยอมรับว่าบริษัทได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบต่างๆ เช่น ผลกระทบจากปัญหาทางการเมือง ที่ทำให้งานภาครัฐชะลอตัวโดยเฉพาะช่วงปลายปีภายหลังการปฏิรูปการปกครอง ผลกระทบจากน้ำท่วมพื้นที่ทำงานทำให้งานหยุดชะงัก ผลกระทบจากภาวะต้นทุนต่างๆ ปรับตัวสูงขึ้น เช่น น้ำมัน, ทองแดง, ทองเหลือง นอกจากนี้งานปรับปรุงคุณภาพดินซึ่งได้รับว่าจ้างตั้งแต่ต้นปีเพิ่งจะเริ่มงานได้ในเดือนพฤศจิกายนทำให้รับรู้รายได้เพียงเล็กน้อยในปี 2549 อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา บริษัทได้มีแนวทางลดผลกระทบจากปัจจัยลบต่างๆ โดยพยายามเจาะตลาดงานภาคเอกชนเพิ่ม รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานและการใช้ทรัพยากรต่างๆ ให้คุ้มค่ายิ่งขึ้น ซึ่งคาดว่าจะทำให้ ปี 2549 สามารถผลักดันรายได้ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ 500 ล้านบาทได้สำเร็จ สำหรับแนวโน้มธุรกิจในปี 2550 บริษัทคาดว่าปัญหาต่างๆ จะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ทั้งด้านการเมืองและราคาน้ำมัน ทำให้งานภาครัฐกลับเข้าสู่ภาวะปกติและเริ่มทยอยออกมาตั้งแต่ต้นปี 2550 โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงปลายปี 2550 ที่จะเริ่มงานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายต่างๆ ทำให้คาดว่าอุตสาหกรรมก่อสร้างงานฐานรากในปี 2550 มีแนวโน้มดีกว่าปี 2549 ในขณะที่ภาวะการแข่งขันที่สูงขึ้น น่าจะลดลงจากแนวโน้มของงานที่จะออกมามากขึ้น นอกจากนี้งานปรับปรุงคุณภาพดินซึ่งได้เริ่มในเดือนพฤศจิกายน 2549 จะสามารถดำเนินการต่อเนื่องได้ตลอดปี 2550 ซึ่งจะทำให้รับรู้รายได้จากงานดังกล่าวได้อย่างเต็มที่ เขาให้ความเห็นว่ายังมีประเด็นต่างๆ ที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในปี 2550 อาทิ เรื่องความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก, ทิศทางของราคาเหล็กและคอนกรีต รวมไปถึงความเสี่ยงจากภาวะทางการเมืองซึ่งยังไม่นิ่ง โดยเฉพาะภายหลังจากการหมดวาระของคณะรัฐบาลรักษาการและการจัดการเลือกตั้งใหม่ ซึ่ง PYLON จะลดผลกระทบดังกล่าว ด้วยการพยายามหางานสะสมเพิ่มขึ้น (Backlog) เพื่อรักษาการการเติบโตของบริษัท และจะขยายฐานงานเอกชนเพิ่มเพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากการการพึ่งพางานภาครัฐบาล นอกจากนี้งานที่รับใหม่จะปรับราคาให้เหมาะสมกับภาวะต้นทุนที่เปลี่ยนแปลง แต่เป็นราคาที่ยังสามารถแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดได้ ซึ่งจากที่ลักษณะงานของ PYLON เป็นงานระยะสั้น ส่วนใหญ่ใช้เวลา 3-4 เดือนทำให้ปรับตัวได้ง่ายกว่าโครงการที่ใช้ระยะเวลาดำเนินการนาน นอกจากนั้น บริษัทยังมีจุดแข็งคือมีการควบคุมคุณภาพและบริการที่ดี รวมถึงมีกำลังการผลิตสูงในลำดับต้นๆ ของอุตสาหกรรม สร้างความแตกต่างเหนือคู่แข่ง ซึ่งคาดว่าในปี 2550 จะทำให้สามารถผลักดันรายได้ให้อยู่ในระดับประมาณ 550 ล้านบาท “ประมาณการรายได้ในปีหน้า ค่อนข้างจะใกล้เคียงกับรายได้ในปี 2549 แต่จะแตกต่างกันตรงที่การคาดการณ์รายได้ในปี 2550 เป็นการประเมินจากงานฐานรากทั้งหมด โดยไม่มีงานก่อสร้างด้วยระบบชิ้นส่วนคอนกรีตสำเร็จรูปอยู่ในประมาณการ แต่หากระหว่างปีเกิดมีงานชิ้นส่วนคอนกรีตสำเร็จรูปเข้ามา ก็จะเป็นรายได้ที่เพิ่มขึ้นสำหรับ PYLON ในขณะเดียวกันคาดว่ากำไรขั้นต้นน่าจะปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2549 ซึ่งเป็นผลจากการพัฒนาระบบการทำงานภายในอย่างต่อเนื่องให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น” นายชเนศวร์กล่าวในที่สุด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม จุฬารัตน์ เจริญภักดี 089-4888337