คอนติเนนทอล ออโตโมทีฟ มุ่งมั่นสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ตั้งเป้าเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาอีโค คาร์ ด้วยเทคโนโลยีเมกะเทรนด์

ข่าวยานยนต์ Monday August 23, 2010 11:58 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--23 ส.ค.--พีอาร์ แอนด์ แอสโซซิเอส มร.โธมัส แชมเบอร์ส กรรมการผู้จัดการ บริษัท คอนติเนนทอล ออโตโมทีฟ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงภาพรวมการดำเนินธุรกิจของ กลุ่มบริษัทคอนติเนนทอล ว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2553 คอนติเนนทอลทั่วโลกมีผลประกอบการเป็นที่น่าพอใจ โดยในการประชุมผู้ถือหุ้นในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา คอนติเนนทอล คอร์ปอเรชั่น บริษัทแม่ของคอนติเนนทอล ออโตโมทีฟ (ประเทศไทย) มีผลประกอบการที่ดีขึ้นมาก โดยในครึ่งแรก ปี2553 ยอดขายของคอนติเนนทอลเพิ่มขึ้นจาก 9.1 พันล้านยูโร (409,500 ล้านบาท) เป็น 12.5 พันล้านยูโร (562,500 ล้านบาท) “จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นในตลาดที่สำคัญๆ ของเรา คอนติเนนทอลประมาณการว่าในปี 2553 นี้ ยอดขายของคอนติเนนทอลทั่วโลกโดยรวมน่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 5% ถึง 15% ขณะที่ในเอเชีย เราคาดหมายการเติบโตที่สูงกว่าปกติ โดยในปีที่ผ่านมา(2552) เอเชียมีสัดส่วนการขายเป็น 14% ของยอดขายรวมของบริษัท สำหรับในกลุ่มยานยนต์ยอดขายในเอเซียมีสัดส่วน 18% ของยอดขายของกลุ่มยานยนต์ทั่วโลก” สำหรับการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย มร.โธมัส กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากที่บริษัทเข้ามาลงทุนเปิดโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จ. ระยอง คอนติเนนทอล ออโตโมทีฟได้ส่งมอบชิ้นส่วนหัวฉีดคอมมอนเรลชุดแรก ให้กับลูกค้าในอินเดียและยุโรปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2553 ทั้งนี้ตามแผนงาน โรงงานของคอนติเนนทอลจะสามารถผลิตเต็มประสิทธิภาพในปี 2555 ด้วยยอดผลิต 500,000 ชิ้นต่อปี โดยจะส่งออก 30% และส่งมอบลูกค้าในประเทศ 70% ขณะที่ในด้านการตลาดมีการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าซึ่งมีทั้งผู้ผลิตรถยนต์จากญี่ปุ่น ยุโรป และอเมริกา อย่างต่อเนื่องเพื่อขยายฐานตลาด ในปีนี้คอนติเนนทอลทั่วโลก ได้ริเริ่มโครงการ “Quality First Initiative” ซึ่งประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งในโครงการนี้ นับเป็นพัฒนาการล่าสุดของนโยบายการผลิตของคอนติเนนทอลเพื่อสร้างความมั่นใจด้านคุณภาพให้กับลูกค้า หัวใจสำคัญของโครงการนี้อยู่ที่ “วัฒนธรรม Zero Failure” ในทุกขั้นตอนของกระบวนการผลิต และการพัฒนากระบวนการผลิตที่เน้นความมั่นใจในคุณภาพที่สูงสุด นอกจากนี้คอนติเนนทอลยังตั้งใจที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาอีโค คาร์ในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ซึ่งคาดหมายว่าจะกลายเป็นสินค้าแชมเปี้ยนใหม่ควบคู่ไปกับรถกระบะ จะเห็นได้ว่ารถนิสสัน มาร์ช ที่ได้วางตลาดไป ใช้ชิ้นส่วนจากส่วนธุรกิจเพาเวอร์เทรน (Powertrain Division) และส่วนธุรกิจแชสซีและความปลอดภัย (Chassis & Safety Division) ของคอนติเนนทอล รวมถึงผู้ผลิตรายอื่นที่กำลังจะเข้าสู่ตลาดอีโค คาร์ เช่น ฮอนด้า ซูซูกิ มิตซูบิชิ ก็มีศักยภาพที่จะเป็นลูกค้าของคอนติเนนทอลด้วยเช่นกัน “ด้วยเทคโนโลยีเมกะเทรนด์ ซึ่งเน้นความปลอดภัยระดับโลก ทำให้คอนติเนนทอลมั่นใจว่า เราคือผู้ร่วมงานที่ยอดเยี่ยมของผู้ผลิตอีโค คาร์” สำหรับการมีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทย เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา คอนติเนนทอลได้ร่วมมือกับสถาบันยานยนต์จัดสัมมนาในหัวข้อ “รถยนต์เพื่อการพาณิชย์: เทคโนโลยียานยนต์ล้ำสมัยที่ส่งเสริมการเป็นโปรดักส์แชมป์เปี้ยน” และมีความตั้งใจที่จะร่วมมือกับสถาบันยานยนต์เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยอย่างสม่ำเสมอต่อไป “คอนติเนนทอลในฐานะที่เป็นหนึ่งในห้าผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ผู้นำของโลก ยังมุ่งมั่นและยืนยันที่จะสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทย เพื่อให้ไทยก้าวสู่เป้าหมายการเป็นหนึ่งในสิบผู้ผลิตด้านยานยนต์ที่สำคัญของโลกภายในปี 2557 วิกฤตการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ไม่กระทบกระเทือนการทำงานของคอนติเนนทอล ออโตโมทีฟ (ประเทศไทย) แผนงานของบริษัทในประเทศไทยและตลาดเอเชียยังคงเหมือนเดิม” กลุ่มคอนติเนนทอล คอร์ปอเรชั่น เป็นหนึ่งในผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ชั้นนำลำดับต้นๆ ของโลก มียอดขายในปี 2552 มากกว่า 20 พันล้านยูโร ในฐานะที่กลุ่มคอนติเนนทอล เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่สำคัญ ได้แก่ ระบบเบรก ระบบและชิ้นส่วนสำหรับระบบส่งกำลังและแชสซี หน้าปัดรถยนต์ อุปกรณ์เพิ่มความบันเทิงในรถยนต์ ระบบอิเล็กทรอนิกส์ในยานยนต์ ยางรถยนต์และยางสังเคราะห์ เป็นต้น กลุ่มคอนติเนนทอล มุ่งมั่นพัฒนาระบบและส่งเสริมให้เกิดความปลอดภัยในการขับขี่สูงสุด อีกทั้งร่วมกันปกป้องสภาพแวดล้อมของโลกด้วย นอกจากนี้ คอนติเนนทอล ยังเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่เข้มแข็งในการพัฒนาเครือข่ายการสื่อสารที่ใช้ในยานยนต์ ปัจจุบัน กลุ่มคอนติเนนทอล คอร์ปอเรชั่น มีพนักงานประมาณ 143,000 คน ในสำนักงานใน 46 ประเทศทั่วโลก กลุ่มยานยนต์คอนติเนนทอล เป็นหนึ่งในผู้นำการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ลำดับต้นๆ ของโลก ประกอบด้วย 3 ส่วนธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจแชสซีและความปลอดภัย (ยอดขาย 4.4 พันล้านยูโร พนักงาน 27,000 คน) ธุรกิจระบบส่งกำลัง (ยอดขาย 3.4 พันล้านยูโร พนักงาน 24,000 คน) และธุรกิจอุปกรณ์ภายในรถยนต์ (ยอดขาย 4.4 พันล้านยูโร พนักงานมากกว่า 27,000 คน) ในปี 2552 กลุ่มยานยนต์สามารถสร้างยอดขายรวมมากกว่า 12 พันล้านยูโร กลุ่มยานยนต์ มีสำนักงานกว่า 130 แห่งทั่วโลก ในฐานะพันธมิตรของอุตสาหกรรมยานยนต์ ได้มีการพัฒนาและผลิตชิ้นส่วนและระบบที่เป็นนวัตกรรมที่ตอบสนองต่อยานยนต์แห่งโลกอนาคตซึ่งรถยนต์สามารถตอบสนองความต้องการส่วนบุคคล ให้ความเพลิดเพลินในการขับ มีความปลอดภัยในการขับขี่สูง อีกทั้งยังปกป้องสภาพแวดล้อมของโลกและราคาประหยัดคุ้มค่าด้วย ธุรกิจแชสซีและความปลอดภัย พัฒนาและผลิตระบบเบรกอิเล็กทรอนิกส์ ระบบเบรกไฮดรอลิก ระบบควบคุมแชสซี เซ็นเซอร์ ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ระบบควบคุมถุงลมนิรภัยด้วยไฟฟ้าแลเซ็นเซอร์ ระบบปัดน้ำฝน เช่นเดียวกับ ระบบกันสะเทือนแบบถุงลม ความสามารถหลักของสายงานนี้คือ การบูรณาการระบบป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุและระบบปกป้องหลังเกิดอุบัติเหตุไปสู่แนวคิดความปลอดภัยของคอนติการ์ด ส่วนธุรกิจระบบส่งกำลัง จะผสมผสานนวัตกรรม และระบบส่งกำลังยานยนต์ที่มีประสิทธิภาพ ธุรกิจนี้ครอบคลุมผลิตภัณฑ์หลากหลายรวมถึงหัวฉีดแก๊สโซลีนและดีเซล ระบบจัดการเครื่องยนต์ ระบบควบคุมเกียร์ เซ็นเซอร์ และแอคทูเอเตอร์ ระบบจ่ายเชื้อเพลิงและชิ้นส่วน รวมทั้งระบบสำหรับรถยนต์ไฮบริด และรถยนต์ไฟฟ้า การจัดการข้อมูลเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจอุปกรณ์ภายในรถยนต์ ซึ่งเน้นการจัดการข้อมูลเป็นหัวใจสำคัญ ประกอบไปด้วยอุปกรณ์ภายในรถยนต์และหน้าปัดแสดงข้อมูล หน่วยควบคุม ระบบการเปิดปิดรถยนต์อัตโนมัติ ระบบตรวจสอบยางรถ วิทยุ ระบบมัลติมีเดียและระบบนำทาง ระบบควบคุมอุณหภูมิ เทเลมาติกส์ โมดุลที่นั่งคนขับ ผลิตภัณฑ์และบริการเสริมอื่น ๆ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ