MOVIE: "Resident Evil : Afterlife"

ข่าวบันเทิง Tuesday August 31, 2010 14:06 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--31 ส.ค.--สหมงคลฟิล์ม ชื่อภาษาไทย ผีชีวะ 4 สงครามแตกพันธุ์ไวรัส ประเภท Live Action 3D คำโปรย She's back...And she's bringing a few of her friends. กำหนดฉาย 9 กันยายน 2553 ความยาว - เว็บไซด์ภาพยนตร์ http://www.residentevil-movie.com/ บริษัทจัดจำหน่าย มงคลเมเจอร์ อำนวยการสร้าง เจเรมี่ย์ โบลท์ (Resident Evil Trilogy) กำกับ/เขียนบท พอล ดับบลิวเอส แอนเดอร์สัน (Resident Evil Trilogy) นำแสดง มิล่า โจโววิช (Resident Evil Trilogy, The Fourth Kind) เวนท์เวิร์ท มิลเลอร์ (ซีรี่ย์ Prison Break) อาลี ลาร์เตอร์ (Resident Evil: Extinction, ซีรี่ย์ Heroes) สเปนเซอร์ ล็อค (Resident Evil: Extinction, Monster House) ชอว์น โรเบิร์ต (Diary of the Dead, Land of the Dead) ...เธอกลับมา เพื่อความมันส์ขั้นอมตะ... มิล่า โจโววิช ผนึกกำลัง พอล ดับบลิวเอส แอนเดอร์สัน ถ่ายทำในระบบ “ฟิวชั่น 3D” แบบเดียวกับ Avatar เนื้อเรื่อง เมื่อโลกถูกคุกคามโดยไวรัสที่เปลี่ยนให้เหยื่อกลายเป็นซอมบี้ ฮีโร่สาวสุดอันตราย อลิซ (มิล่า โจโววิช) ก็เริ่มทำการค้นหาผู้ที่ยังมีชีวิตรอดและตามล่า อัลเบรลล่า คอร์ป ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมด Resident Evil: Afterlife ภาค 4 ของหนังที่สร้างจากเกมส์ที่ได้รับความนิยมที่สุด โดย อลิซ ต้องเดินไปทางไอยัง โตเกียว อลาสก้า และเมืองลอสแองเจลิสที่เต็มไปด้วยฝูงซอมบี้ รวมถึงการผชิญหน้ากับอสูรกายที่โหดร้ายที่สุด Resident Evil: Afterlife คือภาคแรกที่ถ่ายทำในระบบสามมิติ โดยได้ มิล่า โจโววิช, อาลี ลาร์เตอร์ และ สเปนเซอร์ ล็อค กลับมาจาก Resident Evil: Extinction รวมถึงหน้าใหม่อย่าง เวนท์เวิร์ท มิลเลอร์ (Prison Break), ชอว์น โรเบิร์ต (Edge of Darkness), บอริส ค็อดโจ (Surrogates) และ คิม โคเทส (The Haunting of Connecticut) ภาพยนตร์กำกับและเขียนบทโดย พอล ดับบลิวเอส แอนเดอร์สัน ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดแฟรนไชส์ด้วยการกำกับ Resident Evil และอำนวยการสร้าง/เขียนบทให้กับ Resident Evil: Apocalypse และ Resident Evil: Extinction โดยมีทีมงานอื่นอีกอย่าง ผู้อำนวยการสร้าง เจเรมี่ย์ โบลท์ (Death Race), ผู้กำกับภาพ เกลน แม็คเฟอร์สัน (The Final Destination), เมคอัพเอฟเฟ็คโดย พอล โจนส์ (Silent Hill) และ วิชวลเอฟเฟ็คโดย เดนนิส เบรัลดิ้ (Resident Evil: Extinction, Death Race) Resident Evil: Afterlife มีเรื่องราวต่อจากเหตุการณ์ในภาคที่แล้ว เมื่อ อลิซ เดินทางไปญี่ปุ่นด้วยความสามารถพิเศษและนำกองทัพโคลนของเธอบุกเข้าฐานกำลังของ อัลเบรลล่า คอร์ป ที่มีประธานบริษัท อัลเบิร์ต เวสเกอร์ เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง หลังจากเกิดการปะทะ อลิซ สูญเสียทั้งตัวโคลนและพลังพิเศษจนหมด เธอตัดสินใจบินไปยังอลาสก้าที่เธอได้รับประกาศจาก อาร์เคเดีย ว่าปลอดภัยจากที-ไวรัส ถึงแม้ที่นี่จะไม่ใช่สวรรค์อย่างที่เธอคิด แต่ อลิซ ก็ได้พบกับเพื่อนเก่าอย่าง แคลร์ ซึ่งสูญเสียความทรงจำไปทั้งหมด ทั้งสองออกเดินทางเพื่อหาคำตอบจนถึงเมืองลอสแองเจลิส และพบกับกลุ่มผู้รอดชีวิตในคุกที่มีการป้องกันที่แน่นหนา อลิซ และ แคลร์ ได้พบกับ คริส พี่ชายของ แคลร์ ที่ถูกขังในคุก ทั้งสามค้นพบกับมหันตภัยบางอย่างที่น่าสะพรึงเกินกลัวกว่าที่ทุกคนจะคาดคิด จุดเริ่มต้นของ Afterlife ในสามภาคแรกของ Resident Evil มิล่า โจโววิช ที่รับบทเป็น อลิซ นักสู้ซอมบี้สาว ต้องต่อกรกับองค์กรอัมเบรลล่าที่ชั่วร้าย และเหล่าอสูรกายพันธุ์สยองที่ถูกพัฒนาด้วยที-ไวรัส ใน Resident Evil: Afterlife ซึ่งเป็นภาค 4 ก็ได้ยกระดับหนังขึ้นไปอีกขั้น ด้วยฉากสตันท์ที่เหนือจินตนาการ เอฟเฟ็คที่น่าทึ่งในระบบสามมิติ ซึ่ง เจเรมี่ย์ โบลท์ ผู้อำนวยการสร้างบอกว่า "ภาคนี้มีปืนมากมาย ผู้หญิงสวย สุนัขฉีกหัวได้ เอฟเฟ็คตระการตา แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการกลับมาของ มิล่า และเธอก็ทุ่มเทเต็มที่มากกว่าทุกภาค" ผู้ให้กำเนิดแฟรนไชส์ พอล ดับบลิวเอส แอนเดอร์สัน กลับมารับหน้าที่เป็นผู้กำกับอีกครั้งใน Resident Evil: Afterlife หลังจากสองภาคที่ผ่านมาเขาเป็นเพียงแค่ผู้อำนวยการสร้าง "ผมคิดถึงการกำกับ Resident Evil ซึ่งเป็นเหมือนสนามเด็กเล่นที่ผมคุ้นเคย คุณรู้ไหมว่าผมหายตัวไปเป็นเดือนๆเพื่อการเล่นเกมส์ Resident Evil ในแต่ละภาค" แอนเดอร์สัน ได้สร้างความท้าทายให้กับตัวเองในหนังภาคล่าสุด ด้วยการสร้างตำนานบทใหม่ของหนังด้วยเอฟเฟ็คที่ยิ่งใหญ่ และอสูรกายที่มีความท้าทายมากกว่าเดิม "พวกเราถ่ายทำในระบบสามมิติที่ทันสมัยที่สุดในโลก ใช้กล้องตัวเดียวกับที่ใช้ใน Avatar มันน่าตื่นเต้นที่ได้ทำงานร่วมกับสิ่งล้ำยุคขนาดนี้" แอนเดอร์สัน ผู้กำกับที่สร้างชื่อมาจากหนังที่สร้างจากเกมส์ดังอย่าง Mortal Kombat รวมถึงหนังสยองขวัญอย่าง Event Horizon เผยว่าเขาอยากสร้างหนังสามมิติมานานแล้ว "ผมต้องการทำให้ผู้ชมเป็นส่วนหนึ่งของฉากแอ็คชั่น ผมอยากรู้สึกเหมือนนักสร้างหนังที่เปลี่ยนจากหนังเงียบเป็นหนังพูด มันเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในวงการภาพยนตร์ เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง มันจะเกิดขึ้นทุก 30-40 ปี และตอนนี้มันก็ถึงเวลานั้นแล้ว" Resident Evil เป็นเกมส์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดตลอดกาล โดย 8 ปีหลังจากการสร้างภาคแรก ความต้องการของเหล่าสาวกก็มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้อำนวยการสร้าง เจเรมี่ย์ โบลท์ เล่าว่า "จากองค์ประกอบโดยรวมแล้ว มันสมเหตุสมผลในการสร้างภาคต่อ มันมีวิวัฒนาการที่น่าสนใจทั้งเรื่องสเปเชี่ยลเอฟเฟ็คและฉเนื่อเรื่อง แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ พอล ให้ความสนใจในเรื่องการพัฒนาตัวละคร" Resident Evil: Afterlife มีเรื่องราวต่อจากเหตุการณ์ในภาคสาม อลิซ ต้องเดินทางไปโตเกียว, อลาสก้า รวมถึงลอสแองเจลิส ที่ถูกยึดครองโดยฝูงอสูรกายที่ได้รับเชื้อที-ไวรัส ซึ่งแข็งแกร่งและฉลาดขึ้นเรื่อยๆ สถานที่หลักของภาคนี้ก็คือเมืองลอสแองเจลิสที่อยู่ในเปลวเพลิง โบลท์ เล่าว่า "พอล มีไอเดียที่ชัดเจน ภาคที่แล้วเราใช้เมืองลาสเวกัสหลังเกิดหายนะ ครั้งนี้เราต้องการสร้างฮอลลิวู้ดหลังเกิดหายนะดูบ้าง" โดยเมืองลอสแองเจลิสในเปลวเพลิงได้รับแรงบันดาลใจมาจากไฟป่า ที่เกิดขึ้นในลอสแองเจลิสในปีที่ผ่านมา แอนเดอร์สัน เล่าว่า "จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันทำให้ผมคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเกิดไฟป่าและไม่มีมนุษย์คนไหนมาหยุดยั้ง ไฟก็จะเผาเมืองไปเรื่อยๆลามทั่วเมือง นี่คือฮอลลิวู้ดที่เราจะถ่ายทอดในหนังภาคนี้ เมืองลอสแองเจลิสในกองเพลิง ซึ่งผมคิดว่าไม่มีใครเคยทำมาก่อน" สิ่งหนึ่งที่แตกต่างออกไปก็คือ อลิซ ต้องพบกับความท้าทายใหม่ นั้นก็คือการกลับมาเป็นมนุษย์ของเธอ "ใน Apocalypse และ Extinction อลิซ เริ่มพัฒนาพลังเหนือมนุษย์ขึ้นมา ซึ่งมันเกิดขึ้นเพราะการได้รับที-ไวรัส ที่ทำให้เวลาเจอซอมบี้เธอก็ฆ่ามันโดยไม่ต้องใช้อาวุธเลย หรือถ้ามีแผลเธอก็จะรักษาตัวเองได้ มันถึงจุดที่ผมรู้สึกว่า อลิซ ไม่มีความกลัวอะไรอีกต่อไปแล้ว ซึ่งทำให้ผมคิดว่าถ้าเราน่าจะทำให้ อลิซ สูญเสียพลังทั้งหมด และกลับไปเป็น อลิซ จากภาคแรก นั้นก็คือผู้หญิงที่มีความสามารถในการต่อสู้ แต่ก็ยังเป็นเพียงแค่มนุษย์" ในทางกลับกัน อลิซ ที่กลับมาเป็นมนุษย์ กลุ่มซอมบี้ก็มีวิวัฒนาการที่อันตรายมากขึ้น แอนเดอร์สัน เล่าว่า "สิ่งที่ผมชอบในเกมส์ก็คือมีการพัฒนาประเภทของซอมบี้อยู่ตลอด พวกมันดูแปลกใหม่และเป็นไอเดียให้กับเรา พวกมันเป็นศัตรูที่ควรค่าแก่การต่อสู้ และซอมบี้ในภาคนี้มีพัฒนาการมากกว่าทุกภาค" แอนเดอร์สัน เล่าต่อว่า "เพราะโลกกำลังจะสูญสลาย เราต้องถามตัวเองว่าใครกันแน่ที่เป็นผู้ครอบครองโลก กลุ่มคนกลุ่มเล็กๆที่หลงเหลืออยู่ หรือว่าจะเป็นสัตว์ประหลาดที่ต้องการกินเนื้อมนุษย์ คุณจะเริ่มคิดว่าบางทีนี่อาจเป็นจุดกำเนิดของโลกใบใหม่ และมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่ก็คือไดโนเสาร์ที่กำลังจะสูญพันธ์" แต่เหนือไปกว่าความตื่นเต้นและฉากแอ็คชั่น Resident Evil: Afterlife ก็ยังมีเรื่องราวน่าประทับใจที่เชื่อมถึงคนดู แอนเดอร์สัน อธิบายว่า "มันมีไอเดียที่ยิ่งใหญ่กว่าทุกภาค เช่นการพูดถึงบริษัทชั่วร้ายที่เป็นผู้บงการเรื่องราวทั้งหมด มันมีไอเดียที่ยิ่งใหญ่กว่าหนังแอ็คชั่นทั่วไป นั้นคือเหตุผลที่เราตัดสินใจทำภาค 4" แอนเดอร์สัน เล่าต่อว่า "จิตวิญญาณของมนุษย์ลุกโชนอย่างเต็มที่ใน Resident Evil ทุกภาค มันคือดวงไฟแห่งความหวังและเป็นเหตุผลที่ อลิซ เดินต่อไปข้างหน้าเรื่อยๆ ในภาคที่แล้วเราเห็นเธอเดินท่องอยู่ในทะเลทรายคนเดียว แต่ในตอนสุดท้ายของภาคนั้นเธอก็เริ่มมีความสัมพันธ์กับคนอื่น มันคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในแฟรนไชส์" การคัดเลือกนักแสดงใน Afterlife ทีมนักแสดงของ Resident Evil: Afterlife มีทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่าที่สาวกคุ้นเคย โดยผู้กำกับ แอนเดอร์สัน เล่าว่า "Resident Evil เป็นที่รู้จักจากการเอาตัวละครในภาคที่ก่อนๆกลับมา แต่ถึงแม้ว่าคุณจะเป็นตัวละครสำคัญใหญ่ในเกมส์ ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะอยู่รอดจนถึงตอนจบของหนัง พวกเราทำแบบนี้มาแล้วในภาคที่ผ่านมา ซึ่งผมคิดว่าจะมันมอบความไม่แน่นอนและความรู้สึกกลัวให้กับคนดู" อย่างไรก็ตามมีสิ่งหนึ่งที่ยังเหมือนเดิมนั้นก็คือ อลิซ ซึ่งรับบทโดย มิล่า โจโววิช ผู้อำนวยการสร้าง ดอน คาร์โมดี้ เล่าว่า "อลิซ เป็นฮีโร่หญิงของพวกเรา เธอเป็นเหมือน วันเดอร์วูแมน และ อินเดียน่าโจนส์ เวอร์ชั่นผู้หญิง ที่กลับมาจัดการเหล่าซอมบี้ตลอดทุกภาค" หลังจากผ่านไป 8 ปีและหนัง 4 ภาค โจโววิช รู้จัก อลิซ ดีกว่าทุกคน แอนเดอร์สัน เล่าว่า "เมื่อผมคุยกับเธอในตัวตนของ อลิซ ผมอ้างอิงไปถึง คลินท์ อีสท์วู้ด จากเรื่อง Dirty Harry หรือนักแสดงอย่าง ชาร์ล บรอนสัน และ สตีฟ แม็คควีน พวกเขาเป็นสัญลักษณ์ของคนแกร่ง มีนักแสดงชายหลายคนที่อยากเป็น คลินท์ อีสท์วู้ด หรือ สตีฟ แม็คควีน แต่ไม่มีนักแสดงหญิงคนไหนที่ทำมันได้น่าเชื่อถือเท่ากับ มิล่า" โจโววิช เป็นหนึ่งในนักแสดงหญิงเพียงไม่กี่คนที่สามารถเป็นหัวแรงหลักในหนังแอ็คชั่นได้ แอนเดอร์สัน เล่าว่า "ซีกอนี่ย์ วีเวอร์ ประสบความสำเร็จไป Alien ผมคิดว่ามันมีเหตุผลเดียวกัน เธอเป็นนักแสดงหญิงที่มีความสามารถและทำให้คุณเชื่อในโลกของนืยายวิทยาศาสตร์ ที่มีสัตว์ประหลาดอย่างเอเลี่ยนหรือว่าซอมบี้ มิล่า มอบวสิ่งนั้นให้กับพวกเรา" โจโววิช เล่าว่าเธอรู้สึกผูกพันธ์กับตัวละครนี้มาหลายปีแล้ว "ฉันรู้สึกตื่นเต้นว่ากับการผจญภัยครั้งใหม่ของเธอ อลิซ กลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของฉัน เธอกลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวฉัน" โดยเธอยังเล่าถึงพัฒนาการของตัวละครนี้ว่า "อลิซ เริ่มด้วยการเป็นตัวละครบริสุทธิ์ที่จำอะไรไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง จากนั้นถึงมารู้ใจว่าเธอมส่วนรับผิดชอบของการแพร่กระจายของที-ไวรัส เธอจึงรู้สึกผิดตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา" โจโววิช เล่าต่อว่า "ด้วยความที่ อัมเบรลล่า คอร์ป พยายามที่จะจับตัว อลิซ เธอจึงไม่สามารถอยู่กับใครก็ตามที่ห่วงใยได้ เธอกลายเป็นผู้หญิงโดดเดี่ยว แต่ในภาคนี้เธอพยายามเชื่อมต่อกับโลกอีกครั้ง มันเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เธอเป็นส่วนหนึ่งของสังคมอีกครั้ง มันเป็นพัฒนาการที่น่าทึ่งสำหรับ อลิซ ในความคิดเห็นของฉัน" ในหนังแต่ภาคแรก แอนเดอร์สัน พยายามทำให้ โจโววิช พบกับเรื่องท้าทายใหม่ๆตลอดเวลา ใน Resident Evil: Afterlife เขาก็มอบความท้าทายใหม่ด้วยการให้เธอรับบทเป็นตัวโคลนทั้งหมด โดย โจโววิช เล่าถึงความตื่นเต้นในการแสดงครั้งนี้ว่า "ฉันต้องรับบทเป็น อลิซ ในรูปแบบที่หลากหลาย ซึ่งแต่ละตัวก็มีบุคลิกที่แตกต่างกันออกไป พวกเธอไม่ใช่ตัวละครที่สร้างขึ้นจากเอฟเฟ็ค" Resident Evil: Afterlife ยังเป็นการกลับมาของผู้รอดชีวิตในภาคที่แล้ว ซึ่งรวมถึง แคลร์ ที่รับบทโดย อาลี ลาร์เตอร์ โดย โจโววิช ก็รู้สึกผูกพันธ์กับนักแสดงสาวร่วมจอเหมือนกับที่ อลิซ รู้สึกกับ แคลร์ "พวกเรากลายเป็นเพื่อนสนิทกัน อาลี นำเอาความสมจริงเข้ามาในบท ฉันรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ทำงานร่วมกับนักแสดงที่ทั้งแข็งแกร่ง ฉลาด และสวย และก็ทำให้ฉันต้องพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อเท่ากับการแสดงของเธอ" ลาร์เตอร์ รู้สึกตื่นเต้นที่ แอนเดอร์สัน ตัดสินใจนำเธอกลับมาในภาคนี้ ซึ่งนี่คือบทที่สร้างชื่อให้กับเธอที่สุด และเธอยังตั้งหน้าตั้งตารอที่จะร่วมงานกับ โจโววิช อีกครั้ง "สิ่งที่พิเศษในแฟรนไชส์หนังเรื่องนี้ นั้นก็คือมันมีตัวละครหญิงที่แข็งแกร่งสองคน อลิซ และ แคลร์ เป็นนักสู้ทั้งคู่ พวกเธอมีจิตวิญญาณที่ไม่สามารถทำลายได้ พวกเธอพยายามทำทุกอย่างเพื่อเอาชีวิตรอด และยังดูแลซึ่งกันและกัน" ครั้งสุดท้ายที่เราเห็น แคลร์ คือตอนที่เธอนำกลุ่มผู้รอดชีวิตไป อาร์เคเดีย สถานที่ที่ว่ากันว่าปลอดภัยที่สุดในโลก แต่กลับกลายเป็นว่า อลิซ พบตัวเธอในสภาพที่จำความอะไรไม่ได้ ลาร์เตอร์ เล่าว่า "ในภาคที่แล้ว แคลร์ เป็นหัวหน้ากลุ่มที่ไม่แน่ใจในตัวเอง แต่ภาคนี้เธอเริ่มเชื่อในสัญชาตญาณของเธอ ทันทีที่เธอค้นพบอะไรบางอย่าง เธอก็เริ่มที่ทำตามความตั้งใจของตัวเอง" ลาร์เตอร์ เล่าต่อว่า "แคลร์ มีทั้งความเชื่อและไว้วางใจ เธอต้องตัดสินใจว่าตัวเองจะเชื่อในสิ่งที่คนบอก หรือว่าเธอจะเรียกความทรงจำคือมาให้ได้และเชื่อในตัวเอง มันเป็นการดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด ทั้ง อลิซ และ แคลร์ สูญเสียเพื่อนไปแล้วมากมาย รวมถึงความหวังและความศรัทธา พวกเธออยู่ในสภาพความเป็นจริงที่โหดร้าย" ในความคิดเห็นของ ลาร์เตอร์ การทำงานกับเทคโนโลยีสามมิติถือเป็นก้าวที่สำคัญในหนังภาคนี้ "พวกเราคือผู้บุกเบิกหนังสามมิติอย่างแท้จริง มันคือประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นในการได้เห็นบางสิ่งบางอย่าง ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อสามมิติโดยเฉพาะ นี่คือวิสัยทัศน์ของ พอล แอนเดอร์สัน ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อโลกใกล้ถึงจุดจบ มีการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด และการสร้างทุกอย่างด้วยระบบสามมิติ พวกเราทำให้ภาพเหล่านั้นขึ้นมามีชีวิตอย่างเต็มที่" แต่ถึงแม้ว่าจะมีเทคโนโลยีล้ำยุคแค่ไหน นักแสดงก็ยังต้องแสดงฉากสตันท์เองอยู่เหมือนเดิม ลาร์เตอร์ เล่าถึงประสบการณ์ว่า "พวกเราถ่ายทำกันในโคลนที่มีความลึกกว่าหกนิ้ว ฉันเองก็หกล้มหน้าคะมำลงในกองโคลนเลย พอฉันเงยหน้าขึ้นมามองก็เห็นนักแสดงสมทบจำนวนมากกำลังล้มลุกคลุกคลานกันจ้าละหวั่น" หนังแต่ละภาคที่ผ่านมา อลิซ สร้างทีมขึ้นมาจากกลุ่มผู้รอดชีวิต ครั้งนี้ อลิซ ได้ร่วมทีมกับสองพี่น้องซึ่งยังเป็นการปรากฏตัวครั้งแรกของ คริส เรดฟิลด์ พี่ชายของ แคลร์ ซึ่งตัวละครจากเกมส์ที่ได้รับความนิยมที่สุด อาลี ลาร์เตอร์ เล่าว่า "ฉันชอบพลังงานขับเคลื่อนของคนในสายเลือดที่ พอล เสริมเข้ามา ฉันคิดว่ามันช่วยเพิ่มน้ำหนักให้กับอารมณ์ของคน แต่มันก็ไม่ใช่การกลับมาพบกันแบบซึ้งๆ แต่จะเป็นการกลับมาร่วมมือกันเพื่อไล่ฆ่าซอมบี้" เวนท์เวิร์ท มิลเลอร์ นักแสดงหนุ่มที่โด่งดังจากการรับบทเป็น ไมเคิล สกอฟิลด์ ในซีรี่ย์สุดฮิต Prison Break พบว่าตัวเองอยู่หลังลูกกรงตอนที่ตัวละครปรากฏตัวครั้งแรก "คริส เรดฟิลด์ เคยทำงานอยู่ในกองทัพและเขาใช้คุกเป็นฐานที่มั่นเพื่อป้องกันตัวเองจากกองทัพซอมบี้ แต่เมื่อนักโทษถูกปล่อยตัวออกมาเพื่อช่วยสู้ซอมบี้ พวกเขาคิดว่า เรดฟิลด์ เป็นยามในคุกและขังเขาไว้ในห้องขัง" มิลเลอร์ เล่าว่าเขารู้สึกแปลกใจเกี่ยวกับตัวละครนี้ในตอนแรก "เมื่อผมได้รับบทภาพยนตร์ ผมคิดว่าตัวแทนของผมกำลังล้อผมเล่น เพราะว่าคำแรกที่หลุดออกจากปากของ คริส ก็คือ "ผมรู้ว่าเราจะออกไปจากที่นี่ได้ยังไง" (หัวเราะ) ผมรู้สึกว่ามันใกล้เคียงกับไมเคิล สกอฟิลด์ แต่เมื่อผมได้อ่านบท ผมก็รู้ว่านี่ไม่ใช่ตัวละครจาก Prison Break แต่มันเป็นเหมือนกับการขอบคุณคนดูที่ดูซีรี่ย์ชุดนั้นมา 81 ตอน และนี่คือโอกาสของผมในการทำอะไรที่แตกต่างออกไป" คริส และ แคลร์ ต้องแยกกันหลังจากการแพร่กระจายของที-ไวรัส ทั้งคู่คิดว่าอีกฝ่ายหนึ่งเสียชีวิตไปแล้ว มิลเลอร์ เล่าว่า "คริส ออกมาจากคุกที่ขังเขาเอาไว้นานหลายปี แต่เมื่อออกมาเขาก็ได้พบกับน้องสาวที่เขาคิดว่าตายไปแล้ว มันมีทั้งความดีใจและแปลกใจ แต่ในขณะเดียวกันนี่คือ Resident Evil เมื่อหนังเริ่มช้าลง มันก็จะเปลี่ยนเกียร์และเพิ่มความขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างพวกเรา" เหมือนกับนักแสดงทุกคน มิลเลอร์ ให้ความเคารพสาวกพันธุ์แท้ของแฟรนไชส์ "Resident Evil: Afterlife ทำเหมือนอย่างที่หนังภาคก่อนหน้าได้ทำ คือเข้าไปสำรวจโลกหลังหายนะอย่างเต็มที่ ไม่เพียงแต่คุณจะได้รับความสยองและความตื่นเต้น แต่คุณยังจะได้พบกับตัวละครที่คุณคุ้นเคย ไม่ใช่ว่าคุณอยากจะเข้าไปอยู่ในสถานการณ์เดียวกับ อลิซ, แคลร์ และ คริส แต่มันจะเป็นการผจญภัยที่น่าตื่นเต้น" การที่หนังมีตัวละครนำเป็นผู้หญิงเป็นสิ่งที่ มิลเลอร์ รู้สึกชื่นชม เขาเล่าว่า "ผมคิดว่า มิล่า เป็นผู้หญิงสวยที่มีพรสวรรค์ในการแสดงหนังแอ็คชั่น แนวทางที่เธอตั้งท่า การถือดาบ การใช้อาวุธ ผมคิดว่าเธอมีเอกลักษณ์มาก การได้เห็นว่าเธอมีทั้งความสง่างามและฉลาด ถือเป็นสิ่งที่น่าทึ่งจริงๆ" อีกตัวละครที่ใหม่ในโลก Resident Evil คือนักแสดงผิวดำที่ชื่อ บอริส ค็อดโจ ที่รับบทเป็น ลูเธอร์ เวส หัวหน้ากลุ่มผู้รอดชีวิตที่ตั้งฐานที่มั่นภายในคุก ค็อดโจ เล่าว่า "ลูเธอร์ เป็นผู้นำโดยธรรมชาติ เขาเป็นนักกีฬาเก่าที่รับบทเป็นผู้นำด้วยความจำเป็น เขามีความมั่นใจและมีระเบียบวินัย นั้นคือสิ่งที่ทำให้เขามีสติที่สุด" ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของ ค็อดโจ คือ Surrogates ที่ประกบคู่กับ บรูซ วิลลิส เขาเล่าถึงตัวละครว่า "ผมสามารถเชื่อมถึงตัวละครนี้ได้ดีทันที มันเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นเพราะผมต้องเตรียมพร้อมทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ มันมอบเป้าหมายในชีวิตที่ผมต้องทำให้ลุล่วง" ค็อดโจ ยังสัญญากับผู้ชมว่าภาคนี้จะเป็นภาคที่ตื่นเต้นที่สุด "ซอมบี้มีวิวัฒนาการที่น่ากลัว มันมีความพิเศษ อย่างเจ้าตัวที่ชื่อว่า ดิ แอ๊กซ์ แมน ที่ทำให้คนตัวสูงอย่างผมกลายเป็นคนแคระไปเลย ผมคิดว่าคนดูจะต้องทึ่งไปกับเหล่าอสูรกายในภาคนี้ และมันยังมีเรื่องราวที่ทำให้คุณอยากติดตามไปจนจบ" ตัวละครผู้ร้ายของเกมส์และหนังภาคนี้ก็คือ อัลเบิร์ต เวสเกอร์ ประธานบริษัท อัมเบรลล่า คอร์ป ผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมด ผู้อำนวยการสร้าง คาร์โมดี้ พูดถึงตัวละครนี้ว่า "เวสเกอร์ เป็นผู้ที่ต้องการควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง และจะไม่หยุดจนกว่าจะได้สิ่งที่เขาต้องการ" เวสเกอร์ ถือเป็นตัวละครเดียวที่ปรากฏตัวในเกมส์ทุกภาค ผู้อำนวยการสร้าง เจเรมี่ย์ โบลท์ เล่าว่า "เวสเกอร์ เป็นคนดีในเกมส์ภาคแรกๆ แต่เขาก็เปลี่ยนเป็นผู้ร้ายได้อย่างจดจำ เพราะเขาสามารถทำเรื่องเลวร้ายได้โดยไม่รู้สึกผิด ดังนั้นเราจึงพยายามจับเอาความรู้สึกนั้นมาใช้ในหนัง โดยนักแสดงที่รับบทเป็น เวสเกอร์ ก็คือ ชอว์น โรเบิร์ต ซึ่งต้องทำงานหนักเพื่อทำตามสิ่งที่เราต้องการ" ในภาคนี้ เวสเกอร์ ได้รับเชื้อที-ไวรัสจนทำให้เขาไม่สามารถทำลายได้ โรเบิร์ต พูดถึงตัวละครของเขาว่า "เขาไม่ใช่ผู้ร้ายกระจอกทั่วไป เขาคือปีศาจร้ายขนานแท้ พวกเขาใช้มีด ใช้ปืน และใช้ทุกอย่างเพื่อหยุดยั้งตัวละครของผม แต่ก็ทำอะไรเขาไม่ได้ เวสเกอร์ เป็นผู้ร้ายที่ปราบยากสุดๆ" การได้รับบทเป็นคนที่มีพลังเหนือธรรมชาติ เป็นสิ่งที่ช่วยเติมเต็มความฝันวัยเด็กของ โรเบิร์ต เขาเล่าว่า "ผมต้องคอยหยิกตัวเองตลอดเวลา เพราะนี้คือสิ่งที่ผมอยากทำมาตั้งแต่เด็ก ผมได้ดูหนังของ อาโนลด์ และ บรูซ วิลลิส และผมก็อยากทำอะไรที่เหมือนกับพวกเขา นี่คือสิ่งที่ใกล้เคียงกับที่สุด ผมฝึกฝนมาโดยตลอดก็เพื่อสิ่งนี้" เมื่อ อลิซ รู้ว่า เวสเกอร์ ไร้เทียมทาน เธอจึงหาวิธีที่จะมาต่อสู้กับเขา ซึ่งนำไปสู่ฉากการต่อสู้สุดทายที่น่าทึ่งที่สุด โรเบิร์ต พูดถึงนักแสดงนำของเรื่องว่า "อลิซ คือผู้หญิงที่อันตรายที่สุด แต่ในช่วงพักระหว่างการถ่ายทำ มิล่า ก็เป็นผู้หญิงที่น่ารักที่สุดเท่าที่คุณเคยรู้จัก แต่เมื่อคุณได้ยินเสียงรองเท้าบู๊ทเมื่อไร นั้นหมายความว่าเธอกำลังสวมวิญญาณเป็น อลิซ" โจโววิช บอกว่า โรเบิร์ต เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเป็น เวสเกอร์ "ในหนังเขามีบรรยากาศที่เหมือนกับคนเหล็ก โดยในภาคที่แล้วเขาเป็นแค่ผู้ชายที่นั่งอยู่ในบอร์ดบริหาร แต่ฉันคิดว่าสาวก Resident คงรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้เห็นเขาลงมือจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง" การเปลี่ยนแปลงถือเป็นเรื่องที่ดีสำหรับนักแสดงทุกคน โจโววิช กล่าวสรุปว่า "Resident Evil: Afterlife พาแฟรนไชส์นี้สูงขึ้นไปอีกระดับ มันน่าตื่นเต้นทั้งในเรื่องการพัฒนาตัวละครและเทคโนโลยีการสร้าง พวกเราได้ทีมงานหน้าเดิมบวกกับหน้าใหม่ที่เข้าช่วยกันทำให้ภาคนี้กลายเป็นภาคที่ดีที่สุด" ระบบสามมิติของ Afterlife จากฐานทัพของ อัมเบรลล่า คอร์ป ในกรุงโตเกียว ไปจนถึงเมืองลอสแองเจลิสในเปลวเพลิง Resident Evil: Afterlife เต็มไปด้วยฉากแอ็คชั่นที่น่าตื่นตา และวิชวลเอฟเฟ็คที่น่าทึ่ง ทั้งหมดถูกถ่ายทอดด้วยเทคโนโลยีสามมิติ แอนเดอร์สัน พูดถึงการนำระบบสามมิติเข้ามาใช้ว่า "เมื่อตอนที่ผมเขียนบท ผมรู้ว่ามันจะต้องเป็นหนังสามมิติแน่นอน ผมเลยเขียนสถานการณ์และบรรยากาศที่ถ่ายทอดฉากสามมิติได้อย่างเต็มที่ เพราะผมเชื่อว่ามันกำลังเป็นสิ่งที่ปฏิรูปวงการภาพยนตร์ มันจะกลายเป็นมาตรฐานหนึ่งของอุตสาหกรรม มันน่าตื่นเต้นที่ได้ถ่ายทำและตัดต่อทุกขั้นตอนในระบบสามมิติ และไม่ใช่การเอาหนังปกติมาเปลี่ยนเป็นสามมิติหรืออะไร" ข้อดีที่เด่นชัดที่สุดของหนังสามมิติคือ ความสามารถในการทำให้คนดูจมไปในสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น พอล เล่าว่า "มันเหมือนกับวิวัฒนาการของระบบเสียงในโรงหนังสมัยที่ผมยังเด็ก ไม่ใช่เพียงแค่เสียงจะออกมาจากจอเท่านั้น แต่มันยังมีเสียงที่ออกมาจากด้านหลังและเหนือหัวอีกด้วย ในปัจจุบันเองก็เช่นกัน ด้วยเทคโนโลยีสามมิติมันจะช่วยทำให้คุณเข้าไปอยู่ในโลกที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ต่อหน้า" การทำงานร่วมกับเทคโยโลยีใหม่ ทำให้ทุกคนต้องปรับตัวให้เข้ากับกระบวนการสร้างที่ซับซ้อนขึ้น แอนเดอร์สัน เล่าต่อว่า "ผมโชคดีที่มีบุคลากรชั้นนำเข้ามาร่วมงาน ทั้ง อาร์วินเดอร์ เกรวอล ผู้ออกแบบงานสร้าง และ เดนนิส เบรัลดี้ ผู้ดูแลวิชวลเอฟเฟค ที่ช่วยปรับเปลี่ยนให้ภาพสามมิติมีประสิทธิภาพสูงสุด ใน Resident Evil: Afterlife ฐานทัพของ อัมเบรลล่า คอร์ป มีการออกแบบที่ดูทันสมัย ในขณะที่ภายนอกเต็มไปด้วยเถ้าถ่านที่เกิดจากเปลวเพลิง และมีเมฆดำปกคลุมอยู่ตลอดเวลา เกรวอล เล่าว่า "ภาพของอนาคตเกิดขึ้นจากการบรรยายของ พอล ในบทภาพยนตร์ เขาสร้างโลกขึ้นมาสองใบ หนึ่งคือฐานลับใต้ดิน สองคือโลกที่เน่าเปื่อยภายนอก อัมเบรลล่า มีทุกอย่าง ในขณะที่โลกด้านบนกำลังดิ้นรนเพื่อต่อลมหายใจเฮือกสุดท้าย โลกในอนาคตจะเป็นการปะทะกันของโลกสองใบนี้" เบรัลดี้ ต้องทำความเข้าใจในสองโลกที่ว่า ในการแต่งแต้มวิชวลเอฟเฟคในฉากที่สร้างขึ้นมา "พวกเราสร้างลอสแองเจลิสที่กำลังผุพังที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน พวกเราทำลายกรุงโตเกียวจนราบ มีฝูงซอมบี้มากกว่า 500,000 ชีวิต จุดมุ่งหมายของเราคือการสร้างงานเอฟเฟ็คที่สอดคล้องกับเรื่องราว คุณจะแทบไม่รู้เลยว่าอะไรคือของจริงหรือสร้างจากคอมพิวเตอร์" Resident Evil คงไม่มีทางเป็นเหมือนเดิมถ้าปราศจากอสูรกายตัวโปรดของสาวกหนังและเกมส์ นั้นก็คือ “เซเบรุส” หมาซอมบี้ ผู้ดูแลเมคอัพเอฟเฟ็ค พอล โจนส์ เล่าว่า "นี่คือครั้งที่ 4 ที่ เซเบรุส ปรากฏตัว และมันก็ดูน่ากลัวมากกว่าเดิม เพราะมันปรับสภาพเพื่อใช้พลังจากที-ไวรัสได้อย่างสูงสุด หมาซอมบี้ในภาคนี้จะฉลาดกว่ากว่าสามภาคที่ผ่านมา ผมแทบรอไม่ไหวแล้วที่จะได้เห็นพวกมันปะทะกับ อลิซ ในระบบสามมิติ" โจนส์ ยังรับหน้าที่ในการสร้างซอมบี้สายพันธุ์ใหม่ เขาเล่าว่า "พวกเรามีทั้งซอมบี้ใต้ดิน ซอมบี้น้ำ และซอมบี้พลากัส โดยซอมบี้ใต้ดินก็คือพวกที่อยู่ในท่อระบายน้ำ ส่วนซอมบี้น้ำคือพวกที่จมอยู่ใต้น้ำเป็นเวลานาน สีผิวและร่างกายเปื่อนยุ่ยดูน่าสยองเป็นที่สุด และก็ยังมีซอมบี้ที่สามารถฉีกปากได้เหมือนดอกไม้อีกด้วย" เกลน แม็คเฟอร์สัน ผู้กำกับภาพใช้กล้องโซนี่ เอฟ-35 ที่ถูกเรียกว่า "เดอะ แฟนธ่อม" ถึงสองตัวในการถ่ายทำ โดยมันคือกล้องที่พัฒนาขึ้นโดยองค์กรนาซ่า เพื่อใช้บันทึกภาพการปล่อยตัวของกระสวยอวกาศ โดยมันถูกออกแบบให้ถ่ายได้ถึง 1,000 เฟรมต่อวินาที ขณะที่กล้องวิดีโอธรรมดานั้นสามารถถ่ายได้เพียง 24 เฟรมต่อวินาที ในตามความเห็นของ แม็คเฟอร์สัน เดอะ แฟนธ่อม มีประสิทธิภาพที่สึดในการถ่ายทำฉากที่เกี่ยวกับน้ำ โดยตัวอย่างที่ดีก็คือฉากฝนตกในย่านชิบุย่า เขาเล่าว่า "การถ่ายทำฉากฝนตกในระดับ 200 เฟรมต่อวินาทีเป็นอะไรที่สุดยอดมาก คุณสามารถมองเห็นเม็ดฝนที่กำลังโปรยปรายลงมาได้เลย และถ้าเราถ่ายทำด้วยระดับ 1,000 เฟรมต่อวินาที คุณสามารถออกไปซื้อป็อปคอร์นแล้วกลับเข้ามาดูต่อ และเห็นฝนเม็ดนั้นยังตกไม่ถึงพื้นเลย (หัวเราะ)" เพื่อที่จะได้ถ่ายทำในระบบสามมิติ กล้องแฟนธ่อมสองตัวถูกติดตั้งไว้สองประเภท คือการวางเอาไว้ข้างกันเหมือนกับถ่ายทำหนังสามมิติทั่วไป และการวางซ้อนกันบน-ล่างและถ่ายทำด้วยวิธีการสะท้อน โดยกล้องตัวแรกจะใช้บันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในขณะที่กล้องอีกตัวจะถ่ายเงาสะท้อน โดยการติดตั้งทั้งสองประเภทก็ถูกปรับมาใช้ในระบบ “ฟิวชั่น 3D” ในการทดลองถ่ายทำ ทำให้ แอนเดอร์สัน ค้นพบวิธีการถ่ายทำที่เอื้อประโยชน์ให้กับระบบสามมิติได้สูงสุด นิเวน โฮวี่ย์ ผู้ตัดต่อภาพยนตร์ ที่ทำงานมาแล้วในภาคสามด้วย เล่าว่า "คุณไม่ต้องถ่ายโคลสอัพมากนัก เพราะมันมีองค์ประกอบอื่นหลายอย่างที่เราสามารถเห็นได้ในแต่ละเฟรม คุณไม่จำเป็นต้องตัดต่อให้เยอะเข้าไว้ในระบบสามมิติ มันจึงทำให้คุณเหมือนกับไปสู่ยุคดั้งเดิมของการถ่ายทำแบบลองเทค แต่ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำที่สุด" การที่ฉากแอ็คชั่นต่างๆถูกดัดแปลงเพื่อสอดคล้องกับระบบสามมิติ นักแสดงที่เชี่ยวชาญในการแสดงฉากสตันท์อยู่แล้วอย่าง มิล่า โจโววิช ยังต้องเจอกับความท้าทายที่เธอไม่คาดคิด "มีหลายอย่างที่คุณสามารถหลอกคนดูได้ในระบบสองมิติแต่ทำไม่ได้ในสามมิติ เช่นการต่อยธรรมดาที่แหละ ในสองมิติคุณสามารถเหวี่ยงหมัดใส่ฝ่ายตรงข้ามโดยไม่ต้องโดนก็ได้ แต่ในระบบสามมิติมันจะถูกถ่ายทำเอาไว้ทั้ง 360 องศา และเมื่อมีกล้องสองตัวถ่ายคุณในเวลาเดียวกัน คุณก็จะเห็นได้ชัดเลยว่าหมัดนั้นไม่ถูกตัวฝ่ายตรงข้าม พวกเราเลยต้องเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆจนต้องกระทบกระทั่งกันจ มันเป็นประสบการณ์สามมิติที่ฉันจะไม่ลืมจริงๆ (หัวเราะ)" ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำที่สุด ทำให้ทีมงานทุกคนมั่นใจว่า Resident Evil: Afterlife จะเป็นภาคที่มีความสดใหม่ที่สุด แอนเดอร์สัน กล่าวสรุปว่า "ถ้าคุณติดตามหนังมาแล้วทุกภาค ผมขอรับรองว่าคุณจะไม่เคยเห็นอะไรที่เหมือนในภาคนี้ มันจะเป็นการสร้างแบรนด์ Resident Evil ขึ้นมาใหม่สำหรับผู้ชมทุกคน มันจะเป็นปฐมบทใหม่แห่งตำนาน Resident Evil" ทีมนักแสดง มิล่า โจโววิช (รับบทเป็น อลิซ) มิล่า โจโววิช เกิดในประเทศยูเครน โดยพ่อของเธอเป็นแพทย์กุมารเวชชาวเซอร์เบีย ส่วนแม่เป็นนักแสดงหญิงที่มีชื่อเสียงของรัสเซีย ครอบครัวของเธอย้ายมาอยู่สหรัฐอเมริกาในปี 1981 โดย โจโววิช เริ่มต้นอาชีพนางแบบตั้งแต่อายุ 9 ปี และถ่ายแบบขึ้นปกนิตยสารกว่า 200 ฉบับทั่วโลก โจโววิช ยังแคยเป็นนางแบบให้กับโฆษณาของเอ็มโพริโอ อาร์มานี่, ดอนน่า คาแรง, ดีเคเอ็นวาย, เซลีน, พีแอนด์เค, เอชแอนด์เอช และยังได้เซ็นสัญญาเป็นนางแบบทั่วโลกให้กับเครื่องสำอางลอรีอัล ผลงานภาพยนตร์จอเงินเรื่องแรกของเธอคือเรื่อง Two Moon Junction ที่เธอร่วมแสดงกับ เชอริลิน เฟนน์ และเธอยังแสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง Return to the Blue Lagoon ตอนอายุ 15 ปี ก่อนที่จะไปร่วมแสดงในภาพยนตร์ของ เซอร์ริชาร์ด แอ็ตเทนโบโรห์ เรื่อง Chaplin ที่เธอร่วมแสดงกับ โรเบิร์ต ดาวนี่ย์ จูเนียร์ โดยรับบทเป็นภรรยาคนที่สองของ แชปลิน ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นของ โจโววิช ก็ยังรวมถึงภาพยนตร์วัยรุ่นของ ริชาร์ด ลิงกลาเตอร์ เรื่อง Dazed and Confused บทบาทการแสดงนำที่แจ้งเกิดให้กับ โจโววิช ได้แก่ภาพยนตร์ทริลเลอร์แนวไซไฟในปี 1997 ของ ลุค เบซง เรื่อง The Fifth Element ซึ่งแสดงประกบบทกับ บรูซ วิลลิส และก็ได้รับคำชมอย่างท่วมท้นในการรับบทนำในภาพยนตร์ เรื่อง The Messenger: The Story of Joan of Arc ในปี 1999 ซึ่งเธอร่วมแสดงกับ ดัสติน ฮอฟฟ์แมน และ จอห์น มัลโควิช โจโววิช ยังเป็นนักแสดงที่มีผลงานทำรายได้ทั่วโลก เมื่อเธอแสดงนำในหนังบล็อคบัสเตอร์อย่างเรื่อง Resident Evil ภาพยนตร์สร้างจากวิดีโอเกมยอดนิยม Resident Evil เขียนบทและกำกับโดย พอล แอนเดอร์สัน ซึ่งกลายเป็นสามีของเธอ โดยเธอยังได้กลับมารับบทเป็น อลิซ มือสังหารซอมบี้อีกครั้งในภาคต่อมาอย่าง Resident Evil: Apocalypse และ Resident Evil: Extinction รวมถึง Resident Evil: Afterlife 3D ที่มีกำหนดฉายในเดือนกันยายนปี 2010 อีกด้วย อาลี ลาร์เตอร์ (รับบทเป็น แคลร์ เรดฟิลด์) นักแสดงสาวผมบลอนด์ที่เข้าวงการด้วยการเป็นนางแบบ โดยเธอได้รับเลือกให้เป็นนางแบบประจำเดือนพฤศจิกายน ปี 1996 ของนิตยสาร Esquire ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่การเป็นนักแสดงและมีผลงานในซีรี่ย์ตลกชื่อดังอย่าง Chicago Sons และ Just Shoot Me รวมถึงซีรี่ย์วัยรุ่นคลาสสิค Dawson's Creek ในปี 1999 อาลี ก็ได้แสดงในหนังดราม่า-ฟุตบอลเรื่อง Varsity Blues สาวเชียร์ลีดเดอร์ที่พยายามล่อลวงพระเอก ก่อนที่จะรับบทเป็นสาวร้ายอีกครั้งในหนังโรแมนติก-คอมเมดี้ Drive Me Crazy รวมถีงการรับบทที่เป็นผู้ใหญ่ขึ้นในหนังสยองขวัญสุดเซอร์ไพรซ์เรื่อง The House on Haunted Hill อาลี ลาร์เตอร์ เป็นที่จดจำจากแฟนๆหนังสยองขวัฐในบทนำหนังสุดฮิตประจำปี 2000 อย่าง Final Destination โดยรับบทเป็นหนึ่งในกลุ่มนักเรียนที่บังเอิญรอดตายจากเหตุการร์เครื่องบินตก ก่อนที่มัจจุราชจะตามมาเอาชีวิตไปทีละคน โดยเธอก็ยังได้กลับมารับบทเดิมอีกครั้งใน Final Destination 2 จากนั้น อาลี ก็ได้รับโอกาสในการแสดงบทแอ็คชั่นครั้งแรกใน Resident Evil: Extinction ที่เธอรับบทเป็น แคลร์ หัวหน้ากลุ่มคาราวานที่พบกับ อลิซ โดยบังเอิฐ โดยผลงานในช่วงหลังของ อาลี ก็ยังมีการรับบทเป็น นิคกี้ แซนเดอร์ สาวสองบุคลิกในซีรี่ย์สุดฮิต Heroes และ Obsessed หนังทริลเลอร์ที่เธอต้องปะทะฝีมือกับ บียอนเซ่ ก่อนที่ในปี 2010 เธอก็ได้กลับมารับบทเป็น แคลร์ อีกครั้งใน Resident Evil: Afterlife เวนท์เวิร์ท มิลเลอร์ (รับบทเป็น คริส เรดฟิลด์) มิลเลอร์ เกิดในประเทศอังกฤษ แต่ครอบครัวของเขาย้ายมาอยู่ที่นิวยอร์กตั้งแต่เขาอายุได้ 1 ขวบ เขาเข้าเรียนที่โรงเรียนมิดวูดไฮสคูลในบรู๊คลิน และศึกษาต่อระดับปริญญาตรีที่ มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน สาขาวรรณคดีอังกฤษ โดยระหว่างเรียนที่พรินซ์ตัน มิลเลอร์ ได้เล่นละครเวทีและร้องเพลง และได้เดินทางไปยังที่ต่าง ๆ ในโลกกับกลุ่มการแสดงของโรงเรียน ปี 1998 เขามุ่งหน้าไปลอสแอนเจลิสเพื่ออาชีพนักแสดง โดยบทบาทแรกของเขาคือแสดงในซีรีส์เรื่อง Buffy the Vampire Slayer จากนั้นในปี 2002 เขาก็ได้แสดงในมินิซีรีส์ของทางช้อง ABC เรื่อง Dinotopia ต่อมาในปี 2003 เขาก็แสดงในภาพยนตร์เรื่อง The Human Stain โดยรับเป็น แอนโธนี ฮ็อปกินส์ ตอนหนุ่ม และ Underworld หนังแอ็คชั่นที่นำแสดงโดย เคท เบคกินเซล ในปี 2005 มิลเลอร์ รับบทเป็น ไมเคิล สโคฟิลด์ ในซีรี่ย์ทางช่องฟ็อกซ์ เรื่อง Prison Break จากบทบาทนี้เองทำให้เขากลายเป็นผู้ชายที่สาวๆทั่วโลกหลงไหล ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ สาขานักแสดงชายยอดเยี่ยมประเภทซีรีส์ดราม่า รวมถึงการถูกโหวตให้เป็นหนึ่งใน 100 คนที่หน้าตาดีที่สุดในโลกของ People Magazine อีกด้วย ชอว์น โรเบิร์ต (รับบทเป็น อัลเบิร์ต เวสเกอร์) ชอว์น โรเบิร์ต เริ่มรับงานแสดงเป็นอาชีพมาตั้งแต่อายุ 12 ขวบโดยร่วมแสดงในซีรี่ย์เรื่อง Emily of New Moon ทาง CBC ที่อำนวยการผลิตโดย ไมเคิล โดโนแวน ที่เคยคว้ารางวัลออสการ์ มาแล้ว หลังจากนั้นเขาก็ร่วมแสดงใน Land of the Dead ดินแดนแห่งความตาย ของ Universal Pictures ที่กำกับโดย จอร์จ เอ โรเมโร่ , X Men เอ็กซ์เมน ของ Twentieth Century Fox ที่กำกับโดย ไบรอัน ซิงเกอร์ , Skinwalkers ที่กำกับโดยจิม ไอแซ็ค, และ Jumper จัมพ์เปอร์ คนโดดกระชากมิติ ผลงานเรื่องอื่นๆของเขาก็ยังมี Cheaper By The Dozen 2 ชีพเพอร์ บาย เดอะ โดเซ็น 2 ครอบครัวเหมาโหลถูกกว่า ที่กำกับโดย ดั๊ก ไลแมน ส่วนผลงานทางโทรทัศน์ของโรเบิร์ตยังมี Stone Cold ทาง CBS ที่ประกบกับทอม เซลเล็ค, Degrassi: The Next Generation, We Were the Mulvaneys ทาง Lifetime, และบทประจำใน Falcon Beach ทาง ABC Family ทีมผู้สร้าง พอล ดับบลิวเอส แอนเดอร์สัน (กำกับ, อำนวยการสร้าง, เขียนบท) พอล ดับบลิวเอส แอนเดอร์สัน คือผู้กำกับ/ผู้อำนวยการสร้าง/ผู้เขียนบทภาพยนตร์ เขาเกิดและเติบโตในเมืองนิวคาสเซิล ประเทศอังกฤษ เขาจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยวอร์วิค สาขาภาพยนตร์และวรรณกรรม เขายังเป็นนักศึกษาที่อายุน้อยที่สุด ที่สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยเดียวกันด้วย ภาพยนตร์เรื่องแรกที่ทำให้เขาสร้างชื่อในกลุ่มแวดวงหนังคัลท์คือ Shopping (1994) ที่เขาทั้งเขียนบทและกำกับเอง ซึ่งแสดงนำโดย จู้ด ลอว์ และ เซดี้ ฟรอส โดยนี้คือภาพยนตร์ที่มีความมืดหม่น และยังแสดงให้เห็นถึงความหลงไหล ทั้งในเรื่องของโลกอนาคตที่โหดร้าย และฉากแอ็คชั่นที่มีจินตนาการอันไร้ขอบเขต ในที่สุดเขาก็ได้เข้ามาสร้างหนังในฮอลลิวู้ดเรื่องแรก Mortal Kombat (1995) ซึ่งสร้างมาจากเกมส์ชื่อดัง และสามารถขึ้นสู่อับดับหนึ่งในตารางทำเงิน โดยให้กำเนิดภาคต่ออีกหนึ่งภาค หลังจากนั้นเขาก็ได้มุ่งเข้าโลกโลกของหนังไซไฟถึงสองเรื่องติดต่อกัน นั้นก็คือ Event Horizon (1997) หนังไซไฟ-สยองขวัญที่กลายเป็นหนังในดวงใจของคอหนังคัลท์ และ Soldier (1998) หนังแอ็ดชั่น-ไซไฟที่นำแสดงโดย เคิร์ท รัสเซล จนในที่สุดเขาก็ได้สร้างแฟรนไชส์ภาพยนตร์ที่จะอยู่คู่กับชื่อของเขาไปตลอดกาล Resident Evil (2002) ที่นำแสดงโดย มิลล่า โจโววิช และ มิเชล โรดริเกช ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่และชุบชีวิตหนังแนวซอมบี้ขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งมันก็ทำให้มีการสร้างภาคต่อมาอย่าง Resident Evil: Apocalypse (2004) และ Resident Evil: Extinction (2007) ซึ่งเขารับหน้าที่เป็นผู้เขียนบทและอำนวยการสร้าง พอล ดับบลิวเอส แอนเดอร์สัน ยังทำหน้าที่กำกับหนังแอ็คชั่นสุดมันส์อย่าง AVP: Alien vs. Predator (2004) และ Death Race (2008) ซึ่งประสบความสำเร็จในเรื่องรายได้อย่างงดงาม และยังขึ้นอันดับหนึ่งในตารางเงินทั้งคู่ ก่อนที่จะกลับมากำกับแฟรนไชส์ที่สร้างชื่อให้กับเขาใน Resident Evil: Afterlife 3D เจเรมี่ย์ โบลท์ (อำนวยการสร้าง) ผลงาน >>> Resident Evil Trilogy, Death Race เกลน แม็คเฟอร์สัน (กำกับภาพ) ผลงาน >>> The Final Destination, Rambo, One Missed Call นิเว่น โฮวี่ย์ (ตัดต่อภาพ) ผลงาน >>> Dawn of the Dead, Death Race, The Hitchhiker's Guide to the Galaxy พอล โจนส์ (เมคอัพเอฟเฟ็ค) ผลงาน >>> Silent Hill, Kick-Ass, Resident Evil: Apocalypse เดนนิส เบรัลดิ้ (วิชวลเอฟเฟ็ค) ผลงาน >>> Resident Evil: Extinction, Death Race

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ