IFS ลุยธุรกิจเต็มสูบหลังฐานทุนแข็งแกร่ง เตรียมบุกธุรกิจลีสซิ่งขยายฐานรายได้เพิ่ม

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday August 31, 2010 16:01 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--31 ส.ค.--IR network “ตัน เล เยน” เผยหลังระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้ฐานทุนมีความแข็งแกร่ง และชื่อเสียงเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับอย่างมาก ทำให้สามารถลุยธุรกิจได้อย่างเต็มที่ในส่วนของแฟคเตอริ่ง และล่าสุดเตรียมขยายไลน์สู่ธุรกิจลีสซิ่ง ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่มาก อีกทั้งสามารถเกื้อกูลกับธุรกิจเดิมที่มีอยู่ ที่สำคัญจะช่วยขยายฐานรายได้ของ IFS ให้กว้างขึ้น นายตัน เล เยน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอเอฟเอส แคปปิตอล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ IFS เปิดเผยว่าภายหลังจากการระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทำให้บริษัทมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้นมาก และที่สำคัญคือช่วยให้ชื่อเสียงของ IFS เป็นที่รู้จักในวงกว้างและได้รับการยอมรับมากขึ้น ทำให้บริษัทรุกขยายธุรกิจได้อย่างเต็มที่ และสามารถขยายตลาดหาลูกค้าใหม่ๆ เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ IFS กำลังเตรียมขยายไลน์ไปสู่ธุรกิจลีลซิ่งเช่าซื้อ เกี่ยวกับเครื่องจักรและอุตสาหกรรม เท่านั้น ซึ่งในอนาคตคาดว่าจะเป็นฐานรายได้สำคัญอีกแหล่งหนึ่งของ IFS โดยคาดว่าสัดส่วนรายได้จากธุรกิจลิสซิ่งจะเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 30-40% ของรายได้รวมทีเดียว “ธุรกิจที่ IFS ทำอยู่คือ ธุรกิจสินเชื่อแฟ็คเตอริ่ง กับ ลิสซิ่ง สำหรับแฟคเตอริ่ง บางธนาคารจะไม่ให้ความสำคัญมากนักโดยอาจจะมองว่าเป็นเพียงธุรกิจเล็กๆ ดังนั้นธนาคารบางรายจึงไม่สนใจเข้ามาทำธุรกิจนี้ ซึ่ง IFS จะทำอะไรที่ธนาคารบางแห่งเค้าไม่สนใจทำ ในส่วนของธุรกิจลิสซิ่งก็เหมือนกันโดยปกติธนาคารไม่ค่อยอยากทำมากนัก เพราะถือว่าเป็นเครื่องจักรที่ต้องมีค่าเสื่อมในทุกๆ ปี เพราะฉะนั้นเค้าไม่อยากทำธุรกิจที่มันเกี่ยวกับสินทรัพย์แบบนี้ สินทรัพย์ที่ไม่มีค่าเสื่อม IFS จึงมองเห็นว่าทั้ง 2 อุตสาหกรรมนี้ยังมีการเติบโตที่ดี และทั้ง 2 ธุรกิจนี้ยังสามารถเกื้อกูลกันและกันได้ โดยบางครั้งลูกค้าใช้สินเชื่อแฟคเตอริ่งกับ IFS หากในอนาคตหากต้องการใช้บริการด้านลิสซิ่ง ก็สามารถดำเนินการได้กับ IFS เลย” เขากล่าวต่อว่าธุรกิจสินเชื่อแฟคเตอริ่ง เป็นธุรกิจที่คนทำไม่มาก ดังนั้นจึงมีโอกาสในการเติบโตที่ดี ทั้งนี้ถ้าหากเปรียบเทียบอัตราส่วนมูลค่ารายได้รวมของธุรกิจแฟคตอริ่งต่อจีดีพี ระหว่างประเทศไทยกับประเทศอื่นๆ การเติบโตของตลาดแฟคเตอริ่งในประเทศไทยยังมีแนวโน้มที่สดใสต่อเนื่อง โดยสินเชื่อแฟคเตอริ่งในไทยคิดเป็น 0.6% ของจีดีพี ขณะที่อังกฤษ ฮ่องกงและสิงคโปร์ อยู่ที่ 14.4%, 4% และ 2.3% ตามลำดับ ซึ่งประเทศอังกฤษ คือ ตลาดที่ใหญ่ในธุรกิจนี้ และถ้าเปรียบเทียบกับประเทศในโซนยุโรปจะอยู่ที่ประมาณ 5-6% จึงทำให้มั่นใจว่าธุรกิจมีโอกาสที่จะเติบโตอีกมาก เช่นเดียวกันสำหรับลิสซิ่ง มั่นใจว่ายังมีการเติบโตที่ดี โดยพิจารณาจากตัวเลขของการลงทุนเครื่องจักรในแต่ละปีที่แต่ละบริษัทจะต้องลงทุนนั้น พบว่าบริษัทที่ไฟแนนซ์เงินสำหรับลงทุนเครื่องจักรนั้นเท่าที่เราทราบประมาณ 4-5% เอง สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในปี 2553 มั่นใจว่าจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดย IFS ได้นำเงินที่ได้จากการระดมทุน(ประมาณ 162 ล้านบาท) ไปใช้ในการขยายธุรกิจและบริการให้มากขึ้ นเพื่อสนองตอบความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบวงจร และในอนาคตมีแผนจะเปิดสาขาในต่างจังหวัดเพื่อครอบคลุมพื้นที่การให้บริการสินเชื่อและเพิ่มความสะดวกให้แก่ลูกค้าที่มาใช้บริการ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ