กรุงเทพฯ--20 ก.ย.--มหาวิทยาลัยมหิดล
รองศาสตราจารย์พาสน์ศิริ นิสาลักษณ์ รองอธิการบดีฝ่ายบริหารและสภามหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๓ ที่ผ่านมา Times Higher Education (THE) ได้ประกาศผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก ประจำปี ๒๐๑๐ — ๒๐๑๑ ผลปรากฏว่ามีมหาวิทยาลัยของประเทศไทยติดอันดับโลกในระดับ Top 400 จำนวน ๒ แห่ง คือ มหาวิทยาลัยมหิดล อันดับที่ ๓๐๖ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อันดับที่ ๓๔๑ โดยมีการกำหนดหลักเกณฑ์ตัวชี้วัดที่ใช้ในการพิจารณาขึ้นใหม่ ๕ ตัวชี้วัด คือ
- Teaching — the learning environment โดยพิจารณาจากบรรยากาศการเรียนการสอน ประกอบด้วย ชื่อเสียงด้านการเรียนการสอน สัดส่วนนักศึกษาปริญญาเอกที่สำเร็จการศึกษาต่ออาจารย์ จำนวนการรับเข้านักศึกษาปริญญาตรีต่ออาจารย์ รายได้ต่ออาจารย์ และสัดส่วนนักศึกษาปริญญาเอกที่สำเร็จการศึกษาต่อนักศึกษาปริญญาตรีที่สำเร็จการศึกษา (ค่าน้ำหนัก ๓๐%)
- Research — volume, income and reputation พิจารณาจากปริมาณ ผลงานวิจัย รายได้ และชื่อเสียงของมหาวิทยาลัย ประกอบด้วย ชื่อเสียงด้านการวิจัย รายได้จากการวิจัย จำนวนผลงานตีพิมพ์ต่ออาจารย์และนักวิจัย และรายได้วิจัยจากภาครัฐต่อรายได้วิจัยรวม (ค่าน้ำหนัก ๓๐%)
- Citations — research influence พิจารณาจากจำนวนการอ้างอิงผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัย แสดงถึงความเชื่อมั่นของนักวิชาการทั่วโลกในคุณภาพงานวิจัย (ค่าน้ำหนัก ๓๒.๕%)
- Industry income — innovation พิจารณาจากรายได้ของมหาวิทยาลัยที่ได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจากภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่บ่งบอกถึงคุณภาพของการถ่ายทอดองค์ความรู้สู่สังคม (ค่าน้ำหนัก ๒.๕%)
- International mix — staff and students พิจารณาจากความหลากหลายของนักศึกษาและบุคคลากรนานาชาติในมหาวิทยาลัยซึ่งสะท้อนถึงการเป็นมหาวิทยาลัยนานาชาติ โดยคำนึงถึงอัตราส่วนของบุคลากร —นักศึกษาจากต่างประเทศต่อบุคลากร - นักศึกษาภายในประเทศ (ค่าน้ำหนัก ๕%)
การจัดอันดับมหาวิทยาลัยระดับโลกครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกของ Times Higher Education (THE) ร่วมกับ บริษัท Thomson Reuters ภายหลังจากนิตยสาร Times Higher Education (THE) แยกตัวออกจากบริษัท Quacquarelli Symonds Ltd. (QS) เมื่อต้นปี ๒๐๑๐ ที่ผ่านมา