อินโดนีเซียเป็นตลาดขนาดใหญ่ ด้วยจำนวนประชากรกว่า 230 ล้านคน ซึ่งมากเป็นอันดับ 4 ของโลกโดยประชากรเกือบครึ่งหนึ่งอยู่ใน
วัยแรงงาน ทำให้มีอัตราค่าจ้างแรงงานค่อนข้างต่ำเพียง 89 ดอลลาร์สหรัฐ/เดือนเท่านั้น อีกทั้งอินโดนีเซียมีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ อาทิ
น้ำมันดิบ ถ่านหิน ดีบุก นิกเกิล ทองแดง ป่าไม้ยางพารา และทรัพยากรประมง ฯลฯ นอกจากนี้ รัฐบาลอินโดนีเซียยังมีนโยบายส่งเสริมให้นักลงทุนต่าง
ชาติเข้าไปลงทุนด้วยการให้สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนต่าง ๆ รวมทั้งอนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติสามารถลงทุนได้ 100%เกือบทุกสาขา ยกเว้นใน
บางกิจการที่เกี่ยวข้องกับการใช้ทรัพยากรธรรมชาติซึ่งจะมีการกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมบ้างอย่างไรก็ตาม เพื่อสนับสนุนให้เกิดการลงทุนจากต่างชาติ
มากขึ้น ปัจจุบันรัฐบาลอินโดนีเซียจึงอยู่ระหว่างการปฏิรูปกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวกับการลงทุนทั้งหมด (Investment Package Reform)
เพื่อให้เอื้อประโยชน์แก่นักลงทุนต่างชาติ
สำหรับธุรกิจที่ไทยมีศักยภาพในการเข้าไปลงทุนในอินโดนีเซีย ที่สำคัญ ได้แก่
อุตสาหกรรมประมงและอาหารทะเลแปรรูป ด้วยอินโดนีเซียมีลักษณะภูมิประเทศเป็นเกาะมีจำนวนมากกว่า 17,508 เกาะ ซึ่งมากที่สุด
ในโลก ทำให้มีชายฝั่งทะเลถึง 54,716 กิโลเมตร อีกทั้งยังมีทรัพยากรทางทะเลอุดมสมบูรณ์และหลากหลายชนิด โดยสัตว์น้ำที่จับได้ในน่านน้ำ
อินโดนีเซียมีมากราว 40-50 ชนิด ที่สำคัญ คือปลาทูน่า และกุ้ง ทำให้อินโดนีเซียเป็นแหล่งทำประมงนอกน่านน้ำที่ใหญ่ที่สุดของไทย ทั้งนี้รัฐบาล
อินโดนีเซียกำหนดให้การทำประมงในน่านน้ำอินโดนีเซียต้องเป็นการร่วมทุนกับชาวอินโดนีเซียเท่านั้น โดยนักลงทุนต่างชาติสามารถลงทุนได้สูงสุดไม่
เกิน 80% รวมทั้งกำหนดให้ 70% ของสัตว์น้ำที่จับได้ต้องส่งขึ้นที่ท่าเรือของอินโดนีเซีย(อาจมีการปรับเปลี่ยนสัดส่วนได้ตามข้อตกลงของผู้ร่วมทุนทั้ง 2
ฝ่าย) เพื่อจำหน่ายหรือแปรรูปในประเทศ แม้รัฐบาลจะส่งเสริมให้มีการแปรรูปอาหารทะเลในประเทศ แต่ชาวอินโดนีเซียยังขาดความชำนาญ ดัง
นั้น จึงเป็นโอกาสดีสำหรับผู้ประกอบการไทยที่มีความเชี่ยวชาญในการแปรรูปอาหารทะเล ที่จะเข้าไปร่วมทุนกับนักลงธุรกิจท้องถิ่นเพื่อใช้ประโยชน์
จากวัตถุดิบอาหารทะเลที่มีอยู่มากมายและหลากหลายในอินโดนีเซีย
อุตสาหกรรมแปรรูปยางพารา อินโดนีเซียเป็นผู้ผลิตและส่งออกยางพารามากเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากไทย รวมทั้งมีพื้นที่ปลูกยางมาก
ที่สุดในโลกถึง 21 ล้านไร่ (ไทยอยู่อันดับที่ 2 ที่ 18 ล้านไร่) โดยพื้นที่เพาะปลูกส่วนใหญ่อยู่บนเกาะสุมาตราและชวา อย่างไรก็ตาม อินโดนีเซียยังมี
ผลผลิตต่อไร่ค่อนข้างต่ำ เนื่องจากมีพื้นที่เพาะปลูกราว 6-9 ล้านไร่ ที่ไม่ได้รับการเอาใจใส่ (Jungle Rubber) ขณะที่ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกยางอยู่
อย่างจำกัด แต่มีความชำนาญในการแปรรูปยาง ดังนั้น ไทยจึงน่าจะเข้าไปร่วมทุนกับนักธุรกิจท้องถิ่นอินโดนีเซีย เพื่อร่วมพัฒนาการเพาะปลูก
ยางพารารวมถึงการแปรรูปยางพาราเพื่อส่งออกด้วย
อุตสาหกรรมการทำเหมืองแร่ อินโดนีเซียมีแร่หลากหลายชนิด ที่สำคัญ ได้แก่ ดีบุก (เป็นผู้ผลิตรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก) ซึ่งพบ
มากที่เกาะสุมาตราและชวา นิกเกิล (เป็นผู้ผลิตรายใหญ่อันดับ 4 ของโลก) พบมากบนเกาะสุลาเวสี และมาลุกุ ทองแดง (เป็นผู้ผลิตรายใหญ่อันดับ
5 ของโลก) พบมากบนเกาะสุมาตราและอิเรียนจายา(นิวกินีตะวันตก) ถ่านหิน (เป็นผู้ผลิตรายใหญ่อันดับ 8 ของโลก) พบมากบนเกาะกะลิมัน
ตัน สุมาตรา และชวา
นอกจากนี้ ยังมีแหล่งแร่อื่น ๆ อีก อาทิ บอกไซต์ ทองคำ และเงิน ฯลฯ ทั้งนี้ อินโดนีเซียสนับสนุนให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนใน
อุตสาหกรรมดังกล่าว เนื่องจากยังขาดแคลนเงินลงทุน และต้องการเรียนรู้เทคโนโลยีในการสำรวจและขุดเจาะแร่ ปัจจุบันมีเอกชนไทยเข้าไปลงทุน
ทำเหมืองถ่านหินในอินโดนีเซียบ้างแล้ว เช่น ที่เกาะกะลิมันตัน เป็นต้น
ธุรกิจบริการ อาทิ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง อินโดนีเซียกำลังเร่งพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
โดยรัฐบาลได้ตั้งงบประมาณสูงถึง 4.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับปี 2550 เพื่อใช้ในโครงการก่อสร้างเหล่านั้น นอกจากนี้ ยังมีโครงการจะก่อ
สร้างอาคารที่พักอาศัยเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้ธุรกิจก่อสร้างในอินโดนีเซียขยายตัวอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจร้านอาหารไทย ซึ่ง
ปัจจุบันอาหารไทยเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมในอินโดนีเซีย รวมถึงธุรกิจโรงแรมและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวซึ่งเป็นธุรกิจที่ผู้ประกอบการ
ไทยมีฝีมือและเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย พฤษภาคม 2550--
-พห-
วัยแรงงาน ทำให้มีอัตราค่าจ้างแรงงานค่อนข้างต่ำเพียง 89 ดอลลาร์สหรัฐ/เดือนเท่านั้น อีกทั้งอินโดนีเซียมีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ อาทิ
น้ำมันดิบ ถ่านหิน ดีบุก นิกเกิล ทองแดง ป่าไม้ยางพารา และทรัพยากรประมง ฯลฯ นอกจากนี้ รัฐบาลอินโดนีเซียยังมีนโยบายส่งเสริมให้นักลงทุนต่าง
ชาติเข้าไปลงทุนด้วยการให้สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนต่าง ๆ รวมทั้งอนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติสามารถลงทุนได้ 100%เกือบทุกสาขา ยกเว้นใน
บางกิจการที่เกี่ยวข้องกับการใช้ทรัพยากรธรรมชาติซึ่งจะมีการกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมบ้างอย่างไรก็ตาม เพื่อสนับสนุนให้เกิดการลงทุนจากต่างชาติ
มากขึ้น ปัจจุบันรัฐบาลอินโดนีเซียจึงอยู่ระหว่างการปฏิรูปกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวกับการลงทุนทั้งหมด (Investment Package Reform)
เพื่อให้เอื้อประโยชน์แก่นักลงทุนต่างชาติ
สำหรับธุรกิจที่ไทยมีศักยภาพในการเข้าไปลงทุนในอินโดนีเซีย ที่สำคัญ ได้แก่
อุตสาหกรรมประมงและอาหารทะเลแปรรูป ด้วยอินโดนีเซียมีลักษณะภูมิประเทศเป็นเกาะมีจำนวนมากกว่า 17,508 เกาะ ซึ่งมากที่สุด
ในโลก ทำให้มีชายฝั่งทะเลถึง 54,716 กิโลเมตร อีกทั้งยังมีทรัพยากรทางทะเลอุดมสมบูรณ์และหลากหลายชนิด โดยสัตว์น้ำที่จับได้ในน่านน้ำ
อินโดนีเซียมีมากราว 40-50 ชนิด ที่สำคัญ คือปลาทูน่า และกุ้ง ทำให้อินโดนีเซียเป็นแหล่งทำประมงนอกน่านน้ำที่ใหญ่ที่สุดของไทย ทั้งนี้รัฐบาล
อินโดนีเซียกำหนดให้การทำประมงในน่านน้ำอินโดนีเซียต้องเป็นการร่วมทุนกับชาวอินโดนีเซียเท่านั้น โดยนักลงทุนต่างชาติสามารถลงทุนได้สูงสุดไม่
เกิน 80% รวมทั้งกำหนดให้ 70% ของสัตว์น้ำที่จับได้ต้องส่งขึ้นที่ท่าเรือของอินโดนีเซีย(อาจมีการปรับเปลี่ยนสัดส่วนได้ตามข้อตกลงของผู้ร่วมทุนทั้ง 2
ฝ่าย) เพื่อจำหน่ายหรือแปรรูปในประเทศ แม้รัฐบาลจะส่งเสริมให้มีการแปรรูปอาหารทะเลในประเทศ แต่ชาวอินโดนีเซียยังขาดความชำนาญ ดัง
นั้น จึงเป็นโอกาสดีสำหรับผู้ประกอบการไทยที่มีความเชี่ยวชาญในการแปรรูปอาหารทะเล ที่จะเข้าไปร่วมทุนกับนักลงธุรกิจท้องถิ่นเพื่อใช้ประโยชน์
จากวัตถุดิบอาหารทะเลที่มีอยู่มากมายและหลากหลายในอินโดนีเซีย
อุตสาหกรรมแปรรูปยางพารา อินโดนีเซียเป็นผู้ผลิตและส่งออกยางพารามากเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากไทย รวมทั้งมีพื้นที่ปลูกยางมาก
ที่สุดในโลกถึง 21 ล้านไร่ (ไทยอยู่อันดับที่ 2 ที่ 18 ล้านไร่) โดยพื้นที่เพาะปลูกส่วนใหญ่อยู่บนเกาะสุมาตราและชวา อย่างไรก็ตาม อินโดนีเซียยังมี
ผลผลิตต่อไร่ค่อนข้างต่ำ เนื่องจากมีพื้นที่เพาะปลูกราว 6-9 ล้านไร่ ที่ไม่ได้รับการเอาใจใส่ (Jungle Rubber) ขณะที่ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกยางอยู่
อย่างจำกัด แต่มีความชำนาญในการแปรรูปยาง ดังนั้น ไทยจึงน่าจะเข้าไปร่วมทุนกับนักธุรกิจท้องถิ่นอินโดนีเซีย เพื่อร่วมพัฒนาการเพาะปลูก
ยางพารารวมถึงการแปรรูปยางพาราเพื่อส่งออกด้วย
อุตสาหกรรมการทำเหมืองแร่ อินโดนีเซียมีแร่หลากหลายชนิด ที่สำคัญ ได้แก่ ดีบุก (เป็นผู้ผลิตรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก) ซึ่งพบ
มากที่เกาะสุมาตราและชวา นิกเกิล (เป็นผู้ผลิตรายใหญ่อันดับ 4 ของโลก) พบมากบนเกาะสุลาเวสี และมาลุกุ ทองแดง (เป็นผู้ผลิตรายใหญ่อันดับ
5 ของโลก) พบมากบนเกาะสุมาตราและอิเรียนจายา(นิวกินีตะวันตก) ถ่านหิน (เป็นผู้ผลิตรายใหญ่อันดับ 8 ของโลก) พบมากบนเกาะกะลิมัน
ตัน สุมาตรา และชวา
นอกจากนี้ ยังมีแหล่งแร่อื่น ๆ อีก อาทิ บอกไซต์ ทองคำ และเงิน ฯลฯ ทั้งนี้ อินโดนีเซียสนับสนุนให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนใน
อุตสาหกรรมดังกล่าว เนื่องจากยังขาดแคลนเงินลงทุน และต้องการเรียนรู้เทคโนโลยีในการสำรวจและขุดเจาะแร่ ปัจจุบันมีเอกชนไทยเข้าไปลงทุน
ทำเหมืองถ่านหินในอินโดนีเซียบ้างแล้ว เช่น ที่เกาะกะลิมันตัน เป็นต้น
ธุรกิจบริการ อาทิ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง อินโดนีเซียกำลังเร่งพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
โดยรัฐบาลได้ตั้งงบประมาณสูงถึง 4.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับปี 2550 เพื่อใช้ในโครงการก่อสร้างเหล่านั้น นอกจากนี้ ยังมีโครงการจะก่อ
สร้างอาคารที่พักอาศัยเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้ธุรกิจก่อสร้างในอินโดนีเซียขยายตัวอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจร้านอาหารไทย ซึ่ง
ปัจจุบันอาหารไทยเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมในอินโดนีเซีย รวมถึงธุรกิจโรงแรมและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวซึ่งเป็นธุรกิจที่ผู้ประกอบการ
ไทยมีฝีมือและเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย พฤษภาคม 2550--
-พห-