ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.ยืนยันยังไม่ทบทวนมาตรการกันสำรองเงินตราต่างประเทศร้อยละ 30 ในขณะนี้ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
กล่าวถึงกรณีที่มีการเรียกร้องให้ ธปท.ยกเลิกมาตรการกันสำรองเงินตราต่างประเทศที่นำมาแลกเป็นเงินบาทร้อยละ 30 ว่า มาตรการดังกล่าวถือ
เป็นนโยบายหลักในการดูแลค่าเงินบาท ซึ่งยืนยันว่ายังไม่ใช่เวลาที่จะมีการทบทวนหรือยกเลิกแน่นอน และในระยะ 3 เดือน หรือ 6 เดือนข้างหน้า
ก็ยังไม่ยกเลิกมาตรการดังกล่าว ทั้งนี้ หลังจากบังคับใช้มาตรการส่งผลให้เงินบาทค่อนข้างนิ่ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ามาตรการได้ผล จึงต้องคง
มาตรการไว้ก่อน ส่วนภาวะตลาดทุนที่ไม่ดีในช่วงนี้ไม่ได้เกิดจากมาตรการของ ธปท. เนื่องจากนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้รับการผ่อนผันไม่ต้อง
กันสำรองอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ธปท.จะปรับแก้ไขในส่วนที่ทำให้เกิดความไม่สะดวกหรือเกิดผลกระทบ ซึ่ง ธปท.ได้มีการวิเคราะห์และติดตาม
ผลจากการใช้มาตรการดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากมาตรการที่ออกก่อนวันที่ 18 ธ.ค.49 ที่ไม่จำเป็นก็อาจจะมีการยกเลิก เช่น มาตรการที่
ออกในเดือน พ.ย.49 แต่หากจำเป็น ธปท.ก็ต้องคงมาตรการต่อไป (มติชน, แนวหน้า, ข่าวสด, โพสต์ทูเดย์, ไทยรัฐ, เดลินิวส์, บ้านเมือง)
2. สศค. ยืนยันเศรษฐกิจไทยปี 50 จะยังขยายตัวได้ในระดับร้อยละ 4-5 ต่อปีตามที่ประมาณการไว้ ขณะที่เจพี มอร์แกนปรับลด
อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยปี 50 ลงมาเหลือร้อยละ 3.5-4 รองผอ.สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษก ก.คลัง
เปิดเผยว่า ได้รับรายงานยืนยันจากกลุ่มการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาคว่า เศรษฐกิจไทยในปี 50 จะยังคงขยายตัวได้ในระดับร้อยละ 4-5 ต่อปี
ตามที่ได้ประมาณการไว้ แม้ว่าจะมีปัจจัยเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากกรณีเกิดเหตุระเบิดขึ้นหลายจุดในกรุงเทพฯ ในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมาก็ตาม โดย
สศค.วิเคราะห์ว่า เศรษฐกิจในปีนี้จะอาศัยการใช้จ่ายภาครัฐเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อน ทั้งการเบิกจ่ายของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และ
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะช่วยอัดฉีดเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจ และจะไปช่วยกระตุ้นให้เกิดการ
บริโภคและการลงทุนภาคเอกชนตามไปด้วย ขณะที่ประธานกรรมการอำนวยการ บล.เจพี มอร์แกน (ประเทศไทย) และประธานชมรมบริษั
ทหลักทรัพย์ต่างประเทศ กล่าวว่า บริษัทได้ปรับลดตัวเลขอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยปี 50 ลงมาเหลือร้อยละ 3.5-4 จากเป้าหมาย
เดิมที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 4-4.5 และอยู่ระหว่างการทบทวนปรับเป้าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (ผู้จัดการรายวัน, โพสต์ทูเดย์)
3. เอสแอนด์พีแนะนำไทยต้องใช้ความพยายามเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นขึ้นมาอีกครั้ง นักวิเคราะห์คามน่าเชื่อถืออาวุโสของ
บ.สแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ส (เอสแอนด์พี) กล่าวถึงสถานการณ์ความน่าเชื่อถือด้านการลงทุนของไทย หลังจากเกิดเหตุระเบิดขึ้นหลายจุดในกรุงเทพฯ
ว่า ไทยจำเป็นต้องฟื้นฟูความเชื่อมั่นให้กลับคืนมาให้ได้อย่างรวดเร็ว ด้วยการดำเนินความพยายามในหลาย ๆ เรื่องให้เด็ดขาดลงไปก่อนที่เรื่อง
ดังกล่าวจะถูกนำไปเชื่อมโยงกับความไร้เสถียรภาพทางการเมือง จนกลายเป็นการบั่นทอนความเชื่อมั่นของการลงทุนในประเทศไปในที่สุด
(มติชน, ผู้จัดการรายวัน, โลกวันนี้)
4. สธท. ให้สมาคมภายใต้สังกัดรวบรวมผลกระทบจากมาตรการสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินบาทของ ธปท. ประธานสภาธุรกิจ
ตลาดทุนไทย (สธท.) แถลงหลังการประชุมว่า ที่ประชุม สธท.วานนี้ (8 ม.ค.50) มีข้อสรุปให้สมาคมที่อยู่ภายใต้ สธท. ซึ่งประกอบด้วยสมาคม
โบรกเกอร์ สมาคมบริษัทจดทะเบียน (บจ.) สมาคมบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) สมาคมนักวิเคราะห์และสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย
กลับไปสำรวจผลกระทบที่เกิดขึ้นจากมาตรการสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อที่จะนำข้อมูลผลกระทบ
เหล่านี้เสนอต่อ ธปท. และขอผ่อนผันการใช้มาตรการดังกล่าว ทั้งนี้ สธท.ให้เวลาสมาคมต่าง ๆ ในการรวบรวมผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น 2 สัปดาห์
(กรุงเทพธุรกิจ, สยามรัฐ, โลกวันนี้, โพสต์ทูเดย์)
5. หอการค้าต่างประเทศขอให้รัฐบาลเลื่อนเวลาการพิจารณาแก้ไข พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจต่างด้าวออกไปอีก 6 เดือน ประธานหอ
การค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า หอการค้าต่างประเทศในประเทศไทย ซึ่งมีสมาชิกประมาณ 10,000 บริษัท ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไข พ.ร.บ.
การประกอบการต่างด้าว โดยเฉพาะในประเด็นเพิ่มหลักเกณฑ์สิทธิการออกเสียงเกินร้อยละ 49 เพิ่มจากหลักเกณฑ์ลงทุนหรือถือหุ้นเกินร้อยละ 49
ถือว่าเป็นต่างด้าว โดยขอให้รัฐบาลไม่รับการพิจารณา พ.ร.บ.ต่างด้าวในการประชุม ครม.วันที่ 9 ม.ค.นี้ และขอให้เลื่อนเวลาการพิจารณา
แก้ไข พ.ร.บ.ต่างด้าวออกไปก่อนเป็นเวลา 6 เดือน รวมถึงเปิดโอกาสให้หอการค้าต่างประเทศ และนักลงทุนจากต่างประเทศเข้าร่วมการ
พิจารณา (มติชน)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ผู้ค้าปลีกของอังกฤษมียอดขายเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 2.5 ในเดือน ธ.ค.49 เมื่อเทียบต่อปี รายงานจากลอนดอน เมื่อ 9 ม.ค.50
สมาคมค้าปลีกของอังกฤษหรือ BRC รายงานผลสำรวจยอดค้าปลีกของสมาชิกในช่วงระหว่างวันที่ 26 พ.ย.ถึง 30 ธ.ค.49 ว่าผู้ค้าปลีกมียอด
ขายเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยร้อยละ 2.5 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 48 เทียบกับที่เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.5 ต่อปีในเดือน พ.ย.49 โดยเพิ่มขึ้น
เฉลี่ยร้อยละ 1.9 ต่อปีในช่วง 3 เดือนสิ้นสุดเดือน ธ.ค.49 ทั้งนี้ยอดค้าปลีกโดยรวมซึ่งรวมพื้นที่ค้าปลีกเปิดใหม่เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4 ในเดือน
ธ.ค.49 สูงกว่าร้อยละ 2.5 ในเดือน พ.ย.49 สอดคล้องกับผลสำรวจของสภาอุตสาหกรรมอังกฤษในช่วงก่อนเทศกาลคริสต์มาสที่แจ้งว่ายอดค้าขาย
ในช่วงต้นเดือน ธ.ค.49 เพิ่มขึ้นในอัตราสูงสุดในรอบ 2 ปี ทั้งนี้ห้างสรรพสินค้าและร้านขายสินค้าฟุ่มเฟือยรายงานว่ามียอดขายเพิ่มขึ้น ในขณะที่
ร้านขนาดกลางและร้านที่ขายสินค้าราคาถูก เช่น Next และ Woolworths กลับมียอดขายลดลงเมื่อเทียบกับปี 48 (รอยเตอร์)
2. รมว.คลังของญี่ปุ่นคาดว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง รายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศ สรอ. เมื่อวันที่
8 ม.ค.50 Koji Omi รมว.คลังของญี่ปุ่น คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของญี่ปุ่นจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งทันเวลาสำหรับการเลือกตั้งภายในปีนี้ และ
การบริโภคภายในประเทศที่ซบเซาก็น่าจะฟื้นตัวขึ้นด้วยเช่นกัน แม้ว่ารัฐบาลจะยังมีความกังวลอยู่บ้างว่า ธ.กลางญี่ปุ่นอาจจะพิจารณาปรับขึ้น
อัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือนนี้ ส่วนด้านนโยบายการเงินนั้นคาดว่า ธ.กลางญี่ปุ่นจะยังคงนโยบายสนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัว แต่ ก.คลังจะ
ไม่เข้าไปแทรกแซงการตัดสินใจเกี่ยวกับการขึ้นดอกเบี้ยของ ธ.กลางญี่ปุ่น ในขณะที่ตลาดการเงินคาดการณ์ว่า ธ.กลางญี่ปุ่นจะปรับขึ้นอัตรา
ดอกเบี้ยนโยบายเป็นร้อยละ 0.50 จากร้อยละ 0.25 ในการประชุมวันที่ 17-18 ม.ค.นี้ (รอยเตอร์)
3. คาดว่าในปี 50 ดัชนีราคาผู้บริโภคของจีนจะสูงขึ้น รายงานจากปักกิ่ง เมื่อวันที่ 8 ม.ค. 50 นาย Xu Lianzhong กรรมาธิการ
สำนักงานเพื่อการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ (National Development and Reform Commission - NDRC) ของจีน คาดว่าในปี 50
ดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index — CPI) ซึ่งแสดงภาวะเงินเฟ้อของจีนจะเร่งตัวขึ้นในปีนี้ โดยจะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 2.0
เนื่องจากราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้น ส่วนหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากสำนักงานสถิติแห่งชาติคาดว่าทั้งปี 49 CPI จะอยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ
1.3 — 1.4 ชะลอลงจากร้อยละ 1.9 ในเดือน พ.ย. ขณะที่นาย Qi Jingmei นักวิจัยจากศูนย์กลางข้อมูลข่าวสารของรัฐ สังกัด NDRC ซึ่ง
เป็นหน่วยงานหลักในการวางแผนเศรษฐกิจของจีน คาดการณ์สูงกว่านาย Xu Lianzhong โดยคาดว่า CPI ในปี 50 จะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ
2.5 ส่วนหนึ่งเนื่องจากราคาสินค้าทางการเกษตรในประเทศเพิ่มขึ้น ทั้งนี้นักเศรษฐศาสตร์ทั้ง 2 มีความเห็นที่แตกต่างกันซึ่งนาย Xu Lianzhong
เห็นว่า CPI จะชะลอลงเนื่องจากการลงทุนที่ลดลงจะส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัว ส่วนนาย Qi Jingmei เห็นว่าเศรษฐกิจยังคงขยายตัวอย่าง
แข็งแกร่งดังนั้นจึงคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะเร่งตัวขึ้น (รอยเตอร์)
4. คาดว่า ธ.กลางเกาหลีใต้จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิมต่อไป รายงานจากโซลเมื่อ 8 ม.ค.50
The Korea Securities Dealers Association เปิดเผยผลการสำรวจซึ่งพบว่า ร้อยละ 93.7 ของผู้ถูกสำรวจมีความเห็นว่า
ธ.กลางเกาหลีใต้จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับร้อยละ 4.50 ในวันพฤหัสบดีนี้ ขณะที่ผู้ถูกสำรวจร้อยละ 6.3 เห็นว่า ธ.กลางจะปรับเพิ่ม
อัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยเป็นการสำรวจความเห็นจากกลุ่มตัวอย่าง 143 คนจาก 123 สถาบันการเงิน ซึ่งในส่วนนี้เป็นสถาบันการเงินต่าง
ประเทศ 22 แห่ง ทั้งนี้ ธ.กลางเกาหลีใต้ได้มีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายมา 5 ครั้งนับตั้งแต่เดือน ต.ค.48 เพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อ
อย่างไรก็ตาม หลังการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งสุดท้ายเมื่อเดือน ส.ค.49 ธ.กลางเกาหลีใต้ได้มีการทบทวนแนวทางการดำเนิน
นโยบายการเงินตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง และได้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมนับตั้งแต่เดือน ก.ย., ต.ค., พ.ย. และ ธ.ค.49
(รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 9 ม.ค. 50 8 ม.ค. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 35.963 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 35.7550/36.1206 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 5.12125 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 633.82/14.61 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,400/10,500 10,350/10,450 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 51.27 52.02 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 25.99*/22.94** 26.49/22.94** 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเมื่อ 9 ม.ค.50 ** ปรับเมื่อ 6 ม.ค. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท.ยืนยันยังไม่ทบทวนมาตรการกันสำรองเงินตราต่างประเทศร้อยละ 30 ในขณะนี้ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
กล่าวถึงกรณีที่มีการเรียกร้องให้ ธปท.ยกเลิกมาตรการกันสำรองเงินตราต่างประเทศที่นำมาแลกเป็นเงินบาทร้อยละ 30 ว่า มาตรการดังกล่าวถือ
เป็นนโยบายหลักในการดูแลค่าเงินบาท ซึ่งยืนยันว่ายังไม่ใช่เวลาที่จะมีการทบทวนหรือยกเลิกแน่นอน และในระยะ 3 เดือน หรือ 6 เดือนข้างหน้า
ก็ยังไม่ยกเลิกมาตรการดังกล่าว ทั้งนี้ หลังจากบังคับใช้มาตรการส่งผลให้เงินบาทค่อนข้างนิ่ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ามาตรการได้ผล จึงต้องคง
มาตรการไว้ก่อน ส่วนภาวะตลาดทุนที่ไม่ดีในช่วงนี้ไม่ได้เกิดจากมาตรการของ ธปท. เนื่องจากนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้รับการผ่อนผันไม่ต้อง
กันสำรองอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ธปท.จะปรับแก้ไขในส่วนที่ทำให้เกิดความไม่สะดวกหรือเกิดผลกระทบ ซึ่ง ธปท.ได้มีการวิเคราะห์และติดตาม
ผลจากการใช้มาตรการดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากมาตรการที่ออกก่อนวันที่ 18 ธ.ค.49 ที่ไม่จำเป็นก็อาจจะมีการยกเลิก เช่น มาตรการที่
ออกในเดือน พ.ย.49 แต่หากจำเป็น ธปท.ก็ต้องคงมาตรการต่อไป (มติชน, แนวหน้า, ข่าวสด, โพสต์ทูเดย์, ไทยรัฐ, เดลินิวส์, บ้านเมือง)
2. สศค. ยืนยันเศรษฐกิจไทยปี 50 จะยังขยายตัวได้ในระดับร้อยละ 4-5 ต่อปีตามที่ประมาณการไว้ ขณะที่เจพี มอร์แกนปรับลด
อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยปี 50 ลงมาเหลือร้อยละ 3.5-4 รองผอ.สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษก ก.คลัง
เปิดเผยว่า ได้รับรายงานยืนยันจากกลุ่มการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาคว่า เศรษฐกิจไทยในปี 50 จะยังคงขยายตัวได้ในระดับร้อยละ 4-5 ต่อปี
ตามที่ได้ประมาณการไว้ แม้ว่าจะมีปัจจัยเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากกรณีเกิดเหตุระเบิดขึ้นหลายจุดในกรุงเทพฯ ในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมาก็ตาม โดย
สศค.วิเคราะห์ว่า เศรษฐกิจในปีนี้จะอาศัยการใช้จ่ายภาครัฐเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อน ทั้งการเบิกจ่ายของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และ
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะช่วยอัดฉีดเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจ และจะไปช่วยกระตุ้นให้เกิดการ
บริโภคและการลงทุนภาคเอกชนตามไปด้วย ขณะที่ประธานกรรมการอำนวยการ บล.เจพี มอร์แกน (ประเทศไทย) และประธานชมรมบริษั
ทหลักทรัพย์ต่างประเทศ กล่าวว่า บริษัทได้ปรับลดตัวเลขอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยปี 50 ลงมาเหลือร้อยละ 3.5-4 จากเป้าหมาย
เดิมที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 4-4.5 และอยู่ระหว่างการทบทวนปรับเป้าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (ผู้จัดการรายวัน, โพสต์ทูเดย์)
3. เอสแอนด์พีแนะนำไทยต้องใช้ความพยายามเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นขึ้นมาอีกครั้ง นักวิเคราะห์คามน่าเชื่อถืออาวุโสของ
บ.สแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ส (เอสแอนด์พี) กล่าวถึงสถานการณ์ความน่าเชื่อถือด้านการลงทุนของไทย หลังจากเกิดเหตุระเบิดขึ้นหลายจุดในกรุงเทพฯ
ว่า ไทยจำเป็นต้องฟื้นฟูความเชื่อมั่นให้กลับคืนมาให้ได้อย่างรวดเร็ว ด้วยการดำเนินความพยายามในหลาย ๆ เรื่องให้เด็ดขาดลงไปก่อนที่เรื่อง
ดังกล่าวจะถูกนำไปเชื่อมโยงกับความไร้เสถียรภาพทางการเมือง จนกลายเป็นการบั่นทอนความเชื่อมั่นของการลงทุนในประเทศไปในที่สุด
(มติชน, ผู้จัดการรายวัน, โลกวันนี้)
4. สธท. ให้สมาคมภายใต้สังกัดรวบรวมผลกระทบจากมาตรการสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินบาทของ ธปท. ประธานสภาธุรกิจ
ตลาดทุนไทย (สธท.) แถลงหลังการประชุมว่า ที่ประชุม สธท.วานนี้ (8 ม.ค.50) มีข้อสรุปให้สมาคมที่อยู่ภายใต้ สธท. ซึ่งประกอบด้วยสมาคม
โบรกเกอร์ สมาคมบริษัทจดทะเบียน (บจ.) สมาคมบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) สมาคมนักวิเคราะห์และสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย
กลับไปสำรวจผลกระทบที่เกิดขึ้นจากมาตรการสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อที่จะนำข้อมูลผลกระทบ
เหล่านี้เสนอต่อ ธปท. และขอผ่อนผันการใช้มาตรการดังกล่าว ทั้งนี้ สธท.ให้เวลาสมาคมต่าง ๆ ในการรวบรวมผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น 2 สัปดาห์
(กรุงเทพธุรกิจ, สยามรัฐ, โลกวันนี้, โพสต์ทูเดย์)
5. หอการค้าต่างประเทศขอให้รัฐบาลเลื่อนเวลาการพิจารณาแก้ไข พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจต่างด้าวออกไปอีก 6 เดือน ประธานหอ
การค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า หอการค้าต่างประเทศในประเทศไทย ซึ่งมีสมาชิกประมาณ 10,000 บริษัท ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไข พ.ร.บ.
การประกอบการต่างด้าว โดยเฉพาะในประเด็นเพิ่มหลักเกณฑ์สิทธิการออกเสียงเกินร้อยละ 49 เพิ่มจากหลักเกณฑ์ลงทุนหรือถือหุ้นเกินร้อยละ 49
ถือว่าเป็นต่างด้าว โดยขอให้รัฐบาลไม่รับการพิจารณา พ.ร.บ.ต่างด้าวในการประชุม ครม.วันที่ 9 ม.ค.นี้ และขอให้เลื่อนเวลาการพิจารณา
แก้ไข พ.ร.บ.ต่างด้าวออกไปก่อนเป็นเวลา 6 เดือน รวมถึงเปิดโอกาสให้หอการค้าต่างประเทศ และนักลงทุนจากต่างประเทศเข้าร่วมการ
พิจารณา (มติชน)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ผู้ค้าปลีกของอังกฤษมียอดขายเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 2.5 ในเดือน ธ.ค.49 เมื่อเทียบต่อปี รายงานจากลอนดอน เมื่อ 9 ม.ค.50
สมาคมค้าปลีกของอังกฤษหรือ BRC รายงานผลสำรวจยอดค้าปลีกของสมาชิกในช่วงระหว่างวันที่ 26 พ.ย.ถึง 30 ธ.ค.49 ว่าผู้ค้าปลีกมียอด
ขายเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยร้อยละ 2.5 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 48 เทียบกับที่เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.5 ต่อปีในเดือน พ.ย.49 โดยเพิ่มขึ้น
เฉลี่ยร้อยละ 1.9 ต่อปีในช่วง 3 เดือนสิ้นสุดเดือน ธ.ค.49 ทั้งนี้ยอดค้าปลีกโดยรวมซึ่งรวมพื้นที่ค้าปลีกเปิดใหม่เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4 ในเดือน
ธ.ค.49 สูงกว่าร้อยละ 2.5 ในเดือน พ.ย.49 สอดคล้องกับผลสำรวจของสภาอุตสาหกรรมอังกฤษในช่วงก่อนเทศกาลคริสต์มาสที่แจ้งว่ายอดค้าขาย
ในช่วงต้นเดือน ธ.ค.49 เพิ่มขึ้นในอัตราสูงสุดในรอบ 2 ปี ทั้งนี้ห้างสรรพสินค้าและร้านขายสินค้าฟุ่มเฟือยรายงานว่ามียอดขายเพิ่มขึ้น ในขณะที่
ร้านขนาดกลางและร้านที่ขายสินค้าราคาถูก เช่น Next และ Woolworths กลับมียอดขายลดลงเมื่อเทียบกับปี 48 (รอยเตอร์)
2. รมว.คลังของญี่ปุ่นคาดว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง รายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศ สรอ. เมื่อวันที่
8 ม.ค.50 Koji Omi รมว.คลังของญี่ปุ่น คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของญี่ปุ่นจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งทันเวลาสำหรับการเลือกตั้งภายในปีนี้ และ
การบริโภคภายในประเทศที่ซบเซาก็น่าจะฟื้นตัวขึ้นด้วยเช่นกัน แม้ว่ารัฐบาลจะยังมีความกังวลอยู่บ้างว่า ธ.กลางญี่ปุ่นอาจจะพิจารณาปรับขึ้น
อัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือนนี้ ส่วนด้านนโยบายการเงินนั้นคาดว่า ธ.กลางญี่ปุ่นจะยังคงนโยบายสนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัว แต่ ก.คลังจะ
ไม่เข้าไปแทรกแซงการตัดสินใจเกี่ยวกับการขึ้นดอกเบี้ยของ ธ.กลางญี่ปุ่น ในขณะที่ตลาดการเงินคาดการณ์ว่า ธ.กลางญี่ปุ่นจะปรับขึ้นอัตรา
ดอกเบี้ยนโยบายเป็นร้อยละ 0.50 จากร้อยละ 0.25 ในการประชุมวันที่ 17-18 ม.ค.นี้ (รอยเตอร์)
3. คาดว่าในปี 50 ดัชนีราคาผู้บริโภคของจีนจะสูงขึ้น รายงานจากปักกิ่ง เมื่อวันที่ 8 ม.ค. 50 นาย Xu Lianzhong กรรมาธิการ
สำนักงานเพื่อการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ (National Development and Reform Commission - NDRC) ของจีน คาดว่าในปี 50
ดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index — CPI) ซึ่งแสดงภาวะเงินเฟ้อของจีนจะเร่งตัวขึ้นในปีนี้ โดยจะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 2.0
เนื่องจากราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้น ส่วนหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากสำนักงานสถิติแห่งชาติคาดว่าทั้งปี 49 CPI จะอยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ
1.3 — 1.4 ชะลอลงจากร้อยละ 1.9 ในเดือน พ.ย. ขณะที่นาย Qi Jingmei นักวิจัยจากศูนย์กลางข้อมูลข่าวสารของรัฐ สังกัด NDRC ซึ่ง
เป็นหน่วยงานหลักในการวางแผนเศรษฐกิจของจีน คาดการณ์สูงกว่านาย Xu Lianzhong โดยคาดว่า CPI ในปี 50 จะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ
2.5 ส่วนหนึ่งเนื่องจากราคาสินค้าทางการเกษตรในประเทศเพิ่มขึ้น ทั้งนี้นักเศรษฐศาสตร์ทั้ง 2 มีความเห็นที่แตกต่างกันซึ่งนาย Xu Lianzhong
เห็นว่า CPI จะชะลอลงเนื่องจากการลงทุนที่ลดลงจะส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัว ส่วนนาย Qi Jingmei เห็นว่าเศรษฐกิจยังคงขยายตัวอย่าง
แข็งแกร่งดังนั้นจึงคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะเร่งตัวขึ้น (รอยเตอร์)
4. คาดว่า ธ.กลางเกาหลีใต้จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิมต่อไป รายงานจากโซลเมื่อ 8 ม.ค.50
The Korea Securities Dealers Association เปิดเผยผลการสำรวจซึ่งพบว่า ร้อยละ 93.7 ของผู้ถูกสำรวจมีความเห็นว่า
ธ.กลางเกาหลีใต้จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับร้อยละ 4.50 ในวันพฤหัสบดีนี้ ขณะที่ผู้ถูกสำรวจร้อยละ 6.3 เห็นว่า ธ.กลางจะปรับเพิ่ม
อัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยเป็นการสำรวจความเห็นจากกลุ่มตัวอย่าง 143 คนจาก 123 สถาบันการเงิน ซึ่งในส่วนนี้เป็นสถาบันการเงินต่าง
ประเทศ 22 แห่ง ทั้งนี้ ธ.กลางเกาหลีใต้ได้มีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายมา 5 ครั้งนับตั้งแต่เดือน ต.ค.48 เพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อ
อย่างไรก็ตาม หลังการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งสุดท้ายเมื่อเดือน ส.ค.49 ธ.กลางเกาหลีใต้ได้มีการทบทวนแนวทางการดำเนิน
นโยบายการเงินตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง และได้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมนับตั้งแต่เดือน ก.ย., ต.ค., พ.ย. และ ธ.ค.49
(รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 9 ม.ค. 50 8 ม.ค. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 35.963 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 35.7550/36.1206 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 5.12125 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 633.82/14.61 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,400/10,500 10,350/10,450 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 51.27 52.02 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 25.99*/22.94** 26.49/22.94** 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเมื่อ 9 ม.ค.50 ** ปรับเมื่อ 6 ม.ค. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--