กรุงเทพ--9 มี.ค.--กระทรวงการต่างประเทศ
เมื่อวานนี้ (8 มีนาคม 2548) นายนิสสัย เวชชาชีวะ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ อดีตเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงการต่างประเทศให้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนพิเศษ (Special Envoy) เดินทางไปพบหารือกับนาย Ekmeleddin Ihsanoglu เลขาธิการองค์การการประชุมอิสลาม (Organization of Islamic Conference — OIC) ที่เมืองเจดดาห์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2548 ได้แถลงข่าวที่กระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับผลการหารือกับเลขาธิการ OIC สรุปได้ดังนี้
1. การเดินทางไปพบเลขาธิการ OIC ครั้งนี้เป็นความประสงค์ของฝ่ายไทย เนื่องจาก OIC ได้ออกเอกสารข่าว (Press Release) เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์2548 แสดงท่าทีห่วงกังวลต่อสถานการณ์และการแก้ไขปัญหาในภาคใต้ ซึ่งเอกสารข่าวดังกล่าวมีความคลาดเคลื่อนไปจากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจึงได้มอบหมายให้คณะผู้แทนพิเศษเดินทางไปพบกับเลขาธิการ OIC เพื่อชี้แจงให้เกิดความกระจ่างในประเด็นหลักๆ ที่มีการกล่าวถึงในเอกสารข่าวดังกล่าว โดยคณะผู้แทนพิเศษประกอบด้วยนายนิสสัย เวชชาชีวะ
ดร.จรัล มะลูลีม นักวิชาการด้านศาสนาอิสลาม และนายมหดี วิมานะ อดีตเอกอัครราชทูต ณ กรุงเตหะราน
2. คณะผู้แทนพิเศษได้ชี้แจงประเด็นหลักแก่เลขาธิการ OIC 3 ข้อ ดังนี้
2.1 ในประเด็นที่เอกสารข่าวกล่าวถึงการกระทำรุนแรงที่นองเลือด (Bloody Act of Violence) ใน 3 จังหวัดภาคใต้ นั้น หัวหน้าคณะผู้แทนพิเศษได้ชี้แจงฝ่าย OIC ว่า เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเกิดจากกลุ่มผู้ใช้ความรุนแรง (Mililant Groups) ซึ่งเป็นผู้ก่อความไม่สงบ ไม่ได้เกิดจากการกระทำของรัฐบาล แต่รัฐบาลไทยจำเป็นต้องตอบโต้เพื่อรักษาชีวิตของผู้บริสุทธิ์ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด
2.2 การสอบสวนกรณีเหตุการณ์ที่กรือเซะและตากใบ หัวหน้าคณะผู้แทนพิเศษได้กล่าวว่า ได้มอบหมายให้ ดร.จรัล มะลูลีม ผู้แทนพิเศษ ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการในคณะกรรมการอิสระสอบสวนข้อเท็จจริงเหตุการณ์ที่กรือเซะและตากใบเป็นผู้ชี้แจง ซึ่ง ดร.จรัล มะลูลีม ได้ชี้แจงแก่เลขาธิการ OIC อย่างละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินการสอบสวนของคณะกรรมการอิสระ อย่างไรก็ดี ฝ่าย OIC ได้ขอทราบความคืบหน้าผลการวินิจฉัยของคณะกรรมการฯ โดยเร็ว ซึ่งดร.จรัลฯ ได้ชี้แจงว่า เรื่องอยู่ระหว่างการดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมาย จึงต้องใช้เวลาในการดำเนินการ แต่รัฐบาลไทยก็มีความห่วงใยในเรื่องนี้และได้พยายามเร่งรัดอยู่แล้ว
2.3 ในประเด็นเกี่ยวกับการพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ผู้แทนพิเศษได้ชี้แจงแก่เลขาธิการ OIC ว่า รัฐบาลชุดที่ผ่านมาได้ดำเนินการเพื่อการพัฒนาอย่างเต็มที่ อาทิ
- ด้านการศึกษา รัฐบาลได้ออกกฎหมายจัดตั้งมหาวิทยาลัย นราธิวาสราชนครินทร์ โดยมีวิทยาลัยอิสลามศึกษาตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัยนี้ด้วย โดยได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยอัลอาซาในประเทศอียิปต์ในการช่วยจัดตั้งวิทยาลัยดังกล่าวตลอดจนช่วยร่างหลักสูตรการศึกษา ซึ่งแสดงถึงความร่วมมือกันระหว่างประเทศไทยกับประเทศที่นับถือศาสนาอิสลาม
- ด้านเศรษฐกิจและสังคม รัฐบาลไทยและรัฐบาลมาเลเซียได้มีความตกลงกันจัดตั้งคณะกรรมการร่วมเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจร่วมกัน (Joint Development Strategy — JDS) ขึ้นมาเพื่อให้ความช่วยเหลือทางด้านเศรษฐกิจและสังคมแก่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีชายแดนติดกับมาเลเซียและรัฐต่างๆ ทางเหนือของมาเลเซียที่มีชายแดนติดกับไทย ดังจะเห็นได้จากการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีกับนายบาดาวี นายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้ร่วมกันวางศิลาฤกษ์ในการสร้างสะพานข้ามชายแดนที่แม่น้ำโกลก เมื่อเดือนตุลาคม 2547 ซึ่งแสดงให้ เห็นว่าไทยไม่ได้นิ่งนอนใจในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม
3. หัวหน้าคณะผู้แทนพิเศษได้กล่าวว่า ในระหว่างการหารือ เลขาธิการ OIC ได้กล่าวย้ำแก่ฝ่ายไทยว่า OIC ไม่เห็นด้วยและไม่สนับสนุนแนวคิดแบ่งแยกดินแดน และ แบ่งแยกทางศาสนา รวมทั้งไม่เห็นด้วยกับการฆ่าหรือทำร้ายบุคคลผู้บริสุทธิ์ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด และ OIC ก็มีความห่วงใยเช่นเดียวกัน
4. หัวหน้าคณะผู้แทนพิเศษ ได้ตอบคำถามของผู้สื่อข่าวใน 2 ประเด็นดังนี้
4.1 การเชิญเลขาธิการ OIC มาเยือนไทย หัวหน้าคณะผู้แทนพิเศษ กล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้แจ้งความประสงค์ขอเชิญเลขาธิการ OIC มาเยือนไทยเพื่อทำความคุ้นเคยกับประเทศไทย ซึ่งมีฐานะเป็นประเทศผู้สังเกตุการณ์ของ OIC เนื่องจากเลขาธิการ OIC เพิ่งรับตำแหน่งใหม่ ในการนี้ เลขาธิการ OIC ยินดีรับเชิญ แต่ขอส่งคณะเจ้าหน้าที่เดินทางมาล่วงหน้าเพื่อเตรียมการเยือน โดยคณะล่วงหน้ามีกำหนดเดินทางมาไทยประมาณเดือนเมษายน 2548
4.2 การส่งเจ้าหน้าที่มาหาข้อมูลในประเทศไทย หัวหน้าคณะผู้แทนพิเศษได้กล่าวว่า OIC ได้แจ้งให้ทราบว่าจะไม่แทรกแซงเรื่องที่เป็นกิจการภายในของไทย ซึ่งในเรื่องเหตุการณ์ใน 3 จังหวัดภาคใต้ถือเป็นเรื่องภายในของไทย OIC จึงคงจะไม่ส่งเจ้าหน้าที่มาดำเนินการในลักษณะที่เป็นการแทรกแซงกิจการภายในของไทยดังกล่าว
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--
-พห-
เมื่อวานนี้ (8 มีนาคม 2548) นายนิสสัย เวชชาชีวะ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ อดีตเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงการต่างประเทศให้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนพิเศษ (Special Envoy) เดินทางไปพบหารือกับนาย Ekmeleddin Ihsanoglu เลขาธิการองค์การการประชุมอิสลาม (Organization of Islamic Conference — OIC) ที่เมืองเจดดาห์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2548 ได้แถลงข่าวที่กระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับผลการหารือกับเลขาธิการ OIC สรุปได้ดังนี้
1. การเดินทางไปพบเลขาธิการ OIC ครั้งนี้เป็นความประสงค์ของฝ่ายไทย เนื่องจาก OIC ได้ออกเอกสารข่าว (Press Release) เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์2548 แสดงท่าทีห่วงกังวลต่อสถานการณ์และการแก้ไขปัญหาในภาคใต้ ซึ่งเอกสารข่าวดังกล่าวมีความคลาดเคลื่อนไปจากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจึงได้มอบหมายให้คณะผู้แทนพิเศษเดินทางไปพบกับเลขาธิการ OIC เพื่อชี้แจงให้เกิดความกระจ่างในประเด็นหลักๆ ที่มีการกล่าวถึงในเอกสารข่าวดังกล่าว โดยคณะผู้แทนพิเศษประกอบด้วยนายนิสสัย เวชชาชีวะ
ดร.จรัล มะลูลีม นักวิชาการด้านศาสนาอิสลาม และนายมหดี วิมานะ อดีตเอกอัครราชทูต ณ กรุงเตหะราน
2. คณะผู้แทนพิเศษได้ชี้แจงประเด็นหลักแก่เลขาธิการ OIC 3 ข้อ ดังนี้
2.1 ในประเด็นที่เอกสารข่าวกล่าวถึงการกระทำรุนแรงที่นองเลือด (Bloody Act of Violence) ใน 3 จังหวัดภาคใต้ นั้น หัวหน้าคณะผู้แทนพิเศษได้ชี้แจงฝ่าย OIC ว่า เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเกิดจากกลุ่มผู้ใช้ความรุนแรง (Mililant Groups) ซึ่งเป็นผู้ก่อความไม่สงบ ไม่ได้เกิดจากการกระทำของรัฐบาล แต่รัฐบาลไทยจำเป็นต้องตอบโต้เพื่อรักษาชีวิตของผู้บริสุทธิ์ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด
2.2 การสอบสวนกรณีเหตุการณ์ที่กรือเซะและตากใบ หัวหน้าคณะผู้แทนพิเศษได้กล่าวว่า ได้มอบหมายให้ ดร.จรัล มะลูลีม ผู้แทนพิเศษ ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการในคณะกรรมการอิสระสอบสวนข้อเท็จจริงเหตุการณ์ที่กรือเซะและตากใบเป็นผู้ชี้แจง ซึ่ง ดร.จรัล มะลูลีม ได้ชี้แจงแก่เลขาธิการ OIC อย่างละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินการสอบสวนของคณะกรรมการอิสระ อย่างไรก็ดี ฝ่าย OIC ได้ขอทราบความคืบหน้าผลการวินิจฉัยของคณะกรรมการฯ โดยเร็ว ซึ่งดร.จรัลฯ ได้ชี้แจงว่า เรื่องอยู่ระหว่างการดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมาย จึงต้องใช้เวลาในการดำเนินการ แต่รัฐบาลไทยก็มีความห่วงใยในเรื่องนี้และได้พยายามเร่งรัดอยู่แล้ว
2.3 ในประเด็นเกี่ยวกับการพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ผู้แทนพิเศษได้ชี้แจงแก่เลขาธิการ OIC ว่า รัฐบาลชุดที่ผ่านมาได้ดำเนินการเพื่อการพัฒนาอย่างเต็มที่ อาทิ
- ด้านการศึกษา รัฐบาลได้ออกกฎหมายจัดตั้งมหาวิทยาลัย นราธิวาสราชนครินทร์ โดยมีวิทยาลัยอิสลามศึกษาตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัยนี้ด้วย โดยได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยอัลอาซาในประเทศอียิปต์ในการช่วยจัดตั้งวิทยาลัยดังกล่าวตลอดจนช่วยร่างหลักสูตรการศึกษา ซึ่งแสดงถึงความร่วมมือกันระหว่างประเทศไทยกับประเทศที่นับถือศาสนาอิสลาม
- ด้านเศรษฐกิจและสังคม รัฐบาลไทยและรัฐบาลมาเลเซียได้มีความตกลงกันจัดตั้งคณะกรรมการร่วมเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจร่วมกัน (Joint Development Strategy — JDS) ขึ้นมาเพื่อให้ความช่วยเหลือทางด้านเศรษฐกิจและสังคมแก่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีชายแดนติดกับมาเลเซียและรัฐต่างๆ ทางเหนือของมาเลเซียที่มีชายแดนติดกับไทย ดังจะเห็นได้จากการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีกับนายบาดาวี นายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้ร่วมกันวางศิลาฤกษ์ในการสร้างสะพานข้ามชายแดนที่แม่น้ำโกลก เมื่อเดือนตุลาคม 2547 ซึ่งแสดงให้ เห็นว่าไทยไม่ได้นิ่งนอนใจในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม
3. หัวหน้าคณะผู้แทนพิเศษได้กล่าวว่า ในระหว่างการหารือ เลขาธิการ OIC ได้กล่าวย้ำแก่ฝ่ายไทยว่า OIC ไม่เห็นด้วยและไม่สนับสนุนแนวคิดแบ่งแยกดินแดน และ แบ่งแยกทางศาสนา รวมทั้งไม่เห็นด้วยกับการฆ่าหรือทำร้ายบุคคลผู้บริสุทธิ์ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด และ OIC ก็มีความห่วงใยเช่นเดียวกัน
4. หัวหน้าคณะผู้แทนพิเศษ ได้ตอบคำถามของผู้สื่อข่าวใน 2 ประเด็นดังนี้
4.1 การเชิญเลขาธิการ OIC มาเยือนไทย หัวหน้าคณะผู้แทนพิเศษ กล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้แจ้งความประสงค์ขอเชิญเลขาธิการ OIC มาเยือนไทยเพื่อทำความคุ้นเคยกับประเทศไทย ซึ่งมีฐานะเป็นประเทศผู้สังเกตุการณ์ของ OIC เนื่องจากเลขาธิการ OIC เพิ่งรับตำแหน่งใหม่ ในการนี้ เลขาธิการ OIC ยินดีรับเชิญ แต่ขอส่งคณะเจ้าหน้าที่เดินทางมาล่วงหน้าเพื่อเตรียมการเยือน โดยคณะล่วงหน้ามีกำหนดเดินทางมาไทยประมาณเดือนเมษายน 2548
4.2 การส่งเจ้าหน้าที่มาหาข้อมูลในประเทศไทย หัวหน้าคณะผู้แทนพิเศษได้กล่าวว่า OIC ได้แจ้งให้ทราบว่าจะไม่แทรกแซงเรื่องที่เป็นกิจการภายในของไทย ซึ่งในเรื่องเหตุการณ์ใน 3 จังหวัดภาคใต้ถือเป็นเรื่องภายในของไทย OIC จึงคงจะไม่ส่งเจ้าหน้าที่มาดำเนินการในลักษณะที่เป็นการแทรกแซงกิจการภายในของไทยดังกล่าว
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--
-พห-