ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมในเดือนเมษายน 2550 ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อน สะท้อนได้จากรายได้เกษตรกรจากการขายพืชผลหลักที่ขยายตัวสูงขึ้นจากผลผลิตเป็นสำคัญ เช่นเดียวกับผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่เร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อน ขณะที่เครื่องชี้ด้านอุปสงค์ ทั้งดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน และดัชนีการลงทุนภาคเอกชน (เบื้องต้น) ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อน สอดคล้องกับการนำเข้าที่เร่งตัวขึ้น ทั้งนี้ การส่งออกยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่อง และการท่องเที่ยวโดยรวมยังอยู่ในเกณฑ์ดีแม้เผชิญปัญหาหมอกควันในภาคเหนือตอนบน
สำหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี โดยฐานะเงินสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานลดลงต่อเนื่อง
รายละเอียดของภาวะเศรษฐกิจในเดือนเมษายน 2550 มีดังนี้
1. ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (เบื้องต้น) ขยายตัวจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 6.7 เร่งขึ้นจากเดือนก่อน ตามการผลิตในกลุ่มสินค้าที่ผลิตเพื่อการส่งออก ได้แก่ หมวดอิเล็กทรอนิกส์ที่ยังขยายตัวต่อเนื่อง และหมวดเครื่องหนังที่ขยายตัวเนื่องจากคำสั่งซื้อพิเศษ นอกจากนี้ หมวดยาสูบขยายตัวสูงเพราะฐานต่ำเนื่องจากปีก่อนมีการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิต ทำให้มีการผลิตต่ำและมีสต็อกไว้ในช่วงก่อนแล้ว อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่ผลิตทั้งเพื่อส่งออกและขายในประเทศยังคงชะลอตัว อาทิ หมวดยานยนต์ และหมวดผลิตภัณฑ์เหล็ก เป็นต้น สำหรับอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ร้อยละ 72.0 ปรับลดลงจากเดือนก่อนตามปัจจัยฤดูกาลที่เดือนนี้มีวันทำการน้อยเนื่องจากเทศกาลสงกรานต์ อย่างไรก็ตาม มีบางหมวดที่มีอัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีการปิดซ่อมบำรุงโรงงานใน เดือนก่อน ได้แก่ หมวดปิโตรเลียม และหมวดผลิตภัณฑ์เคมี เริ่มทยอยกลับมาดำเนินการ หากปรับฤดูกาลแล้วการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อน
2. ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ลดลงร้อยละ 0.4 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน เครื่องชี้ในหมวดสินค้าเพื่อการยังชีพปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งมูลค่าการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค ณ ราคาคงที่ และภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ รวมทั้งปริมาณการใช้ไฟฟ้าสำหรับที่อยู่อาศัยที่ขยายตัวสูงต่อเนื่องจากเดือนก่อน แต่เครื่องชี้ในหมวดสินค้าคงทน ได้แก่ ปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์ยังคงหดตัวต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ปริมาณการใช้น้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์ขยายตัวไม่มากนักเนื่องจากราคาขายปลีกน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นในเดือนนี้ สำหรับดัชนีการลงทุนภาคเอกชน (เบื้องต้น) หดตัวร้อยละ 2.4 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนตามเครื่องชี้ในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์โดยเฉพาะมูลค่าการนำเข้าสินค้าทุน ณ ราคาคงที่ ที่กลับมาขยายตัวในเดือนนี้ ขณะที่เครื่องชี้ในหมวดก่อสร้าง ได้แก่ ปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศหดตัวต่อเนื่องตามการชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์
3. ภาคการคลัง รัฐบาลมีรายได้จัดเก็บ 122.1 พันล้านบาท ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 4.0 จากรายได้ที่มิใช่ภาษีที่ลดลงเนื่องจากรัฐวิสาหกิจบางแห่งไม่สามารถนำส่งรายได้ทันในเดือนนี้ อย่างไรก็ตาม รายได้ภาษีขยายตัว โดยเฉพาะภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ขยายตัวร้อยละ 29.1 เนื่องจากวันสุดท้ายของการเสียภาษีเลื่อนมาเป็นวันที่ 2 เมษายน 2550 รวมทั้งภาษีฐานการบริโภคก็ขยายตัวตามภาษีมูลค่าเพิ่มจากอุปสงค์ในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้นบ้าง เช่นเดียวกับภาษีธุรกิจเฉพาะที่ขยายตัวตามการจัดเก็บภาษีของสถาบันการเงิน ขณะที่ภาษีสรรพสามิตหดตัวเล็กน้อยเนื่องจากมีการปรับลดอัตราภาษีโทรคมนาคมเป็นสำคัญ ดุลเงินสด รัฐบาลขาดดุล 20.3 พันล้านบาท และเงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนเมษายนลดลง 15.8 พันล้านบาท มาอยู่ที่ 55.0 พันล้านบาท
4. ภาคต่างประเทศ ดุลการค้าขาดดุล 97 ล้านดอลลาร์ สรอ. ซึ่งเป็นการขาดดุลครั้งแรกในรอบ 9 เดือน โดยเป็นผลจากการนำเข้าที่เร่งตัวขึ้นมาก โดยขยายตัวร้อยละ 11.2 คิดเป็นมูลค่า 10,725 ล้านดอลลาร์ สรอ. ซึ่งรวมการนำเข้าเครื่องบิน 2 ลำ มูลค่า 215 ล้านดอลลาร์ สรอ. ทั้งนี้ หากไม่รวมการนำเข้าเครื่องบิน มูลค่าการนำเข้าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.0 ตามการขยายตัวเกือบทุกหมวดสินค้า ยกเว้นหมวดเชื้อเพลิงและผลิตภัณฑ์น้ำมันที่ลดลงตามการนำเข้าน้ำมันดิบเนื่องจากการปิดซ่อมโรงกลั่น ด้านการส่งออก มีมูลค่า10,628 ล้านดอลลาร์สรอ. ขยายตัวร้อยละ 16.5 ชะลอลงบ้างจากเดือนก่อนตามการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีในการผลิตสูงที่ชะลอตัวและสินค้าอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานสูงที่ยังหดตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อน อย่างไรก็ดี การส่งออกในหมวดอื่นๆ ยังคงขยายตัวดี ดุลบริการ รายได้ และเงินโอน เกินดุล 141 ล้านดอลลาร์ สรอ. ตามการเพิ่มขึ้นของดุลการท่องเที่ยวเป็นสำคัญ ส่วนรายจ่ายผลประโยชน์จากการลงทุนลดลงจากปีก่อนเล็กน้อยตามการส่งกลับกำไรและเงินปันผลของภาคเอกชนที่ลดลง เมื่อรวมกับดุลการค้าที่ขาดดุล ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลเพียง 44 ล้านดอลลาร์ สรอ. และดุลการชำระเงิน ขาดดุล 193 ล้านดอลลาร์ สรอ. เงินสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนเมษายน 2550 อยู่ที่ระดับ 71.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ. โดยมียอดคงค้างการซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าสุทธิจำนวน 9.4 พันล้านดอลลาร์ สรอ.
5. อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนเมษายน 2550 อยู่ที่ร้อยละ 1.8 ชะลอลงจากร้อยละ 2.0 ในเดือนก่อนหน้า ตามราคาในหมวดอาหารสดที่ชะลอลง ส่วนใหญ่มาจากการชะลอตัวของราคาผักและผลไม้จากฐานที่สูงในปีก่อน ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 1.2 ต่ำลงจากเดือนก่อนหน้าเล็กน้อย ขณะที่ดัชนีราคาผู้ผลิตเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอลงจากเดือนก่อนตามราคาปิโตรเลียม และก๊าซธรรมชาติ เป็นสำคัญ
6. ภาวะการเงิน ในเดือนเมษายน 2550 เงินฝากของสถาบันรับฝากเงิน1/ ขยายตัวร้อยละ 6.0 จากระยะเดียวกันปีก่อน ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน จากการเพิ่มขึ้นของเงินฝากจากภาคธุรกิจเป็นสำคัญ สำหรับสินเชื่อภาคเอกชนของสถาบันรับฝากเงินขยายตัว ร้อยละ 2.9 จากระยะเดียวกันปีก่อน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อที่ให้แก่ภาคครัวเรือน
ณ สิ้นเดือนเมษายน 2550 ฐานเงินเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.3 จากระยะเดียวกันปีก่อน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของเงินสดในมือประชาชนในช่วงวันหยุดเทศกาล ขณะที่ปริมาณเงินตามความหมายกว้าง (Broad Money) ขยายตัวร้อยละ 5.0 จากระยะเดียวกันปีก่อน ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของเงินฝากที่สถาบันการเงิน
อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเงิน ในเดือนเมษายน 2550 อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันและอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารระยะ 1 วันปรับลดลงจากเดือนมีนาคม มาเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 4.17 และ 4.21 ต่อปี ตามลำดับ ตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายขาลง
สำหรับช่วงวันที่ 1-25 พฤษภาคม 2550 อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน และอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารระยะ 1 วันปรับลดลงมาเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 3.91 และ 3.95 ต่อปี ตามลำดับภายหลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.5 ต่อปี ในการประชุมเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2550
7. ค่าเงินบาทและ ดัชนีค่าเงินบาท (Nominal Effective Exchange Rate: NEER) ในเดือนเมษายน 2550 ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 34.87 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าขึ้นจากเดือนมีนาคม ส่วนหนึ่งจากการขายดอลลาร์ สรอ. ของผู้ส่งออก ประกอบกับนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนซื้อหุ้นเพิ่มทุนของธนาคารพาณิชย์ไทยและลงทุนในตลาดหลักทรัพย์
ดัชนีค่าเงินบาท (NEER) ในเดือนเมษายน 2550 ทรงตัวที่ระดับ 78.3 โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ สรอ. เงินเยน และเงินสกุลในภูมิภาค แต่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินยูโรและค่าเงินประเทศคู่ค้าอื่น
ระหว่างวันที่ 1-25 พฤษภาคม 2550 ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 34.62 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องจากเดือนเมษายนจากเงินทุนไหลเข้าเพื่อลงทุนในตลาดหลักทรัพย์และการขายดอลลาร์ สรอ. ของผู้ส่งออก
ข้อมูลเพิ่มเติม: พรรณพิลาส เรืองวิสุทธิ์ โทร. 0-2283-5648, 0-2283-5639 e-mail: [email protected]
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
สำหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี โดยฐานะเงินสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานลดลงต่อเนื่อง
รายละเอียดของภาวะเศรษฐกิจในเดือนเมษายน 2550 มีดังนี้
1. ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (เบื้องต้น) ขยายตัวจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 6.7 เร่งขึ้นจากเดือนก่อน ตามการผลิตในกลุ่มสินค้าที่ผลิตเพื่อการส่งออก ได้แก่ หมวดอิเล็กทรอนิกส์ที่ยังขยายตัวต่อเนื่อง และหมวดเครื่องหนังที่ขยายตัวเนื่องจากคำสั่งซื้อพิเศษ นอกจากนี้ หมวดยาสูบขยายตัวสูงเพราะฐานต่ำเนื่องจากปีก่อนมีการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิต ทำให้มีการผลิตต่ำและมีสต็อกไว้ในช่วงก่อนแล้ว อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่ผลิตทั้งเพื่อส่งออกและขายในประเทศยังคงชะลอตัว อาทิ หมวดยานยนต์ และหมวดผลิตภัณฑ์เหล็ก เป็นต้น สำหรับอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ร้อยละ 72.0 ปรับลดลงจากเดือนก่อนตามปัจจัยฤดูกาลที่เดือนนี้มีวันทำการน้อยเนื่องจากเทศกาลสงกรานต์ อย่างไรก็ตาม มีบางหมวดที่มีอัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีการปิดซ่อมบำรุงโรงงานใน เดือนก่อน ได้แก่ หมวดปิโตรเลียม และหมวดผลิตภัณฑ์เคมี เริ่มทยอยกลับมาดำเนินการ หากปรับฤดูกาลแล้วการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อน
2. ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ลดลงร้อยละ 0.4 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน เครื่องชี้ในหมวดสินค้าเพื่อการยังชีพปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งมูลค่าการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค ณ ราคาคงที่ และภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ รวมทั้งปริมาณการใช้ไฟฟ้าสำหรับที่อยู่อาศัยที่ขยายตัวสูงต่อเนื่องจากเดือนก่อน แต่เครื่องชี้ในหมวดสินค้าคงทน ได้แก่ ปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์ยังคงหดตัวต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ปริมาณการใช้น้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์ขยายตัวไม่มากนักเนื่องจากราคาขายปลีกน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นในเดือนนี้ สำหรับดัชนีการลงทุนภาคเอกชน (เบื้องต้น) หดตัวร้อยละ 2.4 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนตามเครื่องชี้ในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์โดยเฉพาะมูลค่าการนำเข้าสินค้าทุน ณ ราคาคงที่ ที่กลับมาขยายตัวในเดือนนี้ ขณะที่เครื่องชี้ในหมวดก่อสร้าง ได้แก่ ปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศหดตัวต่อเนื่องตามการชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์
3. ภาคการคลัง รัฐบาลมีรายได้จัดเก็บ 122.1 พันล้านบาท ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 4.0 จากรายได้ที่มิใช่ภาษีที่ลดลงเนื่องจากรัฐวิสาหกิจบางแห่งไม่สามารถนำส่งรายได้ทันในเดือนนี้ อย่างไรก็ตาม รายได้ภาษีขยายตัว โดยเฉพาะภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ขยายตัวร้อยละ 29.1 เนื่องจากวันสุดท้ายของการเสียภาษีเลื่อนมาเป็นวันที่ 2 เมษายน 2550 รวมทั้งภาษีฐานการบริโภคก็ขยายตัวตามภาษีมูลค่าเพิ่มจากอุปสงค์ในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้นบ้าง เช่นเดียวกับภาษีธุรกิจเฉพาะที่ขยายตัวตามการจัดเก็บภาษีของสถาบันการเงิน ขณะที่ภาษีสรรพสามิตหดตัวเล็กน้อยเนื่องจากมีการปรับลดอัตราภาษีโทรคมนาคมเป็นสำคัญ ดุลเงินสด รัฐบาลขาดดุล 20.3 พันล้านบาท และเงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนเมษายนลดลง 15.8 พันล้านบาท มาอยู่ที่ 55.0 พันล้านบาท
4. ภาคต่างประเทศ ดุลการค้าขาดดุล 97 ล้านดอลลาร์ สรอ. ซึ่งเป็นการขาดดุลครั้งแรกในรอบ 9 เดือน โดยเป็นผลจากการนำเข้าที่เร่งตัวขึ้นมาก โดยขยายตัวร้อยละ 11.2 คิดเป็นมูลค่า 10,725 ล้านดอลลาร์ สรอ. ซึ่งรวมการนำเข้าเครื่องบิน 2 ลำ มูลค่า 215 ล้านดอลลาร์ สรอ. ทั้งนี้ หากไม่รวมการนำเข้าเครื่องบิน มูลค่าการนำเข้าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.0 ตามการขยายตัวเกือบทุกหมวดสินค้า ยกเว้นหมวดเชื้อเพลิงและผลิตภัณฑ์น้ำมันที่ลดลงตามการนำเข้าน้ำมันดิบเนื่องจากการปิดซ่อมโรงกลั่น ด้านการส่งออก มีมูลค่า10,628 ล้านดอลลาร์สรอ. ขยายตัวร้อยละ 16.5 ชะลอลงบ้างจากเดือนก่อนตามการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีในการผลิตสูงที่ชะลอตัวและสินค้าอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานสูงที่ยังหดตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อน อย่างไรก็ดี การส่งออกในหมวดอื่นๆ ยังคงขยายตัวดี ดุลบริการ รายได้ และเงินโอน เกินดุล 141 ล้านดอลลาร์ สรอ. ตามการเพิ่มขึ้นของดุลการท่องเที่ยวเป็นสำคัญ ส่วนรายจ่ายผลประโยชน์จากการลงทุนลดลงจากปีก่อนเล็กน้อยตามการส่งกลับกำไรและเงินปันผลของภาคเอกชนที่ลดลง เมื่อรวมกับดุลการค้าที่ขาดดุล ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลเพียง 44 ล้านดอลลาร์ สรอ. และดุลการชำระเงิน ขาดดุล 193 ล้านดอลลาร์ สรอ. เงินสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนเมษายน 2550 อยู่ที่ระดับ 71.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ. โดยมียอดคงค้างการซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าสุทธิจำนวน 9.4 พันล้านดอลลาร์ สรอ.
5. อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนเมษายน 2550 อยู่ที่ร้อยละ 1.8 ชะลอลงจากร้อยละ 2.0 ในเดือนก่อนหน้า ตามราคาในหมวดอาหารสดที่ชะลอลง ส่วนใหญ่มาจากการชะลอตัวของราคาผักและผลไม้จากฐานที่สูงในปีก่อน ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 1.2 ต่ำลงจากเดือนก่อนหน้าเล็กน้อย ขณะที่ดัชนีราคาผู้ผลิตเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอลงจากเดือนก่อนตามราคาปิโตรเลียม และก๊าซธรรมชาติ เป็นสำคัญ
6. ภาวะการเงิน ในเดือนเมษายน 2550 เงินฝากของสถาบันรับฝากเงิน1/ ขยายตัวร้อยละ 6.0 จากระยะเดียวกันปีก่อน ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน จากการเพิ่มขึ้นของเงินฝากจากภาคธุรกิจเป็นสำคัญ สำหรับสินเชื่อภาคเอกชนของสถาบันรับฝากเงินขยายตัว ร้อยละ 2.9 จากระยะเดียวกันปีก่อน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อที่ให้แก่ภาคครัวเรือน
ณ สิ้นเดือนเมษายน 2550 ฐานเงินเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.3 จากระยะเดียวกันปีก่อน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของเงินสดในมือประชาชนในช่วงวันหยุดเทศกาล ขณะที่ปริมาณเงินตามความหมายกว้าง (Broad Money) ขยายตัวร้อยละ 5.0 จากระยะเดียวกันปีก่อน ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของเงินฝากที่สถาบันการเงิน
อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเงิน ในเดือนเมษายน 2550 อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันและอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารระยะ 1 วันปรับลดลงจากเดือนมีนาคม มาเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 4.17 และ 4.21 ต่อปี ตามลำดับ ตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายขาลง
สำหรับช่วงวันที่ 1-25 พฤษภาคม 2550 อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน และอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารระยะ 1 วันปรับลดลงมาเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 3.91 และ 3.95 ต่อปี ตามลำดับภายหลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.5 ต่อปี ในการประชุมเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2550
7. ค่าเงินบาทและ ดัชนีค่าเงินบาท (Nominal Effective Exchange Rate: NEER) ในเดือนเมษายน 2550 ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 34.87 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าขึ้นจากเดือนมีนาคม ส่วนหนึ่งจากการขายดอลลาร์ สรอ. ของผู้ส่งออก ประกอบกับนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนซื้อหุ้นเพิ่มทุนของธนาคารพาณิชย์ไทยและลงทุนในตลาดหลักทรัพย์
ดัชนีค่าเงินบาท (NEER) ในเดือนเมษายน 2550 ทรงตัวที่ระดับ 78.3 โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ สรอ. เงินเยน และเงินสกุลในภูมิภาค แต่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินยูโรและค่าเงินประเทศคู่ค้าอื่น
ระหว่างวันที่ 1-25 พฤษภาคม 2550 ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 34.62 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องจากเดือนเมษายนจากเงินทุนไหลเข้าเพื่อลงทุนในตลาดหลักทรัพย์และการขายดอลลาร์ สรอ. ของผู้ส่งออก
ข้อมูลเพิ่มเติม: พรรณพิลาส เรืองวิสุทธิ์ โทร. 0-2283-5648, 0-2283-5639 e-mail: [email protected]
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--