ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพทุกท่าน ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นคนประชาธิปัตย์ภาคกลางได้ผนึกกำลังกันในการที่จะมาประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น วางแผน เพื่อที่จะผลักดันอุดมการณ์ของพรรคและทำให้การทำงานของพรรคประชาธิปัตย์ในภาคกลางมีความมั่นคง แข็งแรง และมีประสิทธิภาพ มากยิ่งขึ้น
ตามที่ท่านรองหัวหน้าพรรคได้กล่าวรายงานไปนั้น ผมอยากจะย้ำว่า วันนี้พรรคประชาธิปัตย์มีภาระหน้าที่ที่สำคัญยิ่ง บ้านเมืองของเรา สังคมของเรากำลังเผชิญกับปัญหามากมายส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอก แต่อีกส่วนหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเกิดขึ้นจากแนวคิดและการบริหารบ้านเมืองที่มีความผิดพลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักคิดต่าง ๆ ที่สวนทางกับอุดมการณ์ของประชาธิปไตย อุดมการณ์ที่เชื่อมั่นในพี่น้องประชาชน และให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ของพี่น้องประชาชน
ปัญหาที่สังคมของเราเผชิญอยู่ พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะพรรคการเมือง โดยเฉพาะการเมืองที่เป็นสถาบันยการเมืองที่มีมีความเก่าแก่มเป็นระยะเวลานาน มีความรับผิดชอบที่จะต้องร่วมแก้ไขและจะต้องสามารถทำให้บ้านเมืองและประเทศชาติของเรากลับไปสู่ทิศทางที่ถูกต้องให้ได้ ท่านรองหัวหน้าพรรคได้ใช้คำว่าเราจะต้องมีการต่อสู้ ใช้คำว่า ถึงขั้นแตกหัก ภายในปีพ.ศ. 2552 ผมเรียนว่าสิ่งที่ท่านพูดนั้นทำให้พวกเราทุกคนตระหนักถึงภาระหน้าที่ในงานการเมืองที่ต้องทำนับตั้งแต่วันนี้
ผมเข้ามาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคประชาธิปัตย์เมื่อปี 2535 เมื่อเดือนมีนาคม ท่านรองเพิ่งเตือนผมว่า ในวันนั้นทั้งกรุงเทพฯ และภาคกลาง มีส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ อีก 1 คน คือ ตัวผม แต่ว่าหลังจากนั้นเป็นต้นมา ด้วยการทำงานที่หนักหน่วงของผู้รับผิดชอบ โดยเฉพาะอดีตรองหัวหน้าพรรค ซึ่งวันนี้ทั้งท่านรองหัวหน้าเอนก ทับสุวรรณ และรองหัวหน้าโพธิพงษ์ ล่ำซำ ในการทำงานของท่านดร.อาทิตย์ ก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์นั้นมีความเข้มแข็งขึ้นมาโดยลำดับ ดูได้จากจำนวนสาขาพรรค และผู้สมัครของพรรค และคนทำงานที่ทำงานด้วยความขยันขันแข็งอย่างต่อเนื่อง โดยยึดมั่นในอุดมการณ์ของพรรค และแม้ว่าความสำเร็จในเชิงตัวเลขของส.ส.มีขึ้น มีลง และการเลือกตั้งครั้งล่าสุดเราได้จำนวน ส.ส. 7 ท่านจาก 97 เขตเลือกตั้ง แต่ว่าผมได้มีโอกาสพบปะกับพี่น้องในภาคกลางหลายจังหวัด ทัง้ในช่วงของการเลือกตั้งและหลังจากนั้น ผมมีความมั่นใจในพื้นฐานของความผูกพันธ์ระหว่างพี่น้องภาคกลางกับกับพวกเราชาวประชาธิปัตย์ แต่ภาระงานที่หนักหน่วงและรออยู่ข้างหน้า เพราะว่า การเมืองได้เปลี่ยนไป ท่านคงจำได้ว่าเมื่อเดือนเม.ย.ที่เรามีการประชุมใหญ่สามัญประจำปี ผมได้ย้ำให้เห็นว่า เมื่อการเมืองเปลี่ยนไป เหมือนกับเป็นการต่อสู่ แข่งขัน ในระบบ 2 พรรค หรือระบบน้อยพรรค
วันนี้ตัวเลขที่เราตั้งไว้ ต้องดูเป้าหมายสุดท้าย ถ้าเป้าหมายสุดท้ายก็คือ เรา ต้องการนำพาประเทศชาติกลับสู่การบริหารในทิศทางที่ถูกต้อง เราต้องสามารถที่ชนะการเลือกตั้งทั่วไปได้ ฉะนั้นท่านรองหัวหน้าพรรค ได้บอกกับผมครับว่า เที่ยวหน้าเป้าหมายจะมาบอกว่าเพิ่ม จำนวนส.ส.ให้มากขึ้นกว่าเดิมเท่านั้นไม่พอ อย่าว่าแต่จะเพิ่มเป็นเท่าตัว สองเท่าตัวเลยครับ เมื่อภาคกลางมี 97 เขตเลือกตั้งเป้าหมายของเราตั้งครั้งหน้าอย่างน้อยต้องได้ ส.ส. 50 คนครับ อย่าคิดว่าเป้าหมายนี้ทำไม่ได้ เพราะผมได้ย้ำแล้วว่าโดยพื้นฐานของพี่น้องประชาชนคนในภาคกลางมีความผูกพันกับอยู่กับพรรค เพียงแต่ว่าเป็นหน้าที่ของเราในช่วงจากนี้ไปครับ ที่ต้องพิสูจน์ตัวเองตลอดเวลาว่าเราเป็นพรรคการเมืองที่พี่น้องประชาชนพึ่งได้ ทำหน้าที่ในฐานะฝ่ายค้าน ที่มีความเข้มแข็งและเตรียมความพร้อมอยู่ตลอดเวลาในฐานะพรรคการเมืองที่จะสามารถเข้าไปบริหารราชการแผ่นดินได้ พร้อมด้วยนโยบายแนวคิด บุคลากรและความทุ่มเทในการทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน ดังนั้นวันนี้ผมรู้สึกยินดีและแสดงความชื่นชมที่ท่านรองหัวหน้าพรรคไม่ได้นิ่งนอนใจ และตระหนักถึงความเร่งด่วนในการที่ขับเคลื่อนกลไกทั้งหลายของพรรคไปสู่เป้าหมายนั้น เราปิดสมัยประชุมสภา สมัยแรกเมื่อวานนี้เอง วันนี้เราก็เริ่มต้นทำงานในแง่ของกิจกรรมต่างๆ ในทางการเมือง ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ก็จำเป็นต้องทำหนักหน่วงไม่แพ้กับงานที่เราทำในสภาผู้แทนราษฎร ผมจึงต้องขอแสดงความชื่นชมและขอขอบคุณที่พี่น้องประชาธิปัตย์ภาคกลางทั้งจากสาขาพรรค จากพื้นที่ต่างๆ ทั้งอดีตผู้สมัคร รวมไปถึงผู้หลักผู้ใหญ่ของพรรคที่มาให้กำลังใจได้มารวมพลเพื่อที่จะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น อันจะนำไปสู่การวางกลยุทธ์ การวางแผน และการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อนำมาหพรรคประชาธิปัตย์นั้นมีความเข้มแข็งทางการเมืองมากเป็นลำดับ และมุ่งสู่เป้าหมาย
สุดท้ายก็คือ มีบทบาทนำในการขับเคลื่อนประเทศไทยของเราให้ไปสู่ทิศทางที่ถูกต้อง เพื่อประโยชน์สุขพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ผมก็ขออวยพรให้การประชุมในวันนี้บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่พวกเราทุกคนมีความมุ่งมั่นตั้งใจในการทำงานในทางการเมืองของพวกเรา และขอเปิดการประชุมพรรคประชาธิปัตย์ภาคกลางครั้งที่ 1 ณ บัดนี้ ครับ
จากนั้นนายอภสิทธิ์ ได้กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “ก้าวใหม่ของพรรคประชาธิปัตย์และประเทศไทยว่า อย่างที่ผมได้กล่าวเริ่มต้นกระบวนการของการทำงานของพวกเราเพื่อขับเคลื่อนพรรคประชาธิปัตย์ในภาคกลางที่จะนำไปสู่เป้าหมายในชัยชนะในการเลือกตั้ง และในการเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาบริหารบ้านเมือง บริหารประเทศ ไปสู่ทิศทางที่ถูกต้องเพื่อความผาสุกของคนไทยทั้งประเทศ หลายท่านอาจจะมีความรู้สึกแปลกใจว่าทำไมเรามาประชุมสัมมนากัน ทั้งๆที่ ถ้าสภาอยู่ครบวาระเรายังมีเวลาตั้งเกือบ 4 ปีกว่าจะมีการเลือกตั้ง แต่ว่าวันนี้ครับที่ท่านรองหัวหน้าพรรค อลงกรณ์ ได้ดำเนินการและย้ำกับพวกเราทุกคนว่า งานของเราต้องเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้และทำต่อเนื่อง ก็เพราะว่าเรามองว่านี่คือรูปแบบแนวทางการทำงานทางการเมืองในยุคใหม่ที่จะสอดคล้องกับสิ่งที่ผมได้เคยเรียนกับพวกเราชาวประชาธิปัตย์
ตั้งแต่วันแรกที่ผมเข้าทำหน้าที่หัวหน้าพรรค คือ ได้รับการเลือกตั้งจากท่านทั้งหลายในการประชุมใหญ่วิสามัญ และได้ย้ำอีกอย่างน้อยๆ 2 โอกาส คือ ในการประชุมใหญ่สามัญประจำปี รวมไปถึงวันที่ผมได้รับโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เท่าที่ผมย้ำก็คือว่า การเมืองที่เราทำในยุคนี้จะต้องเป็นการเมืองที่ยั่งยืนและจะต้องเป็นการเมืองเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง 4 เดือนที่ผ่านมา ทั้งในฐานะที่กรรมการบริหารพรรคชุดใหม่เข้าทำหน้าที่ทั้งตลอด 4 เดือนของการทำหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎรในสมัยประชุมแรก ผมคิดว่าเราได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจในการที่จะสร้างการเมืองยุคใหม่ เราเป็นฝ่ายค้านครับ แต่ 4 เดือนที่ผ่านมา ผมคิดว่าคนมองเห็นและเข้าใจว่า การทำหน้าที่ฝ่ายค้านว่าเป็นการทำหน้าที่ที่สร้างสรรค์ได้ ไม่ใช่เป็นการทำหน้าที่อย่างที่พรรคการเมืองคู่แข่งพยายามที่จะกล่าวหาใส่ร้ายป้ายสีว่าเป็นเพียงการเล่นเกมการเมืองหรือเป็นเพียงการทำลายล้างกันทางการเมือง
ไม่ต้องดูอื่นไกลหรอกครับ ในช่วงที่ผ่านมา พรรคการเมืองคู่แข่งที่เขาเป็นรัฐบาลอยู่พรรคเดียว เขามีปัญหาภายในรุนแรงมาก แต่ท่านจะเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยคิดจะฉวยโอกาสจากปัญหาภายในที่เกิดขึ้นในส่วนของพรรครัฐบาล ผมไม่เคยส่งท่านเลขาธิการพรรคไปดำเนินงานทางการเมือง เพื่อจะไปเพิ่มเติม ซ้ำเติมปัญหาภายในพรรคไทยรักไทย เพื่อจะหวังผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหรืออะไรทั้งสิ้น แม้ในช่วงซึ่งที่มีการพิจารณาหรือลงมติในเรื่องสำคัญ ๆ อย่างที่ผ่านมาในช่วง2-3 สัปดาห์นี้ คือ ทั้งเรื่องแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ทั้งเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจ และทั้งเรื่องของการพิจารณางบประมาณ เราก็ไม่ได้ทำหน้าที่ในลักษณะที่ต้องการไปฉวยโอกาสจากปัญหาของเขา แต่เราเอาเนื้อหาสาระของประเด็นของบ้านเมืองเป็นตัวตั้ง และตลอดระยะเวลาของสมัยประชุมท่านจะเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้นำเสนอข้อคิด ความเห็นมากมาย ที่ถ้ารัฐบาลฉลาดที่จะรับฟังและรู้จักใช้ก็คงคลี่คลายปัญหาหลายปัญหาได้มากกว่านี้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เราได้นำเสนอรียกร้องอย่างเป็นรูปธรรมว่า ความผิดพลาดในอดีตยังแก้ไขได้ แต่ขอให้คำนึงถึงหลักการแก้ปัยหาที่ถูกต้องคือ การยอมรับความหลากหลายของเพื่อนคนไทยด้วยกัน และการเคารพกฎหมายจากทุกๆ ฝ่าย เรามีคนของเราเข้าไปร่วมในคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์ ผมนำเสนอในที่ประชุมสภาการแก้ไขปัญหาในแนวทางทั้งสิ้น 9 ข้อ น่าเสียดายว่า ทานนายกฯ ตอบรับในสภาในวันนั้น แต่ไม่ได้ตอบรับด้วยการกระทำที่ต่อเนื่อง ปัญหาความรุนแรงก็ยังไม่หมดลง มิหนำซ้ำยังดูว่าความรุนแรงเกิดบ่อยขึ้น ถี่ขึ้น ระดับความรุนแรงมากขึ้นด้วย เราเสนอแนะการแก้ปัยหาเรื่องราคาน้ำมัน ซึ่งถ้าทำตามที่เราเสนอวันนี้หนี้ของกองทุนน้ำมันไม่ใช่ 9 หมื่นล้านบาทนะครับ วันนี้จะลดไปแล้วเหลือประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท และถ้าทำตามที่เราเสนอวันนี้อาจจะนอนตัวได้เรียบร้อยแล้ว โดยราคาน้ำมันไม่สูงกว่านี้ เพราะเราได้คิด ให้ครบถ้วนในการนำเอาระบบภาษีสรรพสามิตเข้ามาปรับใช้กับสภาพของราคาน้ำมันที่ผันผวน แต่ก็อีกนั่นแหล่ะครับ เมื่อรัฐบาลตัดสินใจที่จะไม่ฟัง การแก้ปัญหาเรื่องนี้ก็จะมีความยืดเยื้อต่อไป สภาพความไม่แน่นอน ของภาคเอกชนในเรื่องของภาวะน้ำมันที่จะมากระทบกับเศรษฐกิจในภาพรวมความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่ได้รับจากราคาน้ำมันที่แพงแลพจะแพงขึ้นไปอีก รวมถึงราคาสินค้าที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็ซ้ำเติมภาวะต่างๆ มีข้อคิดข้อเสนอแนะอีกมากมายที่เราได้เสนอไปในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งถ้ารัฐบาลจะได้ใช้ประโยชน์จากกระบวนการของประชาธิปไตยที่มีความสร้างสรรค์ ผมก็มั่นใจว่า วันนี้หลายสิ่งหลายอย่างก็จะบรรเทาเบาบางลงไปได้ แต่เราก็ถือว่าเป็นสิทธิของรัฐบาล ของคนที่กุมเสียงข้างมาก ที่จะตัดสินใจ แต่เมื่อตัดสินใจแล้วก็ต้องรับผิดชอบ กระบวนการที่เราทำมา 3-4 เดือน ทั้งในแง่ของการอภิปรายในโอกาสต่างๆ การนำเสนอญัตติ หรือแม้กระทั่งการตั้งกระทู้ถามก็จึงมุ่งเน้นในการที่จะช่วยให้รัฐสภา เป็นกลไกสำคัญในการที่จะถ่ายทอดความทุกข์ของประชาชนเป็นเวทีของการนำไปสู่กระบวนการแก้ไขปัญหาบนพื้นฐานของหลักการประชาธิปไตย แต่แน่นอนอะไรที่รัฐบาลทำไม่ถูกต้องก็เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องตรวจสอบ ปีนี้เป็นปีแรกที่เราต้องยกเว้นธรรมเนียมประเพณีที่ไม่เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจในสมัยประชุมแรกที่รัฐบาลเข้าทำงานเพราะกรณีของโครงการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิด ซีทีเอ๊กซ์ในโครงการสนามบินสุวรรณภูมิเป็นเรื่องอื้อฉาว มีเอกสารหลักฐานชัดเจน ที่บ่งบอกถึงการทุจริต แต่ผู้เกี่ยวข้องได้ละเลยไม่ดำเนินการ สัปดาห์ที่ผ่านมาเราก็ได้พิสูจน์ให้เห็นครับว่าในยุคนี้พรรคการเมืองฝ่ายค้านเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้นต้องเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจบนความหนักแน่นของข้อมูล เอกสาร หลักฐานต่าง ๆ
คนของท่านทั้งหลาย อย่างน้อยๆ 2 ท่าน คือ ท่านส.ส.อลงกรณ์ พลบุตร และส.ส. ชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ทำงานหนักมากครับ ผมขอยืนยันและได้อภิปรายไม่ไว้วางใจในวันจันทร์ที่ผ่านมานั้น บนพื้ฯบานของการเมืองยุคใหม่ที่เราพูด คือ การเรียบเรียงข้อเท็จจริง เอกสาร หลักฐานต่างๆ เพื่อพิสูจน์ว่า เรามีเหตุผลเพียงพอที่จะบอกว่ารัฐมนตรีไม่สมควรดำรงอยู่ในตำแหน่งต่อไป และท่านเห็นไหมครับ ยุคนี้เป็นยุคที่ฝ่ายค้านใช้เอกสารของทางการมากกว่ารัฐบาล ผมไม่เชื่อหรอกว่าว่ารัฐบาลไม่เคยเห็นเอกสารที่พวกเราเอามา แต่ว่า เห็นแล้วรู้แล้วว่าเอกสารนี้มันบ่งบอกชัดเจนถึงความผิดที่เกิดขึ้น มันบ่งบอกชัดเจนถึงการไม่ดำเนินการอะไรที่ถูกที่ควร จึงไม่เอาเอกสารเหล่านี้มา แต่พวกเราทำงานกันอย่างหนักเพื่อที่จะไปเอาเอกสารเหล่านี้มาเพื่อให้ประชาชนเจ้าของประเทศได้รับทราบ เป็นไปได้อย่างไรครับ การซื้อของแพงขึ้น 2 ทอด รวม 1,200 ล้าน รัฐบาลทำได้แค่มาเล่าให้ฟังว่าราคาที่สูงขึ้นเป็นเพราะอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไม่มีเอกสาร หลักฐานอะไรเลย มายืนยันว่ามันเป็นอย่างนั้น ในขณะที่ฝ่ายค้านจะกล่าวหาไปเอาสัญญาเอกสารที่ทางการรับรองมาพิสูจน์ให้เห็นว่ามันบวกราคาเข้าไปเฉย ๆ โดยที่ไม่มีเนื้องานเพิ่มขึ้น เป็นไปได้อย่างไรครับ กลับเป็นฝ่ายค้านที่ไปเอาใบเอกสารต่างๆ เกี่ยวข้องกับการเบิก-จ่าย เงินในโครงการมาให้เห็นว่ามันต้องมีการอนุมัติกันอย่างไร แล้วจ่ายเงินไปแล้ว 1,500 ล้าน ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าของไม่สามารถส่งมาได้ตามสัญญา รวมไปถึงเงินอย่างน้อยๆ 1,500 ล้าน ที่อนุมัติไปหลังจากที่รู้แล้วอย่างชัดแจ้ง ขณะที่รัฐบาลทำได้ก็คือ เอาใบขนส่งของเอกชชนมา เอาชาร์จตั้งแป๊บเดียวแล้วก็รีบเอาลง จนพวกผมต้องไปทวงท่านประธาน ขอดูหน่อย ที่บอกว่า ใบที่ขนมาประเทศไทย ดูหน่อย ดูแล้วพบว่า ขนจากโรงงานไปโกดังสินค้าในสหรัฐ คุณกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ลงทุนโทรศัพท์ทางไกลไปเลย ไปหาบริษัทให้เขายืนยัน ซึ่งเขาก็ยืนยันมาตามข้อเท็จจริงที่เราพูด นี่คือ สิ่งที่บ่งบอกว่ายุคนี้ต้องทำงานกันด้วยความรัดกุมบนพื้นฐานของความเป็นจริง และการลงมติผ่านพ้นไปแล้ว รัฐบาลก็มีเสียงข้างมากก้สามารถที่จะใช้เสียงข้างมากนั้นในการที่จะไว้วางใจท่านรัฐมนตรี ผมได้ย้ำในวันนี้ครับ เป้าหมายเราไม่ใช่ว่าไปล้มล้างรัฐบาลไปขับไสไล่ส่งใคร ท่านจึงเห็นว่าอภิปรายผ่านพ้นไปเราก็ไม่ได้หยุด เป้าหมายเราคือ ต้องเอาคนโกงมาลงโทษให้ได้ เราจึงไปร้องทุกข์ กล่าวโทษ และจะติดตามเรียกร้องต่อไปว่ารัฐบาลเดินหน้าโดยอาศัยกระบวนการทางอาญา ใช้สนธิสัญญาที่มีอยู่กับสหรัฐฯเอาข้อมูล ข้อเท็จจริงมาทั้งหมดว่าใครเกี่ยวข้องแล้วดำเนินคดี เราให้เวลารัฐบาลครับ คระทำงาน จะเป็นพนักงานสืบสวน สอบสวน จะเป็นทางอัยการ เราก็คงต้องให้เวลาท่านตามสมควร แต่ถ้ายังไม่ทำนะครับ ขั้นต่อไปถือว่าฝ่าฝืนกฎหมาย ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ถ้าทำอย่างนั้นขั้นต่อไปก็คือกระบวนการถอดถอน และผมเตือนรัฐบาลว่าอย่าตายใจเลยครับว่าเสียงฝ่ายค้านมีไม่ถึง 125 เสียง เพราะผมบอกได้เลยว่าจากข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ออกมามีประชาชนมากกว่า 5 หมื่นคนที่พร้อมที่จะเข้าชื่อพร้อมที่จะถอดถอนถ้าท่านยังไม่ดำเนินการ เพราะฉะนั้นนี่คือ สิ่งที่เราแสดงให้เห็นว่า การทำงานของเรามันไม่ใช่เพื่อเป้าหมายการเมืองวันนี้ พรุ่งนี้ แต่เราต้องการทำงานการเมืองเพื่อให้เกิดความถูกต้องและเราจะงานร่วมกับพี่น้องประชาชนที่รักความถูกต้อง เพื่อที่จะดำเนินการสิ่งเหล่านี้ต่อไป
ส่วนตัวบุคคลตนนั้น ผมได้เสนอท่านนายกฯไปแล้วว่าท่านจะปรับหรือไม่ปรับมันเป็นสิทธิของท่าน แต่ที่ผมเตือนท่านนายกฯ ไปก็คือว่า ผมไม่ได้สนใจผลทางการเมือง แต่ผมไม่เชื่อว่าถ้าท่านฝืนกระแสความรู้สึกของประชนชนแล้วท่านจะบริหารบ้านเมืองได้ การบริหารบ้านเมืองยุคนี้ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเชื่อมั่น ความศรัทธา ความนิยมของประชาชน แต่ถ้าหากว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีความไว้วางใจ ไม่มีความเชื่อถือ ไม่มีความเชื่อมั่น การแก้ปัญหาจะยาก เพราะความร่วมมือที่จะเกิดขึ้นจากทุกภาคส่วนในสังคมจะไม่มีปรากฎ เอาล่ะครับ ก็ต้องรอดูกันต่อไปว่าท่านนายกฯจะดำเนินการต่อไปอย่างไร แต่ว่าถ้าท่านไม่ดำเนินการสนองตอบต่อสิ่งที่เป็นความรู้สึก ความคาดหวังของประชาชน ผมว่ามันจะมีคำถามตามมาอีกเยอะๆ ว่า ที่สุดกระบวนการการทุจริตที่เกิดขึ้นมันไปเกี่ยวข้องกับใคร อย่างไร หรือ จึงแตะ จึงต้อง จึงขยับ จึงขยาย อะไรไม่ได้เลย และตรงนั้นก็จะเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้รัฐบาลทำงานด้วยความยากลำบาก ฉะนั้นวันนี้จะพิสูจน์คำพูดท่านนายกฯ ที่เคยพูดมาตลอดเองว่าจะคำนึงถึงเรื่องของปัยจัยทางการเมือง บุคคลแวดล้อมหรือจะคำนึงถึงสิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุดของประเทศในทางการเมือง
ผมอยากจะย้ำว่า การทำงานของพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะฝ่ายค้าน ก็จะต้องทำในเรื่องของบทบาทของตรวจสอบของการเสนอแนะอย่างต่อเนื่องต่อไป ดังที่ผมได้พูดไปแล้วว่า เป้าหมายของพวกผมไม่ใช่ที่จะไปล้มล้างใคร แต่ต้องการชี้ให้เห็นว่า บ้านเมืองนี้ มีทางเลือก และมีทางเลือกที่ดีกว่า ผมอยากจะย้ำกับท่านทั้งหลายเป็นพิเศษในวันนี้ก็คือว่า นับวันครับ เหตุการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้น ปัญหาที่รุมเร้าในบ้านเมืองของเรา กำลังพิสูจน์ว่าหลักคิดพื้นฐานของคนประชาธิปัตย์ ของนักประชาธิปไตยมันไม่ผิดหรอก ที่เขาเคยมาบอกว่านักการเมืองอาชีพ พรรคการเมืองที่เป็นสถาบันการเมืองทำงานการเมืองตลอด ทำงานในยุคนี้ไม่ได้แล้ว ต้องเฉพาะคนที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจเท่านั้นถึงจะมาบริหารในยุคนี้ได้ วันนี้หลายเหตุการณ์มันพิสูจน์แล้วครับว่าไม่ใช่ เพราะการบริหารประเทศคือการทำงานกับคนทั้งประเทศ หลายสิบล้านคน ที่มีความหลากหลายและที่สำคัญคือมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มากไปกว่าที่จะหมกหมุ่นอยู่กับเรื่องของเงิน เพราะคิดง่าย ๆ ว่าการแก้ไขปัญหาความมั่นคงสามารถตีตารางกำไร ขาดทุน เหมือนบัญชีธุรกิจ 3 จังหวัดและจังหวัดต่อเนื่องถึงได้วุ่นวายไม่สงบถึงทุกวันนี้
คิดว่าเหลือโจรเท่าไหร่ ต้องปราบเดือนละกี่คน กี่เดือนเสร็จ นั่นคือที่มาของปัญหาที่ลุกลามวันนี้ เพราะคิดว่าเอาแบบจำลองทางธุรกิจ มาปรับใช้กับการบริหารเศรษฐกิจได้ วันนี้เราจึงมีปัญหาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นในพี่น้องประชาชนหลายกลุ่ม ผมเพิ่มอภิปรายให้เห็นไปในช่วงของงบประมาณ ที่ไปเอาแบบจำลองของทางธุรกิจบอกว่า สินค้าตัวนี้ดีส่งเสริม สินค้าตัวนี้ไม่ดีให้ยกเลิกไปมาปรับใช้กับภาคเกษตรในประเทศไทยแล้วบอกว่าอุตสาหกรรมการเกษตรหรือภาคการเกษตรบางภาคไม่ทำกำไร ต้องฆ่าทิ้ง หอม กระเทียม ข้าวโพด นั่นคือความไม่เข้าใจครับว่า นั่นคือความไม่เข้าใจว่าเศรษฐกิจไม่ใช่ธุรกิจ มันผูกพันไปถึงวิถีชีวิตคน และวันนี้เกษตรกรภาคเหนือที่ปลูกหอม กระเทียม ข้าวโพด คำว่าฆ่าทิ้งคือ ไปบอกให้เขาเปลี่ยนอาชีพ นั่นคือความไม่เข้าใจว่า มันหมายถึงกระทบกระเทือนวิถีชีวิตของเขาหลายชั่วคน ที่น่าเจ็บใจก็คือว่า บริหารเศรษฐกิจไม่เหมือนธุรกิจ ก็ตรงที่ว่า สินค้าที่ไปบอกว่าตัวไหนกำไร ตัวไหนขาดทุนมันมาจากนโยบายของรัฐบาลเอง เพราะที่หอม กระเทียม ข้าวโพดมีปัญหา ก็เพราะรัฐบาลเลือกไปทำเขตการค้าเสรีกับประเทศจีน เหมือนพี่น้องภาคกลางครับ ผลไม้ก็กระทบกระเทือน และอุตสาหกรรมโคนมก็จะได้รับการกระทบกระเทือนจากข้อตกลงเขตการค้าเสรีที่รัฐบาลไปทำ และอยู่ดีดีก็หันกลับมาบอกว่า อุตสาหกรรมเหล่านี้ ภาคการผลิตเหล่านี้ไปไม่ได้ ต้องฆ่าทิ้ง นี่คือสิ่งที่จะซ้เติมปัญหาต่างๆ และการบริหารในการขับเคลื่อนเรื่องของนโยบายต่างๆ มันจะใช้หลักคิดว่า ข้าพเจ้าเคยเป็นผู้บริหารสูงสุดในองค์กร สั่งชี้นิ้วแล้วทุกอย่างต้องเดินตาม และแปลว่าจะสำเร็จมันก็ไม่ใช่
ท่าน นายกฯแสดงอาการโกรธเคืองมากนะครับ การอภิปรายงบประมาณ ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา มาโกรธวาพวกเราเป็นคนเอาความจริงมาพูด ซึ่งไปกระทบกระเทือนตัวท่าน แต่ผมเข้าใจว่าท่านโกรธอีกหลายเรื่องก็คือ เราเอาความล้มเหลวมาฟ้อง เรื่องอีลิทการ์ด ที่นายกฯ บอกเป็นความคิดเริ่ดหรู ของท่านทำให้ประเทศไทยรับเงินเหนาะๆ ล่วงหน้าหนึ่งล้านล้านบาท เพราะจะขายบัตรนี้ได้ 1 ล้านใบ ใน 2-3 ปี ปรากฏว่า ผ่านมา 3-4 ปี ขระนี้ขายได้ 800 ใบ ทุมเงินไปทำกรุงเทพเมืองแฟชั่น ผลิตเสื้อ ผลตกางเกง ยี่ห้อไทโก้ ตอนนี้ยังขายได้ไม่ถึงครึ่ง ทำบริษัทลองแสตท์ขาดทุนต่อเนื่องทุกปี และขณะนี้รายได้ไม่คุ้มกับรายจ่ายที่ทำไปในเรื่องของการทำระบบการบริหารจัดการขึ้นมา ไม่นับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับค้าปลีกเข้มแข็ง เอสเอ็มอี ซึ่งถามว่าหลักคิดเป้าตอนต้นดีไหมผมก็บอกว่าดี แต่ว่าความล้มเหลวมันฟ้องการบริหารงานไม่เป็น มันไม่ได้ฟ้องว่าความคิดท่านนายกฯ ผิด แตมันพิสูจน์ว่าท่านบริหารไม่เป็นครับมันถึงล้มเหลว ที่บริหารไม่เป็นเพราะมันไม่เหมือนบริหารธุรกิจ เพราะโครงการเหล่านี้จำเป็นต้องรับฟังผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเพื่อให้เกิดการวางแผนที่ถูกต้อง เพื่อนำไปสู่เป้าหมายให้ได้ แต่ท่านไม่ทำ หรือท่านทำไม่เป็น โครงการไหนเกี่ยวสกับการท่องเที่ยว เคยไปฟังคนที่เขาอยู่งานการท่องเที่ยวจริงๆจังไหม ทั้งฝ่ายราชการ ทั้งฝ่ายเอกชน ถ้าคิดว่าเพียงจะแสดงว่า ฉันรู้ ฉันสั่ง แล้วทุกคนต้องทำได้ มันเป็นไปไม่ได้ และตุลาคมนี้เราก็จะได้เห็นการปรับเปลี่ยนกระทรวง ทบวง กรมอีกรอบ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำเที่ยวนี้ก็จะนำไปสู่โครงสร้างที่จะมีประสิทธิภาพความยั่งยืนหรือไม่
สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ครับ คือ สิ่งที่มันบ่งบอกว่า บ้านเมืองจะต้องเผชิญปัญหาที่รุนแรงขึ้น เนื่องจากหลักคิดและวิธีการบริหารมันไม่สอดคล้องกับยุคสมัยปัจจุบัน แต่ความผิดพลาด ความล้มเหลวของรัฐบาลมันไม่เพียงพอหรอกครับที่จะให้คนมาเกิดความเชื่อมั่นมา ความศรัทธาในพรรคประชาธิปัตย์ ที่จะต้องเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่ง เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราจะต้องทำนอกเหนือจากการหน้าที่ปกติ และชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลต้องมีการปรับตัวแก้ไขอะไรแล้ว คือการพิสูจน์ให้พี่น้องประชาชนเห็นว่าเราเองมีความพร้อม ผมพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า จนถึงวันนี้ประชาชนจำนวนมากก็ยังมองว่าเราไม่พร้อม เราต้องทำอีกเยอะ แต่ผมมั่นใจว่า หลักคิด พื้นฐานของเรา อุดมการณ์ของเราทั้งในเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ สังคม มันถูกต้องนั่นมันเป็นทุนของเราที่เป็นทุนที่มีความสำคัญ แต่เรากินทุนเก่าไม่ได้ครับ เรามีแต่ต้องเพิ่มทุน เรามีแต่ต้องขยาย เรามีแต่ต้องเพิ่มทุนศักยภาพ ทักษะต่าง ๆ เราถึงจะต้องเดินหน้าทำหลายอย่าง ตุลาคมนี้เราถึงจะต้องสร้างเวทีที่เป็นเวทีประวัติศาสตร์ เชื่อมโยงการเมืองของพรรคการเมือง กับการเมืองภาคประชาชนผ่านสิ่งที่เรียกว่าสมัชชาประชาชน จัดโดยภาคประชาชน เราจึงต้องทำงานกันอย่างหนัก ในแง่ของการที่จะนำเอาหลักทั้งในการคิด อุดมการณืทางการเมืองมาผสมผสานกับหลักการทางการจัดการที่มีประสิทธิภาพถูกต้อง แข่งขันได้ ซึ่งหมายถึงการทำงานไม่เพียงเฉพาะกรรมการบรหารพรรคในส่วนกลาง แต่หมายถึงทั้งสาขาพรรค หมายถึงทั้งสมาชิกของพรรคทั่วประเทศ ผมดีใจที่ท่านรองหัวหน้าพรรคที่รับผิดชอบภาคกลาง คือ ท่านรองอลงกรณ์ ให้ความสำคัญ กับเรื่องนี้อย่างจริงจัง
วันนี้คงจะได้มีการมาถกกันในเรื่องของแผนการทำงาน 4 ปี 97 เขตเลือกตั้ง 26 จังหวัดที่ต้องประสานสอดคล้องและต้องทำแบบมืออาชีพ ทำอย่างรู้เท่าทัน ความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในโลก และทำอย่างมีประสิทธิภาพ ผมยืนยันว่าภาระตรงนี้หนักหน่วงมากสำหรับพรรคประชาธิปัตย์นะครับ เพราะในอดีตที่ผ่านมาสิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีการทำอย่างจริงจังในพรรคการเมือง พรรคอย่างประชาธิปัตย์ ซึง่มีอุดมการณ์ที่เข้มข้นเรื่องประชาธิปไตย มีทุนรอนน้อย พูดกันอย่างตรงไปตรงมา ก็ทำ บอกว่าทำแบบเท่าที่เราทำได้ มันไม่เพียงพอสำหรับประเทศชาติในยุคนี้ พรรคคู่แข่งของเราซึ่งเขามีความพร้อมด้านทุน เทคโนโลยีหรืออะไรทุกอย่าง เขาทำไม่ได้ เพราะเขาขาดอุดมการณ์ ที่มันสอดรับกับความเป็นจริงของการบริหารงานทางการเมือง เพราะฉะนั้นจุดที่เราต้องทำในการแข่งขันคือสิ่งที่เราขาดเราต้องขึ้นมาให้ได้ เราอาจจะมีเวลา 4 ปี หรือสั้นกว่า 4 ปีแต่เราต้องเร่งทำ
ซึ่งแนวคิดที่จะมีการเสนอในวันนี้ ทั้งท่านเลขาธิการพรรค ทั้งท่านรองหัวหน้าพรรค ทั้งท่านที่ปรึกษาทั้งหลาย ซึ่งผมได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้วยคงจะทำให้ท่านเห็นภาพไม่มากก็น้อยว่า ประชิปัตย์ต้องก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง ผมบอกตั้งแต่วันที่ผมเข้ามาทำหน้าที่หัวหน้าพรรคว่า ผมต้องกวารทำให้พรรคประชาธิปัตย์ นั้น ก้าวไปอีกระดับหนึ่งคือ ไม่ใช่เป็นพรรคการเมืองที่เข้มแข็งในสภาในการเมืองระบบตัวแทน แต่เป็นพรรคการเมืองที่เข้มแข็งในระบบของประชาธิปไตยแบบประชาชนมีส่วนร่วม ผมต้องการให้คนมีความมั่นใจว่าพรรคประชาธิปัตย์เข้าใจถึงเงื่อนไขความเปลี่ยนแปลงของโลก และรู้ว่าการบริหารจัดการปัญหาของประเทศซึ่งทำไปทั้งเรื่องของการบริหารปัญหา แก้ไขปัยหาเรื่องของบ้านเมือง ควบคู่ไปกับรูปแบบการบริหารการเมืองที่เหมาะสม เราต้องเป็นแบบอย่างและต้องทำให้ได้ และเราต้องรู้ว่าเราต้องแข่งขันทั้งกับพรรคการเมืองคู่แข่ง และแข่งขันกับตัวเอง สำคัญที่สุดคือแข่งขันกับเวลา เวลานี้หลายปัญหาลุกลามเร็วกว่าทุกคนคาดคิด ทั้งในเรื่องของเศรษฐกิจ ทั้งในเรื่องของปัญหาความไม่สงบ แม้กระทั่งเรื่องของปัญหาการเมือง
เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมขอย้ำที่เป็นความคาดหวังจากการประชุมวันนี้ก็คือ ความตื่นตัว ความกระตือรื้อร้น และการตระหนักถึงภาระข้างหน้า และสิ่งที่ผมคาดหวังก็คือวันนี้เป็นเพียงวันเริ่มต้น การทำงานจะต้องเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และถ้าภาคกลางสามารถทำให้เห็นเป็นแบบอย่างได้ ก็คาดหวังว่าในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เราก้จะมีความพร้อมเช่นเดียวกัน เพื่อเสริมการทำงานที่เข้มแข็งของเราอยู่แล้วในภาคใต้ ผมขอให้กำลังใจทุกท่านที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการนี้ ขอให้ท่านได้ภาคภูมิใจเถอะครับ ว่าสิ่งที่ท่านกำลังทำและทำจากนี้ไปจะเป็นสิ่งที่มีความหมายและมีความสำคัญต่อบ้านเมืองและประเทศชาติ และชีวิตของคนไทยในวันนี้และในอนาคต และขอให้เรายึดมั่นอุดมการณ์ของเรา ซึ่งสูงสุดคือความศรัทธาในตัวพี่น้องประชาชนและการให้เกียรติพี่น้องประชาชนทุกคนในฐานะเจ้าของประเทศ ถ้ายึดมั่นตรงนี้และปรับปรุงตัวของเรา ผมเชื่อว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ ชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งหน้า 50 ส.ส.ในภาคกลางอยู่ไม่ไกลเกินไป ขอให้เริ่มต้นเดินตั้งแต่วันนี้และเดินด้วยความเข้มแข็งครับ ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 2 ก.ค. 2548--จบ--
ตามที่ท่านรองหัวหน้าพรรคได้กล่าวรายงานไปนั้น ผมอยากจะย้ำว่า วันนี้พรรคประชาธิปัตย์มีภาระหน้าที่ที่สำคัญยิ่ง บ้านเมืองของเรา สังคมของเรากำลังเผชิญกับปัญหามากมายส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอก แต่อีกส่วนหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเกิดขึ้นจากแนวคิดและการบริหารบ้านเมืองที่มีความผิดพลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักคิดต่าง ๆ ที่สวนทางกับอุดมการณ์ของประชาธิปไตย อุดมการณ์ที่เชื่อมั่นในพี่น้องประชาชน และให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ของพี่น้องประชาชน
ปัญหาที่สังคมของเราเผชิญอยู่ พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะพรรคการเมือง โดยเฉพาะการเมืองที่เป็นสถาบันยการเมืองที่มีมีความเก่าแก่มเป็นระยะเวลานาน มีความรับผิดชอบที่จะต้องร่วมแก้ไขและจะต้องสามารถทำให้บ้านเมืองและประเทศชาติของเรากลับไปสู่ทิศทางที่ถูกต้องให้ได้ ท่านรองหัวหน้าพรรคได้ใช้คำว่าเราจะต้องมีการต่อสู้ ใช้คำว่า ถึงขั้นแตกหัก ภายในปีพ.ศ. 2552 ผมเรียนว่าสิ่งที่ท่านพูดนั้นทำให้พวกเราทุกคนตระหนักถึงภาระหน้าที่ในงานการเมืองที่ต้องทำนับตั้งแต่วันนี้
ผมเข้ามาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคประชาธิปัตย์เมื่อปี 2535 เมื่อเดือนมีนาคม ท่านรองเพิ่งเตือนผมว่า ในวันนั้นทั้งกรุงเทพฯ และภาคกลาง มีส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ อีก 1 คน คือ ตัวผม แต่ว่าหลังจากนั้นเป็นต้นมา ด้วยการทำงานที่หนักหน่วงของผู้รับผิดชอบ โดยเฉพาะอดีตรองหัวหน้าพรรค ซึ่งวันนี้ทั้งท่านรองหัวหน้าเอนก ทับสุวรรณ และรองหัวหน้าโพธิพงษ์ ล่ำซำ ในการทำงานของท่านดร.อาทิตย์ ก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์นั้นมีความเข้มแข็งขึ้นมาโดยลำดับ ดูได้จากจำนวนสาขาพรรค และผู้สมัครของพรรค และคนทำงานที่ทำงานด้วยความขยันขันแข็งอย่างต่อเนื่อง โดยยึดมั่นในอุดมการณ์ของพรรค และแม้ว่าความสำเร็จในเชิงตัวเลขของส.ส.มีขึ้น มีลง และการเลือกตั้งครั้งล่าสุดเราได้จำนวน ส.ส. 7 ท่านจาก 97 เขตเลือกตั้ง แต่ว่าผมได้มีโอกาสพบปะกับพี่น้องในภาคกลางหลายจังหวัด ทัง้ในช่วงของการเลือกตั้งและหลังจากนั้น ผมมีความมั่นใจในพื้นฐานของความผูกพันธ์ระหว่างพี่น้องภาคกลางกับกับพวกเราชาวประชาธิปัตย์ แต่ภาระงานที่หนักหน่วงและรออยู่ข้างหน้า เพราะว่า การเมืองได้เปลี่ยนไป ท่านคงจำได้ว่าเมื่อเดือนเม.ย.ที่เรามีการประชุมใหญ่สามัญประจำปี ผมได้ย้ำให้เห็นว่า เมื่อการเมืองเปลี่ยนไป เหมือนกับเป็นการต่อสู่ แข่งขัน ในระบบ 2 พรรค หรือระบบน้อยพรรค
วันนี้ตัวเลขที่เราตั้งไว้ ต้องดูเป้าหมายสุดท้าย ถ้าเป้าหมายสุดท้ายก็คือ เรา ต้องการนำพาประเทศชาติกลับสู่การบริหารในทิศทางที่ถูกต้อง เราต้องสามารถที่ชนะการเลือกตั้งทั่วไปได้ ฉะนั้นท่านรองหัวหน้าพรรค ได้บอกกับผมครับว่า เที่ยวหน้าเป้าหมายจะมาบอกว่าเพิ่ม จำนวนส.ส.ให้มากขึ้นกว่าเดิมเท่านั้นไม่พอ อย่าว่าแต่จะเพิ่มเป็นเท่าตัว สองเท่าตัวเลยครับ เมื่อภาคกลางมี 97 เขตเลือกตั้งเป้าหมายของเราตั้งครั้งหน้าอย่างน้อยต้องได้ ส.ส. 50 คนครับ อย่าคิดว่าเป้าหมายนี้ทำไม่ได้ เพราะผมได้ย้ำแล้วว่าโดยพื้นฐานของพี่น้องประชาชนคนในภาคกลางมีความผูกพันกับอยู่กับพรรค เพียงแต่ว่าเป็นหน้าที่ของเราในช่วงจากนี้ไปครับ ที่ต้องพิสูจน์ตัวเองตลอดเวลาว่าเราเป็นพรรคการเมืองที่พี่น้องประชาชนพึ่งได้ ทำหน้าที่ในฐานะฝ่ายค้าน ที่มีความเข้มแข็งและเตรียมความพร้อมอยู่ตลอดเวลาในฐานะพรรคการเมืองที่จะสามารถเข้าไปบริหารราชการแผ่นดินได้ พร้อมด้วยนโยบายแนวคิด บุคลากรและความทุ่มเทในการทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน ดังนั้นวันนี้ผมรู้สึกยินดีและแสดงความชื่นชมที่ท่านรองหัวหน้าพรรคไม่ได้นิ่งนอนใจ และตระหนักถึงความเร่งด่วนในการที่ขับเคลื่อนกลไกทั้งหลายของพรรคไปสู่เป้าหมายนั้น เราปิดสมัยประชุมสภา สมัยแรกเมื่อวานนี้เอง วันนี้เราก็เริ่มต้นทำงานในแง่ของกิจกรรมต่างๆ ในทางการเมือง ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ก็จำเป็นต้องทำหนักหน่วงไม่แพ้กับงานที่เราทำในสภาผู้แทนราษฎร ผมจึงต้องขอแสดงความชื่นชมและขอขอบคุณที่พี่น้องประชาธิปัตย์ภาคกลางทั้งจากสาขาพรรค จากพื้นที่ต่างๆ ทั้งอดีตผู้สมัคร รวมไปถึงผู้หลักผู้ใหญ่ของพรรคที่มาให้กำลังใจได้มารวมพลเพื่อที่จะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น อันจะนำไปสู่การวางกลยุทธ์ การวางแผน และการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อนำมาหพรรคประชาธิปัตย์นั้นมีความเข้มแข็งทางการเมืองมากเป็นลำดับ และมุ่งสู่เป้าหมาย
สุดท้ายก็คือ มีบทบาทนำในการขับเคลื่อนประเทศไทยของเราให้ไปสู่ทิศทางที่ถูกต้อง เพื่อประโยชน์สุขพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ผมก็ขออวยพรให้การประชุมในวันนี้บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่พวกเราทุกคนมีความมุ่งมั่นตั้งใจในการทำงานในทางการเมืองของพวกเรา และขอเปิดการประชุมพรรคประชาธิปัตย์ภาคกลางครั้งที่ 1 ณ บัดนี้ ครับ
จากนั้นนายอภสิทธิ์ ได้กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “ก้าวใหม่ของพรรคประชาธิปัตย์และประเทศไทยว่า อย่างที่ผมได้กล่าวเริ่มต้นกระบวนการของการทำงานของพวกเราเพื่อขับเคลื่อนพรรคประชาธิปัตย์ในภาคกลางที่จะนำไปสู่เป้าหมายในชัยชนะในการเลือกตั้ง และในการเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาบริหารบ้านเมือง บริหารประเทศ ไปสู่ทิศทางที่ถูกต้องเพื่อความผาสุกของคนไทยทั้งประเทศ หลายท่านอาจจะมีความรู้สึกแปลกใจว่าทำไมเรามาประชุมสัมมนากัน ทั้งๆที่ ถ้าสภาอยู่ครบวาระเรายังมีเวลาตั้งเกือบ 4 ปีกว่าจะมีการเลือกตั้ง แต่ว่าวันนี้ครับที่ท่านรองหัวหน้าพรรค อลงกรณ์ ได้ดำเนินการและย้ำกับพวกเราทุกคนว่า งานของเราต้องเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้และทำต่อเนื่อง ก็เพราะว่าเรามองว่านี่คือรูปแบบแนวทางการทำงานทางการเมืองในยุคใหม่ที่จะสอดคล้องกับสิ่งที่ผมได้เคยเรียนกับพวกเราชาวประชาธิปัตย์
ตั้งแต่วันแรกที่ผมเข้าทำหน้าที่หัวหน้าพรรค คือ ได้รับการเลือกตั้งจากท่านทั้งหลายในการประชุมใหญ่วิสามัญ และได้ย้ำอีกอย่างน้อยๆ 2 โอกาส คือ ในการประชุมใหญ่สามัญประจำปี รวมไปถึงวันที่ผมได้รับโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เท่าที่ผมย้ำก็คือว่า การเมืองที่เราทำในยุคนี้จะต้องเป็นการเมืองที่ยั่งยืนและจะต้องเป็นการเมืองเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง 4 เดือนที่ผ่านมา ทั้งในฐานะที่กรรมการบริหารพรรคชุดใหม่เข้าทำหน้าที่ทั้งตลอด 4 เดือนของการทำหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎรในสมัยประชุมแรก ผมคิดว่าเราได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจในการที่จะสร้างการเมืองยุคใหม่ เราเป็นฝ่ายค้านครับ แต่ 4 เดือนที่ผ่านมา ผมคิดว่าคนมองเห็นและเข้าใจว่า การทำหน้าที่ฝ่ายค้านว่าเป็นการทำหน้าที่ที่สร้างสรรค์ได้ ไม่ใช่เป็นการทำหน้าที่อย่างที่พรรคการเมืองคู่แข่งพยายามที่จะกล่าวหาใส่ร้ายป้ายสีว่าเป็นเพียงการเล่นเกมการเมืองหรือเป็นเพียงการทำลายล้างกันทางการเมือง
ไม่ต้องดูอื่นไกลหรอกครับ ในช่วงที่ผ่านมา พรรคการเมืองคู่แข่งที่เขาเป็นรัฐบาลอยู่พรรคเดียว เขามีปัญหาภายในรุนแรงมาก แต่ท่านจะเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยคิดจะฉวยโอกาสจากปัญหาภายในที่เกิดขึ้นในส่วนของพรรครัฐบาล ผมไม่เคยส่งท่านเลขาธิการพรรคไปดำเนินงานทางการเมือง เพื่อจะไปเพิ่มเติม ซ้ำเติมปัญหาภายในพรรคไทยรักไทย เพื่อจะหวังผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหรืออะไรทั้งสิ้น แม้ในช่วงซึ่งที่มีการพิจารณาหรือลงมติในเรื่องสำคัญ ๆ อย่างที่ผ่านมาในช่วง2-3 สัปดาห์นี้ คือ ทั้งเรื่องแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ทั้งเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจ และทั้งเรื่องของการพิจารณางบประมาณ เราก็ไม่ได้ทำหน้าที่ในลักษณะที่ต้องการไปฉวยโอกาสจากปัญหาของเขา แต่เราเอาเนื้อหาสาระของประเด็นของบ้านเมืองเป็นตัวตั้ง และตลอดระยะเวลาของสมัยประชุมท่านจะเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้นำเสนอข้อคิด ความเห็นมากมาย ที่ถ้ารัฐบาลฉลาดที่จะรับฟังและรู้จักใช้ก็คงคลี่คลายปัญหาหลายปัญหาได้มากกว่านี้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เราได้นำเสนอรียกร้องอย่างเป็นรูปธรรมว่า ความผิดพลาดในอดีตยังแก้ไขได้ แต่ขอให้คำนึงถึงหลักการแก้ปัยหาที่ถูกต้องคือ การยอมรับความหลากหลายของเพื่อนคนไทยด้วยกัน และการเคารพกฎหมายจากทุกๆ ฝ่าย เรามีคนของเราเข้าไปร่วมในคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์ ผมนำเสนอในที่ประชุมสภาการแก้ไขปัญหาในแนวทางทั้งสิ้น 9 ข้อ น่าเสียดายว่า ทานนายกฯ ตอบรับในสภาในวันนั้น แต่ไม่ได้ตอบรับด้วยการกระทำที่ต่อเนื่อง ปัญหาความรุนแรงก็ยังไม่หมดลง มิหนำซ้ำยังดูว่าความรุนแรงเกิดบ่อยขึ้น ถี่ขึ้น ระดับความรุนแรงมากขึ้นด้วย เราเสนอแนะการแก้ปัยหาเรื่องราคาน้ำมัน ซึ่งถ้าทำตามที่เราเสนอวันนี้หนี้ของกองทุนน้ำมันไม่ใช่ 9 หมื่นล้านบาทนะครับ วันนี้จะลดไปแล้วเหลือประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท และถ้าทำตามที่เราเสนอวันนี้อาจจะนอนตัวได้เรียบร้อยแล้ว โดยราคาน้ำมันไม่สูงกว่านี้ เพราะเราได้คิด ให้ครบถ้วนในการนำเอาระบบภาษีสรรพสามิตเข้ามาปรับใช้กับสภาพของราคาน้ำมันที่ผันผวน แต่ก็อีกนั่นแหล่ะครับ เมื่อรัฐบาลตัดสินใจที่จะไม่ฟัง การแก้ปัญหาเรื่องนี้ก็จะมีความยืดเยื้อต่อไป สภาพความไม่แน่นอน ของภาคเอกชนในเรื่องของภาวะน้ำมันที่จะมากระทบกับเศรษฐกิจในภาพรวมความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่ได้รับจากราคาน้ำมันที่แพงแลพจะแพงขึ้นไปอีก รวมถึงราคาสินค้าที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็ซ้ำเติมภาวะต่างๆ มีข้อคิดข้อเสนอแนะอีกมากมายที่เราได้เสนอไปในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งถ้ารัฐบาลจะได้ใช้ประโยชน์จากกระบวนการของประชาธิปไตยที่มีความสร้างสรรค์ ผมก็มั่นใจว่า วันนี้หลายสิ่งหลายอย่างก็จะบรรเทาเบาบางลงไปได้ แต่เราก็ถือว่าเป็นสิทธิของรัฐบาล ของคนที่กุมเสียงข้างมาก ที่จะตัดสินใจ แต่เมื่อตัดสินใจแล้วก็ต้องรับผิดชอบ กระบวนการที่เราทำมา 3-4 เดือน ทั้งในแง่ของการอภิปรายในโอกาสต่างๆ การนำเสนอญัตติ หรือแม้กระทั่งการตั้งกระทู้ถามก็จึงมุ่งเน้นในการที่จะช่วยให้รัฐสภา เป็นกลไกสำคัญในการที่จะถ่ายทอดความทุกข์ของประชาชนเป็นเวทีของการนำไปสู่กระบวนการแก้ไขปัญหาบนพื้นฐานของหลักการประชาธิปไตย แต่แน่นอนอะไรที่รัฐบาลทำไม่ถูกต้องก็เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องตรวจสอบ ปีนี้เป็นปีแรกที่เราต้องยกเว้นธรรมเนียมประเพณีที่ไม่เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจในสมัยประชุมแรกที่รัฐบาลเข้าทำงานเพราะกรณีของโครงการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิด ซีทีเอ๊กซ์ในโครงการสนามบินสุวรรณภูมิเป็นเรื่องอื้อฉาว มีเอกสารหลักฐานชัดเจน ที่บ่งบอกถึงการทุจริต แต่ผู้เกี่ยวข้องได้ละเลยไม่ดำเนินการ สัปดาห์ที่ผ่านมาเราก็ได้พิสูจน์ให้เห็นครับว่าในยุคนี้พรรคการเมืองฝ่ายค้านเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้นต้องเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจบนความหนักแน่นของข้อมูล เอกสาร หลักฐานต่าง ๆ
คนของท่านทั้งหลาย อย่างน้อยๆ 2 ท่าน คือ ท่านส.ส.อลงกรณ์ พลบุตร และส.ส. ชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ทำงานหนักมากครับ ผมขอยืนยันและได้อภิปรายไม่ไว้วางใจในวันจันทร์ที่ผ่านมานั้น บนพื้ฯบานของการเมืองยุคใหม่ที่เราพูด คือ การเรียบเรียงข้อเท็จจริง เอกสาร หลักฐานต่างๆ เพื่อพิสูจน์ว่า เรามีเหตุผลเพียงพอที่จะบอกว่ารัฐมนตรีไม่สมควรดำรงอยู่ในตำแหน่งต่อไป และท่านเห็นไหมครับ ยุคนี้เป็นยุคที่ฝ่ายค้านใช้เอกสารของทางการมากกว่ารัฐบาล ผมไม่เชื่อหรอกว่าว่ารัฐบาลไม่เคยเห็นเอกสารที่พวกเราเอามา แต่ว่า เห็นแล้วรู้แล้วว่าเอกสารนี้มันบ่งบอกชัดเจนถึงความผิดที่เกิดขึ้น มันบ่งบอกชัดเจนถึงการไม่ดำเนินการอะไรที่ถูกที่ควร จึงไม่เอาเอกสารเหล่านี้มา แต่พวกเราทำงานกันอย่างหนักเพื่อที่จะไปเอาเอกสารเหล่านี้มาเพื่อให้ประชาชนเจ้าของประเทศได้รับทราบ เป็นไปได้อย่างไรครับ การซื้อของแพงขึ้น 2 ทอด รวม 1,200 ล้าน รัฐบาลทำได้แค่มาเล่าให้ฟังว่าราคาที่สูงขึ้นเป็นเพราะอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไม่มีเอกสาร หลักฐานอะไรเลย มายืนยันว่ามันเป็นอย่างนั้น ในขณะที่ฝ่ายค้านจะกล่าวหาไปเอาสัญญาเอกสารที่ทางการรับรองมาพิสูจน์ให้เห็นว่ามันบวกราคาเข้าไปเฉย ๆ โดยที่ไม่มีเนื้องานเพิ่มขึ้น เป็นไปได้อย่างไรครับ กลับเป็นฝ่ายค้านที่ไปเอาใบเอกสารต่างๆ เกี่ยวข้องกับการเบิก-จ่าย เงินในโครงการมาให้เห็นว่ามันต้องมีการอนุมัติกันอย่างไร แล้วจ่ายเงินไปแล้ว 1,500 ล้าน ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าของไม่สามารถส่งมาได้ตามสัญญา รวมไปถึงเงินอย่างน้อยๆ 1,500 ล้าน ที่อนุมัติไปหลังจากที่รู้แล้วอย่างชัดแจ้ง ขณะที่รัฐบาลทำได้ก็คือ เอาใบขนส่งของเอกชชนมา เอาชาร์จตั้งแป๊บเดียวแล้วก็รีบเอาลง จนพวกผมต้องไปทวงท่านประธาน ขอดูหน่อย ที่บอกว่า ใบที่ขนมาประเทศไทย ดูหน่อย ดูแล้วพบว่า ขนจากโรงงานไปโกดังสินค้าในสหรัฐ คุณกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ลงทุนโทรศัพท์ทางไกลไปเลย ไปหาบริษัทให้เขายืนยัน ซึ่งเขาก็ยืนยันมาตามข้อเท็จจริงที่เราพูด นี่คือ สิ่งที่บ่งบอกว่ายุคนี้ต้องทำงานกันด้วยความรัดกุมบนพื้นฐานของความเป็นจริง และการลงมติผ่านพ้นไปแล้ว รัฐบาลก็มีเสียงข้างมากก้สามารถที่จะใช้เสียงข้างมากนั้นในการที่จะไว้วางใจท่านรัฐมนตรี ผมได้ย้ำในวันนี้ครับ เป้าหมายเราไม่ใช่ว่าไปล้มล้างรัฐบาลไปขับไสไล่ส่งใคร ท่านจึงเห็นว่าอภิปรายผ่านพ้นไปเราก็ไม่ได้หยุด เป้าหมายเราคือ ต้องเอาคนโกงมาลงโทษให้ได้ เราจึงไปร้องทุกข์ กล่าวโทษ และจะติดตามเรียกร้องต่อไปว่ารัฐบาลเดินหน้าโดยอาศัยกระบวนการทางอาญา ใช้สนธิสัญญาที่มีอยู่กับสหรัฐฯเอาข้อมูล ข้อเท็จจริงมาทั้งหมดว่าใครเกี่ยวข้องแล้วดำเนินคดี เราให้เวลารัฐบาลครับ คระทำงาน จะเป็นพนักงานสืบสวน สอบสวน จะเป็นทางอัยการ เราก็คงต้องให้เวลาท่านตามสมควร แต่ถ้ายังไม่ทำนะครับ ขั้นต่อไปถือว่าฝ่าฝืนกฎหมาย ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ถ้าทำอย่างนั้นขั้นต่อไปก็คือกระบวนการถอดถอน และผมเตือนรัฐบาลว่าอย่าตายใจเลยครับว่าเสียงฝ่ายค้านมีไม่ถึง 125 เสียง เพราะผมบอกได้เลยว่าจากข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ออกมามีประชาชนมากกว่า 5 หมื่นคนที่พร้อมที่จะเข้าชื่อพร้อมที่จะถอดถอนถ้าท่านยังไม่ดำเนินการ เพราะฉะนั้นนี่คือ สิ่งที่เราแสดงให้เห็นว่า การทำงานของเรามันไม่ใช่เพื่อเป้าหมายการเมืองวันนี้ พรุ่งนี้ แต่เราต้องการทำงานการเมืองเพื่อให้เกิดความถูกต้องและเราจะงานร่วมกับพี่น้องประชาชนที่รักความถูกต้อง เพื่อที่จะดำเนินการสิ่งเหล่านี้ต่อไป
ส่วนตัวบุคคลตนนั้น ผมได้เสนอท่านนายกฯไปแล้วว่าท่านจะปรับหรือไม่ปรับมันเป็นสิทธิของท่าน แต่ที่ผมเตือนท่านนายกฯ ไปก็คือว่า ผมไม่ได้สนใจผลทางการเมือง แต่ผมไม่เชื่อว่าถ้าท่านฝืนกระแสความรู้สึกของประชนชนแล้วท่านจะบริหารบ้านเมืองได้ การบริหารบ้านเมืองยุคนี้ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเชื่อมั่น ความศรัทธา ความนิยมของประชาชน แต่ถ้าหากว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีความไว้วางใจ ไม่มีความเชื่อถือ ไม่มีความเชื่อมั่น การแก้ปัญหาจะยาก เพราะความร่วมมือที่จะเกิดขึ้นจากทุกภาคส่วนในสังคมจะไม่มีปรากฎ เอาล่ะครับ ก็ต้องรอดูกันต่อไปว่าท่านนายกฯจะดำเนินการต่อไปอย่างไร แต่ว่าถ้าท่านไม่ดำเนินการสนองตอบต่อสิ่งที่เป็นความรู้สึก ความคาดหวังของประชาชน ผมว่ามันจะมีคำถามตามมาอีกเยอะๆ ว่า ที่สุดกระบวนการการทุจริตที่เกิดขึ้นมันไปเกี่ยวข้องกับใคร อย่างไร หรือ จึงแตะ จึงต้อง จึงขยับ จึงขยาย อะไรไม่ได้เลย และตรงนั้นก็จะเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้รัฐบาลทำงานด้วยความยากลำบาก ฉะนั้นวันนี้จะพิสูจน์คำพูดท่านนายกฯ ที่เคยพูดมาตลอดเองว่าจะคำนึงถึงเรื่องของปัยจัยทางการเมือง บุคคลแวดล้อมหรือจะคำนึงถึงสิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุดของประเทศในทางการเมือง
ผมอยากจะย้ำว่า การทำงานของพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะฝ่ายค้าน ก็จะต้องทำในเรื่องของบทบาทของตรวจสอบของการเสนอแนะอย่างต่อเนื่องต่อไป ดังที่ผมได้พูดไปแล้วว่า เป้าหมายของพวกผมไม่ใช่ที่จะไปล้มล้างใคร แต่ต้องการชี้ให้เห็นว่า บ้านเมืองนี้ มีทางเลือก และมีทางเลือกที่ดีกว่า ผมอยากจะย้ำกับท่านทั้งหลายเป็นพิเศษในวันนี้ก็คือว่า นับวันครับ เหตุการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้น ปัญหาที่รุมเร้าในบ้านเมืองของเรา กำลังพิสูจน์ว่าหลักคิดพื้นฐานของคนประชาธิปัตย์ ของนักประชาธิปไตยมันไม่ผิดหรอก ที่เขาเคยมาบอกว่านักการเมืองอาชีพ พรรคการเมืองที่เป็นสถาบันการเมืองทำงานการเมืองตลอด ทำงานในยุคนี้ไม่ได้แล้ว ต้องเฉพาะคนที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจเท่านั้นถึงจะมาบริหารในยุคนี้ได้ วันนี้หลายเหตุการณ์มันพิสูจน์แล้วครับว่าไม่ใช่ เพราะการบริหารประเทศคือการทำงานกับคนทั้งประเทศ หลายสิบล้านคน ที่มีความหลากหลายและที่สำคัญคือมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มากไปกว่าที่จะหมกหมุ่นอยู่กับเรื่องของเงิน เพราะคิดง่าย ๆ ว่าการแก้ไขปัญหาความมั่นคงสามารถตีตารางกำไร ขาดทุน เหมือนบัญชีธุรกิจ 3 จังหวัดและจังหวัดต่อเนื่องถึงได้วุ่นวายไม่สงบถึงทุกวันนี้
คิดว่าเหลือโจรเท่าไหร่ ต้องปราบเดือนละกี่คน กี่เดือนเสร็จ นั่นคือที่มาของปัญหาที่ลุกลามวันนี้ เพราะคิดว่าเอาแบบจำลองทางธุรกิจ มาปรับใช้กับการบริหารเศรษฐกิจได้ วันนี้เราจึงมีปัญหาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นในพี่น้องประชาชนหลายกลุ่ม ผมเพิ่มอภิปรายให้เห็นไปในช่วงของงบประมาณ ที่ไปเอาแบบจำลองของทางธุรกิจบอกว่า สินค้าตัวนี้ดีส่งเสริม สินค้าตัวนี้ไม่ดีให้ยกเลิกไปมาปรับใช้กับภาคเกษตรในประเทศไทยแล้วบอกว่าอุตสาหกรรมการเกษตรหรือภาคการเกษตรบางภาคไม่ทำกำไร ต้องฆ่าทิ้ง หอม กระเทียม ข้าวโพด นั่นคือความไม่เข้าใจครับว่า นั่นคือความไม่เข้าใจว่าเศรษฐกิจไม่ใช่ธุรกิจ มันผูกพันไปถึงวิถีชีวิตคน และวันนี้เกษตรกรภาคเหนือที่ปลูกหอม กระเทียม ข้าวโพด คำว่าฆ่าทิ้งคือ ไปบอกให้เขาเปลี่ยนอาชีพ นั่นคือความไม่เข้าใจว่า มันหมายถึงกระทบกระเทือนวิถีชีวิตของเขาหลายชั่วคน ที่น่าเจ็บใจก็คือว่า บริหารเศรษฐกิจไม่เหมือนธุรกิจ ก็ตรงที่ว่า สินค้าที่ไปบอกว่าตัวไหนกำไร ตัวไหนขาดทุนมันมาจากนโยบายของรัฐบาลเอง เพราะที่หอม กระเทียม ข้าวโพดมีปัญหา ก็เพราะรัฐบาลเลือกไปทำเขตการค้าเสรีกับประเทศจีน เหมือนพี่น้องภาคกลางครับ ผลไม้ก็กระทบกระเทือน และอุตสาหกรรมโคนมก็จะได้รับการกระทบกระเทือนจากข้อตกลงเขตการค้าเสรีที่รัฐบาลไปทำ และอยู่ดีดีก็หันกลับมาบอกว่า อุตสาหกรรมเหล่านี้ ภาคการผลิตเหล่านี้ไปไม่ได้ ต้องฆ่าทิ้ง นี่คือสิ่งที่จะซ้เติมปัญหาต่างๆ และการบริหารในการขับเคลื่อนเรื่องของนโยบายต่างๆ มันจะใช้หลักคิดว่า ข้าพเจ้าเคยเป็นผู้บริหารสูงสุดในองค์กร สั่งชี้นิ้วแล้วทุกอย่างต้องเดินตาม และแปลว่าจะสำเร็จมันก็ไม่ใช่
ท่าน นายกฯแสดงอาการโกรธเคืองมากนะครับ การอภิปรายงบประมาณ ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา มาโกรธวาพวกเราเป็นคนเอาความจริงมาพูด ซึ่งไปกระทบกระเทือนตัวท่าน แต่ผมเข้าใจว่าท่านโกรธอีกหลายเรื่องก็คือ เราเอาความล้มเหลวมาฟ้อง เรื่องอีลิทการ์ด ที่นายกฯ บอกเป็นความคิดเริ่ดหรู ของท่านทำให้ประเทศไทยรับเงินเหนาะๆ ล่วงหน้าหนึ่งล้านล้านบาท เพราะจะขายบัตรนี้ได้ 1 ล้านใบ ใน 2-3 ปี ปรากฏว่า ผ่านมา 3-4 ปี ขระนี้ขายได้ 800 ใบ ทุมเงินไปทำกรุงเทพเมืองแฟชั่น ผลิตเสื้อ ผลตกางเกง ยี่ห้อไทโก้ ตอนนี้ยังขายได้ไม่ถึงครึ่ง ทำบริษัทลองแสตท์ขาดทุนต่อเนื่องทุกปี และขณะนี้รายได้ไม่คุ้มกับรายจ่ายที่ทำไปในเรื่องของการทำระบบการบริหารจัดการขึ้นมา ไม่นับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับค้าปลีกเข้มแข็ง เอสเอ็มอี ซึ่งถามว่าหลักคิดเป้าตอนต้นดีไหมผมก็บอกว่าดี แต่ว่าความล้มเหลวมันฟ้องการบริหารงานไม่เป็น มันไม่ได้ฟ้องว่าความคิดท่านนายกฯ ผิด แตมันพิสูจน์ว่าท่านบริหารไม่เป็นครับมันถึงล้มเหลว ที่บริหารไม่เป็นเพราะมันไม่เหมือนบริหารธุรกิจ เพราะโครงการเหล่านี้จำเป็นต้องรับฟังผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเพื่อให้เกิดการวางแผนที่ถูกต้อง เพื่อนำไปสู่เป้าหมายให้ได้ แต่ท่านไม่ทำ หรือท่านทำไม่เป็น โครงการไหนเกี่ยวสกับการท่องเที่ยว เคยไปฟังคนที่เขาอยู่งานการท่องเที่ยวจริงๆจังไหม ทั้งฝ่ายราชการ ทั้งฝ่ายเอกชน ถ้าคิดว่าเพียงจะแสดงว่า ฉันรู้ ฉันสั่ง แล้วทุกคนต้องทำได้ มันเป็นไปไม่ได้ และตุลาคมนี้เราก็จะได้เห็นการปรับเปลี่ยนกระทรวง ทบวง กรมอีกรอบ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำเที่ยวนี้ก็จะนำไปสู่โครงสร้างที่จะมีประสิทธิภาพความยั่งยืนหรือไม่
สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ครับ คือ สิ่งที่มันบ่งบอกว่า บ้านเมืองจะต้องเผชิญปัญหาที่รุนแรงขึ้น เนื่องจากหลักคิดและวิธีการบริหารมันไม่สอดคล้องกับยุคสมัยปัจจุบัน แต่ความผิดพลาด ความล้มเหลวของรัฐบาลมันไม่เพียงพอหรอกครับที่จะให้คนมาเกิดความเชื่อมั่นมา ความศรัทธาในพรรคประชาธิปัตย์ ที่จะต้องเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่ง เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราจะต้องทำนอกเหนือจากการหน้าที่ปกติ และชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลต้องมีการปรับตัวแก้ไขอะไรแล้ว คือการพิสูจน์ให้พี่น้องประชาชนเห็นว่าเราเองมีความพร้อม ผมพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า จนถึงวันนี้ประชาชนจำนวนมากก็ยังมองว่าเราไม่พร้อม เราต้องทำอีกเยอะ แต่ผมมั่นใจว่า หลักคิด พื้นฐานของเรา อุดมการณ์ของเราทั้งในเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ สังคม มันถูกต้องนั่นมันเป็นทุนของเราที่เป็นทุนที่มีความสำคัญ แต่เรากินทุนเก่าไม่ได้ครับ เรามีแต่ต้องเพิ่มทุน เรามีแต่ต้องขยาย เรามีแต่ต้องเพิ่มทุนศักยภาพ ทักษะต่าง ๆ เราถึงจะต้องเดินหน้าทำหลายอย่าง ตุลาคมนี้เราถึงจะต้องสร้างเวทีที่เป็นเวทีประวัติศาสตร์ เชื่อมโยงการเมืองของพรรคการเมือง กับการเมืองภาคประชาชนผ่านสิ่งที่เรียกว่าสมัชชาประชาชน จัดโดยภาคประชาชน เราจึงต้องทำงานกันอย่างหนัก ในแง่ของการที่จะนำเอาหลักทั้งในการคิด อุดมการณืทางการเมืองมาผสมผสานกับหลักการทางการจัดการที่มีประสิทธิภาพถูกต้อง แข่งขันได้ ซึ่งหมายถึงการทำงานไม่เพียงเฉพาะกรรมการบรหารพรรคในส่วนกลาง แต่หมายถึงทั้งสาขาพรรค หมายถึงทั้งสมาชิกของพรรคทั่วประเทศ ผมดีใจที่ท่านรองหัวหน้าพรรคที่รับผิดชอบภาคกลาง คือ ท่านรองอลงกรณ์ ให้ความสำคัญ กับเรื่องนี้อย่างจริงจัง
วันนี้คงจะได้มีการมาถกกันในเรื่องของแผนการทำงาน 4 ปี 97 เขตเลือกตั้ง 26 จังหวัดที่ต้องประสานสอดคล้องและต้องทำแบบมืออาชีพ ทำอย่างรู้เท่าทัน ความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในโลก และทำอย่างมีประสิทธิภาพ ผมยืนยันว่าภาระตรงนี้หนักหน่วงมากสำหรับพรรคประชาธิปัตย์นะครับ เพราะในอดีตที่ผ่านมาสิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีการทำอย่างจริงจังในพรรคการเมือง พรรคอย่างประชาธิปัตย์ ซึง่มีอุดมการณ์ที่เข้มข้นเรื่องประชาธิปไตย มีทุนรอนน้อย พูดกันอย่างตรงไปตรงมา ก็ทำ บอกว่าทำแบบเท่าที่เราทำได้ มันไม่เพียงพอสำหรับประเทศชาติในยุคนี้ พรรคคู่แข่งของเราซึ่งเขามีความพร้อมด้านทุน เทคโนโลยีหรืออะไรทุกอย่าง เขาทำไม่ได้ เพราะเขาขาดอุดมการณ์ ที่มันสอดรับกับความเป็นจริงของการบริหารงานทางการเมือง เพราะฉะนั้นจุดที่เราต้องทำในการแข่งขันคือสิ่งที่เราขาดเราต้องขึ้นมาให้ได้ เราอาจจะมีเวลา 4 ปี หรือสั้นกว่า 4 ปีแต่เราต้องเร่งทำ
ซึ่งแนวคิดที่จะมีการเสนอในวันนี้ ทั้งท่านเลขาธิการพรรค ทั้งท่านรองหัวหน้าพรรค ทั้งท่านที่ปรึกษาทั้งหลาย ซึ่งผมได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้วยคงจะทำให้ท่านเห็นภาพไม่มากก็น้อยว่า ประชิปัตย์ต้องก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง ผมบอกตั้งแต่วันที่ผมเข้ามาทำหน้าที่หัวหน้าพรรคว่า ผมต้องกวารทำให้พรรคประชาธิปัตย์ นั้น ก้าวไปอีกระดับหนึ่งคือ ไม่ใช่เป็นพรรคการเมืองที่เข้มแข็งในสภาในการเมืองระบบตัวแทน แต่เป็นพรรคการเมืองที่เข้มแข็งในระบบของประชาธิปไตยแบบประชาชนมีส่วนร่วม ผมต้องการให้คนมีความมั่นใจว่าพรรคประชาธิปัตย์เข้าใจถึงเงื่อนไขความเปลี่ยนแปลงของโลก และรู้ว่าการบริหารจัดการปัญหาของประเทศซึ่งทำไปทั้งเรื่องของการบริหารปัญหา แก้ไขปัยหาเรื่องของบ้านเมือง ควบคู่ไปกับรูปแบบการบริหารการเมืองที่เหมาะสม เราต้องเป็นแบบอย่างและต้องทำให้ได้ และเราต้องรู้ว่าเราต้องแข่งขันทั้งกับพรรคการเมืองคู่แข่ง และแข่งขันกับตัวเอง สำคัญที่สุดคือแข่งขันกับเวลา เวลานี้หลายปัญหาลุกลามเร็วกว่าทุกคนคาดคิด ทั้งในเรื่องของเศรษฐกิจ ทั้งในเรื่องของปัญหาความไม่สงบ แม้กระทั่งเรื่องของปัญหาการเมือง
เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมขอย้ำที่เป็นความคาดหวังจากการประชุมวันนี้ก็คือ ความตื่นตัว ความกระตือรื้อร้น และการตระหนักถึงภาระข้างหน้า และสิ่งที่ผมคาดหวังก็คือวันนี้เป็นเพียงวันเริ่มต้น การทำงานจะต้องเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และถ้าภาคกลางสามารถทำให้เห็นเป็นแบบอย่างได้ ก็คาดหวังว่าในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เราก้จะมีความพร้อมเช่นเดียวกัน เพื่อเสริมการทำงานที่เข้มแข็งของเราอยู่แล้วในภาคใต้ ผมขอให้กำลังใจทุกท่านที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการนี้ ขอให้ท่านได้ภาคภูมิใจเถอะครับ ว่าสิ่งที่ท่านกำลังทำและทำจากนี้ไปจะเป็นสิ่งที่มีความหมายและมีความสำคัญต่อบ้านเมืองและประเทศชาติ และชีวิตของคนไทยในวันนี้และในอนาคต และขอให้เรายึดมั่นอุดมการณ์ของเรา ซึ่งสูงสุดคือความศรัทธาในตัวพี่น้องประชาชนและการให้เกียรติพี่น้องประชาชนทุกคนในฐานะเจ้าของประเทศ ถ้ายึดมั่นตรงนี้และปรับปรุงตัวของเรา ผมเชื่อว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ ชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งหน้า 50 ส.ส.ในภาคกลางอยู่ไม่ไกลเกินไป ขอให้เริ่มต้นเดินตั้งแต่วันนี้และเดินด้วยความเข้มแข็งครับ ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 2 ก.ค. 2548--จบ--