1. ญี่ปุ่นเป็นตลาดนำเข้าสำคัญอันดับ 4 ของโลก รองจาก สหรัฐฯ จีน และเยอรมนี โดยมีมูลค่าการนำเข้า 247,924.127 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.65 (ม.ค.-มิ.ย. 2548) ปี 2547 ญี่ปุ่นเป็นตลาดนำเข้าสำคัญอันดับ 6 ของโลก รองจาก สหรัฐฯ เยอรมนี จีน ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักร โดยมีมูลค่าการนำเข้า 455,661.441 ล้านเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.86 2. แหล่งนำเข้าสำคัญของญี่ปุ่น ในเดือนมกราคม — มิถุนายน 2548 - จีน มูลค่า 52,585.460 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วนร้อยละ 21.32 เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.04 - สหรัฐฯ มูลค่า 31,820.669 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วนร้อยละ 12.84 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.05 - ซาอุดิฯ มูลค่า 12,215.049 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วนร้อยละ 4.93 เพิ่มขึ้นร้อยละ 52.76 - เกาหลีใต้ มูลค่า 11,849.329 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วนร้อยละ 4.78 เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.70 ไทยอยู่อันดับที่ 10 มูลค่า 7,758.063 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วนร้อยละ 3.13 เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.51 3. ดุลการค้า ประเทศญี่ปุ่นได้เปรียบดุลการค้าในเดือนมกราคม — มิถุนายน 2548 เป็นมูลค่า 42,570.942 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 24.96 ดังตัวอย่างสถิติต่อไปนี้ตารางเปรียบเทียบดุลการค้าของประเทศญี่ปุ่นเดือนมกราคม — มิถุนายน 2548 ลำดับที่ ประเทศ 2546 2547 2548 อัตราการเปลี่นแปลง(%) มูลค่า: ล้านเหรียญ สหรัฐ 47/46 48/47 ทั่วโลก 36,533.07 56,730.36 42,570.94 55.28 -24.96 1 สหรัฐฯ 26,956.10 30,326.82 33,977.40 12.50 12.04 2 ฮ่องกง 13,056.91 16,396.67 16,365.34 25.58 -0.19 3 จีน -8,975.56 -8,701.19 -15,806.93 -3.06 81.66 4 ไต้หวัน 7,152.25 11,383.49 13,546.51 59.16 19.00 5 เกาหลีใต้ 7,603.92 10,924.60 10,703.46 43.67 -2.02 16 ไทย 1,647.96 2,744.91 3,463.54 66.56 26.18ที่มา : WTA Japan Customs 4. ญี่ปุ่นเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับ 2 ของไทยโดยมีสัดส่วนการส่งออกไปตลาดนี้ร้อยละ 14.36 ของมูลค่าการส่งออกโดยรวมในเดือนมกราคม - มิถุนายน 2548 การส่งออกสินค้าไทยไปญี่ปุ่นในเดือน มกราคม - มิถุนายน 2548 มีมูลค่า 7,440.09 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.90 หรือคิดเป็นร้อยละ 45.77 ของเป้าหมายการส่งออกที่มูลค่า 16,252 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.90 5. สินค้าไทยส่งออกไปญี่ปุ่นในเดือนมกราคม — มิถุนายน 2548 25 อันดับแรกมีสัดส่วนรวมกันร้อยละ 62.04 ของมูลค่าการส่งออกโดยรวมไปตลาดนี้ สินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นมากกว่า ร้อยละ 100 มี 3 รายการสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 50 มี 1รายการ และสินค้าที่มีมูลค่าลดลงมากกว่าร้อยละ 20 มี 2 รายการดังสถิติต่อไปนี้ สถิติการส่งออกสินค้าไทยไปญี่ปุ่นที่มีมูลค่าการเปลี่ยนแปลงสูง ตลาด อันดับที่ มูลค่า : ล้านเหรียญสหรัฐ มูลค่าการ %การ สัดส่วน ร้อยละ 2548 ม.ค.-มิ.ย.47 ม.ค.-มิ.ย.48 เปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลง 2547 ม.ค.-มิ.ย. 1. สินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกไปญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 100 มี 3 รายการ - เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ 7 97.58 207.75 110.17 112.90 1.19 2.79 - ไก่แปรรูป 12 75.83 156.43 80.60 106.28 1.89 2.10 - เม็ดพลาสติก 19 41.03 113.08 72.05 175.61 0.93 1.52 2. สินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกไปญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 50 มี 2 รายการ - แผงวงจรไฟฟ้า 1 312.26 509.30 197.04 63.10 5.58 6.85 3. สินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกไปญี่ปุ่นลดลงมากกว่าร้อยละ 20 มี 2 รายการ - อุปกรณ์กึ่งตัวนำทรานซิสเตอร์และไดโอด 8 259.29 189.71 -69.58 -26.84 3.58 2.55 - เครื่องโทรสาร โทรพิมพ์ โทรศัพท์ 24 151.72 97.36 -54.36 -35.83 1.90 1.31 รวบรวมโดย : ศูนย์สารสนเทศการค้าระหว่างประเทศจากสถิติการส่งออกดังกล่าวมีข้อสังเกต ดังนี้ 1) เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ (HS 8415) Air Conditioning ไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับที่ 2 ของโลก ผู้ส่งออกหลักคือ จีน ในด้านการนำเข้าของญี่ปุ่น (ม.ค-มิ.ย 48) มูลค่า 853.095 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 39.87 มีการนำเข้าจาก จีน ไทย มาเลเซีย เป็นหลัก การนำเข้าจากไทยอยู่อันดับที่ 2 สัดส่วนร้อยละ 23.90 มูลค่า 203.889 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 83.74 2) ไก่แปรรูป (HS. 160232) O Chick Prepar / pres. ไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับที่ 2 ของโลก ผู้ส่งออกหลักคือ จีน ในด้านการนำเข้าของญี่ปุ่น (ม.ค-มิ.ย 48) มูลค่า 494.439 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 102.82 มีการนำเข้าจาก จีน ไทย และบราซิล เป็นหลัก การนำเข้าจากไทยอยู่อันดับที่ 2 สัดส่วนร้อยละ 45.30 มูลค่า 223.968 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 120.81 3) เม็ดพลาสติก (HS. 3901) Ethylene, Primary Form ไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับที่ 12 ของโลก ผู้ส่งออกหลักคือ สหรัฐฯ เบลเยี่ยม แคนาดา ในด้านการนำเข้าของญี่ปุ่น (ม.ค-มิ.ย 48) มูลค่า 161.361 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 60.13 มีการนำเข้าจาก สหรัฐฯ ซาอุดิอาระเบีย ไทย เป็นหลัก การนำเข้าจากไทยอยู่อันดับที่ 3 สัดส่วนร้อยละ 16.22 มูลค่า 26.164 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 161.92 4) แผงวงจรไฟฟ้า (HS. 8542) Integrated Circuits ไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับที่ 14 ของโลก ผู้ส่งออกหลักคือ สิงคโปร์ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น ด้านการนำเข้าของญี่ปุ่น (ม.ค-มิ.ย 48) มูลค่า 8,645.520 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 7.50 มีการนำเข้าจาก ไต้หวัน สหรัฐฯ เกาหลีใต้ เป็นหลัก การนำเข้าจากไทยอยู่อันดับที่ 8 สัดส่วนร้อยละ 3.20 มูลค่า 276.235 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 38.07 5) อุปกรณ์กึ่งตัวนำทรานซิสเตอร์และไดโอด (HS. 8541) Semi Con DV ; L — EMT Diodไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับ 12 ของโลก ผู้ส่งออกหลักคือ ญี่ปุ่น สหรัฐฯ จีน ในด้านการนำเข้าของญี่ปุ่น (ม.ค-มิ.ย 48) มูลค่า 1,263.413 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.51 มีการนำเข้าจาก จีน มาเลเซีย สหรัฐฯ เป็นหลัก การนำเข้าจากไทยอยู่อันดับที่ 5 สัดส่วนร้อยละ 10.21 มูลค่า 128.970 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 1.25 6) เครื่องโทรสาร โทรพิมพ์ โทรศัพท์อุปกรณ์และส่วนประกอบ (HS 8517) LN TELEPH, ETC EL ไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับ 19 ของโลก ผู้ส่งออกหลักคือ จีน สหรัฐฯ ฮ่องกง ในด้านการนำเข้าของญี่ปุ่น (ม.ค-มิ.ย 48) มูลค่า 1,183.477 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.92 มีการนำเข้าจาก จีน ไต้หวัน สหรัฐฯ เป็นหลัก การนำเข้าจากไทยอยู่อันดับที่ 4 สัดส่วนร้อยละ 8.89 มูลค่า 105.258 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 16.94 6. ข้อมูลเพิ่มเติมและข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการค้าระหว่างไทย — ญี่ปุ่น แม้ว่าสภาพธุรกิจโดยรวมจะมีการปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่อัตราการขยายตัวกลับเริ่มลดลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2547 และต่อเนื่องมาถึงช่วงครึ่งปีแรกของปี 2548 อย่างไรก็ตาม การปรับตัวของสภาพธุรกิจน่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้นอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี 2548 หอการค้าญี่ปุ่น กรุงเทพฯ (JCCB) ได้จัดทำการสำรวจแนวโน้มทางเศรษฐกิจของบริษัทร่วมทุนในประเทศไทยไตรมาสที่ 2 ปี 2548 ขึ้นโดยสำรวจจากบริษัทสมาชิกของ JCCB จำนวน 1,220 บริษัท ซึ่งสรุปผลสำรวจได้ ดังนี้ - ตลาดส่งออกที่มีอนาคตสดใสได้แก่ ตลาดอาเซี่ยน (ยกเว้นเวียดนาม กัมพูชา ลาว และพม่า) จะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง รองลงมาคือ ญี่ปุ่นและจีน ตามลำดับ - ปัจจัยที่อาจมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในอนาคตในระยะ 1-2 ปี หลังจากนี้ คือ การเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบ (รวมทั้งน้ำมันเชื้อเพลิง) การเพิ่มขึ้นของราคาวัตถุดิบ เช่น เหล็ก และสินค้าขั้น-กลางที่ใช้ในการผลิต (ไม่รวมน้ำมันดิบและเชื้อเพลิง) รวมถึงการข้ามผ่านยุคทองของการขยายตัวด้าน การบริโภคและการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ในประเทศ - ปัญหาด้านการบริหารที่สำคัญ 3 อันดับแรก ได้แก่ ราคาวัตถุดิบพุ่งสูงขึ้น การแข่งขันกับ-บริษัทอื่นที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น และการขาดแคลนบุคลากรโดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริหาร (ด้านการบริหารจัดการ) และกลุ่มวิศวกร (ช่างเทคนิค) เพื่อรักษาศักยภาพในการแข่งขัน ญี่ปุ่นจึงต้องเร่งทำเอฟทีเอกับประเทศในภูมิภาคเอเซีย-ตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) และเร่งหาแนวทางผนวกเศรษฐกิจเข้ากับอาเซียนทั้งด้านการค้าการลงทุน และการเปิดตลาดแรงงาน ให้เร็วที่สุดเพราะคาดหวังว่าจะเป็นพลังสำคัญทางเศรษฐกิจที่จะช่วยลดอุปสรรคทั้งปวง โดยญี่ปุ่นได้ลงนามเอฟทีเอกับประเทศต่างๆ ดังนี้ - สิงคโปร์ มีผลบังคับใช้เมื่อปี 2547 - เม็กซิโก มีผลบังคับใช้เมื่อปี 2548และบรรลุข้อตกลงในเบื้องต้นกับ - ฟิลิปินส์ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2547 - มาเลเซีย เมื่อเดือนพฤษภาคม 2548 และจะลงนามในเดือนธันวาคม โดยจะมีผลบังคับใช้ต้นปี 2549 สำหรับการเจรจาระหว่างไทย-ญี่ปุ่น ได้ข้อตกลงร่วมกันในระดับนโยบายเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2548และคาดว่าจะลงนามร่วมกันประมาณเดือน เมษายน 2549 และจะมีผลบังคับใช้ในเดือนกันยายน 2549 ทั้งนี้ญี่ปุ่นกำลังเจรจากับเกาหลีใต้ ซึ่งคาดหมายให้บรรลุข้อตกลงในปี 2548 นี้ สำหรับอินเดียอยู่ระหว่างการวางกรอบนโยบาย นอกจากนี้ญี่ปุ่นยังคงอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการเปิดเจรจาเอฟทีเอกับอินโดนีเซีย ชิลี และแอฟริกาใต้ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเจรจาในปี 2549 สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช) เชื่อว่าไทยจะได้รับประโยชน์ทางภาษีในการส่งออกจากการเปิดเจรจาเอฟทีเอไทย-ญี่ปุ่น ได้ไม่น้อย อาจถึง 500-600 ล้านบาทต่อปี ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาไทยจะเป็นฝ่ายขาดดุลการค้ากับญี่ปุ่นมาโดยตลอด และเชื่อว่าปริมาณการส่งออกสินค้าในกว่า 20 รายการ เช่น สินค้าเนื้อ เนื้อหมูต้มสุก กุ้งและไก่แช่แข็ง ทุเรียน มังคุด จะสามารถขยายตัวได้ไม่น้อยกว่า 1 เท่า นอกจากนี้ญี่ปุ่นยังได้เร่งรัดให้ความร่วมมือไทยในเรื่องสุขอนามัยด้านอาหาร ซึ่งเป็นสัญญาณให้เห็นว่า ในอนาคตประเทศไทยจะเป็นประเทศผู้ส่งออกอาหารสำคัญไปยังญี่ปุ่น และจะส่งผลให้ไทยสามารถดึงดูดการลงทุนด้านการผลิตอาหารแปรรูปให้เติบโตอย่างก้าวกระโดดได้ในอนาคต ในปัจจุบันคู่แข่งสำคัญของญี่ปุ่นคือ "จีน" ซึ่งจีนมีความแข็งแกร่งทางด้านเศรษฐกิจมากขึ้น และมีแนวโน้มว่าการเมืองและการทหารของจีนก็จะเข้มแข็งตามมาด้วย ส่งผลให้อำนาจทางอุตสาหกรรมของจีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สร้างความกดดันทางการแข่งขันแก่ประเทศต่างๆ ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ในการขับเคลื่อนไปข้างหน้าพร้อมกับการปรับโครงสร้างและการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ ญี่ปุ่นจึงพยายามอย่างมากที่จะรักษาข้อได้เปรียบจากฐานะที่เป็นอยู่ในเอเซีย ในขณะเดียวกันก็ใช้ประโยชน์จากจีนในการเป็นฐานการประกอบ โดยญี่ปุ่นทำหน้าที่เป็นซัพพลายเออร์ในประเทศอุตสาหกรรมที่จีนยังด้อยกว่า อาทิ อุปกรณ์ไฮเทค วัตถุดิบที่มีคุณภาพสูง เครื่องจักรที่ใช้ในการผลิต เป็นต้น เนื่องจากการผลิตเป็นจุดแข็งของญี่ปุ่น แต่ญี่ปุ่นมีทรัพยากรธรรมชาติในประเทศน้อยมาก ดังนั้นญี่ปุ่นจึงนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ จากนั้นจึงนำมาผ่านกระบวนการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อการส่งออก นอกจากนี้ญี่ปุ่นยังต้องเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างอุตสาหกรรมและวิชาการ ยกระดับการจัดตั้งการวิจัยและพัฒนา ให้ความคุ้มครองสิทธิทางปัญญาอย่างเต็มที่ ส่งเสริมการลงทุนในประเทศ และทำให้ประเทศเป็นสถานที่ต้อนรับวิศวกรและนักลงทุน ต่างชาติอีกด้วย นอกจากความพยายามต่างๆ ข้างต้น และความประสงค์ในการทำข้อตกลงร่วมมือทางการค้า (FTA) กับประเทศต่างๆ แล้ว สำหรับประเทศไทยนักลงทุนญี่ปุ่นหวังว่าจะสามารถขยายการค้าให้ได้มากขึ้น พร้อมกับสามารถนำเงินมาลงทุนได้มากขึ้นเมื่อไทยลดความเข้มงวดของมาตรการควบคุมเงินลงทุนจากต่างประเทศโดยเฉพาะญี่ปุ่นลง อย่างไรก็ตามนักลงทุนญี่ปุ่นยังลังเลที่จะลงทุนในประเทศไทย เนื่องจากตลาดในประเทศไทยมีการแข่งขันค่อนข้างสูง ค่าจ้างแรงงานมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้น และปัญหาการขาดบุคลากรที่มีความสามารถตรงกับลักษณะงานที่ต้องการ สิ่งที่นักลงทุนญี่ปุ่นหวังมากที่สุดที่จะให้เกิดในประเทศไทยคือ โอกาสในการขยายตลาด ค่าจ้างแรงงานที่ถูกลง และความมั่นคงทางการเมืองและสังคม ที่มา: http://www.depthai.go.th