จากการประมาณการอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์ประชาชาติรายไตรมาสของสำนักงาน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือ GDP ในไตรมาสที่ 4ของปี 2547 ขยายตัวร้อยละ 5.1 ซึ่งชะลอตัวลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2546 โดยในไตรมาสที่ 3 ของปี 2547 มีอัตราการขยายตัวร้อยละ 6.1 และไตรมาสที่4ของปี2546 มีอัตราการขยายตัวร้อยละ 7.8 เมื่อรวมทั้งปี 2547 ขยายตัวร้อยละ 6.1 ซึ่งชะลอตัวลงจากปี 2546 ที่ขยายตัวร้อยละ 6.9 โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้อุปสงค์ภายในประเทศชะลอตัวลงในไตรมาสที่ 4 ของปี 2547 คือผลกระทบของราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การระบาดของไข้หวัดนกรอบสอง และภาวะภัยแล้ง และหากพิจารณาค่า GDP ที่ปรับตัวดัชนีฤดูกาลในไตรมาสที่4ของปี 2547 ขยายตัวร้อยละ 1.8 ซึ่งสูงกว่าไตรมาสที่ 3 ของปี 2547 ที่ขยายตัวร้อยละ 1.5
ในส่วนของ GDP สาขาอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 4 ของปี 2547 ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2546 โดยในไตรมาสที่ 4 ของปี 2547 สาขาอุตสาหกรรมมีการ ขยายตัวร้อยละ 7.4 เทียบกับร้อยละ 8.4 ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2547 และร้อยละ 10.7 ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2546 เนื่องจากในไตรมาสที่ 4 ของปี 2547 อุตสาหกรรมเบาและอุตสาหกรรมสินค้าทุนและเทคโนโลยีชะลอตัวลง โดยอุตสาหกรรมที่มีการผลิตลดลงได้แก่ อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม อุตสาหกรรม เครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้า ในขณะที่อุตสาหกรรมวัตถุดิบขยายตัวสูงขึ้น โดยุตสาหกรรมที่มีการผลิตสูงขึ้นคือ โรงกลั่นน้ำมัน ปูนซีเมนต์ และเหล็ก
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติคาดว่าในปี 2548 เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ 5.5 — 6.5 โดยมีข้อจำกัดจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ราคาน้ำมันดิบที่ยังอยู่ในระดับสูง การลดการอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซล และการระบาดของไข้หวัดนก สำหรับธนาคารแห่งประเทศไทยได้ปรับลดประมาณการขยายตัวของ GDP เหลือร้อยละ 4.5 — 5.5
สำหรับตัวเลขชี้วัดทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2547 โดยจะเห็นว่าตัวเลขอัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 3.1 โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องแต่งกาย ยกเว้นเครื่องแต่งกายที่ทำจากขนสัตว์ อุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ยาสูบ และเมื่อพิจารณาตัวเลขการส่งออก มูลค่าการส่งออกได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 12.44 โดยมีสินค้าที่ติดอันดับต้นๆ ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ รถนยต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า
ในส่วนของการลงทุนภาคเอกชน ก็มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2547 โดยเพิ่มขึ้นในยอดการขายซีเมนต์ ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ในประเทศ
ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม
จากรายงานดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ( Manufacturing Production Index : MPI ) ที่จัดทำโดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ( ตารางที่1 ) ซึ่งครอบคลุมอุตสาหกรรม 50 กลุ่ม พบว่าในไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมทรงตัวโดยลดลงเพียงเล็กน้อยจากไตรมาสที่ผ่านมาร้อยละ 0.97 แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2547 ร้อยละ 2.80
อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงเพียงเล็กน้อยจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม และอุตสาหกรรมการแปรรูปและการถนอมสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ เป็นต้น
สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2547 ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์โลหะประดิษฐ์อื่นๆ ซึ่งมิได้จัดประเภทไว้ในที่อื่น และอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องแต่งกาย ยกเว้นเครื่องแต่งกายที่ทำจากขนสัตว์ เป็นต้น
ดัชนีการส่งสินค้า
ดัชนีการส่งสินค้า ( Shipment Index ) แสดงทิศทางของระดับการขนส่งสินค้าภายในประเทศและระหว่างประเทศ ซึ่งจัดทำโดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ( ตารางที่1 ) โดยครอบคลุมอุตสาหกรรม 50 กลุ่ม พบว่าในไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 ดัชนีการส่งสินค้าลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาร้อยละ 5.21 แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2547 ร้อยละ 1.72
อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์อุตสาหกรรมการจัดเตรียมและการปั่นเส้นใยสิ่งทอรวมถึงการทอสิ่งทอ และอุตสาหกรรมการผลิต ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม เป็นต้น
สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2547 ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องแต่งกาย ยกเว้นเครื่องแต่งกายที่ทำจากขนสัตว์ และอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรที่ใช้งานทั่วไปอื่นๆ เป็นต้น
ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลัง
ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลัง ( Finished Goods Inventory Index ) แสดงทิศทางหรือระดับการ เพิ่มขึ้นหรือลดลงของการสำรองสินค้าเพื่อไม่ให้สินค้าขาดตลาด ซึ่งจัดทำโดยสำนักงานเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม ( ตารางที่1 ) โดยครอบคลุมอุตสาหกรรม 50 กลุ่ม พบว่าในไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 ดัชนี สินค้าสำเร็จรูปคงคลังลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาร้อยละ 8.92 แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2547 ร้อยละ 8.43
อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตมอลต์ ลิกเคอและมอลต์ อุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม และอุตสาหกรรม การผลิตเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ เป็นต้น
สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2547 ได้แก่อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการแปรรูปและการถนอมสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ และอุตสาหกรรมการผลิตมอลต์ลิกเคอและมอลต์ เป็นต้น
อัตราการใช้กำลังการผลิต
อัตราการใช้กำลังการผลิต เป็นตัวบ่งชี้สภาพการผลิตของภาคอุตสาหกรรม โดยเปรียบเทียบระดับการผลิตที่เกิดขึ้นจริงกับระดับการผลิตที่ใช้กำลังการผลิตเต็มที่ ซึ่งจัดทำโดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (ตารางที่ 1) ซึ่งครอบคลุมอุตสาหกรรม 50 กลุ่ม พบว่า ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2547
อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม และอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องรับโทรทัศน์และวิทยุและสินค้าที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2547 ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องแต่งกาย ยกเว้นเครื่องแต่งกายที่ทำจากขนสัตว์ และอุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ยาสูบ เป็นต้น
ดัชนีความเชื่อมั่นธุรกิจและผู้บริโภค
ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค จัดทำโดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย แบ่งออกเป็น 3 ดัชนี ได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีเกี่ยวกับโอกาสหางานทำ และดัชนีเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต ( ตารางที่ 2 ) พบว่าไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 ทั้ง 3 ดัชนี มีการปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา และไตรมาสเดียวกันของปี 2547 สำหรับปัจจัยที่ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวลดลงทุกรายการในไตรมาสที่1ของปี 2548 ได้แก่ ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้น ทั้งราคาน้ำมันดีเซลและน้ำมันเบนซิน ปัญหาภัยแล้งที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัด รวมทั้งผู้บริโภคมีความวิตกเกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ และผลกระทบของสึนามิที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในอนาคต
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 มีค่า 90.9 , 88.7 และ 84.6 ตามลำดับในแต่ละเดือน การที่ดัชนีปรับตัวอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 100 แสดงว่าผู้บริโภคยังคง ขาดความมั่นใจในการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยว่าจะขยายตัวในระดับที่ดี โดยเฉพาะเมื่อราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับโอกาสหางานทำ ไตรมาสที่ 1 ของปี 2547 มีค่า 87.8 , 86.2 และ 82.6 ตามลำดับในแต่ละเดือน การที่ดัชนีมีค่าต่ำกว่าระดับ 100 แสดงว่าผู้บริโภคยังขาดความเชื่อมั่น เกี่ยวกับการจ้างงานโดยรวมของไทย โดยเห็นว่าโอกาสในการหางานทำยังไม่ดีมกนัก
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต ไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 มีค่า 105.1 , 103.9 และ 101.3 ตามลำดับในแต่ละเดือน การที่ดัชนีมีค่าสูงกว่า 100 แสดงว่าผู้บริโภคยังมีความมั่นใจใน รายได้ในอนาคตของตนว่าจะปรับตัวดีขึ้น และมีโอกาสน้อยที่จะปรับตัวลดลง
นอกจากนี้ทิศทางการปรับตัวของดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังมีความน่าเป็นห่วง เพราะปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจยังมีโอกาสเกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตมีโอกาสปรับตัวลดลงต่ำกว่า 100 ในระยะเวลาอันใกล้
จากการสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจ ซึ่งจัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ( ตารางที่ 3 ) พบว่าในไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 ดัชนีปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2547 และค่าดัชนีโดยรวมมีค่าต่ำกว่าระดับ 50 แสดงว่าความเชื่อมั่นทางธุรกิจยังไม่ดี ผู้ประกอบการยังคงมองว่าภาวะการณ์ด้านธุรกิจในอนาคตยังมีแนวโน้มไม่ดีขึ้น สำหรับดัชนีที่มีการปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2547 ได้แก่ ผลประกอบการของบริษัท คำสั่งซื้อทั้งหมด กรลงทุน และการผลิต
ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ( Thai Industries Sentiment Index : TISI )
จัดทำโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ( ตารางที่ 4 ) พบว่าในไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 ดัชนีลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2547 โดยค่าดัชนีอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 100 แสดงว่าผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นต่อภาวะการณ์อุตสาหกรรมในระดับที่ไม่ดีนัก และเมื่อพิจารณาปัจจัยที่นำมาคำนวณค่าดัชนีความเชื่อมั่น ยังคงมีหลายปัจจัยที่อยู่ในระดับเกินกว่า 100 ได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นยอดคำสั่งซื้อโดยรวมในปัจจุบัน ดัชนีความเชื่อมั่นยอดขายโดยรวมในปัจจุบัน ดัชนีความเชื่อมั่นปริมาณการผลิตในอนาคต จะมีเพียงดัชนีด้านต้นทุนการประกอบการเท่านั้นที่มีค่าต่ำกว่า 100 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่มองว่าต้นทุนการประกอบการยังคงอยู่ในระดับที่สูง
ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ
ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ ( Leading Economic Index : LEI ) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นเครื่องมือในการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจในอีก 3—4 เดือนข้างหน้า ปรากฏว่าดัชนีชี้นำเศรษฐกิจในเดือนมีนาคม 2548 อยู่ที่ระดับ 124.1 ซึ่งปรับตัวลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ร้อยละ 0.8 ตามการลดลงของเครื่องชี้ ได้แก่ มูลค่าทุนจดทะเบียนธุรกิจรายใหม่ ดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์ ราคาน้ำมันดิบที่แพงขึ้น และปริมาณเงิน M2a ที่แท้จริง
สำหรับดัชนีในไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 มีค่า 124.2
ดัชนีฟ้องเศรษฐกิจ
ค่าประมาณการเบื้องต้นของดัชนีฟ้องเศรษฐกิจ ( Coincident Economic Index : CEI ) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ในเดือนมีนาคม 2548 อยู่ที่ระดับ 125.9 เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ร้อยละ 1.2 ตามการเพิ่มขึ้นของเครื่องชี้ได้แก่ มูลค่าการนำเข้าสินค้า ณ ราคาคงที่ ปริมาณจำหน่ายรถยนต์รวม และดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม
สำหรับดัชนีในไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 มีค่า 125.1
การใช้จ่ายเพื่ออุปโภคบริโภค
การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ( Expenditure on Private Consumption ) ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 ปรับตัวสูงขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2547 ( ตารางที่ 5 )
แม้ว่าการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนจะเพิ่มสูงขึ้น แต่เพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอลง ซึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น โดยเครื่องชี้ที่สำคัญที่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2547 คือ ปริมาณการใช้กระแสไฟฟ้า ภาษีมูลค่าเพิ่ม การนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค ยอดการจำหน่ายรถจักรยานยนต์
การลงทุนภาคเอกชน
การลงทุนภาคเอกชนโดยรวม ( ตารางที่ 6 ) ในไตรมาสที่1ของปี 2548 พิจารณาจากปัจจัยหลัก 3 ประการ ได้แก่ ยอดการขายซีเมนต์ในประเทศ ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ในประเทศ และ ยอดการนำเข้าสินค้าทุน พบว่าดัชนีการลงทุนในภาคเอกชนในไตรมาสที่1ของปี 2548 ปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจากผู้ประกอบการมีความกังวลต่อต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น แต่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก ไตรมาสเดียวกันของปี 2547
หากแยกตามรายการสินค้าพบว่า ปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศในไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 เพิ่มขึ้นทั้งจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2547
ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2547
ปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนในไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาแต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2547
ภาวะราคาสินค้า
จากการสำรวจดัชนีราคาผู้บริโภค ( ตารางที่ 7 ) และดัชนีราคาผู้ผลิต ( ตารางที่ 8 ) โดยกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ พบว่าในไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 ดัชนีราคาผู้บริโภคปรับตัวสูงขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2547 ซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของราคาในหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ตามราคาผักและผลไม้ เนื้อสุกรเนื้อไก่ ไข่และผลิตภัณฑ์นม ส่วนราคาสินค้าในหมวดอื่น ๆ ที่ไม่รวมอาหารและเครื่องดื่มทรงตัวจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2547 ตามการปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลที่สูงขึ้น
ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิตในไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 ปรับตัวสูงขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2547 เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าในหมวดผลผลิตเกษตรกรรม สำหรับราคาสินค้าในหมวดผลิตภัณฑ์เหมืองและหมวดผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2547
แรงงานในภาคอุตสาหกรรม
จากการสำรวจภาวะการทำงานของประชาชนในไตรมาสแรกของปี 2548 (ตัวเลขเดือนมีนาคม)โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่ามีผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน 35.34 ล้านคน เป็นผู้ที่มีงานทำ 34.18 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 97.90 ของกำลังแรงงานทั้งหมด และมีผู้ว่างงาน 0.74 ล้านคน (คิดเป็นร้อยละ 2.10)
สำหรับการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 มีจำนวน 6.35 ล้านคนหรือคิดเป็นร้อยละ 18.58 ของผู้มีงานทำทั้งหมด
ทางด้านจำนวนผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 มีจำนวนผู้ประกันตนทั้งสิ้น 7,954,295 คน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้รับแจ้งจำนวนลูกจ้าง ที่ถูกเลิกจ้างในระยะเวลา 12 เดือนแรกของปี 2547 มีจำนวน 178,017 คน โดยเป็นการเลิกจ้างในอุตสาหกรรมการผลิตจำนวน 74,479 คน อุตสาหกรรมที่มีการเลิกจ้างมากที่สุด 4 อันดับแรกได้แก่อุตสาหกรรมการผลิตอาหารมีจำนวน 11,652 คน รองลงมาคืออุตสาหกรรมการผลิตเครื่องเรือน 6,794 คน อุตสาหกรรมสิ่งทอ จำนวน 6,183 คน และ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องแต่งกาย จำนวน 5,977 คน
ส่วนสถานประกอบการที่เลิกกิจการมีจำนวน 22,455 แห่ง ซึ่งอุตสาหกรรมที่มีการเลิกกิจการมากที่สุดคือ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ 978 แห่ง รองลงมาคืออุตสาหกรรมอาหารเครื่องดื่มและยาสูบ 801 แห่ง อุตสาหกรรมการผลิตโลหะประดิษฐ์ จำนวน 419 แห่ง
การค้าต่างประเทศ
สถานการณ์การค้าในช่วงไตรมาสที่หนึ่งของปี 2548 มีทิศทางเพิ่มสูงขึ้นจากไตรมาสที่ 4 ของปี 2547 โดยในไตรมาสที่ 1 นี้การค้าต่างประเทศของไทยมีมูลค่าทั้งสิ้น 53,359.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเป็นมูลค่าการส่งออกเท่ากับ 25,198.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมูลค่าการนำเข้าเท่ากับ 28,161.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้วมูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 4.13 และการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.77 และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่ามูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 12.44 และมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 28.57 ส่งผลให้เกิดการขาดดุลการค้าในไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 โดยมีมูลค่าขาดดุล -2,963.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งขาดดุลเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 4 ปี 2547 ร้อยละ -269.60 และขาดดุลเพิ่มขึ้นร้อยละ -686.15 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีที่แล้ว
การส่งออกในไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 เมื่อพิจารณาเป็นรายเดือน พบว่ามีมูลค่าการส่งออกเกินกว่า 7,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯทุกเดือน โดยเฉพาะในเดือนมีนาคม 2548 มีมูลค่าการส่งออกสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 9,576.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
โครงสร้างการส่งออก
การส่งออกในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2548 ประกอบด้วย สินค้าอุตสาหกรรม 19,778.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 78.5) สินค้าเกษตรกรรม 2,460.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 9.8) สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร 1,609.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 6.4) สินค้าแร่ธาตุและเชื้อเพลิง 867.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 3.4) และสินค้าอื่นๆ 481.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 1.9)
เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว มูลค่าการส่งออกของสินค้าทุกหมวดมีอัตราการขยายตัวที่เพิ่มขึ้น โดยสินค้าเกษตรกรรมส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 สินค้าอุตสาหกรรมเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.4 สินค้าอุตสาหกรรม มีการส่งออกเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 13.9 สินค้าแร่ธาตุและเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.1 และสินค้าอื่นเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.0
สินค้าส่งออกที่สำคัญ 10 รายการหลักในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2548 ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกสูงสุดคือ 2,586.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ รองลงมาคือ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 1,569.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แผงวงจรไฟฟ้า 1,147.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯเม็ดพลาสติก 1,015.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ยางพารา 876.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อัญมณีและเครื่องประดับ 773.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์ 753.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เสื้อผ้าสำเร็จรูป 702.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และเคมีภัณฑ์ 629.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมูลค่าการส่งออก 10 รายการหลักรวมกันเท่ากับ 10,807.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 42.89 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด
ตลาดส่งออก
ในปี 2547 การส่งออกไปยังตลาดหลัก ซึ่งได้แก่ อาเซียน สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และจีน มีสัดส่วนการส่งออกรวมคิดเป็นร้อยละ 72.8 ของการส่งออกของไทยไปยังทั่วโลก โดยเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนพบว่า การส่งออกของประเทศไทยเพิ่มขึ้นในทุกตลาดหลัก โดยในตลาดอาเซียนเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.6 ตลาดญี่ปุ่นร้อยละ 4.6 ตลาดสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.4 ตลาดสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.4 ตลาดจีนเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 16.2 และตลาดอื่นๆร้อยละ 18.6
โครงสร้างการนำเข้า
การนำเข้าไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 ประกอบด้วย สินค้าวัตถุดิบมีมูลค่าสูงสุด 12,494.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 44.4) รองลงมาเป็นนำเข้าสินค้าทุน 7,857.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 27.9) น้ำมันเชื้อเพลิง 4,416.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 15.7) สินค้าอุปโภคบริโภค 1,858.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 6.6) สินค้าหมวดยานพาหนะ 1,025.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 3.6) และ สินค้าอื่นๆ 509.3 (คิดเป็นร้อยละ 1.8)
เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว พบว่าสินค้าทุกหมวดมีมูลค่าการนำเข้าขยายตัว โดยน้ำมันเชื้อเพลิง เพิ่มขึ้นร้อยละ 63.7 สินค้าทุนนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 23.0 สินค้าวัตถุดิบเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.3 สินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้น ร้อยละ 12.7 และสินค้าหมวดยานพาหนะเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.8 สินค้าหมวดอื่นๆเพิ่มขึ้นร้อยละ 131.3
แหล่งนำเข้า
การนำเข้าจากแหล่งนำเข้าที่สำคัญได้แก่ ญี่ปุ่น, อาเซียน, สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา และจีน โดยในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2548 มีสัดส่วนนำเข้ารวมร้อยละ 66.2 และเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน ของปี 2547 พบว่าการนำเข้าจากกลุ่มประเทศอาเซียน เพิ่มขึ้นร้อยละ 43.1 สหภาพยุโรป ร้อยละ 14.3 ญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.6 , สหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.5 จีนเพิ่มขึ้นร้อยละ 43.0 และจากแหล่งอื่นๆ เพิ่มขึ้นร้อยละ 32.5
แนวโน้มการส่งออก
สถานการณ์การค้าในปี 2548 ในช่วงไตรมาสแรกค่อนข้างมีทิศทางที่ไม่ดีนัก มีการขาดดุลการค้าถึง 2,963 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่ปัญหาการขาดดุลการค้าที่เกิดขึ้น สาเหตุหลักมาจากการนำเข้าสินค้าเชื้อเพลิง ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก อย่างไรก็ตามกระทรวงพาณิชย์ยังคงมองภาพรวมของการส่งออกและการค้าระหว่างประเทศของไทยในทิศทางที่ดี
โดยจากนโยบายและแผนการขยายตลาดใหม่ๆ การทำเขตการค้าเสรี (FTA) การจัดโรดโชว์การเพิ่มปริมาณการจัดงานแสดงสินค้าทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนมาตรการลดการขาดดุลการค้าของรัฐบาล น่าจะมีผลกระตุ้นทำให้ยอดการส่งออกของประเทศไทยโดยรวมสามารถขยายตัวได้ดีขึ้น เข้าสู่เป้าหมายการส่งออกปี 2548 ที่ตั้งไว้ ณ ระดับเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 หรือ 117,196 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
การลงทุนจากต่างประเทศ
การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสุทธิในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 จากข้อมูลเบื้องต้นของธนาคารแห่งประเทศไทย การลงทุนสุทธิในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ มีมูลค่ารวม 4,661 ล้านบาท โดยในเดือนมกราคมมีมูลค่าการลงทุนสุทธิ 1,685 ล้านบาท และเดือนกุมภาพันธ์ 2,976 ล้านบาทในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 สาขาอุตสาหกรรมเป็นสาขาที่มีการลงทุนสุทธิมากที่สุด คือ 2,988 ล้านบาท โดยในสาขาอุตสาหกรรมมีการลงทุนสุทธิในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่งมากที่สุด เป็นเงินลงทุนสุทธิ 1,382 ล้านบาท รองลงมาคือ หมวดโลหะและอโลหะ 629 ล้านบาท และหมวดเคมีภัณฑ์ 349 ล้านบาท
ประเทศที่เข้ามาลงทุนสุทธิในประเทศไทยมากที่สุดในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ คือ ประเทศญี่ปุ่น มีเงินลงทุนสุทธิถึง 2,056 ล้านบาท รองลงมาคือ ประเทศลักเซ็มเบอร์ก และประเทศสวีเดน มีเงินลงทุนสุทธิ 708 ล้านบาท และ 568 ล้านบาท ตามลำดับ
สำหรับการลงทุนที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) พบว่า ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2548 การลงทุนจากต่างประเทศที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI มีจำนวนทั้งสิ้น 171 โครงการ คิดเป็นเงินลงทุน 37,800 ล้านบาท โดยเป็นโครงการที่ลงทุนจากต่างประเทศ 100 % จำนวน 55 โครงการ คิดเป็นเงินลงทุน 18,900 ล้านบาท เป็นโครงการร่วมทุนระหว่างไทยและต่างประเทศ 53 โครงการ เป็นเงินลงทุน 10,000 ล้านบาท
เมื่อพิจารณาในหมวดของการเข้ามาลงทุน พบว่า ประเภทกิจการที่ได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนมากที่สุด คือ หมวดบริการและสาธารณูปโภค มีเงินลงทุน 10,700 ล้านบาท รองลงมา คือ หมวดอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า มีเงินลงทุน 9,000 ล้านบาท และหมวดเกษตรกรรมและผลิตผลการเกษตร มีเงินลงทุน 5,700 ล้านบาท
สำหรับแหล่งลงทุนในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2548 พบว่านักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่นมีการลงทุน มากที่สุดโดยได้รับการส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น 91 โครงการ คิดเป็นมูลค่าการลงทุน 16,100 ล้านบาท รองลงมาคือ ประเทศแคนาดา จำนวน 1 โครงการ 5,541 ล้านบาท ประเทศสิงคโปร์ จำนวน 16 โครงการ เป็นเงินลงทุน 4,438 ล้านบาท ประเทศเยอรมัน 4 โครงการ เป็นเงินลงทุน 2,636 ล้านบาท
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-
ในส่วนของ GDP สาขาอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 4 ของปี 2547 ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2546 โดยในไตรมาสที่ 4 ของปี 2547 สาขาอุตสาหกรรมมีการ ขยายตัวร้อยละ 7.4 เทียบกับร้อยละ 8.4 ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2547 และร้อยละ 10.7 ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2546 เนื่องจากในไตรมาสที่ 4 ของปี 2547 อุตสาหกรรมเบาและอุตสาหกรรมสินค้าทุนและเทคโนโลยีชะลอตัวลง โดยอุตสาหกรรมที่มีการผลิตลดลงได้แก่ อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม อุตสาหกรรม เครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้า ในขณะที่อุตสาหกรรมวัตถุดิบขยายตัวสูงขึ้น โดยุตสาหกรรมที่มีการผลิตสูงขึ้นคือ โรงกลั่นน้ำมัน ปูนซีเมนต์ และเหล็ก
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติคาดว่าในปี 2548 เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ 5.5 — 6.5 โดยมีข้อจำกัดจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ราคาน้ำมันดิบที่ยังอยู่ในระดับสูง การลดการอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซล และการระบาดของไข้หวัดนก สำหรับธนาคารแห่งประเทศไทยได้ปรับลดประมาณการขยายตัวของ GDP เหลือร้อยละ 4.5 — 5.5
สำหรับตัวเลขชี้วัดทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2547 โดยจะเห็นว่าตัวเลขอัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 3.1 โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องแต่งกาย ยกเว้นเครื่องแต่งกายที่ทำจากขนสัตว์ อุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ยาสูบ และเมื่อพิจารณาตัวเลขการส่งออก มูลค่าการส่งออกได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 12.44 โดยมีสินค้าที่ติดอันดับต้นๆ ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ รถนยต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า
ในส่วนของการลงทุนภาคเอกชน ก็มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2547 โดยเพิ่มขึ้นในยอดการขายซีเมนต์ ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ในประเทศ
ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม
จากรายงานดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ( Manufacturing Production Index : MPI ) ที่จัดทำโดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ( ตารางที่1 ) ซึ่งครอบคลุมอุตสาหกรรม 50 กลุ่ม พบว่าในไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมทรงตัวโดยลดลงเพียงเล็กน้อยจากไตรมาสที่ผ่านมาร้อยละ 0.97 แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2547 ร้อยละ 2.80
อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงเพียงเล็กน้อยจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม และอุตสาหกรรมการแปรรูปและการถนอมสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ เป็นต้น
สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2547 ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์โลหะประดิษฐ์อื่นๆ ซึ่งมิได้จัดประเภทไว้ในที่อื่น และอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องแต่งกาย ยกเว้นเครื่องแต่งกายที่ทำจากขนสัตว์ เป็นต้น
ดัชนีการส่งสินค้า
ดัชนีการส่งสินค้า ( Shipment Index ) แสดงทิศทางของระดับการขนส่งสินค้าภายในประเทศและระหว่างประเทศ ซึ่งจัดทำโดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ( ตารางที่1 ) โดยครอบคลุมอุตสาหกรรม 50 กลุ่ม พบว่าในไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 ดัชนีการส่งสินค้าลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาร้อยละ 5.21 แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2547 ร้อยละ 1.72
อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์อุตสาหกรรมการจัดเตรียมและการปั่นเส้นใยสิ่งทอรวมถึงการทอสิ่งทอ และอุตสาหกรรมการผลิต ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม เป็นต้น
สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2547 ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องแต่งกาย ยกเว้นเครื่องแต่งกายที่ทำจากขนสัตว์ และอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรที่ใช้งานทั่วไปอื่นๆ เป็นต้น
ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลัง
ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลัง ( Finished Goods Inventory Index ) แสดงทิศทางหรือระดับการ เพิ่มขึ้นหรือลดลงของการสำรองสินค้าเพื่อไม่ให้สินค้าขาดตลาด ซึ่งจัดทำโดยสำนักงานเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม ( ตารางที่1 ) โดยครอบคลุมอุตสาหกรรม 50 กลุ่ม พบว่าในไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 ดัชนี สินค้าสำเร็จรูปคงคลังลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาร้อยละ 8.92 แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2547 ร้อยละ 8.43
อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตมอลต์ ลิกเคอและมอลต์ อุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม และอุตสาหกรรม การผลิตเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ เป็นต้น
สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2547 ได้แก่อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการแปรรูปและการถนอมสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ และอุตสาหกรรมการผลิตมอลต์ลิกเคอและมอลต์ เป็นต้น
อัตราการใช้กำลังการผลิต
อัตราการใช้กำลังการผลิต เป็นตัวบ่งชี้สภาพการผลิตของภาคอุตสาหกรรม โดยเปรียบเทียบระดับการผลิตที่เกิดขึ้นจริงกับระดับการผลิตที่ใช้กำลังการผลิตเต็มที่ ซึ่งจัดทำโดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (ตารางที่ 1) ซึ่งครอบคลุมอุตสาหกรรม 50 กลุ่ม พบว่า ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2547
อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม และอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องรับโทรทัศน์และวิทยุและสินค้าที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2547 ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องแต่งกาย ยกเว้นเครื่องแต่งกายที่ทำจากขนสัตว์ และอุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ยาสูบ เป็นต้น
ดัชนีความเชื่อมั่นธุรกิจและผู้บริโภค
ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค จัดทำโดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย แบ่งออกเป็น 3 ดัชนี ได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีเกี่ยวกับโอกาสหางานทำ และดัชนีเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต ( ตารางที่ 2 ) พบว่าไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 ทั้ง 3 ดัชนี มีการปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา และไตรมาสเดียวกันของปี 2547 สำหรับปัจจัยที่ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวลดลงทุกรายการในไตรมาสที่1ของปี 2548 ได้แก่ ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้น ทั้งราคาน้ำมันดีเซลและน้ำมันเบนซิน ปัญหาภัยแล้งที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัด รวมทั้งผู้บริโภคมีความวิตกเกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ และผลกระทบของสึนามิที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในอนาคต
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 มีค่า 90.9 , 88.7 และ 84.6 ตามลำดับในแต่ละเดือน การที่ดัชนีปรับตัวอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 100 แสดงว่าผู้บริโภคยังคง ขาดความมั่นใจในการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยว่าจะขยายตัวในระดับที่ดี โดยเฉพาะเมื่อราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับโอกาสหางานทำ ไตรมาสที่ 1 ของปี 2547 มีค่า 87.8 , 86.2 และ 82.6 ตามลำดับในแต่ละเดือน การที่ดัชนีมีค่าต่ำกว่าระดับ 100 แสดงว่าผู้บริโภคยังขาดความเชื่อมั่น เกี่ยวกับการจ้างงานโดยรวมของไทย โดยเห็นว่าโอกาสในการหางานทำยังไม่ดีมกนัก
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต ไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 มีค่า 105.1 , 103.9 และ 101.3 ตามลำดับในแต่ละเดือน การที่ดัชนีมีค่าสูงกว่า 100 แสดงว่าผู้บริโภคยังมีความมั่นใจใน รายได้ในอนาคตของตนว่าจะปรับตัวดีขึ้น และมีโอกาสน้อยที่จะปรับตัวลดลง
นอกจากนี้ทิศทางการปรับตัวของดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังมีความน่าเป็นห่วง เพราะปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจยังมีโอกาสเกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตมีโอกาสปรับตัวลดลงต่ำกว่า 100 ในระยะเวลาอันใกล้
จากการสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจ ซึ่งจัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ( ตารางที่ 3 ) พบว่าในไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 ดัชนีปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2547 และค่าดัชนีโดยรวมมีค่าต่ำกว่าระดับ 50 แสดงว่าความเชื่อมั่นทางธุรกิจยังไม่ดี ผู้ประกอบการยังคงมองว่าภาวะการณ์ด้านธุรกิจในอนาคตยังมีแนวโน้มไม่ดีขึ้น สำหรับดัชนีที่มีการปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2547 ได้แก่ ผลประกอบการของบริษัท คำสั่งซื้อทั้งหมด กรลงทุน และการผลิต
ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ( Thai Industries Sentiment Index : TISI )
จัดทำโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ( ตารางที่ 4 ) พบว่าในไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 ดัชนีลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2547 โดยค่าดัชนีอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 100 แสดงว่าผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นต่อภาวะการณ์อุตสาหกรรมในระดับที่ไม่ดีนัก และเมื่อพิจารณาปัจจัยที่นำมาคำนวณค่าดัชนีความเชื่อมั่น ยังคงมีหลายปัจจัยที่อยู่ในระดับเกินกว่า 100 ได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นยอดคำสั่งซื้อโดยรวมในปัจจุบัน ดัชนีความเชื่อมั่นยอดขายโดยรวมในปัจจุบัน ดัชนีความเชื่อมั่นปริมาณการผลิตในอนาคต จะมีเพียงดัชนีด้านต้นทุนการประกอบการเท่านั้นที่มีค่าต่ำกว่า 100 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่มองว่าต้นทุนการประกอบการยังคงอยู่ในระดับที่สูง
ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ
ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ ( Leading Economic Index : LEI ) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นเครื่องมือในการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจในอีก 3—4 เดือนข้างหน้า ปรากฏว่าดัชนีชี้นำเศรษฐกิจในเดือนมีนาคม 2548 อยู่ที่ระดับ 124.1 ซึ่งปรับตัวลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ร้อยละ 0.8 ตามการลดลงของเครื่องชี้ ได้แก่ มูลค่าทุนจดทะเบียนธุรกิจรายใหม่ ดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์ ราคาน้ำมันดิบที่แพงขึ้น และปริมาณเงิน M2a ที่แท้จริง
สำหรับดัชนีในไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 มีค่า 124.2
ดัชนีฟ้องเศรษฐกิจ
ค่าประมาณการเบื้องต้นของดัชนีฟ้องเศรษฐกิจ ( Coincident Economic Index : CEI ) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ในเดือนมีนาคม 2548 อยู่ที่ระดับ 125.9 เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ร้อยละ 1.2 ตามการเพิ่มขึ้นของเครื่องชี้ได้แก่ มูลค่าการนำเข้าสินค้า ณ ราคาคงที่ ปริมาณจำหน่ายรถยนต์รวม และดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม
สำหรับดัชนีในไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 มีค่า 125.1
การใช้จ่ายเพื่ออุปโภคบริโภค
การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ( Expenditure on Private Consumption ) ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 ปรับตัวสูงขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2547 ( ตารางที่ 5 )
แม้ว่าการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนจะเพิ่มสูงขึ้น แต่เพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอลง ซึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น โดยเครื่องชี้ที่สำคัญที่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2547 คือ ปริมาณการใช้กระแสไฟฟ้า ภาษีมูลค่าเพิ่ม การนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค ยอดการจำหน่ายรถจักรยานยนต์
การลงทุนภาคเอกชน
การลงทุนภาคเอกชนโดยรวม ( ตารางที่ 6 ) ในไตรมาสที่1ของปี 2548 พิจารณาจากปัจจัยหลัก 3 ประการ ได้แก่ ยอดการขายซีเมนต์ในประเทศ ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ในประเทศ และ ยอดการนำเข้าสินค้าทุน พบว่าดัชนีการลงทุนในภาคเอกชนในไตรมาสที่1ของปี 2548 ปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจากผู้ประกอบการมีความกังวลต่อต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น แต่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก ไตรมาสเดียวกันของปี 2547
หากแยกตามรายการสินค้าพบว่า ปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศในไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 เพิ่มขึ้นทั้งจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2547
ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2547
ปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนในไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาแต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2547
ภาวะราคาสินค้า
จากการสำรวจดัชนีราคาผู้บริโภค ( ตารางที่ 7 ) และดัชนีราคาผู้ผลิต ( ตารางที่ 8 ) โดยกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ พบว่าในไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 ดัชนีราคาผู้บริโภคปรับตัวสูงขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2547 ซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของราคาในหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ตามราคาผักและผลไม้ เนื้อสุกรเนื้อไก่ ไข่และผลิตภัณฑ์นม ส่วนราคาสินค้าในหมวดอื่น ๆ ที่ไม่รวมอาหารและเครื่องดื่มทรงตัวจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2547 ตามการปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลที่สูงขึ้น
ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิตในไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 ปรับตัวสูงขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2547 เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าในหมวดผลผลิตเกษตรกรรม สำหรับราคาสินค้าในหมวดผลิตภัณฑ์เหมืองและหมวดผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2547
แรงงานในภาคอุตสาหกรรม
จากการสำรวจภาวะการทำงานของประชาชนในไตรมาสแรกของปี 2548 (ตัวเลขเดือนมีนาคม)โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่ามีผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน 35.34 ล้านคน เป็นผู้ที่มีงานทำ 34.18 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 97.90 ของกำลังแรงงานทั้งหมด และมีผู้ว่างงาน 0.74 ล้านคน (คิดเป็นร้อยละ 2.10)
สำหรับการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 มีจำนวน 6.35 ล้านคนหรือคิดเป็นร้อยละ 18.58 ของผู้มีงานทำทั้งหมด
ทางด้านจำนวนผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 มีจำนวนผู้ประกันตนทั้งสิ้น 7,954,295 คน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้รับแจ้งจำนวนลูกจ้าง ที่ถูกเลิกจ้างในระยะเวลา 12 เดือนแรกของปี 2547 มีจำนวน 178,017 คน โดยเป็นการเลิกจ้างในอุตสาหกรรมการผลิตจำนวน 74,479 คน อุตสาหกรรมที่มีการเลิกจ้างมากที่สุด 4 อันดับแรกได้แก่อุตสาหกรรมการผลิตอาหารมีจำนวน 11,652 คน รองลงมาคืออุตสาหกรรมการผลิตเครื่องเรือน 6,794 คน อุตสาหกรรมสิ่งทอ จำนวน 6,183 คน และ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องแต่งกาย จำนวน 5,977 คน
ส่วนสถานประกอบการที่เลิกกิจการมีจำนวน 22,455 แห่ง ซึ่งอุตสาหกรรมที่มีการเลิกกิจการมากที่สุดคือ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ 978 แห่ง รองลงมาคืออุตสาหกรรมอาหารเครื่องดื่มและยาสูบ 801 แห่ง อุตสาหกรรมการผลิตโลหะประดิษฐ์ จำนวน 419 แห่ง
การค้าต่างประเทศ
สถานการณ์การค้าในช่วงไตรมาสที่หนึ่งของปี 2548 มีทิศทางเพิ่มสูงขึ้นจากไตรมาสที่ 4 ของปี 2547 โดยในไตรมาสที่ 1 นี้การค้าต่างประเทศของไทยมีมูลค่าทั้งสิ้น 53,359.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเป็นมูลค่าการส่งออกเท่ากับ 25,198.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมูลค่าการนำเข้าเท่ากับ 28,161.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้วมูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 4.13 และการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.77 และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่ามูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 12.44 และมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 28.57 ส่งผลให้เกิดการขาดดุลการค้าในไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 โดยมีมูลค่าขาดดุล -2,963.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งขาดดุลเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 4 ปี 2547 ร้อยละ -269.60 และขาดดุลเพิ่มขึ้นร้อยละ -686.15 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีที่แล้ว
การส่งออกในไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 เมื่อพิจารณาเป็นรายเดือน พบว่ามีมูลค่าการส่งออกเกินกว่า 7,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯทุกเดือน โดยเฉพาะในเดือนมีนาคม 2548 มีมูลค่าการส่งออกสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 9,576.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
โครงสร้างการส่งออก
การส่งออกในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2548 ประกอบด้วย สินค้าอุตสาหกรรม 19,778.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 78.5) สินค้าเกษตรกรรม 2,460.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 9.8) สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร 1,609.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 6.4) สินค้าแร่ธาตุและเชื้อเพลิง 867.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 3.4) และสินค้าอื่นๆ 481.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 1.9)
เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว มูลค่าการส่งออกของสินค้าทุกหมวดมีอัตราการขยายตัวที่เพิ่มขึ้น โดยสินค้าเกษตรกรรมส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 สินค้าอุตสาหกรรมเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.4 สินค้าอุตสาหกรรม มีการส่งออกเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 13.9 สินค้าแร่ธาตุและเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.1 และสินค้าอื่นเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.0
สินค้าส่งออกที่สำคัญ 10 รายการหลักในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2548 ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกสูงสุดคือ 2,586.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ รองลงมาคือ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 1,569.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แผงวงจรไฟฟ้า 1,147.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯเม็ดพลาสติก 1,015.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ยางพารา 876.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อัญมณีและเครื่องประดับ 773.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์ 753.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เสื้อผ้าสำเร็จรูป 702.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และเคมีภัณฑ์ 629.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมูลค่าการส่งออก 10 รายการหลักรวมกันเท่ากับ 10,807.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 42.89 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด
ตลาดส่งออก
ในปี 2547 การส่งออกไปยังตลาดหลัก ซึ่งได้แก่ อาเซียน สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และจีน มีสัดส่วนการส่งออกรวมคิดเป็นร้อยละ 72.8 ของการส่งออกของไทยไปยังทั่วโลก โดยเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนพบว่า การส่งออกของประเทศไทยเพิ่มขึ้นในทุกตลาดหลัก โดยในตลาดอาเซียนเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.6 ตลาดญี่ปุ่นร้อยละ 4.6 ตลาดสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.4 ตลาดสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.4 ตลาดจีนเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 16.2 และตลาดอื่นๆร้อยละ 18.6
โครงสร้างการนำเข้า
การนำเข้าไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 ประกอบด้วย สินค้าวัตถุดิบมีมูลค่าสูงสุด 12,494.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 44.4) รองลงมาเป็นนำเข้าสินค้าทุน 7,857.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 27.9) น้ำมันเชื้อเพลิง 4,416.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 15.7) สินค้าอุปโภคบริโภค 1,858.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 6.6) สินค้าหมวดยานพาหนะ 1,025.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 3.6) และ สินค้าอื่นๆ 509.3 (คิดเป็นร้อยละ 1.8)
เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว พบว่าสินค้าทุกหมวดมีมูลค่าการนำเข้าขยายตัว โดยน้ำมันเชื้อเพลิง เพิ่มขึ้นร้อยละ 63.7 สินค้าทุนนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 23.0 สินค้าวัตถุดิบเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.3 สินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้น ร้อยละ 12.7 และสินค้าหมวดยานพาหนะเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.8 สินค้าหมวดอื่นๆเพิ่มขึ้นร้อยละ 131.3
แหล่งนำเข้า
การนำเข้าจากแหล่งนำเข้าที่สำคัญได้แก่ ญี่ปุ่น, อาเซียน, สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา และจีน โดยในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2548 มีสัดส่วนนำเข้ารวมร้อยละ 66.2 และเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน ของปี 2547 พบว่าการนำเข้าจากกลุ่มประเทศอาเซียน เพิ่มขึ้นร้อยละ 43.1 สหภาพยุโรป ร้อยละ 14.3 ญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.6 , สหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.5 จีนเพิ่มขึ้นร้อยละ 43.0 และจากแหล่งอื่นๆ เพิ่มขึ้นร้อยละ 32.5
แนวโน้มการส่งออก
สถานการณ์การค้าในปี 2548 ในช่วงไตรมาสแรกค่อนข้างมีทิศทางที่ไม่ดีนัก มีการขาดดุลการค้าถึง 2,963 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่ปัญหาการขาดดุลการค้าที่เกิดขึ้น สาเหตุหลักมาจากการนำเข้าสินค้าเชื้อเพลิง ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก อย่างไรก็ตามกระทรวงพาณิชย์ยังคงมองภาพรวมของการส่งออกและการค้าระหว่างประเทศของไทยในทิศทางที่ดี
โดยจากนโยบายและแผนการขยายตลาดใหม่ๆ การทำเขตการค้าเสรี (FTA) การจัดโรดโชว์การเพิ่มปริมาณการจัดงานแสดงสินค้าทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนมาตรการลดการขาดดุลการค้าของรัฐบาล น่าจะมีผลกระตุ้นทำให้ยอดการส่งออกของประเทศไทยโดยรวมสามารถขยายตัวได้ดีขึ้น เข้าสู่เป้าหมายการส่งออกปี 2548 ที่ตั้งไว้ ณ ระดับเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 หรือ 117,196 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
การลงทุนจากต่างประเทศ
การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสุทธิในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 จากข้อมูลเบื้องต้นของธนาคารแห่งประเทศไทย การลงทุนสุทธิในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ มีมูลค่ารวม 4,661 ล้านบาท โดยในเดือนมกราคมมีมูลค่าการลงทุนสุทธิ 1,685 ล้านบาท และเดือนกุมภาพันธ์ 2,976 ล้านบาทในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 1 ของปี 2548 สาขาอุตสาหกรรมเป็นสาขาที่มีการลงทุนสุทธิมากที่สุด คือ 2,988 ล้านบาท โดยในสาขาอุตสาหกรรมมีการลงทุนสุทธิในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่งมากที่สุด เป็นเงินลงทุนสุทธิ 1,382 ล้านบาท รองลงมาคือ หมวดโลหะและอโลหะ 629 ล้านบาท และหมวดเคมีภัณฑ์ 349 ล้านบาท
ประเทศที่เข้ามาลงทุนสุทธิในประเทศไทยมากที่สุดในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ คือ ประเทศญี่ปุ่น มีเงินลงทุนสุทธิถึง 2,056 ล้านบาท รองลงมาคือ ประเทศลักเซ็มเบอร์ก และประเทศสวีเดน มีเงินลงทุนสุทธิ 708 ล้านบาท และ 568 ล้านบาท ตามลำดับ
สำหรับการลงทุนที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) พบว่า ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2548 การลงทุนจากต่างประเทศที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI มีจำนวนทั้งสิ้น 171 โครงการ คิดเป็นเงินลงทุน 37,800 ล้านบาท โดยเป็นโครงการที่ลงทุนจากต่างประเทศ 100 % จำนวน 55 โครงการ คิดเป็นเงินลงทุน 18,900 ล้านบาท เป็นโครงการร่วมทุนระหว่างไทยและต่างประเทศ 53 โครงการ เป็นเงินลงทุน 10,000 ล้านบาท
เมื่อพิจารณาในหมวดของการเข้ามาลงทุน พบว่า ประเภทกิจการที่ได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนมากที่สุด คือ หมวดบริการและสาธารณูปโภค มีเงินลงทุน 10,700 ล้านบาท รองลงมา คือ หมวดอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า มีเงินลงทุน 9,000 ล้านบาท และหมวดเกษตรกรรมและผลิตผลการเกษตร มีเงินลงทุน 5,700 ล้านบาท
สำหรับแหล่งลงทุนในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2548 พบว่านักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่นมีการลงทุน มากที่สุดโดยได้รับการส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น 91 โครงการ คิดเป็นมูลค่าการลงทุน 16,100 ล้านบาท รองลงมาคือ ประเทศแคนาดา จำนวน 1 โครงการ 5,541 ล้านบาท ประเทศสิงคโปร์ จำนวน 16 โครงการ เป็นเงินลงทุน 4,438 ล้านบาท ประเทศเยอรมัน 4 โครงการ เป็นเงินลงทุน 2,636 ล้านบาท
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-