(ต่อ1) การศึกษาร่วมว่าด้วยการจัดทำความตกลงการค้าเสรี

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday April 29, 2004 07:15 —กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ

อาหารกระป๋องและอาหารแปรรูป อาหารกระป๋องและอาหารแปรรูปเป็นสินค้าส่งออกกลุ่มเกษตรที่สำคัญของประเทศไทย โดยมีปลาและกุ้งแปรรูปเป็นสินค้าส่งออกหลัก การส่งออกไปนิวซีแลนด์ตั้งแต่ปี 2000-2003 แสดงให้เห็นว่ามูลค่าการค้าของทั้งสองสินค้าสูงถึงเกือบ 12 ล้านเหรียญสหรัฐ ทิศทางโดยรวมของการส่งออกของไทยนั้นเพิ่มขึ้น สินค้าของไทยมีส่วนแบ่งในตลาดนิวซีแลนด์มากกว่าร้อยละ 70 อย่างไรก็ตามแนวโน้มตั้งแต่ปี 2000 ถึง 2003 แสดงให้เห็นว่าไทยได้เสียส่วนแบ่งในตลาดนิวซีแลนด์ของสินค้ากุ้งแปรรูปนี้ไปประมาณร้อยละ 10 ขณะที่สินค้าปลาแปรรูปมีส่วนแบ่งตลาดลดลงจาดร้อยละ 47.5 ในปี 2001 เป็นร้อยละ 43.3 ในปี 2003 ความสามารถในการแข่งขันของไทยในสินค้ากลุ่มนี้ส่วนหนึ่งเนื่องจากไทยมีทางออกสู่ทะเล มีทรัพยากรธรรมชาติที่เหมาะสม มีแรงงานและเทคโนโลยี รวมทั้งในอดีตที่ผ่านมารัฐบาลไทยได้สนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมฟาร์มกุ้งและอาหารทะเลอื่นๆ นอกเหนือจากการทำการส่งออกอาหารกระป๋องที่มีคุณภาพในราคาถูกไปยังต่างประเทศ ซึ่งนิวซีแลนด์นั้นมีการเก็บภาษีสินค้านำเข้ากลุ่มนี้ในอัตราที่ต่ำประมาณร้อยละ 0-6.5 ไทยมีการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบจากนิวซีแลนด์ในการผลิตอาหารแปรรูป การลดภาษีนำเข้าของสินค้าประเภทอาหารและเกษตรจะช่วยสนองความต้องการวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นในการขยายตัวอุตสาหกรรมประเภทนี้ของไทย ไทยในฐานะที่เป็นผุ้นำในอุตสาหกรรมอาหารทะเลแปรรูปเป็นตลาดส่งออกประมงที่สำคัญของนิวซีแลนด์ ได้แก่ปลาทูน่า และเนื้อปลา สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่มและรองเท้า มูลค่าการส่งออกรวมของสินค้าในกลุ่มนี้ของไทยไปนิวซีแลนด์ในปี 2003 สูงถึง 10 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าที่มีการส่งออกสูงสุดคือสินค้าจำพวกผ้า เช่น กระเป๋า มีมูลค่ามากกว่า 2 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนสินค้าส่งออกประเภทผ้าที่ทำด้วยมือเพิ่มขึ้น ร้อยละ 40 จาก 1.6 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2002 เป็น 2.1 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2003 นอกจากนี้สินค้าพวกเครื่องนุ่งห่มที่ไม่ใช่ประเภทถักมีการส่งออกเพิ่มสูงขึ้นในเวลาเดียวกัน ซึ่งแนวโน้มนี้แสดงให้เห็นถึงความได้เปรียบในการในการส่งออกสินค้าประเภทนี้ของไทย ส่วนแบ่งการตลาดของสินค้าประเภทนี้ของไทยในตลาดนิวซีแลนด์มีเพียงร้อยละ 1 เท่านั้น และเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างคงที่ โดยคู่แข่งขันที่สำคัญของไทยคือ สินค้าจากจีน ปัจจุบันไทยส่งออกเป็นลำดับที่ 12 ในตลาดนิวซีแลนด์ ซึ่งการลดภาษีภายใต้ความตกลงการค้าเสรีจะช่วยให้ไทยมีศักยภาพการแข่งขันในอุตสาหกรรมนี้เพิ่มขึ้น นิวซีแลนด์มีการเก็บภาษีในสินค้ากลุ่มนี้ทั้งภาษีตามราคาและภาษีตามสภาพ โดยที่ภาษีตามราคามีตั้งแต่ร้อยละ 0 ถึงร้อยละ 12.5 ในสินค้าสิ่งทอและร้อยละ 0-20 ในสินค้าเครื่องนุ่งห่ม อุตสาหกรรมภาคการผลิตสินค้าสิ่งทอ เครื่องนุ่มห่มและรองเท้าของนิวซีแลนด์ได้รับการปกป้องด้วยภาษีที่ค่อนข้างสูง แต่ในปี 2005 จะมีการปรับลดภาษีลง โครงสร้างการผลิตสินค้าประเภทนี้ของนิวซีแลนด์มีการเปลี่ยนจากการผลิตโดยใช้วัตถุดิบราคาถูกไปเป็นการผลิตสินค้าเฉพาะกลุ่มที่มีราคาสูง ซึ่งจากพื้นฐานของปัจจัยดังกล่าวมีแนวโน้มให้ผลกระทบภายใต้ความตกลงการค้าเสรีต่อภาคอุตสาหกรรมนี้มีเพียงเล็กน้อย ขณะที่ประโยชน์ที่ได้รับจะมีส่วนช่วยให้ผู้ผลิตสินค้าในระดับสูงของนิวซีแลนด์มีวัตถุดิบในการผลิตที่ถูกลงและได้ตลาดมากขึ้น ผลิตภัณฑ์นม ภาคการผลิตสินค้าประเภทนมและผลิตภัณฑ์นมภาคอุตสาหรรมที่มหญ่ที่สุดของนิวซีแลนด์ โดยมีมูลค่าประมาณร้อยละ 17 ของมูลค่าส่งออกสินค้ารวม และสร้างงานให้กับคนในชนบทของนิวซีแลนด์ถึง 24,000 คน นิวซีแลนด์เป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจในระบบเปิดที่อนุญาตให้มีการแข่งขันของสินค้าในภาคอุตสาหกรรมนม โดยมีผลิตภัณฑ์นมที่ขายในประเทศเป็นสินค้านำเข้าถึงร้อยละ 15 นิวซีแลนด์เป็นประเทศส่งออกสินค้าประเภทนมที่มีความสำคัญเป็นอันดับสองของโลก แม้กระนั้นส่วนแบ่งตลาดของนิวซีแลนด์ในตลาดโลกยังคงน้อยคือ ประมาณ ร้อยละ 2.5 ผู้บริโภคและผู้ผลิตในไทยรวมไปถึงผู้ส่งออกของนิวซีแลนด์ได้รับประโยชน์จากการค้าสินค้ากลุ่มนี้ด้วยกัน การนำเข้านมพร่องมันเนย และ นมผงเป็นส่วนสำคัญที่ชดเชยการที่ประเทศไทยไม่สามารถผลิตสินค้ากลุ่มนี้ได้อย่างเพียงพอต่อความต้องการทั้งการบริโภคและการใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป ซึ่งถึงแม้ว่าการผลิตน้ำนมดิบของไทยจะเพิ่มขึ้นกว่าครึ่งในช่วงเวลาที่ผ่านมา ผลผลิตที่ได้ยังคงตอบสนองของความต้องการน้ำนมภายในประเทศได้เพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น นิวซีแลนด์เป็นประเทศที่ส่งออกนมให้แก่ไทยอย่างสม่ำเสมอ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยการส่งออกคงอยู่ในระดับเดิมตั้งแต่ปี 1998 แต่ก็มากกว่าออสเตรเลียซึ่งเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดในตลาดต่างประเทศ และนิวซีแลนด์ยังเป็นประเทศหลักที่ขายสูตรนมสำหรับเด็กให้กับประเทศไทย ถึงแม้ว่าออสเตรเลียจะเป็นประเทศหลักในการขายปลีกสินค้าดังกล่าว ในขณะนี้ประเทศไทยเป็นตลาดส่งออกลำดับที่ 11 ของนิวซีแลนด์ โดยนำเข้าประมาณ ร้อยละ 6 ของการส่งออกทั้งหมด ข้อจำกัดในการส่งออกนมจากนิวซีแลนด์มายังไทย ได้แก่ การกำหนดโควตาที่ 55,000 ตัน ภาษีศุลกากรและข้อกำหนดเรื่องสัดส่วนวัตถุดิบภายในประเทศ ต่อสินค้าที่ใช้ในโครงการจัดสรรนมให้แก่โรงเรียนของรัฐ ภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้นจาก ร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 20 ในปี 2003 ซึ่งเป็นอัตราสูงสุดที่เก็บได้ภายใต้ข้อผูกมัดภายใต้องค์การการค้าโลก ส่วนภาษีนอกโควตาของไทยนั้นสูงมากโดยอยู่ที่ประมาณร้อยละ 200 สำหรับสินค้าที่ไม่มีโควตา เช่น นมผงบางชนิดและเนย มีการเก็บภาษีที่ ร้อยละ 18 และร้อยละ 30 ตามลำดับ ส่วนนมสำหรับทารก (ไม่ใช่สำหรับการขายปลีก) มีการเก็บภาษีที่ร้อยละ 5 นมผงส่วนใหญ่ที่ไทยนำเข้าจากนิวซีแลนด์นั้นนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป ซึ่งความต้องการของส่วนผสมที่มีคุณภาพดีของไทยเพิ่มมากขึ้นหลังจากที่รัฐบาลมียุทธศาสตร์ที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร ดังนั้นการลดข้อจำกัดการนำเข้าต่อสินค้าประเภทนมจะทำให้อุตสาหกรรมกลุ่มนี้สามารถตอบสนองต่อความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นและได้รับประโยชน์จากการลดลงของต้นทุนการผลิต การที่ไทยมีความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปจะเป็นพื้นฐานในการที่จะมีการลงทุนในอุตสาหกรรมนี้มากขึ้น การส่งออกของนิวซีแลนด์ที่เน้นหนักไปที่การขายนมผงให้แก่กลุ่มอุตสาหกรรมอาหารของไทยนั้นแตกต่างไปจากการผลิตนมภายในประเทศที่เป็นการผลิตน้ำนมให้แก่ผู้บริโภคภายในประเทศและโครงการนมโรงเรียน ซึ่งความแตกต่างนี้เมื่อรวมกับความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นในตลาดวัตถุดิบที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จะทำให้ผู้ผลิตทั้งไทยและนิวซีแลนด์มีตลาดให้กับสินค้าตัวเองมากขึ้น อีกปัจจัยหนึ่งที่มีต่ออุตสาหกรรมนมของไทยคือข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างไทยกับออสเตรเลียที่จะทำให้ออสเตรเลียสามารถเข้าสู่ตลาดของไทยได้มากขึ้น ซึ่งการเปิดตลาดให้กับสินค้าจากนิวซีแลนด์ก็ไม่น่าที่จะมีผลมากนักต่อผู้ผลิตนมในประเทศ ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจของไทยเน้นในด้านอุตสาหกรรม และคนส่วนใหญ่ในชนบทยังคงเกี่ยวข้องกับภาคเกษตรกรรมอยู่ ไทยจึงระวังในการเปิดเสรีที่อาจจะส่งผลกระทบต่อชาวนาและคนงาน โดยมีภาษีนำเข้าที่สูงและมีการกำหนดปริมาณการนำเข้าในผลิตภัณฑ์นมเพื่อสนันสนุนการผลิตในประเทศ อย่างไรก็ดี แนวโน้มของโลกในการเปิดการค้าเสรีทำให้ท่าทีของไทยมีการลดข้อกีดกันทางการค้าควบคู่ไปกับการติดตามเฝ้าระวังและการปรึกษาอย่างใกล้ชิดกับผู้ที่ได้รับผลกระทบ เนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์เป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจนิวซีแลนด์เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมนม โดยมีมูลค่าประมาณร้อยละ 15 ของสินค้าส่งออก ในปี 2003 การส่งออกเนื้อสัตว์มีมูลค่ารวม 2.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยสินค้าหลักจะเป็นเนื้อแกะและเนื้อวัว โดยในปี 1998 อุตสาหกรรมนี้มีการจ้างงานสูงถึง 29,000 คน อย่างไรก็ดีตั้งแต่ช่วงปี 1980 ปริมาณแกะและการทำฟาร์มวัวได้ลดลงเนื่องจากการนำที่ดินไปใช้ในการทำฟาร์มเพื่อผลิตนม การเลี้ยงกวางและการทำป่าไม้แทน แต่การปริมาณลดลงนี้ชดเชยด้วยการความสามารถในการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น สินค้าเนื้อสัตว์ของนิวซีแลนด์ส่วนใหญ่ขายไปยังตลาดต่างประเทศ โดยมาจากผลิตภัณฑ์เนื้อวัวและลูกวัวประมาณร้อยละ 85 และจากเนื้อแกะร้อยละ 80 ในขณะที่นิวซีแลนด์เป็นผู้นำเข้าสุทธิสินค้าประเภทเนื้อหมูแช่แข็งและเบคอน ถึงแม้ว่านิวซีแลนด์จะมีการส่งออกเนื้อวัว เนื้อแกะ และเนื้อลูกวัวมาก แต่การส่งออกไปไทยยังอยู่ในระดับปานกลาง โดยในปี 2003 เนื้อวัวที่ส่งออกมีมูลค่าน้อยกว่าร้อยละ 1 ของสินค้าทั้งหมดที่นิวซีแลนด์ส่งมายังไทย การนำเข้าเนื้อแดงของไทยนั้นต่ำมาก คืออยู่ที่ประมาณ 5.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากหลายๆ ปัจจัยเช่น รูปแบบการบริโภคและมาตรการทางการค้าต่างๆ ภาษีของไทยที่เก็บในสินค้าเนื้อวัว และเนื้อแกะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 50 และ ร้อยละ 30 ตามลำดับ การยกเลิกการเก็บภาษีภายใต้ความตกลงเขตการค้าเสรีจะทำให้ผู้บริโภคของไทยและอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยได้รับประโยชน์จากแหล่งสินค้าที่มีการแข่งขันกัน การเติบโตของภาคธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยวจะส่งผลให้เกิดความต้องการเนื้อที่มีคุณภาพเพื่อตอบสนองต่อนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มมากขึ้น ซึ่งผลผลิตของนิวซีแลนด์ก็สามารถตอบสนองต่อความต้องการดังกล่าวในประเทศต่างๆในภูมิภาคได้ จากสภาพอากาศและทรัพยากรที่ไทยมีอยู่ทำให้ไทยไม่มีความได้เปรียบในอุตสาหกรรมนี้ ตลาดสำหรับการผลิตเนื้อสัตว์ในประเทศส่วนมากเป็นตลาดระดับล่าง ขณะที่ตลาดสำหรับการนำเข้าผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์จากนิวซีแลนด์เป็นตลาดระดับสูง ซึ่งอาจไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตภายในประเทศมากนัก อย่างไรก็ดี ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับเกษตรกรจากการเปิดเสรีผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ต้องมีการดูแลอย่างใกล้ชิด ผักและผลไม้ ตั้งแต่ปี 1990 อุตสาหกรรมเกษตรของนิวซีแลนด์ได้ขยายตัวอย่างมาก การส่งออกเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าตัวภายในช่วงเวลา 13 ปีที่ผ่านมา โดยเป็นผลหลักจากการขยายตัวของการส่งออกกีวี่ แอปเปิ้ล หัวหอม และไวน์ ซึ่งสินค้าเหล่านี้ถูกส่งออกไปกว่า 110 ประเทศและได้สร้างงานให้กับคนนิวซีแลนด์กว่า 30,000 คน ประเทศไทยมีการเก็บภาษีสินค้าประเภทนี้ที่ค่อนข้างเข้มงวดและสูงถึงประมาณร้อยละ 10 ถึง 60 สำหรับสินค้าผักและผลไม้เมืองหนาว สินค้านำเข้าส่วนใหญ่มีการเก็บภาษีตามสภาพตามน้ำหนัก เช่น มันฝรั่งแปรรูปแช่แข็ง ซึ่งถ้าเทียบเป็นภาษีตามราคาแล้วอยู่ที่ประมาณร้อยละ 84 นอกจากนี้การจำกัดโควตาการนำเข้ายังนำมาใช้กับสินค้าผักและผลไม้อีกหลายชนิด ซึ่งรวมถึงหัวหอมและมันฝรั่ง เนื่องจากสินค้าของนิวซีแลนด์มีชื่อเสียงประกอบกับมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่ดีกับประเทศต่างๆ ถึงแม้จะมีมาตรการภาษีสูง ผักผลไม้จากนิวซีแลนด์ยังคงเป็นที่ต้องการในประเทศไทย โดยตัวเลขการส่งออกมายังประเทศไทยในปี 2003 มีมูลค่าถึง 6.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งสินค้าหลักคือ แอ๊ปเปิ้ล แครอท และมันฝรั่งแช่แข็ง การจัดทำความตกลงการค้าเสรีจะให้ประโยชน์แก่ทั้งผู้ผลิตในนิวซีแลนด์และผู้บริโภคในประเทศไทยจากการแข่งขัน คุณภาพ และทางเลือกที่มีมากขึ้น ผู้ผลิตและส่งออกในนิวซีแลนด์ให้ความสำคัญอย่างมากต่อความปลอดภัยของอาหารซึ่งเป็นข้อกำหนดเบื้องต้นในการนำผลผลิตออกขายในตลาดระดับสูงของไทย ความสอดคล้องทางการผลิตระหว่างไทยและนิวซีแลนด์ และความเป็นจริงที่ว่าสินค้าผักผลไม้ของนิวซีแลนด์เหมาะสมกับความต้องการของนักท่องเที่ยวในไทย แสดงให้เห็นว่าการจัดทำความตกลงการค้าเสรีจะให้โอกาสแก่ผู้ส่งออกของนิวซีแลนด์โดยไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตภายในประเทศ นอกจากนี้ข้อตกลงการค้าเสรีจะให้โอกาสแข่งขันกับผู้ผลิตจากประเทศอื่นๆที่ไทยทำข้อตกลงการค้าเสรีด้วย อาหารทะเล อุตสาหกรรมอาหารทะเลทำเงินให้กับนิวซีแลนด์ ปีละ 377 ล้านเหรียญสหรัฐ และเป็นอุตสาหกรรมสำคัญต่อเศรษฐกิจของนิวซีแลนด์ การส่งออกอาหารทะเลในปี 2003 มีมูลค่ารวม 678 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 4 ของการส่งออกทั้งหมด หลักการทำประมงของนิวซีแลนด์นั้นอยู่บนพื้นฐานของการประมงที่ยั่งยืนโดยมีจุดมุ่งหมายที่จะสร้างความมั่นคงในระยะยาวให้แก่อุตสาหกรรม ตั้งแต่ปี 1990 ธุรกิจนี้ได้รับการลงทุนอย่างมากจากบริษัทนิวซีแลนด์ โดยเฉพาะธุรกิจประมงทะเล ขณะนี้ไทยไม่มีการเก็บภาษีอาหารทะเลจากนิวซีแลนด์ที่เข้าสู่อุตสาหกรรมแปรรูปอาหารเพื่อการส่งออกและเนื่องจากไทยมีอุตสาหกรรมอาหารทะเลแปรรูปที่ใหญ่มากของโลก จะทำให้ไทยได้รับประโยชน์จากการลดภาษีนำเข้าต่อสินค้าวัตถุดิบ อย่างไรก็ตามประเทศไทยยังคงเก็บภาษีร้อยละ 30 ในสินค้าอาหารทะเลที่นำเข้าเพื่อการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งนิวซีแลนด์เป็นประเทศที่มีความสามารถในการผลิตปลาน้ำเย็นและสัตว์ทะเลมีเปลือกในขณะที่ไทยมีความสามารถในการผลิตปลาน้ำอุ่น การจัดทำความตกลงการค้าเสรีจะนำผลประโยชน์สู่ผู้บริโภคในไทยโดยตอบสนองความต้องการของธุรกิจการท่องเที่ยวภายในประเทศ นอกจากนี้สินค้า ปลาทูน่า กุ้งใหญ่ และปลาจากนิวซีแลนด์จะสามารถแข่งขันได้อย่างเท่าเทียมกับสินค้าชนิดเดียวกันจากประเทศที่มีข้อตกลงการค้าเสรีกับไทย(ยังมีต่อ)

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ