ความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหามลพิษในแม่น้ำเจ้าพระยา 1. ความเป็นมา ลุ่มน้ำเจ้าพระยา และสาขาเป็นลุ่มน้ำขนาดใหญ่สุดของประเทศ ประกอบด้วย 8 ลุ่มน้ำย่อยคือ ลุ่มน้ำปิง วัง ยม น่าน สะแกกรัง ป่าสัก เจ้าพระยา และท่าจีน มีพื้นที่ลุ่มน้ำประมาณ 157,925 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณร้อยละ 30 ของพื้นที่ทั้งประเทศ ในระยะที่ผ่านมาปรากฎว่ามีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรน้ำในลุ่มน้ำอย่างกว้างขวาง ทั้งเพื่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการอุปโภคบริโภค แต่เนื่องจากการใช้ทรัพยากรน้ำเพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ ดังกล่าว เกิดจากความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงจำนวนประชากรสภาพทางเศรษฐกิจและทางสังคม รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์จากที่ดินทั้งในภาคเกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรม ที่มีการขยายตัวอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง เป็นการใช้ที่มิได้คำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นในระยะยาว จึงเป็นผลให้ลุ่มน้ำเจ้าพระยาประสบปัญหาหลายประการ เป็นต้นว่า การขาดแคลนน้ำในฤดูแล้งปัญหาคุณภาพน้ำที่เสื่อมโทรมลง ปัญหาการนำน้ำบาดาลมาใช้โดยการสูบน้ำอย่างมากมายปราศจากการควบคุมทำให้เกิดปัญหาแผ่นดินทรุด ปัญหาน้ำท่วมในฤดูฝนเนื่องจากการระบายน้ำไม่ทัน การรุกล้ำของน้ำเค็ม รวมไปถึงปัญหาที่เกิดจากความขัดแย้งในการใช้น้ำ ซึ่งปัญหาดังกล่าวรัฐบาลได้ตระหนักและพยายามดำเนินมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหามาโดยลำดับ แต่การดำเนินการที่ผ่านมาส่วนใหญ่ยังมุ่งไปในประเด็นของการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าในระยะสั้น ทำให้การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาโดยรวม ขาดประสิทธิภาพและไม่เป็นระบบสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเห็นว่าแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นหนึ่งใน 25 แม่น้ำสำคัญของประเทศ ซึ่งปัจจุบันปริมาณน้ำที่เก็บได้และสภาพการใช้น้ำเริ่มมีสภาพไม่สมดุล เริ่มมีปัญหาการขาดแคลนน้ำ และปัญหาคุณภาพน้ำในฤดูแล้งที่เพิ่มขึ้นทุกปี เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของประชากร การขยายตัวทางเศรษฐกิจ ก่อให้เกิดปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพการใช้ที่ดินทำกินมากขึ้น เป็นผลให้มีการชะล้างพังทลายของหน้าดิน การตื้นเขินของทางน้ำ และปัญหาอุทกภัยในฤดูฝนมีความรุนแรงและเกิดความความเสียหายเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ เนื่องจากการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานและการขยายตัวของชุมชนเมือง จึงเห็นสมควรที่จะศึกษาในสาระสำคัญเกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหามลพิษในแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อจัดทำความเห็นและข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้เป็นการดำเนินการตามภารกิจของสภาที่ปรึกษาฯ ภายใต้มาตรา 89 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 2. การดำเนินงานของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สภาที่ปรึกษาฯได้มอบหมายให้คณะทำงานศึกษาและอนุรักษ์แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำแม่กลอง และแม่น้ำบางปะกงได้ทำการศึกษาสาระสำคัญและแนวทางการแก้ไขปัญหามลพิษในแม่น้ำเจ้าพระยาโดย (1) รวบรวมเอกสารและข้อมูลจากแหล่งต่างๆ (2) จัดเสวนาเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องและ (3) การจัดประชุมกลุ่มย่อยโดยเชิญนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญจากองค์กรที่เกี่ยวข้องมาร่วมให้ความคิดเห็น 3. ลักษณะภูมิศาสตร์ของลุ่มน้ำ ลุ่มน้ำเจ้าพระยาและสาขามีพื้นที่ลุ่มน้ำประมาณ 157,925 ตารางกิโลเมตร ปริมาณฝนตกเฉลี่ยปีละ 1,122 มม. และปริมาณน้ำท่าเฉลี่ยปีละ 33,217 ล้านลูกบาศก์เมตร ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของภาคเหนือและภาคกลางของประเทศ สภาพภูมิประเทศของพื้นที่ลุ่มน้ำตอนบนเป็นภูเขาสูงชัน มีที่รบเฉพาะริมฝั่งลำน้ำ มีทิศทางการไหลจากทางทิศเหนือลงสู่ทิศใต้ ประกอบด้วยลำน้ำสาขาที่สำคัญคือแม่น้ำปิง วัง ยม และน่านซึ่งเป็นแหล่งน้ำต้นทุนที่สำคัญสำหรับพื้นที่การเกษตรในลุ่มน้ำตอนล่าง โดยแม่น้ำวังไหลมาบรรจบกับแม่น้ำปิงที่อำเภอบ้านตาก จังหวัดตาก แม่น้ำยมไหลมาบรรจบกับแม่น้ำน่านที่อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ และแม่น้ำปิงไหลมาบรรจบกับแม่น้ำน่านเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณอำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ จากนั้นจึงไหลมาบรรจบกับแม่น้ำสะแกกรังบริเวณอำเภอเมืองจังหวัดอุทัยธานีและแยกออกเป็นแม่น้ำท่าจีนทางฝั่งขวาของแม่น้ำเจ้าพระยา ในเขตอำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท โดยแม่น้ำท่าจีนไหลลงสู่ทะเลอ่าวไทยในเขตจังหวัดสมุทรสาคร ส่วนแม่น้ำเจ้าพระยาได้ไหลมาบรรจบกับแม่น้ำป่าสัก บริเวณอำเภอเมือง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ก่อนจะไหลผ่านกรุงเทพมหานครและลงสู่อ่าวไทยในเขตจังหวัดสมุทรปราการ - แม่น้ำเจ้าพระยาสายหลักแบ่งออกเป็น 3 ช่วงด้วยกัน ดังนี้ - แม่น้ำเจ้าพระยาตอนบน เริ่มจากอำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ลงมาจนถึง อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา รวมระยะทาง 237 กิโลเมตร - แม่น้ำเจ้าพระยาตอนกลาง เริ่มจาก อำเภอพระนครศรีอยุธยาลงมาจนถึงวัดเฉลิมพระเกียรติ อำเภอเมืองจังหวัดนนทบุรี รวมระยะทาง 80 กิโลเมตร - แม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่างเริ่มจากวัดเฉลิมพระเกียรติ อำเภอเมืองจังหวัดนนทบุรี ลงมาจนถึงปากแม่น้ำ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ รวมระยะทาง 55 กิโลเมตร 4. แหล่งกำเนิดมลพิษ แหล่งกำเนิดมลพิษที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ แหล่งที่มีจุดกำเนิดแน่นอน (Point Source) ได้แก่ แหล่งชุมชน โรงงานอุตสาหกรรม และการเลี้ยงสุกรเป็นต้น และแหล่งที่มีจุดกำเนิดไม่แน่นอน (Non-Point Source) ได้แก่ น้ำเสียจากเกษตรกรรม ประเภทการเพาะปลูกเป็นต้น 4.1 แหล่งที่มีจุดกำเนิดแน่นอน (Point Source) 4.1.1 แหล่งชุมชน น้ำเสียจากแหล่งชุมชนเป็นน้ำเสียที่เกิดจากกิจกรรมการดำรงชีวิตประจำวันของประชากร แหล่งกำเนิดน้ำเสียจากชุมชนสามารถแบ่งได้เป็นน้ำทิ้งจากที่อยู่อาศัย อาคารชุด บ้านจัดสรร หอพัก สถาน-ประกอบการต่าง ๆ ในย่านพาณิชยกรรม ได้แก่ โรงแรม ตลาดสด ศูนย์การค้า ร้านอาหาร นอกจากนี้ยังรวมถึงสถาบันและหน่วยงานราชการต่าง ๆ ได้แก่ โรงพยาบาล สถาบันการศึกษา อาคาร ที่ทำการราชการหรือรัฐวิสาหกิจ ลักษณะน้ำเสียชุมชนโดยทั่วไปมีทั้งสารอินทรีย์และอนินทรีย์ที่เป็นของแข็งแขวนลอย และของแข็งละลายน้ำ (ส่วนใหญ่เป็นสารอินทรีย์) นอกจากนี้ยังอาจมีเชื้อโรคปะปนอยู่ด้วย ปริมาณน้ำเสียที่เกิดจากแหล่งชุมชนจะเป็นสัดส่วนโดยตรงกับจำนวนประชากรและมีความสัมพันธ์กับปริมาณการใช้น้ำจากครัวเรือน โดยน้ำเสียจากครัวเรือนจะประกอบด้วยสิ่งปฏิกูลและน้ำทิ้งจากกิจกรรมประจำวันของมนุษย์ ได้แก่ การอาบ ซักล้าง และกิจกรรมอื่น ๆ ซึ่งประกอบด้วย สารอินทรีย์ ไขมัน องค์ประกอบ สารซักฟอก น้ำเสียจากครัวเรือน โดยปกติแล้วจะมีความเข้มข้นของอินทรียสารหรือความสกปรกในรูปบีโอดีค่อนข้างสูง รวมทั้งแบคทีเรียชนิดฟีคอลโคลิฟอร์มและปริมาณสารแขวนลอยต่าง ๆ ปริมาณ BOD loading จากแหล่งกำเนิดประเภทชุมชนในลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนบน 17,058 กก./วัน ตอนกลาง 7,711 กก./วัน และตอนล่าง 33,675 กก./วัน (จากการศึกษาของ บ. Seatec International จำกัด) 4.1.2 โรงงานอุตสาหกรรม น้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมนับว่ามีความสกปรกสูงกว่าน้ำเสียจากชุมชน น้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมบางประเภทก็สามารถบำบัดได้ง่าย เพราะมีองค์ประกอบเป็นสารอินทรีย์ได้แก่ โรงงานอตุสาหกรรมบางประเภทก็สามารถบำบัดได้ง่าย เพราะมีองค์ประกอบเป็นสารอินทรีย์ ได้แก่ โรงงานแปรรูปอาหาร เครื่องดื่ม กระดาษ น้ำตาล ฟอกย้อม โรงฆ่าสัตว์ ฟอกหนัง แต่อุตสาหกรรมบางประเภทบำบัดได้ยาก เนื่องจากมีโลหะหนัก ได้แก่ โรงงานอิเล็กทรอนิกส์ ชุบโลหะ แบตเตอรี่ ปิโตรเคมี ปริมาณ BOD loading จากโรงงานอุตสาหกรรมในลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนบน 1,428 กก./วัน ตอนกลาง 5,843 กก./วัน และตอนล่าง 70,461 กก./วัน (จากรายงานการศึกษาปริมาณสารมลพิษ 2543 โดยบริษัทซีเอ็มเอส เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ แมนเนจเมนท์ จำกัด) จากข้อมูลของสำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร ได้รายงานค่า BOD Loading ในเขตกรุงเทพมหานครมีค่า 165,942.4 ลบ.ม./วันซึ่งไม่ได้จำแนกตามแหล่งกำเนิดมลพิษว่ามาจากแหล่งกำเนิดประเภทชุมชนหรืออุตสาหกรรม 4.2 แหล่งที่มีจุดกำเนิดไม่แน่นอน (Non-Point Source) ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม และถึงแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่จะมีกิจกรรมทางอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น แต่กิจการเกษตรกรรมทั้งที่เป็นการเพาะปลูกและการเลี้ยงสัตว์ยังคงมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศอยู่ ดังนั้น ปัญหามลพิษทางน้ำที่เกิดขึ้นเนื่องจากการเกษตรกรรมควรที่จะต้องได้รับการดูแลจากรัฐและฝ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อมิให้ปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบต่อแหล่งน้ำธรรมชาติ รวมทั้งการใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำ น้ำเสียจากการเกษตรกรรมนั้น สามารถแบ่งที่มาออกได้เป็น 3 ประเภทได้แก่ 4.2.1 การเพาะปลูก น้ำเสียจากการเพาะปลูกนั้น เกิดจากน้ำใช้แล้วจากพื้นที่เพาะปลูกทั้งที่เป็นพืชไร่และพืชสวน ซึ่งน้ำใช้แล้วดังกล่าวจะมีของเสียซึ่งประกอบไปด้วยตะกอน สารอินทรีย์ สารเคมีปราบศัตรูพืชและปุ๋ยส่วนเกิน ทำให้น้ำมีปริมาณของไนโตรเจน และฟอสฟอรัสสูง ส่งผลให้เกิดปัญหาการเติบโตอย่างรวดเร็วของพืชน้ำ เช่น สาหร่าย และผักตบชวา และทำให้เกิด Eutrophication นอกจากนี้น้ำที่เหลือทิ้งจากพื้นที่การเกษตรที่ใช้สารกำจัดศัตรูพืชสูง จะทำให้มีสารเคมีที่ใช้ในการกำจัดศัตรูพืชที่เป็นส่วนเกินปนมากับน้ำที่ไหลชะพื้นที่การเกษตรลงมาด้วย ในลุ่มน้ำเจ้าพระยามีพื้นที่การเกษตรประมาณ 3,566,640 ไร่ โดยพื้นที่การเกษตรดังกล่าวสามารถนำมาประเมินความสกปรกของน้ำทิ้งที่เกิดจากการเกษตรกรรมในพื้นที่ลุ่มน้ำได้ โดยพบว่าน้ำทิ้งจากการเกษตรมีความสกปรกในรูปบีโอดีประมาณ 33,533 กิโลกรัมต่อวัน (จากรายงานคุณภาพแม่น้ำเจ้าพระยาปี 2537-2542 กรมควบคุมมลพิษ) 4.2.2 การปศุสัตว์ จากกิจการปศุสัตว์ ได้แก่ น้ำทิ้งที่เกิดจากกิจกรรมการเลี้ยงสัตว์ทั้งที่เป็นสัตว์ปีก เช่น เป็ด ไก่ และที่เป็นสุกร และโคกระบือ แต่ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ที่ทำให้เกิดปัญหาน้ำเน่าเสียแก่แหล่งน้ำมากในปัจจุบันคือ ฟาร์มสุกร ฟาร์มเลี้ยงสุกร การเลี้ยงสุกรจำเป็นต้องมีการกำจัดของเสีย โดยของเสียในคอกสุกรคือมูลสุกร ซึ่งจะมีการเก็บกวาดออกแล้วมีการฉีดน้ำล้างพื้นคอก มูลสุกรที่มีการเก็บออกจะถูกนำมาตากแห้ง แล้วใส่กระสอบขายโดยได้ราคากระสอบละ 30 — 35 บาท ส่วนน้ำทิ้งที่เกิดจากน้ำล้างพื้นคอกจะถูกระบายเข้าสู่ระบบกำจัดของเสียในฟาร์มบางแห่งที่มีระบบบำบัดน้ำเสียแต่บางแห่งก็ลงสู่ร่องสวนหรือลงทางระบายน้ำสาธารณะ หรือลงสู่คลองโดยตรงแล้วแต่กรณี การปศุสัตว์ในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยามีการเลี้ยงสัตว์หลายประเภทด้วยกัน คือ โค กระบือ สุกร เป็ดและไก่โดยพบว่าในปี 2538 พื้นที่ลุ่มน้ำมีจำนวนฟาร์มทั้งสิ้น 1,060 แห่ง และมีโค กระบือ ไก่ เป็ด และสุกร ประมาณ 30,000 5,000 4,890,000 630,000 และ 180,000 ตัวตามลำดับโดยฟาร์มทั้ง 1,060 แห่งในพื้นที่ลุ่มน้ำก่อให้เกิดน้ำเสียที่มีปริมาณความสกปรกในรูปบีโอดีประมาณ 43 ตันต่อวัน ในรูปซีโอดีประมาณ 245 ตันต่อวัน และในรูปของแข็งแขวนลอย ประมาณ 234 ตันต่อวัน 4.2.3 การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ น้ำเสียจากการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหามลพิษของแหล่งน้ำ ในปัจจุบันอาชีพการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย ทั้งนี้เพราะเป็นธุรกิจที่ได้ผลเร็วเมื่อเปรียบเทียบกับการทำการเกษตรอย่างอื่น ๆ ฉะนั้นเกษตรกรซึ่งอยู่ริมแม่น้ำลำคลองหรือแม้กระทั่งชายฝั่งทะเลจะขุดบ่อเลี้ยงกุ้งเลี้ยงปลาเป็นจำนวนมาก น้ำที่ใช้เลี้ยงสัตว์น้ำแล้วจะมีอินทรีย์วัตถุต่าง ๆ ปนอยู่มาก รวมทั้งของเสียที่ถ่ายออกมาจากสัตว์น้ำ ซึ่งเมื่อปล่อยลงเป็นปริมาณมาก ๆ สู่แหล่งน้ำธรรมชาติจะทำให้น้ำในแม่น้ำลำคลองมีค่าออกซิเจนละลายน้ำต่ำลงไปอีก ซึ่งในวันหนึ่ง ๆ ปริมาณน้ำเสียซึ่งออกจากบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจะมีปริมาณมาก ในขณะนี้กิจการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ก่อให้เกิดปัญหาน้ำเสียทั้งแก่แหล่งน้ำจืด ประเภทปลาดุก ปลาช่อน และกุ้งก้ามกราม และชายฝั่งทะเลคือกิจการเพาะเลี้ยงกุ้งน้ำเค็มโดยเฉพาะกุ้งกุลาดำ 5. คุณภาพน้ำแม่น้ำเจ้าพระยา ปี 2534 - 2546 เจ้าพระยาตอนบน เป็นแหล่งน้ำประเภทที่ 2 สามารถใช้ประโยชน์ในการอุปโภค บริโภคโดยผ่านการฆ่าเชื้อโรคตามปกติ และการปรับปรุงคุณภาพน้ำทั่วไปก่อน การอนุรักษ์สัตว์น้ำ การประมง การว่ายน้ำและกีฬาทางน้ำ โดยกำหนดค่าคุณภาพน้ำ ดังนี้ ค่าออกซิเจนละลาย(DO) ไม่ต่ำกว่า 6.0 มิลลิกรัมต่อลิตร(มก./ล.) ปริมาณความสกปรกในรูปบีโอดี (BOD) ไม่เกินกว่า 1.5 มก./ล. ปริมาณการปนเปื้อนของแบคทีเรียกลุ่มโคลิฟอร์มทั้งหมด(TCB) ไม่เกินกว่า 5,000 MPNต่อ100 ml(หน่วย)และปริมาณการปนเปื้อนของแบคทีเรียกลุ่มฟีคอลโคลิฟอร์ม(FCB) ไม่เกินกว่า 1,000 หน่วย ค่าแอมโมเนีย(NH3) ไม่เกินกว่า 0.5 มก./ล. จากการตรวจวัดคุณภาพน้ำแม่น้ำเจ้าพระยาตอนบนใน ปี 2546 พบว่า ค่าคุณภาพน้ำโดยรวมอยู่ในมาตรฐานแหล่งน้ำผิวดินประเภทที่ 3 ( ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานคุณภาพน้ำที่กำหนดไว้เป็นประเภทที่ 2 ) จัดอยู่ในเกณฑ์พอใช้โดยไม่มีปัญหาคุณภาพน้ำที่รุนแรง ทั้งนี้สังเกตว่าบริเวณ อ.เมือง จ.นครสวรรค์ มีการปนเปื้อนของแบคทีเรียกลุ่มโคลิฟอร์มทั้งหมด (TCB) และแบคทีเรียกลุ่มฟีคอลโคลิฟอร์ม (FCB) สูงกว่าบริเวณจุดตรวจวัดอื่น แต่ยังอยู่ในมาตรฐานแหล่งน้ำผิวดินประเภทที่ 3 เจ้าพระยาตอนกลาง เป็นแหล่งน้ำประเภทที่ 3 สามารถใช้ประโยชน์ในการอุปโภค บริโภคโดยผ่านการฆ่าเชื้อโรคตามปกติ และการปรับปรุงคุณภาพน้ำทั่วไปก่อน และการเกษตร โดยกำหนดค่าคุณภาพน้ำดังนี้ ค่าออกซิเจนละลาย(DO) ไม่ต่ำกว่า 4.0 มิลลิกรัมต่อลิตร(มก./ล.) ปริมาณความสกปรกในรูปบีโอดี (BOD) ไม่เกินกว่า 2.0 มก./ล. ปริมาณการปนเปื้อนของแบคทีเรียกลุ่มโคลิฟอร์มทั้งหมด(TCB)ไม่เกินกว่า 20,000 MPNต่อ100 ml(หน่วย) และปริมาณการปนเปื้อนของแบคทีเรียกลุ่ม ฟีคอลโคลิฟอร์ม(FCB) ไม่เกินกว่า 4,000 หน่วย ค่าแอมโมเนีย(NH3) ไม่เกินกว่า 0.5 มก./ล. จากการตรวจวัดคุณภาพน้ำแม่น้ำเจ้าพระยาตอนกลางใน ปี 2546 พบว่า ค่าคุณภาพน้ำโดยรวมอยู่ในมาตรฐานแหล่งน้ำผิวดินประเภทที่ 4 ( ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานคุณภาพน้ำที่กำหนดไว้เป็นประเภทที่ 3) จัดอยู่ในเกณฑ์ต่ำ เนื่องจากการปนเปื้อนของแบคทีเรียกลุ่มฟีคอลโคลิฟอร์ม (FCB) มากกว่า 4,000 หน่วย ในบริเวณ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี อำเภอบางปะอิน อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เจ้าพระยาตอนล่าง เป็นแหล่งน้ำประเภทที่ 4 สามารถใช้ประโยชน์ในการอุปโภค บริโภคโดยผ่านการฆ่าเชื้อโรคตามปกติ และการปรับปรุงคุณภาพน้ำเป็นพิเศษก่อน และการอุตสาหกรรม โดยกำหนดค่าคุณภาพน้ำ ดังนี้ ค่าออกซิเจนละลาย(DO) ไม่ต่ำกว่า 2.0 มิลลิกรัมต่อลิตร(มก./ล.) ปริมาณความสกปรกในรูปบีโอดี (BOD) ไม่เกินกว่า 4.0 มก./ล. ค่าแอมโมเนีย(NH3) ไม่เกินกว่า 0.5 มก./ล. จากการตรวจวัดคุณภาพน้ำแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ในปี 2546 พบว่า ค่าคุณภาพน้ำโดยรวมไม่ได้ตามมาตรฐานแหล่งน้ำผิวดินประเภทที่ 4 จัดอยู่ในเกณฑ์ต่ำมาก โดยจุดตรวจวัดเกือบทั้งหมดมีค่า ออกซิเจนละลาย ต่ำกว่า 2.0 มก./ล. และการปนเปื้อนของแบคทีเรียกลุ่มโคลิฟอร์มทั้งหมด (TCB) และแบคทีเรียกลุ่มฟีคอลโคลิฟอร์ม (FCB) ทุกจุดตรวจวัดมีค่ามากกว่ามาตรฐานแหล่งน้ำผิวดินประเภทที่ 3 หลายเท่า บริเวณตั้งแต่ ท่าเรือกรุงเทพ ถึง พระสมุทรเจดีย์ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ มีค่าแอมโมเนีย ไม่ได้ตามมาตรฐาน สรุป ปัญหาคุณภาพน้ำได้แก่ ออกซิเจนละลาย ค่าแบคทีเรียกลุ่มโคลิฟอร์มทั้งหมด กลุ่มฟีคอลโคลิฟอร์ม และค่าแอมโมเนีย บริเวณที่เป็นปัญหาคือ พื้นที่เจ้าพระยาตอนล่างทั้งหมด ตั้งแต่ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี ผ่าน กรุงเทพฯ ถึง อ.เมือง จ.สมุทรปราการ จากการติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่ปี 2534-2546 (13 ปี) สามารถสรุปคุณภาพน้ำพารามิเตอร์ที่สำคัญได้ดังนี้ 1. ปริมาณออกซิเจนละลายน้ำ (DO) มีปริมาณสูงสุดบริเวณแม่น้ำเจ้าพระยาตอนบน และลดลงเรื่อย ๆ จนมีค่าต่ำสุดบริเวณเจ้าพระยาตอนล่าง โดยมีค่าตั้งแต่ 0.9-6.9 มก./ล. โดยเจ้าพระยาตอนบนส่วนใหญ่มีค่าอยู่ในมาตรฐานแหล่งน้ำประเภทที่ 2 ส่วนตอนกลางส่วนใหญ่มีค่าอยู่ในมาตรฐานแหล่งน้ำประเภทที่ 3 และเจ้าพระยาตอนล่างส่วนใหญ่มีค่าอยู่ในมาตรฐานแหล่งน้ำประเภทที่ 4 และเมื่อเปรียบเทียบเป็นช่วง 5 ปี แรก (2534-2538) 5 ปี หลัง (2539-2543) และช่วง 3 ปีสุดท้าย (2544-2546) ของการติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำพบว่าปริมาณออกซิเจนละลายน้ำมีแนวโน้มลดลงเล็กน้อย ดังแสดงในรูปที่ 1 2. ปริมาณความสกปรกในรูปสารอินทรีย์ (BOD) มีปริมาณสูงสุดบริเวณแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง และลดลงเรื่อย ๆ จนมีค่าต่ำสุดบริเวณเจ้าพระยาตอนบน โดยมีค่าตั้งแต่ 0.9-4.6 มก./ล. โดยเจ้าพระยาตอนบนส่วนใหญ่มีค่าอยู่ในมาตรฐานแหล่งน้ำประเภทที่ 2 ส่วนตอนกลางส่วนใหญ่มีค่าอยู่ในมาตรฐานแหล่งน้ำประเภทที่ 3 และเจ้าพระยาตอนล่างส่วนใหญ่มีค่าอยู่ในมาตรฐานแหล่งน้ำประเภทที่ 4 และเมื่อเปรียบเทียบในช่วง 5 ปี แรก (2534-2538) 5 ปี หลัง (2539-2543) และช่วง 3 ปีสุดท้าย(2544-2546) ของการติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำพบว่าปริมาณความสกปรกในรูป บีโอดี มีแนวโน้มลดลงตลอดทั้งลำน้ำ จากช่วง 5 ปี แรก (2534-2538) 5 ปี หลัง (2539-2543) และช่วง 3 ปีสุดท้าย (2544-2546) ดังแสดงในรูปที่ 2 3. ปริมาณแบคทีเรียโคลิฟอร์มทั้งหมด (TCB) และแบคทีเรียกลุ่มฟีคอลโคลิฟอร์ม (FCB) มีค่าเกินมาตรฐานแหล่งน้ำผิวดินประเภทที่ 3 เกือบทุกจุดเก็บตัวอย่างของแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งตอนบน ตอนกลางและตอนล่าง โดยพบว่าในช่วงปี 2534-2538 มีค่าสูงถึง 1,718,105 เอ็มพีเอ็น/100 มิลลิลิตร และลดต่ำลงในช่วงปี 2539-2543 และเมื่อเปรียบเทียบในช่วง 5 ปี แรก (2534-2538) 5 ปี หลัง (2539-2543) และช่วง 3 ปีสุดท้าย (2544-2546) ของการติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำพบว่าปริมาณแบคทีเรียโคลิฟอร์มทั้งหมด และแบคทีเรียกลุ่มฟีคอลโคลิฟอร์ม มีแนวโน้มลดลงตลอดทั้งลำน้ำ จากช่วง 5 ปี แรก (2534-2538) 5 ปีหลัง (2539-2543) และมีการลดลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 3 ปีสุดท้าย(2544-2546) ของแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง โดยมีค่า TCB และ FCB อยู่ในมาตรฐานแหล่งน้ำผิวดินประเภทที่ 2- 3 ตารางสรุปคุณภาพน้ำแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่ ปี 2534 — 2538แหล่งน้ำ มาตรฐาน ค่าคุณภาพน้ำที่สำคัญ ปัญหาคุณภาพน้ำ บริเวณที่เป็นปัญหา แหล่งน้ำผิวดิน DO ) BOD TCB FCB NH3-N (มก.ฝ/ล) (มก./ล) (หน่วย) (หน่วย) (มก/ล)เจ้าพระยาตอนบน 2 6.3 1.6 315,616 8,490 0.0 BOD,TCB,FCB อ. เมือง จ. อ่างทอง อ.เมือง จ.นครสวรรค์เจ้าพระยาตอนกลาง 3 4.7 1.9 146,448 39,740 0.1 TCB,FCB อ.เมือง จ.นนทบุรีเจ้าพระยาตอนล่าง 4 1.5 3.8 704,096 38,115 2.6 DO,TCB, ตั้งแต่ อ.เมือง FCB,NH3 จ. สมุทรปราการ ถึง อ.บางกรวย จ.นนทบุรีหมายเหตุ : DO = ออกซิเจนละลาย BOD = ความสกปรกของสารอินทรีย์ TCB = โคลิฟอร์มแบคทีเรียทั้งหมด FCB = ฟีคอลโคลิฟอร์มแบคทีเรีย NH3 = แอมโมเนีย ไนโตรเจนตารางสรุปคุณภาพน้ำแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่ ปี 2539 — 2543แหล่งน้ำ มาตรฐาน ค่าคุณภาพน้ำที่สำคัญ ปัญหาคุณภาพน้ำ บริเวณที่เป็นปัญหา แหล่งน้ำผิวดิน DO BOD TCB FCB NH3-N (มก/ล) (มก/ล)(หน่วย) (หน่วย) (มก/ล)เจ้าพระยาตอนบน 2 6.0 1.4 651,429 236,069 0.1 TCB, FCB อ. เมือง จ. สิงห์บุรี อ.เมือง จ.ชัยนาทอ. เมือง จ.นครสวรรค์เจ้าพระยาตอนกลาง 3 4.5 1.5 244,184 48,504 0.1 FCB อ.เมือง จ.นนทบุรีอ. พระนครฯ จ.อยุธยาเจ้าพระยาตอนล่าง 4 1.8 3.1 296,798 61,084 0.9 DO,TCB,FCB,NH3 ตั้งแต่ อ.เมือง จ. สมุทรปราการ ถึง อ.บางกรวย จ.นนทบุรีตารางสรุปคุณภาพน้ำแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่ ปี 2544 — 2546แหล่งน้ำ มาตรฐาน ค่าคุณภาพน้ำที่สำคัญ ปัญหาคุณภาพน้ำ บริเวณที่เป็นปัญหา แหล่งน้ำผิวดิน DO BOD TCB FCB NH3-N (มก/ล)(มก/ล)(หน่วย) (หน่วย)(มก/ล)เจ้าพระยาตอนบน 2 6.1 1.0 6,856 3,988 0.1 TCB, FCB อ.เมือง จ.อ่างทองอ.เมือง จ.นครสวรรค์เจ้าพระยาตอนกลาง 3 4.3 1.1 19,591 6,483 0.1 FCB อ.เมือง จ.นนทบุรีอ.เมือง จ.ปทุมธานีเจ้าพระยาตอนล่าง 4 1.5 2.9 198,411 80,509 0.5 DO,TCB,FCB ตั้งแต่ อ.เมือง จ. สมุทรปราการ ถึง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี 6. ปัญหาด้านทรัพยากรน้ำและการบริหารจัดการในปัจจุบัน ลุ่มน้ำเจ้าพระยาเป็นลุ่มน้ำที่มีความสำคัญที่สุดในด้านการเกษตร การอุตสาหกรรม การตั้งถิ่นฐานและเป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาสายหลัก ในอดีตจนถึงปัจจุบันได้มีการพัฒนามากในด้านทรัพยากรน้ำ แต่ขาดการวางแผนและการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องก่อให้เกิดปัญหาสำคัญดังนี้ 1. การใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลืองทั้งทรัพยากรดิน น้ำ และป่าไม้ มีสภาพเสื่อมโทรมเป็นอันมาก ดังจะเห็นได้จากพื้นที่ป่าไม้ในลุ่มน้ำยม น่าน สะแกกรัง และป่าสัก มีพื้นที่ป่าน้อยลง และในลุ่มน้ำท่าจีน ลุ่มน้ำเจ้าพระยาสายหลัก เหลือพื้นที่ป่าไม้น้อยมาก 2. การพัฒนาโครงการแหล่งน้ำในระดับลุ่มน้ำที่ไม่กระจายอย่างเท่าเทียมกันในลุ่มน้ำต่างๆ เนื่องจากมีปัญหาด้านงบประมาณ ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านสังคม เช่นแม่น้ำยม แควน้อย แม่วงศ์ แม่ขาน แม่น้ำวัง เป็นต้น ก่อให้เกิดปัญหาการขาดแคลนน้ำ น้ำท่วม และน้ำเสียในลุ่มน้ำดังกล่าว และมีแนวโน้มของปัญหาดังกล่าวรุนแรงขึ้นในอนาคตจนถือได้ว่าเป็นภัยซึ่งจะสร้างผลกระทบที่รุนแรงต่อทั้งเศรษฐกิจ สังคม และชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยทั่วไป 3. ปัญหาด้านน้ำบาดาลขาดการบริหารจัดการน้ำบาดาลอย่างมีประสิทธิภาพ มีการใช้น้ำบาดาลอย่างสิ้นเปลืองและขาดความสมดุลทำให้เกิดปัญหาการทรุดตัวของดิน และปัญหาการรุกล้ำของน้ำเค็มรวมทั้งความถี่ในการสูบน้ำบาดาลขึ้นมาใช้โดยเฉพาะในพื้นที่เจ้าพระยาตอนล่าง 4. จากการพัฒนาทรัพยากรน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ทำให้มีการพัฒนาพื้นที่ชลประทานเป็นจำนวนมากและมีการเพาะปลูกพืชฤดูแล้งเพิ่มมากขึ้น เป็นเหตุให้มีการใช้น้ำมากกว่าปริมาณน้ำต้นทุนที่มีอยู่ในอ่างเก็บน้ำ จะเห็นได้จากลุ่มน้ำเจ้าพระยามีความต้องการใช้น้ำปัจจุบันคิดเป็นร้อยละ 65 ของปริมาณน้ำท่าในลุ่มน้ำโดยเป็นความต้องการน้ำด้านการเกษตรประมาณร้อยละ 80 ของปริมาณความต้องการน้ำทุกกิจกรรม 5. การเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง การทำนาปรังครั้งที่ 2 และ 3 ในรอบปี การเพิ่มขึ้นของประชากร การขยายตัวทางเศรษฐกิจ และการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมที่เป็นผลต่อเนื่องจากการพัฒนาทรัพยากรน้ำ ทำให้มีความต้องการใช้น้ำเพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำท่าโดยที่มีการลดลง 6. การขยายตัวของเศรษฐกิจและสังคม ทำให้มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การขยายตัวของชุมชนเมือง แต่ไม่มีการพัฒนาโครงการแหล่งน้ำ ระดับลุ่มน้ำในบางลุ่มน้ำ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อลุ่มน้ำเจ้าพระยาในประเด็นน้ำท่วม น้ำแล้ง และน้ำเสีย และมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น 7. ปัญหาน้ำเสียในลุ่มน้ำต่างๆ จากการระบายน้ำเสียจากแหล่งชุมชน อุตสาหกรรมและพื้นที่การเกษตร เนื่องจากขาดแคลนระบบบำบัดน้ำเสีย และขาดแหล่งเก็บกักน้ำในระดับลุ่มน้ำ และปริมาณน้ำที่เก็บกักในอ่างเก็บน้ำมีไม่เพียงพอต่อการปรับปรุงคุณภาพน้ำ 8. ปัญหาด้านองค์กร ขาดหน่วยงานกลางในการวางแผนและประสานงาน ทำให้การดำเนินงานระหว่างหน่วยงานต่างๆไม่ประสานสอดคล้องกันในการเป็นเจ้าภาพแบบบูรณาการ 9. ปัญหาด้านกฎหมาย มีกฎหมายหลายฉบับที่เกี่ยวกับน้ำซึ่งมีความซับซ้อน ขาดความชัดเจน และมีความล้าหลัง ทำให้เกิดปัญหาในด้านปฏิบัติทั้งเรื่องน้ำและแหล่งน้ำ 10. การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเป็นอำนาจของรัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนไม่มีส่วนร่วมเท่าที่ควร ทำให้เกิดความไม่สอดคล้อง สัมพันธ์กัน ไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง และเกิดปัญหาระหว่างภาครัฐกับภาคประชาชน 7. การดำเนินงานที่ผ่านมาของภาครัฐ 7.1 การก่อสร้างระบบรวบรวมและระบบบำบัดน้ำเสียชุมชน โครงการที่ดำเนินการมาแล้วประกอบด้วยดังตารางข้างล่างนี้โครงการก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียในลุ่มน้ำเจ้าพระยาโครงการ ความสามารถในการ ปัจจุบันบำบัดได้ ประสิทธิภาพการ สถานภาพ รองรับน้ำเสีย (ลบ.ม./วัน) (ลบ.ม./วัน) บำบัดน้ำเสีย(%)1. โครงการบำบัดน้ำเสียรวม 1,650 825-1,240 50-75 ก่อสร้างแล้วเสร็จ2. โครงการบำบัดน้ำเสียรวม 5,700 0-2,800 0-49 ก่อสร้างแล้วเสร็จ ทม. จ. อุทัยธานี 3. โครงการบำบัดน้ำเสียรวม 3,500 1,750-2,625 50-75 ก่อสร้างแล้วเสร็จ ทม.จ.ชัยนาท (ยังมีต่อ)