สรุปสาระสำคัญของความตกลง FTA ไทย-ออสเตรเลีย
สารบัญ
Preamble
บทที่ 1 Objectives and Definitions
บทที่ 2 Trade in Goods
บทที่ 3 Customs Procedures
บทที่ 4 Rules of Origin
บทที่ 5 Safeguards
บทที่ 6 Sanitary and Phytosanitary Measures and Food Standards
บทที่ 7 Industrial Technical Barriers to Trade
บทที่ 8 Trade in Services
บทที่ 9 Investment
บทที่ 10 Movement of Natural Persons
บทที่ 11 Electronic Commerce
บทที่ 12 Competition Policy
บทที่ 13 Intellectual Property
บทที่ 14 Transparent Administration of Laws and Regulations
บทที่ 15 Government Procurement
บทที่ 16 General Exceptions
บทที่ 17 Institutional Provisions
บทที่ 18 Consultation and Dispute Settlement
บทที่ 19 Final Provisions
Preamble
- กล่าวถึงความสำคัญของความสัมพันธ์และการค้าระหว่างสองประเทศและตระหนักถึงความสำคัญของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และความร่วมมือระหว่างกันในเวทีการค้าระหว่างประเทศ จึงมีเจตนารมณ์ร่วมกันที่จะกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจให้เข้มแข็งขึ้น
บทที่ 1 Objectives and Definitions
- เพื่อเปิดเสรีการค้าสินค้าและบริการระหว่างกัน
- เพื่อกำหนดโครงการความร่วมมือที่จะทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ของความตกลงฯ
- เพื่อสนับสนุนให้สามารถบรรลุเป้าหมายโบกอร์ของเอเปก
บทที่ 2 Trade in Goods
สาระสำคัญ
- ครอบคลุมสินค้าทุกรายการของไทยและออสเตรเลีย
- ให้การประติบัติเยี่ยงคนชาติ (National Treatment) ตามที่ระบุไว้ใน GATT 1994
การลดภาษี
- ใช้อัตราภาษี ณ วันที่ 1 กรกฎาคม 2546 เป็นอัตราฐาน ในการเริ่มลดภาษีโดยเริ่มลดภาษีในวันที่ความตกลงฯ มีผลใช้บังคับให้เหลือ 0% ทันที หรือทยอยลดภาษีเหลือ 0% ในช่วงระยะเวลาต่างๆ กัน ตามที่กำหนดไว้ในตารางการลดภาษีที่แนบท้ายความตกลงฯ
- อนุญาตให้ใช้มาตรการนำเข้าเกี่ยวกับการจัดสรรโควตาและโควตาภาษีได้
- เปิดโอกาสให้มีการหารือการบริหารนำเข้าสินค้าโควตาภาษี
- เปิดโอกาสให้มีการเร่งลดภาษีได้โดยสมัครใจ
มาตรการทางการค้าอื่นๆ
- การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมสินค้านำเข้าและส่งออกจะเป็นไปตามที่ระบุไว้ใน GATT 1994
- มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด - ย้ำสิทธิและข้อผูกพันตาม WTO และ GATT 1994
- กำหนดระยะเวลาที่ใช้ในการหา volume of dumped imports โดยปกติจะเป็น 12 เดือนและไม่น้อยกว่า 6 เดือน เว้นแต่กรณีที่จำเป็น
- มาตรการอุดหนุนและตอบโต้การอุดหนุน - ย้ำสิทธิและข้อผูกพันตาม WTO
- มาตรการอุดหนุนสินค้าเกษตรเพื่อส่งออก - ย้ำสิทธิและข้อผูกพันตาม WTO ที่ให้ยกเลิกการอุดหนุนสินค้าเกษตร เพื่อส่งออก
- มาตรการที่มิใช่ภาษี - ห้ามใช้มาตรการห้ามนำเข้าหรือจำกัดการนำเข้า เว้นแต่ที่สอดคล้องกับมาตรา 11 ของ GATT 1994 และเน้นความโปร่งใสในการใช้มาตรการที่มิใช่ภาษี
บทที่ 3 Customs Procedures
สาระสำคัญ
- ส่งเสริมการใช้พิธีการศุลกากรที่เรียบง่ายและสอดคล้องกัน
- การประเมินราคาศุลกากรของสินค้าจะเป็นไปตาม GATT 1994
- พิธีการทางศุลกากรจะต้องสอดคล้องกับกฎระเบียบภายในประเทศและมาตรฐานสากล มีความโปร่งใสและอำนวยความสะดวกทางการค้า
- ส่งเสริมความร่วมมือและการให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันเพื่อป้องกันการละเมิดกฎระเบียบทางศุลกากร
- มีกระบวนการอย่างง่ายที่ทั้งสองฝ่ายสามารถเข้าถึงการบริหาร การทบทวนและการอุทธรณ์ทางกฎหมายใน เรื่องที่เกี่ยวกับศุลกากรระหว่างกันได้
- มีการให้ข้อมูลล่วงหน้าแก่ผู้ส่งออกและนำเข้าเกี่ยวกับพิกัดอัตราศุลกากร
- อำนวยความสะดวกแก่สินค้านำเข้าที่ได้รับใบรับรองแหล่งกำเนิด คือ ให้นำสินค้าเข้ามาก่อนโดย ไม่ถก เถียงเกี่ยวกับภาษีที่ต้องจ่ายในขณะที่นำเข้า แต่อาจกระทำได้หลังจากนั้น โดยให้มีการวาง หลักประกันไว้
- เน้นการค้าไร้กระดาษตามที่ตกลงกันในกรอบ APEC และ WCO และการใช้วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์
- ให้มีการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับกฎระเบียบและพิธีการทางศุลกากรทางอินเตอร์เน็ตหรือสิ่งพิมพ์ และแต่งตั้งหน่วย ตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องศุลกากร
บทที่ 4 Rules of Origin
สาระสำคัญ
- กำหนดหลักเกณฑ์สำหรับการพิจารณาแหล่งกำเนิดสินค้าของสินค้า ดังนี้
1) Wholly-obtained goods
2) ข้อกำหนดของกฎแหล่งกำเนิดสินค้าสำหรับสินค้าแต่ละรายการสินค้า (Specific Rules) ที่ปรากฏในภาคผนวก 4.1 ของข้อบทนี้ ซึ่งประกอบด้วย 2 กฎ คือ
- การเปลี่ยนพิกัด (Change of Tariff Classification : CTC) และ/หรือ
- การกำหนดมูลค่าของวัตถุดิบที่ใช้ภายในประเทศไทย/ออสเตรเลีย (Regional Value
Content: RVC)
- สำหรับสินค้าทุกรายการจะมีการกำหนดกฎการเปลี่ยนพิกัด (CTC) เพื่อใช้เป็นหลักเกณฑ์ในการพิจารณาแหล่งกำเนิดสินค้า และมีสินค้าบางรายการที่กำหนดให้มีการใช้กฎการเปลี่ยนพิกัดควบคู่ไปกับการกำหนดมูลค่าขั้นต่ำของวัตถุดิบภายในประเทศไทย/ออสเตรเลีย (RVC) ซึ่งได้แก่ สินค้าสิ่งทอและเสื้อผ้า พลาสติก ผลิตภัณฑ์ทำด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้า ตะกั่ว สังกะสี ดีบุก เครื่องจักร เครื่อง อีเล็กทรอนิกส์ รถยนต์และส่วนประกอบ นาฬิกา เครื่องดนตรี ของเล่น และเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น
- การคำนวณ RVC
RVC = FOB - Value of Non-Originating Materials x 100
____________________________________________________________
FOB
- การลงทะเบียนผู้ส่งออก (Registration of Exporter)
-- หน่วยงานที่ได้รับมอบอำนาจในการออกใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าจะพิจารณาใบขอรับการเป็นผู้ส่งออกสินค้าที่ได้แหล่งกำเนิดสินค้า โดยจะดำเนินการตรวจสอบเอกสารต่างๆ และการผลิต สินค้า เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่าสินค้านั้นมีคุณสมบัติได้แหล่งกำเนิดสินค้าจริงตามที่ผู้ร้องขอแสดงไว้ในใบร้องขอ ภายในระยะเวลา 60 วัน
-- หากสินค้าที่ได้รับดำเนินการตรวจสอบนั้นมีคุณสมบัติได้ตามข้อกำหนดของแหล่งกำเนิดสินค้าจริงหน่วยงานดังกล่าวจะทำการจดทะเบียนผู้ส่งออกรายนั้น รวมทั้งระบุถึงลักษณะของสินค้าดังกล่าว
- บทลงโทษต่อผู้ส่งออก (Exporter Sanctions)
-- ผู้ส่งออกที่ให้ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เกิดความเข้าใจผิด รวมทั้งการละเว้นการให้ข้อมูลอื่นๆ เพื่อพยายามรักษาสถานะของการเป็นผู้ส่งออกที่ได้รับการจดทะเบียนหรือได้รับใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า จะถูกลงโทษโดยการยกเลิกการเป็นผู้ส่งออกที่ได้รับการจดทะเบียน และจะไม่ได้รับการพิจารณาคำร้องขอเป็น ผู้ส่งออกจดทะเบียนหรือการขอใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าแก่ผู้ส่งออกนั้นในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
- การตรวจสอบการได้แหล่งกำเนิดสินค้าของประเทศผู้นำเข้า
-- ประเทศผู้นำเข้าสินค้าสามารถดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติของสินค้าของประเทศผู้ส่งออกที่ได้แหล่งกำเนิดและได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร ตามกระบวนการต่อไปนี้
1) กำหนดมาตรการในการตรวจสอบความถูกต้องของใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า
2) ออกแบบสอบถามเพื่อให้ผู้ผลิต ผู้ส่งออก และผู้นำเข้าให้ข้อมูลสินค้าที่ได้แหล่งกำเนิดสินค้าและได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร
3) สอบถามข้อมูลในเรื่องกระบวนการผลิตสินค้าที่ได้แหล่งกำเนิดและได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร
4) ตรวจสอบโรงงานหรือสำนักงานของผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้ส่งออก หรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตสินค้า
- จัดตั้งคณะกรรมการแหล่งกำเนิดสินค้า ภายหลังจากที่ความตกลงฯ มีผลบังคับใช้ เพื่อทำหน้าที่พิจารณาตรวจสอบการดำเนินงานตามบทบัญญัติต่างๆ ร่วมกัน หารือถึงประเด็นปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นและแนวทางการแก้ไข
บทที่ 5 Safeguard Measures
สาระสำคัญ
- มาตรการปกป้องจะประกอบด้วย (1) มาตรการปกป้องสองฝ่าย (bilateral safeguards) และ (2) มาตรการปกป้องพิเศษ (special safeguards) ที่ใช้กับสินค้าเกษตรมาตรการปกป้องสองฝ่าย (Bilateral safeguards)
- ส่วนใหญ่ยึดตามความตกลงของ WTO
- ใช้กับสินค้าอุตสาหกรรมและเกษตรที่ไม่ได้เป็นสินค้าอ่อนไหว
- ใช้เพื่อแก้ไขปัญหาทะลักเข้ามาของสินค้านำเข้าที่เป็นผลจากการลดภาษีภายใต้ FTA และการ นำเข้าที่เพิ่มขึ้นก่อให้เกิดความเสียหาย (serious damage) ต่ออุตสาหกรรมภายใน หากไต่สวนแล้วพบว่ามีมูลจะสามารถกลับไปใช้อัตราภาษีนำเข้าเดิมเมื่อความตกลงฯ บังคับใช้ หรืออัตรา MFN ที่เรียกเก็บอยู่ในขณะนั้น อัตราใดอัตราหนึ่งที่ต่ำกว่า
- ใช้ได้ไม่เกิน 6 ปี ใช้ครั้งแรก 2 ปี และต่ออายุอีกครั้งละ 2 ปี
- มีการให้ compensation เมื่อใช้เกิน 3 ปี
- เมื่อยกเลิกมาตรการปกป้องแล้ว อัตราภาษีสินค้าจะต้องกลับมาอยู่ในอัตราที่กำหนดไว้ในแผนการลดภาษี ในวันที่ยกเลิกมาตรการดังกล่าว
- ต้องมีการแจ้งข้อมูล มีกระบวนการตรวจสอบและต้องมีการหารือกันก่อนที่จะใช้มาตรการ
- ให้มีการใช้มาตรการชั่วคราว (provisional measures) ได้ ในขณะที่ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอ แต่เมื่อตรวจสอบแล้วว่าใช้ไม่ได้ ประเทศที่ใช้ต้องคืนภาษีที่เก็บเพิ่ม
- เมื่อใช้มาตรการปกป้องสองฝ่ายภายใต้ WTO แล้ว จะใช้มาตรการ safeguards ภายใต้ความตกลงฯ นี้ไม่ได้
- ทั้งสองฝ่ายสงวนสิทธิการใช้ safeguards ภายใต้ WTO และในกรณีที่ใช้ safeguards ภายใต้ WTO อาจ exclude สินค้าจากอีกฝ่ายหนึ่งได้ ถ้าสินค้านั้นไม่ได้เป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิด ความเสียหายมาตรการปกป้องพิเศษ (special safeguards)
- ใช้กับสินค้าเกษตรอ่อนไหว ซึ่งไทยกำหนดปริมาณนำเข้าแต่ละปีและระยะเวลาการลดภาษีสินค้าเกษตร จำนวน 41 พิกัดย่อยเป็นศูนย์ใน 10-15 ปี ในขณะที่ออสเตรเลียกำหนด 5 พิกัดย่อย คือ ทูน่า สคิปแจ็กและโบนิโต สับปะรดแปรรูปและสับปะรดกระป๋อง และน้ำสับปะรด ในเวลา 4 ปี
- กรณีที่มีการนำเข้าเกินปริมาณที่กำหนดไว้ในแต่ละปี ส่วนที่เกินจะถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราก่อนที่ความตกลงฯ มีผลบังคับใช้ (base rate) หรือ MFN rate อัตราใดอัตราหนึ่งที่ต่ำกว่า
- ในกรณีที่มีการทำสัญญาซื้อขายกันแล้ว (contract settled) และได้มีการส่งออกมาก่อนที่จะประกาศเรียกเก็บภาษีในอัตราที่เพิ่มขึ้น จะต้องอนุญาตให้นำเข้าได้ตามอัตรา preferential rate โดยให้หักโควตาภายใต้ปริมาณของปีถัดไป
- ให้มีการแจ้งหลังจากที่ใช้มาตรการปกป้องพิเศษนี้แล้วภายใน 10 วันทำการ
- เมื่อมีการใช้มาตรการปกป้องพิเศษแล้ว จะใช้มาตรการปกป้องอื่นๆ ไม่ได้อีก หรือในทางกลับกัน
- กำหนดให้มีการทบทวนรายการสินค้า trigger volumes และ อัตราเพิ่มแต่ละปีเมื่อความตกลงฯ มีผลบังคับใช้ภายใน 3 ปี
บทที่ 6 Sanitary and Phytosanitary Measures and Food Standards
สาระสำคัญ
- ครอบคลุมสินค้าเกษตรและอาหาร
- ยึดมั่นพันธกรณีภายใต้ความตกลง SPS และความตกลง TBT ของ WTO
- จัดทำ Equivalence on SPS and Food standards สำหรับสินค้าและอุตสาหกรรมที่มีปัญหาการค้า ระหว่างกัน
- ให้มีความร่วมมือในการทำ product trace back system เพื่อแก้ไขปัญหาเมื่อมีการปฏิเสธการนำเข้า
- จัดตั้ง Expert Group on SPS and Food Standard เป็นเวทีในการแก้ไขปัญหาและประสาน ความร่วมมือด้าน SPS and Food standards ระหว่างกัน โดยกำหนดระยะเวลาให้ดำเนินการให้ลุล่วงภายใน 2 ปี พร้อมกำหนดสินค้าที่เป็น priority ของแต่ละประเทศไว้
บทที่ 7 Industrial Technical Barriers to Trade
สาระสำคัญ
- ครอบคลุมสินค้าอุตสาหกรรม
- ยึดมั่นพันธกรณีภายใต้ความตกลง TBT ของ WTO
- พิจารณาการจัดทำการยอมรับร่วม (Mutual Recognition Arrangements: MRAs) ในสินค้าที่จะตกลงกัน
- ดำเนินการจัดทำ harmonization and equivalence ของมาตรฐาน TBT ระหว่างกัน จัดตั้งหน่วย ประสานงาน (contact points)
- ให้มีความร่วมมือด้านวิชาการ
บทที่ 8 Trade in Services
สาระสำคัญ
- โครงสร้างบทที่ 8 ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ (1) บทบัญญัติความตกลง 5 ภาค 16 ข้อ (2) ตาราง ข้อผูกพัน (Schedule of Commitments) เป็นการระบุสาขาที่ไทยและออสเตรเลียจะมีการเปิดตลาดระหว่างกัน
- เนื้อหาในบทที่ 8 เป็นการอธิบายนิยาม ขอบเขต หลักการ และข้อกำหนดในการเปิดตลาดและเพิ่มความร่วมมือด้านการค้าบริการระหว่างกัน โดยเกือบทั้งหมดมีสาระเช่นเดียวกับความตกลงทั่วไป ว่าด้วยการค้าบริการ (GATS) ยกเว้นในประเด็นเรื่องการเจรจาเปิดเสรีต่อจะมีขึ้นทุกๆ 3 ปี แต่ใน GATS กำหนดให้มีขึ้นทุกๆ 5 ปี
บทที่ 9 Investment
สาระสำคัญ
- เนื้อหาในบทที่ 9 ขอบเขตครอบคลุมการลงทุนโดยตรง (Foreign Direct Investment) และ นักลงทุนของภาคีคู่สัญญา แบ่งสาระสำคัญออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ (1) การเปิดเสรีการลงทุน และ (2) การส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน
- ในส่วนของการเปิดเสรีการลงทุนนั้น ใช้หลักการเดียวกับการเปิดตลาดการค้าบริการ กล่าวคือ จะให้การปฏิบัติไม่ด้อยไปกว่าคนชาติต่อการลงทุนและผู้ลงทุนของอีกประเทศในการเข้ามาลงทุน เฉพาะในสาขาธุรกิจที่ระบุไว้ในตารางข้อผูกพัน (Pre-Establishment National Treatment Commitments) ยกเว้นแต่จะมีเงื่อนไขกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
- ในส่วนของการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนนั้น ยึดหลักการเจรจาตามข้อตกลงการส่งเสริมและ คุ้มครองการลงทุน (Investment Promotion and Protection: IPPA) ที่ไทยทำไว้แล้วกับหลายประเทศ โดยมีเนื้อหาครอบคลุมทั้งเรื่องการประติบัติเยี่ยงชาติที่ได้รับการอนุเคราะห์ยิ่ง (MFN) การปฏิเสธผลประโยชน์ การเวนคืน ค่าทดแทนสำหรับสูญเสีย การรับช่วงสิทธิ การเข้าสู่กลไกระงับ ข้อพิพาท และการระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐบาลกับผู้ลงทุนต่างชาติ โดยเปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถเลือกใช้กระบวนการยุติธรรมในประเทศหรืออนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ
(ยังมีต่อ).../บทที่ 10 Movement..
สารบัญ
Preamble
บทที่ 1 Objectives and Definitions
บทที่ 2 Trade in Goods
บทที่ 3 Customs Procedures
บทที่ 4 Rules of Origin
บทที่ 5 Safeguards
บทที่ 6 Sanitary and Phytosanitary Measures and Food Standards
บทที่ 7 Industrial Technical Barriers to Trade
บทที่ 8 Trade in Services
บทที่ 9 Investment
บทที่ 10 Movement of Natural Persons
บทที่ 11 Electronic Commerce
บทที่ 12 Competition Policy
บทที่ 13 Intellectual Property
บทที่ 14 Transparent Administration of Laws and Regulations
บทที่ 15 Government Procurement
บทที่ 16 General Exceptions
บทที่ 17 Institutional Provisions
บทที่ 18 Consultation and Dispute Settlement
บทที่ 19 Final Provisions
Preamble
- กล่าวถึงความสำคัญของความสัมพันธ์และการค้าระหว่างสองประเทศและตระหนักถึงความสำคัญของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และความร่วมมือระหว่างกันในเวทีการค้าระหว่างประเทศ จึงมีเจตนารมณ์ร่วมกันที่จะกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจให้เข้มแข็งขึ้น
บทที่ 1 Objectives and Definitions
- เพื่อเปิดเสรีการค้าสินค้าและบริการระหว่างกัน
- เพื่อกำหนดโครงการความร่วมมือที่จะทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ของความตกลงฯ
- เพื่อสนับสนุนให้สามารถบรรลุเป้าหมายโบกอร์ของเอเปก
บทที่ 2 Trade in Goods
สาระสำคัญ
- ครอบคลุมสินค้าทุกรายการของไทยและออสเตรเลีย
- ให้การประติบัติเยี่ยงคนชาติ (National Treatment) ตามที่ระบุไว้ใน GATT 1994
การลดภาษี
- ใช้อัตราภาษี ณ วันที่ 1 กรกฎาคม 2546 เป็นอัตราฐาน ในการเริ่มลดภาษีโดยเริ่มลดภาษีในวันที่ความตกลงฯ มีผลใช้บังคับให้เหลือ 0% ทันที หรือทยอยลดภาษีเหลือ 0% ในช่วงระยะเวลาต่างๆ กัน ตามที่กำหนดไว้ในตารางการลดภาษีที่แนบท้ายความตกลงฯ
- อนุญาตให้ใช้มาตรการนำเข้าเกี่ยวกับการจัดสรรโควตาและโควตาภาษีได้
- เปิดโอกาสให้มีการหารือการบริหารนำเข้าสินค้าโควตาภาษี
- เปิดโอกาสให้มีการเร่งลดภาษีได้โดยสมัครใจ
มาตรการทางการค้าอื่นๆ
- การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมสินค้านำเข้าและส่งออกจะเป็นไปตามที่ระบุไว้ใน GATT 1994
- มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด - ย้ำสิทธิและข้อผูกพันตาม WTO และ GATT 1994
- กำหนดระยะเวลาที่ใช้ในการหา volume of dumped imports โดยปกติจะเป็น 12 เดือนและไม่น้อยกว่า 6 เดือน เว้นแต่กรณีที่จำเป็น
- มาตรการอุดหนุนและตอบโต้การอุดหนุน - ย้ำสิทธิและข้อผูกพันตาม WTO
- มาตรการอุดหนุนสินค้าเกษตรเพื่อส่งออก - ย้ำสิทธิและข้อผูกพันตาม WTO ที่ให้ยกเลิกการอุดหนุนสินค้าเกษตร เพื่อส่งออก
- มาตรการที่มิใช่ภาษี - ห้ามใช้มาตรการห้ามนำเข้าหรือจำกัดการนำเข้า เว้นแต่ที่สอดคล้องกับมาตรา 11 ของ GATT 1994 และเน้นความโปร่งใสในการใช้มาตรการที่มิใช่ภาษี
บทที่ 3 Customs Procedures
สาระสำคัญ
- ส่งเสริมการใช้พิธีการศุลกากรที่เรียบง่ายและสอดคล้องกัน
- การประเมินราคาศุลกากรของสินค้าจะเป็นไปตาม GATT 1994
- พิธีการทางศุลกากรจะต้องสอดคล้องกับกฎระเบียบภายในประเทศและมาตรฐานสากล มีความโปร่งใสและอำนวยความสะดวกทางการค้า
- ส่งเสริมความร่วมมือและการให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันเพื่อป้องกันการละเมิดกฎระเบียบทางศุลกากร
- มีกระบวนการอย่างง่ายที่ทั้งสองฝ่ายสามารถเข้าถึงการบริหาร การทบทวนและการอุทธรณ์ทางกฎหมายใน เรื่องที่เกี่ยวกับศุลกากรระหว่างกันได้
- มีการให้ข้อมูลล่วงหน้าแก่ผู้ส่งออกและนำเข้าเกี่ยวกับพิกัดอัตราศุลกากร
- อำนวยความสะดวกแก่สินค้านำเข้าที่ได้รับใบรับรองแหล่งกำเนิด คือ ให้นำสินค้าเข้ามาก่อนโดย ไม่ถก เถียงเกี่ยวกับภาษีที่ต้องจ่ายในขณะที่นำเข้า แต่อาจกระทำได้หลังจากนั้น โดยให้มีการวาง หลักประกันไว้
- เน้นการค้าไร้กระดาษตามที่ตกลงกันในกรอบ APEC และ WCO และการใช้วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์
- ให้มีการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับกฎระเบียบและพิธีการทางศุลกากรทางอินเตอร์เน็ตหรือสิ่งพิมพ์ และแต่งตั้งหน่วย ตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องศุลกากร
บทที่ 4 Rules of Origin
สาระสำคัญ
- กำหนดหลักเกณฑ์สำหรับการพิจารณาแหล่งกำเนิดสินค้าของสินค้า ดังนี้
1) Wholly-obtained goods
2) ข้อกำหนดของกฎแหล่งกำเนิดสินค้าสำหรับสินค้าแต่ละรายการสินค้า (Specific Rules) ที่ปรากฏในภาคผนวก 4.1 ของข้อบทนี้ ซึ่งประกอบด้วย 2 กฎ คือ
- การเปลี่ยนพิกัด (Change of Tariff Classification : CTC) และ/หรือ
- การกำหนดมูลค่าของวัตถุดิบที่ใช้ภายในประเทศไทย/ออสเตรเลีย (Regional Value
Content: RVC)
- สำหรับสินค้าทุกรายการจะมีการกำหนดกฎการเปลี่ยนพิกัด (CTC) เพื่อใช้เป็นหลักเกณฑ์ในการพิจารณาแหล่งกำเนิดสินค้า และมีสินค้าบางรายการที่กำหนดให้มีการใช้กฎการเปลี่ยนพิกัดควบคู่ไปกับการกำหนดมูลค่าขั้นต่ำของวัตถุดิบภายในประเทศไทย/ออสเตรเลีย (RVC) ซึ่งได้แก่ สินค้าสิ่งทอและเสื้อผ้า พลาสติก ผลิตภัณฑ์ทำด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้า ตะกั่ว สังกะสี ดีบุก เครื่องจักร เครื่อง อีเล็กทรอนิกส์ รถยนต์และส่วนประกอบ นาฬิกา เครื่องดนตรี ของเล่น และเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น
- การคำนวณ RVC
RVC = FOB - Value of Non-Originating Materials x 100
____________________________________________________________
FOB
- การลงทะเบียนผู้ส่งออก (Registration of Exporter)
-- หน่วยงานที่ได้รับมอบอำนาจในการออกใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าจะพิจารณาใบขอรับการเป็นผู้ส่งออกสินค้าที่ได้แหล่งกำเนิดสินค้า โดยจะดำเนินการตรวจสอบเอกสารต่างๆ และการผลิต สินค้า เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่าสินค้านั้นมีคุณสมบัติได้แหล่งกำเนิดสินค้าจริงตามที่ผู้ร้องขอแสดงไว้ในใบร้องขอ ภายในระยะเวลา 60 วัน
-- หากสินค้าที่ได้รับดำเนินการตรวจสอบนั้นมีคุณสมบัติได้ตามข้อกำหนดของแหล่งกำเนิดสินค้าจริงหน่วยงานดังกล่าวจะทำการจดทะเบียนผู้ส่งออกรายนั้น รวมทั้งระบุถึงลักษณะของสินค้าดังกล่าว
- บทลงโทษต่อผู้ส่งออก (Exporter Sanctions)
-- ผู้ส่งออกที่ให้ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เกิดความเข้าใจผิด รวมทั้งการละเว้นการให้ข้อมูลอื่นๆ เพื่อพยายามรักษาสถานะของการเป็นผู้ส่งออกที่ได้รับการจดทะเบียนหรือได้รับใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า จะถูกลงโทษโดยการยกเลิกการเป็นผู้ส่งออกที่ได้รับการจดทะเบียน และจะไม่ได้รับการพิจารณาคำร้องขอเป็น ผู้ส่งออกจดทะเบียนหรือการขอใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าแก่ผู้ส่งออกนั้นในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
- การตรวจสอบการได้แหล่งกำเนิดสินค้าของประเทศผู้นำเข้า
-- ประเทศผู้นำเข้าสินค้าสามารถดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติของสินค้าของประเทศผู้ส่งออกที่ได้แหล่งกำเนิดและได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร ตามกระบวนการต่อไปนี้
1) กำหนดมาตรการในการตรวจสอบความถูกต้องของใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า
2) ออกแบบสอบถามเพื่อให้ผู้ผลิต ผู้ส่งออก และผู้นำเข้าให้ข้อมูลสินค้าที่ได้แหล่งกำเนิดสินค้าและได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร
3) สอบถามข้อมูลในเรื่องกระบวนการผลิตสินค้าที่ได้แหล่งกำเนิดและได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร
4) ตรวจสอบโรงงานหรือสำนักงานของผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้ส่งออก หรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตสินค้า
- จัดตั้งคณะกรรมการแหล่งกำเนิดสินค้า ภายหลังจากที่ความตกลงฯ มีผลบังคับใช้ เพื่อทำหน้าที่พิจารณาตรวจสอบการดำเนินงานตามบทบัญญัติต่างๆ ร่วมกัน หารือถึงประเด็นปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นและแนวทางการแก้ไข
บทที่ 5 Safeguard Measures
สาระสำคัญ
- มาตรการปกป้องจะประกอบด้วย (1) มาตรการปกป้องสองฝ่าย (bilateral safeguards) และ (2) มาตรการปกป้องพิเศษ (special safeguards) ที่ใช้กับสินค้าเกษตรมาตรการปกป้องสองฝ่าย (Bilateral safeguards)
- ส่วนใหญ่ยึดตามความตกลงของ WTO
- ใช้กับสินค้าอุตสาหกรรมและเกษตรที่ไม่ได้เป็นสินค้าอ่อนไหว
- ใช้เพื่อแก้ไขปัญหาทะลักเข้ามาของสินค้านำเข้าที่เป็นผลจากการลดภาษีภายใต้ FTA และการ นำเข้าที่เพิ่มขึ้นก่อให้เกิดความเสียหาย (serious damage) ต่ออุตสาหกรรมภายใน หากไต่สวนแล้วพบว่ามีมูลจะสามารถกลับไปใช้อัตราภาษีนำเข้าเดิมเมื่อความตกลงฯ บังคับใช้ หรืออัตรา MFN ที่เรียกเก็บอยู่ในขณะนั้น อัตราใดอัตราหนึ่งที่ต่ำกว่า
- ใช้ได้ไม่เกิน 6 ปี ใช้ครั้งแรก 2 ปี และต่ออายุอีกครั้งละ 2 ปี
- มีการให้ compensation เมื่อใช้เกิน 3 ปี
- เมื่อยกเลิกมาตรการปกป้องแล้ว อัตราภาษีสินค้าจะต้องกลับมาอยู่ในอัตราที่กำหนดไว้ในแผนการลดภาษี ในวันที่ยกเลิกมาตรการดังกล่าว
- ต้องมีการแจ้งข้อมูล มีกระบวนการตรวจสอบและต้องมีการหารือกันก่อนที่จะใช้มาตรการ
- ให้มีการใช้มาตรการชั่วคราว (provisional measures) ได้ ในขณะที่ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอ แต่เมื่อตรวจสอบแล้วว่าใช้ไม่ได้ ประเทศที่ใช้ต้องคืนภาษีที่เก็บเพิ่ม
- เมื่อใช้มาตรการปกป้องสองฝ่ายภายใต้ WTO แล้ว จะใช้มาตรการ safeguards ภายใต้ความตกลงฯ นี้ไม่ได้
- ทั้งสองฝ่ายสงวนสิทธิการใช้ safeguards ภายใต้ WTO และในกรณีที่ใช้ safeguards ภายใต้ WTO อาจ exclude สินค้าจากอีกฝ่ายหนึ่งได้ ถ้าสินค้านั้นไม่ได้เป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิด ความเสียหายมาตรการปกป้องพิเศษ (special safeguards)
- ใช้กับสินค้าเกษตรอ่อนไหว ซึ่งไทยกำหนดปริมาณนำเข้าแต่ละปีและระยะเวลาการลดภาษีสินค้าเกษตร จำนวน 41 พิกัดย่อยเป็นศูนย์ใน 10-15 ปี ในขณะที่ออสเตรเลียกำหนด 5 พิกัดย่อย คือ ทูน่า สคิปแจ็กและโบนิโต สับปะรดแปรรูปและสับปะรดกระป๋อง และน้ำสับปะรด ในเวลา 4 ปี
- กรณีที่มีการนำเข้าเกินปริมาณที่กำหนดไว้ในแต่ละปี ส่วนที่เกินจะถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราก่อนที่ความตกลงฯ มีผลบังคับใช้ (base rate) หรือ MFN rate อัตราใดอัตราหนึ่งที่ต่ำกว่า
- ในกรณีที่มีการทำสัญญาซื้อขายกันแล้ว (contract settled) และได้มีการส่งออกมาก่อนที่จะประกาศเรียกเก็บภาษีในอัตราที่เพิ่มขึ้น จะต้องอนุญาตให้นำเข้าได้ตามอัตรา preferential rate โดยให้หักโควตาภายใต้ปริมาณของปีถัดไป
- ให้มีการแจ้งหลังจากที่ใช้มาตรการปกป้องพิเศษนี้แล้วภายใน 10 วันทำการ
- เมื่อมีการใช้มาตรการปกป้องพิเศษแล้ว จะใช้มาตรการปกป้องอื่นๆ ไม่ได้อีก หรือในทางกลับกัน
- กำหนดให้มีการทบทวนรายการสินค้า trigger volumes และ อัตราเพิ่มแต่ละปีเมื่อความตกลงฯ มีผลบังคับใช้ภายใน 3 ปี
บทที่ 6 Sanitary and Phytosanitary Measures and Food Standards
สาระสำคัญ
- ครอบคลุมสินค้าเกษตรและอาหาร
- ยึดมั่นพันธกรณีภายใต้ความตกลง SPS และความตกลง TBT ของ WTO
- จัดทำ Equivalence on SPS and Food standards สำหรับสินค้าและอุตสาหกรรมที่มีปัญหาการค้า ระหว่างกัน
- ให้มีความร่วมมือในการทำ product trace back system เพื่อแก้ไขปัญหาเมื่อมีการปฏิเสธการนำเข้า
- จัดตั้ง Expert Group on SPS and Food Standard เป็นเวทีในการแก้ไขปัญหาและประสาน ความร่วมมือด้าน SPS and Food standards ระหว่างกัน โดยกำหนดระยะเวลาให้ดำเนินการให้ลุล่วงภายใน 2 ปี พร้อมกำหนดสินค้าที่เป็น priority ของแต่ละประเทศไว้
บทที่ 7 Industrial Technical Barriers to Trade
สาระสำคัญ
- ครอบคลุมสินค้าอุตสาหกรรม
- ยึดมั่นพันธกรณีภายใต้ความตกลง TBT ของ WTO
- พิจารณาการจัดทำการยอมรับร่วม (Mutual Recognition Arrangements: MRAs) ในสินค้าที่จะตกลงกัน
- ดำเนินการจัดทำ harmonization and equivalence ของมาตรฐาน TBT ระหว่างกัน จัดตั้งหน่วย ประสานงาน (contact points)
- ให้มีความร่วมมือด้านวิชาการ
บทที่ 8 Trade in Services
สาระสำคัญ
- โครงสร้างบทที่ 8 ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ (1) บทบัญญัติความตกลง 5 ภาค 16 ข้อ (2) ตาราง ข้อผูกพัน (Schedule of Commitments) เป็นการระบุสาขาที่ไทยและออสเตรเลียจะมีการเปิดตลาดระหว่างกัน
- เนื้อหาในบทที่ 8 เป็นการอธิบายนิยาม ขอบเขต หลักการ และข้อกำหนดในการเปิดตลาดและเพิ่มความร่วมมือด้านการค้าบริการระหว่างกัน โดยเกือบทั้งหมดมีสาระเช่นเดียวกับความตกลงทั่วไป ว่าด้วยการค้าบริการ (GATS) ยกเว้นในประเด็นเรื่องการเจรจาเปิดเสรีต่อจะมีขึ้นทุกๆ 3 ปี แต่ใน GATS กำหนดให้มีขึ้นทุกๆ 5 ปี
บทที่ 9 Investment
สาระสำคัญ
- เนื้อหาในบทที่ 9 ขอบเขตครอบคลุมการลงทุนโดยตรง (Foreign Direct Investment) และ นักลงทุนของภาคีคู่สัญญา แบ่งสาระสำคัญออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ (1) การเปิดเสรีการลงทุน และ (2) การส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน
- ในส่วนของการเปิดเสรีการลงทุนนั้น ใช้หลักการเดียวกับการเปิดตลาดการค้าบริการ กล่าวคือ จะให้การปฏิบัติไม่ด้อยไปกว่าคนชาติต่อการลงทุนและผู้ลงทุนของอีกประเทศในการเข้ามาลงทุน เฉพาะในสาขาธุรกิจที่ระบุไว้ในตารางข้อผูกพัน (Pre-Establishment National Treatment Commitments) ยกเว้นแต่จะมีเงื่อนไขกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
- ในส่วนของการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนนั้น ยึดหลักการเจรจาตามข้อตกลงการส่งเสริมและ คุ้มครองการลงทุน (Investment Promotion and Protection: IPPA) ที่ไทยทำไว้แล้วกับหลายประเทศ โดยมีเนื้อหาครอบคลุมทั้งเรื่องการประติบัติเยี่ยงชาติที่ได้รับการอนุเคราะห์ยิ่ง (MFN) การปฏิเสธผลประโยชน์ การเวนคืน ค่าทดแทนสำหรับสูญเสีย การรับช่วงสิทธิ การเข้าสู่กลไกระงับ ข้อพิพาท และการระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐบาลกับผู้ลงทุนต่างชาติ โดยเปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถเลือกใช้กระบวนการยุติธรรมในประเทศหรืออนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ
(ยังมีต่อ).../บทที่ 10 Movement..