บทที่ 10 Movement of Natural Persons
สาระสำคัญ
- เนื้อหาในบทที่ 10 เป็นการอธิบายนิยาม ขอบเขต หลักการ และข้อกำหนดในการอำนวยความสะดวก ในการเข้าเมือง มีโครงสร้างประกอบด้วย 8 ข้อ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะอำนวยความสะดวกแก่นักธุรกิจของประเทศภาคีคู่สัญญาในการเข้ามาทำงานชั่วคราว และกำหนดคำนิยามของนักธุรกิจแต่ละประเภทไว้อย่างชัดเจน โดยอนุญาตให้นักธุรกิจ (business visitor) เข้ามาติดต่อธุรกิจได้เป็นการชั่วคราวครั้งละ 90 วัน สำหรับนักธุรกิจประเภทอื่นให้เข้ามาประกอบธุรกิจได้ในเวลาที่กำหนดตามตารางข้อผูกพันของแต่ละประเทศ
บทที่ 11 Electronic Commerce
สาระสำคัญ
- หลีกเลี่ยงการใช้กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการทำพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
- ส่งเสริมการใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ระหว่างสองประเทศ
- ไม่เรียกเก็บอากรศุลกากรกับ electronic transmission ระหว่างกัน
- ปฏิบัติเพื่อนำไปสู่การยอมรับร่วมของใบรับรองดิจิตอลในระดับรัฐบาล บนพื้นฐานของมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลและจะส่งเสริมการใช้ใบรับรองดิจิตอลระหว่างกันในภาคธุรกิจ
- ให้ความคุ้มครองผู้บริโภคที่ใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์และข้อมูลส่วนบุคคลทางอินเตอร์เน็ต
- ส่งเสริมให้มีการใช้และยอมรับเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการค้า
- ส่งเสริมความร่วมมือในการทำวิจัย กิจกรรมการอบรม ที่จะพัฒนาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลตัวอย่างในการพัฒนาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
บทที่ 12 Competition Policy
สาระสำคัญ
- ส่งเสริมการแข่งขันอย่างยุติธรรม และการลดการปฏิบัติที่ต่อต้านการแข่งขัน
- มาตรการที่แต่ละฝ่ายจะใช้เพื่อลดการปฏิบัติที่ต่อต้านการแข่งขัน จะต้องมีความโปร่งใส (โดยการ เผยแพร่ต่อสาธารณะ) เหมาะสมกับกาลเวลา ไม่เลือกปฏิบัติ เข้าใจได้ง่ายและเป็นไปอย่างเสมอภาค
- ทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกันในเรื่องการบังคับใช้กฎหมายการแข่งขัน โดยวิธีแลกเปลี่ยนข้อมูล การแจ้งให้ทราบ การปรึกษาหารือ และการประสานงานกัน
- เปิดโอกาสให้มีการปรึกษาหารือและทบทวนการบังคับใช้บทนี้ ภายใน 3 ปีหลังจากการบังคับใช้ ความตกลงฯ
บทที่ 13 Intellectual Property
สาระสำคัญ
- เป็นไปตามความตกลง TRIPS (Trade-Related Aspects of Intellectual Property Rights)
- ให้ความคุ้มครองและปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อกำจัดการละเมิดสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาของสินค้า ภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย กฎเกณฑ์ ระเบียบ คำสั่งหรือนโยบายของแต่ละประเทศ
- ให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูล อำนวยความสะดวกเรื่องการติดต่อและความร่วมมือระหว่าง หน่วยงานของรัฐบาล สถาบันการศึกษา องค์กรและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและการพัฒนาสิทธิทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อพัฒนาและเพิ่มความแข็งแกร่งของระบบจัดการ กระตุ้นให้เกิดการสร้างสรรค์และการพัฒนา เพิ่มขีดความสามารถและโอกาสของเจ้าของสิทธิเพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา
บทที่ 14 Transparent Administration of Laws and Regulations
สาระสำคัญ
- เน้นให้มีความโปร่งใสของกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับ และขั้นตอนพิธีการที่เกี่ยวข้องกับการค้าสินค้าและบริการ และการลงทุน ตลอดจนมาตรการต่างๆ โดยการตีพิมพ์เผยแพร่ต่อสาธารณะ
- จัดตั้งหน่วยประสานงานเพื่ออำนวยความสะดวกด้านการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน
- ให้มีการแจ้งล่วงหน้าเกี่ยวกับกระบวนการทางกฎหมายที่ใช้กับมาตรการต่างๆ ของแต่ละประเทศ ในกรณีที่กระบวนการดังกล่าวก่อให้เกิดผลกระทบต่อบุคคลของอีกประเทศหนึ่ง โดยบุคคลนั้นจะได้รับโอกาสให้แสดงข้อเท็จจริงและข้อโต้แย้ง เพื่อเป็นการปกป้องสถานะของตนเอง ก่อนที่จะมีการดำเนินการขั้นสุดท้าย และจะมีกระบวนการภายในที่เหมาะสมที่เพื่อให้สามารถทบทวนและแก้ไข ผลการดำเนินการขั้นสุดท้ายได้
บทที่ 15 Government Procurement
สาระสำคัญ
- ทั้งสองฝ่ายจะจัดตั้งคณะทำงานซึ่งประกอบด้วยผู้แทนภาครัฐของแต่ละประเทศ และมีหน้าที่ รับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ โดยจะพบปะกันอย่างสม่ำเสมอเพื่อหารือถึงประเด็นที่เกี่ยวข้อง และรายงานต่อ FTA Joint Commission ภายใน 12 เดือน หลังจากที่ความตกลงฯ มี ผลบังคับใช้ พร้อมทั้งเสนอแนะขอบเขตของการเริ่มต้นเจรจาทวิภาคี เพื่อนำเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐรวมไว้ภายใต้ความตกลงฯ ฉบับนี้
- ส่งเสริมและปฏิบัติเพื่อความโปร่งใส ความคุ้มค่าของเงิน การแข่งขันอย่างเปิดกว้างและมีประสิทธิผล การปฏิบัติอย่างเป็นธรรม ความรับผิดชอบและกระบวนการที่เป็นธรรม และการไม่เลือกปฏิบัติ สำหรับกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
- ให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลในเรื่องนโยบายและหลักการของการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายและข้อบังคับของภาคีแต่ละฝ่าย
บทที่ 16 General Exceptions
สาระสำคัญ
- คงสิทธิข้อยกเว้นทั่วไปตามความตกลงของ GATT และ WTO ไว้ รวมทั้งในเรื่องความมั่นคง ดุลการชำระเงิน และมาตรการด้านภาษีภายในประเทศ
- คงสิทธิที่จะใช้มาตรการปกป้องในกรณีที่มีปัญหาดุลการชำระเงิน รวมทั้งมาตรการ prudential measures
บทที่ 17 Institutional Provisions
สาระสำคัญ
- ทั้งสองฝ่ายจะจัดตั้ง FTA Joint Commission ในระดับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่อาวุโส และจะประชุมครั้งแรกภายใน 1 ปีนับจากวันที่ความตกลงมีผลบังคับใช้ และหลังจากนั้นจะมีการประชุมกันทุกๆ ปี หรือตามที่จะมีการตกลงกัน
- FTA Joint Commission มีหน้าที่
-- ทบทวนงานทั่วไปของความตกลงฯ นี้
-- ทบทวนและพิจารณาเรื่องเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติและบังคับใช้ของความตกลงฯ นี้
-- พิจารณาข้อเสนอแก้ไขความตกลงฯ
-- จัดตั้งองค์กรย่อยถาวรหรือเฉพาะกิจ (permanent or ad hoc subsidiary bodies) หากต้องการ เพื่อให้คำแนะนำและพิจารณาเรื่องที่เสนอโดยองค์กรย่อยต่างๆ ที่ถูกจัดตั้งขึ้นภายใต้ความตกลงฯ นี้
-- ขอคำแนะนำจากบุคคลหรือกลุ่มที่มิได้อยู่ในภาครัฐในเรื่องที่อยู่ในความรับผิดชอบเพื่อช่วยในการพิจารณา
-- ค้นหามาตรการเพื่อขยายการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศคู่ภาคี และกำหนดสาขาความร่วมมือที่เหมาะสมในด้านการพาณิชย์ อุตสาหกรรม และความร่วมมือทางวิชาการระหว่างกัน
-- ดำเนินการเรื่องอื่นๆ ตามที่ทั้งสองประเทศจะตกลงกัน
- กำหนดให้มีการทบทวนทั่วไปในระดับรัฐมนตรีเกี่ยวกับการดำเนินการของความตกลงฯ ภายใน 5 ปี หลังจากที่ความตกลงฯ มีผลใช้บังคับ และอย่างน้อยทุกๆ 5 ปีหลังจากนั้น
บทที่ 18 Consultations and Dispute Settlement
สาระสำคัญ
- ในกรณีที่ทั้งสองประเทศมีความขัดแย้งในเรื่องการตีความ การบังคับใช้ หรือการปฏิบัติให้เป็นไปตามความตกลงฯ ประเทศคู่ภาคีจะเข้าสู่กระบวนการระงับข้อพิพาทที่จัดตั้งขึ้นภายใต้ความตกลงฯ นี้ หรือภายใต้ความตกลงระหว่างประเทศอื่นๆ ที่ทั้งสองฝ่ายเป็นสมาชิกอยู่ได้ โดยเมื่อเลือกใช้กระบวนการภายใต้ความตกลงใดแล้ว จะไม่สามารถย้อนกลับไปใช้กระบวนการภายใต้อีกความตกลงหนึ่งได้ เว้นเสียแต่ว่าทั้งสองฝ่ายจะยินยอมให้เป็นไปตามนั้น
ขั้นตอนการดำเนินการ
- เปิดโอกาสให้มีการปรึกษาหารือกันก่อน เมื่อได้รับการร้องขอจากอีกฝ่ายหนึ่งได้ โดยประเทศที่ได้รับการร้องขอจะต้องตอบภายใน 7 วัน และเข้าสู่กระบวนการหารือภายใน 30 วัน เพื่อหาทางไกล่เกลี่ยและหาข้อยุติร่วมกัน
- หากไม่สามารถหาข้อยุติได้ภายใน 60 วันหลังจากการร้องขอ ประเทศที่ร้องขออาจยื่นเรื่องเพื่อขอให้มีการตั้ง arbitral tribunal เพื่อระงับข้อพิพาทได้
- arbitral tribunal จะประกอบด้วยสมาชิก 3 คน โดยแต่ละฝ่ายจะแต่งตั้งสมาชิกของฝ่ายตนภายใน 30 วัน หลังจากที่ได้รับเรื่อง โดยต่างฝ่ายต่างรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการแต่งตั้ง และทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันแต่งตั้งสมาชิกคนที่ 3 ซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับภาคีใดภาคีหนึ่งภายใน 30 วัน หลังจากที่ได้แต่งตั้งสมาชิกคนที่ 2 แล้ว และให้ความเห็นชอบการแต่งตั้งภายใน 7 วัน เพื่อให้สมาชิกคนที่ 3 เป็นประธาน โดยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการแต่งตั้งร่วมกัน หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่เห็นชอบสมาชิกคนที่ 3 จะต้องหารือกันเพื่อแต่งตั้งสมาชิกคนที่ 3 ให้ได้ภายในอีก 30 วัน
- arbitral tribunal มีหน้าที่หารือกับภาคีทั้งสองฝ่ายเพื่อหาทางระงับข้อพิพาทและพิจารณาหาผล คำตัดสินที่สอดคล้องกับความตกลงนี้ หรือกฎระเบียบระหว่างประเทศที่ทั้งสองฝ่ายเป็นสมาชิกอยู่ โดยใช้มติเอกฉันท์ (consensus) หรือใช้เสียงข้างมาก (majority vote) และผลคำตัดสินจะเป็น ขั้นสุดท้ายและผูกมัดภาคี
- แต่ละฝ่ายจะให้ข้อมูล ข้อเท็จจริง ข้อโต้แย้งเกี่ยวกับกรณีพิพาทภายใน 21 วัน หลังจากได้แต่งตั้ง arbitral tribunal โดย arbitral tribunal จะประชุม (substantive meeting) 2 ครั้ง และภาคีมีสิทธิเสนอข้อโต้แย้งอย่างเป็นทางการ (formal rebuttal) ได้ในการประชุมครั้งที่ 2 (ภาคีอาจเข้าร่วมประชุมได้เมื่อได้รับเชิญจาก arbitral tribunal และ arbitral tribunal อาจระงับหรือยกเลิกการดำเนินการ เพื่อให้ภาคีหาข้อยุติระหว่างกันเองได้)
- arbitral tribunal จะจัดทำร่างผลคำตัดสินและเปิดโอกาสให้ภาคีทบทวนและให้ข้อคิดเห็นได้ภายใน 14 วัน หลังจากได้รับร่าง และ arbitral tribunal จะพิจารณาข้อคิดเห็นเพื่อจัดทำคำตัดสินขั้นสุดท้ายและเสนอต่อภาคีภายใน 120 วัน หลังจากที่ได้รับการแต่งตั้ง หากไม่สามารถเสนอคำตัดสินขั้นสุดท้ายได้ภายใน 120 วัน จะต้องมีหนังสือแจ้งต่อภาคีถึงเหตุผลที่ทำให้ล่าช้าและประมาณการระยะเวลาที่จะเสนอได้ โดยจะต้องเปิดเผยผลคำตัดสินต่อสาธารณะภายใน 10 วัน หลังจากที่ได้เสนอต่อภาคีแล้ว
- ภาคีจะต้องปฏิบัติตามผลคำตัดสิน (โดยวิธีชดเชยหรือวิธีอื่น) และแจ้งต่อภาคีอีกฝ่ายหนึ่งเป็นลายลักษณ์อักษรถึงวิธีการปฏิบัติภายใน 30 วัน หลังจากได้รับผลคำตัดสินขั้นสุดท้าย
- หากภาคีที่เรียกร้องให้มีการจัดตั้ง arbitral tribunal (1) ไม่ได้รับแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรจากภาคีอีกฝ่ายหนึ่ง (2) ไม่สามารถตกลงเกี่ยวกับวิธีชดเชยหรือวิธีอื่นได้ภายใน 30 วัน หรือ (3) เห็นว่าภาคีอีกฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตามวิธีชดเชยหรือวิธีอื่นที่ได้ตกลงกัน ภาคีนั้นสามารถแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรต่อภาคีอีกฝ่ายหนึ่งว่าจะระงับสิทธิประโยชน์ (โดยเท่ากับระดับความเสียหาย) และเริ่มระงับสิทธิประโยชน์ได้ใน 30 วันหลังจากนั้น ทั้งนี้การระงับสิทธิประโยชน์จะกระทำได้ชั่วคราว จนภาคีอีกฝ่ายหนึ่งได้ปฏิบัติตามผลคำตัดสิน
- หากภาคีที่ถูกระงับสิทธิประโยชน์เห็นว่าการระงับสิทธิประโยชน์นั้นมากเกินความจำเป็นหรือได้ยกเลิกมาตรการที่ไม่สอดคล้องกับความตกลงฯ ตามคำตัดสินของ arbitral tribunal แล้ว ภาคีนั้นอาจ เรียกร้องให้ tribunal ประชุมอีกครั้งหนึ่ง (reconvene) ได้ภายใน 30 วัน และ tribunal ต้องเสนอผลคำตัดสินภายใน 90 วันหลังจากที่ได้ประชุม โดยระบุการชดเชยความเสียหายที่เกิดจากการระงับสิทธิประโยชน์ที่มากเกินความจำเป็นด้วย
บทที่ 19 Final Provisions
สาระสำคัญ
- การแก้ไขความตกลงฯ จะต้องทำเป็นลายลักษณ์อักษร โดยความเห็นชอบของทั้งสองฝ่าย โดยจะมีผลใช้บังคับในวันที่ที่จะตกลงกัน
- เปิดโอกาสให้ประเทศที่สามเข้าเป็นสมาชิกความตกลงฯ ได้ โดยความเห็นชอบของทั้งสองฝ่าย
- ในกรณีที่ความตกลงฯ นี้มีความขัดแย้งกับความตกลงอื่นที่ทั้งสองฝ่ายเป็นภาคี จะต้องหารือกันเพื่อหาทางแก้ไข
- แต่ละภาคีสงวนสิทธิที่จะไม่ต้องให้สิทธิประโยชน์ใดๆ ในสัญญาที่ตนเป็นสมาชิกอยู่ในปัจจุบันหรือในอนาคตแก่อีกประเทศภาคีหนึ่ง
- ความตกลงฯ นี้จะมีผลใช้บังคับภายใน 30 วัน หลังจากที่ต่างฝ่ายได้แจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรต่อกันว่าได้ดำเนินการภายในเพื่อปฏิบัติตามความตกลงฯ แล้ว
- ความตกลงฯ นี้จะมีผลใช้บังคับจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกเลิกเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างน้อย 12 เดือน
กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ อาคาร ค ถ.ราชดำเนินกลาง แขวงบวรนิเวศน์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200 โทรศัพท์ (66) 2282-6171-9 แฟกซ์ (66) 2280-0775
-พห-
สาระสำคัญ
- เนื้อหาในบทที่ 10 เป็นการอธิบายนิยาม ขอบเขต หลักการ และข้อกำหนดในการอำนวยความสะดวก ในการเข้าเมือง มีโครงสร้างประกอบด้วย 8 ข้อ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะอำนวยความสะดวกแก่นักธุรกิจของประเทศภาคีคู่สัญญาในการเข้ามาทำงานชั่วคราว และกำหนดคำนิยามของนักธุรกิจแต่ละประเภทไว้อย่างชัดเจน โดยอนุญาตให้นักธุรกิจ (business visitor) เข้ามาติดต่อธุรกิจได้เป็นการชั่วคราวครั้งละ 90 วัน สำหรับนักธุรกิจประเภทอื่นให้เข้ามาประกอบธุรกิจได้ในเวลาที่กำหนดตามตารางข้อผูกพันของแต่ละประเทศ
บทที่ 11 Electronic Commerce
สาระสำคัญ
- หลีกเลี่ยงการใช้กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการทำพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
- ส่งเสริมการใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ระหว่างสองประเทศ
- ไม่เรียกเก็บอากรศุลกากรกับ electronic transmission ระหว่างกัน
- ปฏิบัติเพื่อนำไปสู่การยอมรับร่วมของใบรับรองดิจิตอลในระดับรัฐบาล บนพื้นฐานของมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลและจะส่งเสริมการใช้ใบรับรองดิจิตอลระหว่างกันในภาคธุรกิจ
- ให้ความคุ้มครองผู้บริโภคที่ใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์และข้อมูลส่วนบุคคลทางอินเตอร์เน็ต
- ส่งเสริมให้มีการใช้และยอมรับเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการค้า
- ส่งเสริมความร่วมมือในการทำวิจัย กิจกรรมการอบรม ที่จะพัฒนาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลตัวอย่างในการพัฒนาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
บทที่ 12 Competition Policy
สาระสำคัญ
- ส่งเสริมการแข่งขันอย่างยุติธรรม และการลดการปฏิบัติที่ต่อต้านการแข่งขัน
- มาตรการที่แต่ละฝ่ายจะใช้เพื่อลดการปฏิบัติที่ต่อต้านการแข่งขัน จะต้องมีความโปร่งใส (โดยการ เผยแพร่ต่อสาธารณะ) เหมาะสมกับกาลเวลา ไม่เลือกปฏิบัติ เข้าใจได้ง่ายและเป็นไปอย่างเสมอภาค
- ทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกันในเรื่องการบังคับใช้กฎหมายการแข่งขัน โดยวิธีแลกเปลี่ยนข้อมูล การแจ้งให้ทราบ การปรึกษาหารือ และการประสานงานกัน
- เปิดโอกาสให้มีการปรึกษาหารือและทบทวนการบังคับใช้บทนี้ ภายใน 3 ปีหลังจากการบังคับใช้ ความตกลงฯ
บทที่ 13 Intellectual Property
สาระสำคัญ
- เป็นไปตามความตกลง TRIPS (Trade-Related Aspects of Intellectual Property Rights)
- ให้ความคุ้มครองและปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อกำจัดการละเมิดสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาของสินค้า ภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย กฎเกณฑ์ ระเบียบ คำสั่งหรือนโยบายของแต่ละประเทศ
- ให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูล อำนวยความสะดวกเรื่องการติดต่อและความร่วมมือระหว่าง หน่วยงานของรัฐบาล สถาบันการศึกษา องค์กรและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและการพัฒนาสิทธิทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อพัฒนาและเพิ่มความแข็งแกร่งของระบบจัดการ กระตุ้นให้เกิดการสร้างสรรค์และการพัฒนา เพิ่มขีดความสามารถและโอกาสของเจ้าของสิทธิเพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา
บทที่ 14 Transparent Administration of Laws and Regulations
สาระสำคัญ
- เน้นให้มีความโปร่งใสของกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับ และขั้นตอนพิธีการที่เกี่ยวข้องกับการค้าสินค้าและบริการ และการลงทุน ตลอดจนมาตรการต่างๆ โดยการตีพิมพ์เผยแพร่ต่อสาธารณะ
- จัดตั้งหน่วยประสานงานเพื่ออำนวยความสะดวกด้านการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน
- ให้มีการแจ้งล่วงหน้าเกี่ยวกับกระบวนการทางกฎหมายที่ใช้กับมาตรการต่างๆ ของแต่ละประเทศ ในกรณีที่กระบวนการดังกล่าวก่อให้เกิดผลกระทบต่อบุคคลของอีกประเทศหนึ่ง โดยบุคคลนั้นจะได้รับโอกาสให้แสดงข้อเท็จจริงและข้อโต้แย้ง เพื่อเป็นการปกป้องสถานะของตนเอง ก่อนที่จะมีการดำเนินการขั้นสุดท้าย และจะมีกระบวนการภายในที่เหมาะสมที่เพื่อให้สามารถทบทวนและแก้ไข ผลการดำเนินการขั้นสุดท้ายได้
บทที่ 15 Government Procurement
สาระสำคัญ
- ทั้งสองฝ่ายจะจัดตั้งคณะทำงานซึ่งประกอบด้วยผู้แทนภาครัฐของแต่ละประเทศ และมีหน้าที่ รับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ โดยจะพบปะกันอย่างสม่ำเสมอเพื่อหารือถึงประเด็นที่เกี่ยวข้อง และรายงานต่อ FTA Joint Commission ภายใน 12 เดือน หลังจากที่ความตกลงฯ มี ผลบังคับใช้ พร้อมทั้งเสนอแนะขอบเขตของการเริ่มต้นเจรจาทวิภาคี เพื่อนำเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐรวมไว้ภายใต้ความตกลงฯ ฉบับนี้
- ส่งเสริมและปฏิบัติเพื่อความโปร่งใส ความคุ้มค่าของเงิน การแข่งขันอย่างเปิดกว้างและมีประสิทธิผล การปฏิบัติอย่างเป็นธรรม ความรับผิดชอบและกระบวนการที่เป็นธรรม และการไม่เลือกปฏิบัติ สำหรับกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
- ให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลในเรื่องนโยบายและหลักการของการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายและข้อบังคับของภาคีแต่ละฝ่าย
บทที่ 16 General Exceptions
สาระสำคัญ
- คงสิทธิข้อยกเว้นทั่วไปตามความตกลงของ GATT และ WTO ไว้ รวมทั้งในเรื่องความมั่นคง ดุลการชำระเงิน และมาตรการด้านภาษีภายในประเทศ
- คงสิทธิที่จะใช้มาตรการปกป้องในกรณีที่มีปัญหาดุลการชำระเงิน รวมทั้งมาตรการ prudential measures
บทที่ 17 Institutional Provisions
สาระสำคัญ
- ทั้งสองฝ่ายจะจัดตั้ง FTA Joint Commission ในระดับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่อาวุโส และจะประชุมครั้งแรกภายใน 1 ปีนับจากวันที่ความตกลงมีผลบังคับใช้ และหลังจากนั้นจะมีการประชุมกันทุกๆ ปี หรือตามที่จะมีการตกลงกัน
- FTA Joint Commission มีหน้าที่
-- ทบทวนงานทั่วไปของความตกลงฯ นี้
-- ทบทวนและพิจารณาเรื่องเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติและบังคับใช้ของความตกลงฯ นี้
-- พิจารณาข้อเสนอแก้ไขความตกลงฯ
-- จัดตั้งองค์กรย่อยถาวรหรือเฉพาะกิจ (permanent or ad hoc subsidiary bodies) หากต้องการ เพื่อให้คำแนะนำและพิจารณาเรื่องที่เสนอโดยองค์กรย่อยต่างๆ ที่ถูกจัดตั้งขึ้นภายใต้ความตกลงฯ นี้
-- ขอคำแนะนำจากบุคคลหรือกลุ่มที่มิได้อยู่ในภาครัฐในเรื่องที่อยู่ในความรับผิดชอบเพื่อช่วยในการพิจารณา
-- ค้นหามาตรการเพื่อขยายการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศคู่ภาคี และกำหนดสาขาความร่วมมือที่เหมาะสมในด้านการพาณิชย์ อุตสาหกรรม และความร่วมมือทางวิชาการระหว่างกัน
-- ดำเนินการเรื่องอื่นๆ ตามที่ทั้งสองประเทศจะตกลงกัน
- กำหนดให้มีการทบทวนทั่วไปในระดับรัฐมนตรีเกี่ยวกับการดำเนินการของความตกลงฯ ภายใน 5 ปี หลังจากที่ความตกลงฯ มีผลใช้บังคับ และอย่างน้อยทุกๆ 5 ปีหลังจากนั้น
บทที่ 18 Consultations and Dispute Settlement
สาระสำคัญ
- ในกรณีที่ทั้งสองประเทศมีความขัดแย้งในเรื่องการตีความ การบังคับใช้ หรือการปฏิบัติให้เป็นไปตามความตกลงฯ ประเทศคู่ภาคีจะเข้าสู่กระบวนการระงับข้อพิพาทที่จัดตั้งขึ้นภายใต้ความตกลงฯ นี้ หรือภายใต้ความตกลงระหว่างประเทศอื่นๆ ที่ทั้งสองฝ่ายเป็นสมาชิกอยู่ได้ โดยเมื่อเลือกใช้กระบวนการภายใต้ความตกลงใดแล้ว จะไม่สามารถย้อนกลับไปใช้กระบวนการภายใต้อีกความตกลงหนึ่งได้ เว้นเสียแต่ว่าทั้งสองฝ่ายจะยินยอมให้เป็นไปตามนั้น
ขั้นตอนการดำเนินการ
- เปิดโอกาสให้มีการปรึกษาหารือกันก่อน เมื่อได้รับการร้องขอจากอีกฝ่ายหนึ่งได้ โดยประเทศที่ได้รับการร้องขอจะต้องตอบภายใน 7 วัน และเข้าสู่กระบวนการหารือภายใน 30 วัน เพื่อหาทางไกล่เกลี่ยและหาข้อยุติร่วมกัน
- หากไม่สามารถหาข้อยุติได้ภายใน 60 วันหลังจากการร้องขอ ประเทศที่ร้องขออาจยื่นเรื่องเพื่อขอให้มีการตั้ง arbitral tribunal เพื่อระงับข้อพิพาทได้
- arbitral tribunal จะประกอบด้วยสมาชิก 3 คน โดยแต่ละฝ่ายจะแต่งตั้งสมาชิกของฝ่ายตนภายใน 30 วัน หลังจากที่ได้รับเรื่อง โดยต่างฝ่ายต่างรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการแต่งตั้ง และทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันแต่งตั้งสมาชิกคนที่ 3 ซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับภาคีใดภาคีหนึ่งภายใน 30 วัน หลังจากที่ได้แต่งตั้งสมาชิกคนที่ 2 แล้ว และให้ความเห็นชอบการแต่งตั้งภายใน 7 วัน เพื่อให้สมาชิกคนที่ 3 เป็นประธาน โดยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการแต่งตั้งร่วมกัน หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่เห็นชอบสมาชิกคนที่ 3 จะต้องหารือกันเพื่อแต่งตั้งสมาชิกคนที่ 3 ให้ได้ภายในอีก 30 วัน
- arbitral tribunal มีหน้าที่หารือกับภาคีทั้งสองฝ่ายเพื่อหาทางระงับข้อพิพาทและพิจารณาหาผล คำตัดสินที่สอดคล้องกับความตกลงนี้ หรือกฎระเบียบระหว่างประเทศที่ทั้งสองฝ่ายเป็นสมาชิกอยู่ โดยใช้มติเอกฉันท์ (consensus) หรือใช้เสียงข้างมาก (majority vote) และผลคำตัดสินจะเป็น ขั้นสุดท้ายและผูกมัดภาคี
- แต่ละฝ่ายจะให้ข้อมูล ข้อเท็จจริง ข้อโต้แย้งเกี่ยวกับกรณีพิพาทภายใน 21 วัน หลังจากได้แต่งตั้ง arbitral tribunal โดย arbitral tribunal จะประชุม (substantive meeting) 2 ครั้ง และภาคีมีสิทธิเสนอข้อโต้แย้งอย่างเป็นทางการ (formal rebuttal) ได้ในการประชุมครั้งที่ 2 (ภาคีอาจเข้าร่วมประชุมได้เมื่อได้รับเชิญจาก arbitral tribunal และ arbitral tribunal อาจระงับหรือยกเลิกการดำเนินการ เพื่อให้ภาคีหาข้อยุติระหว่างกันเองได้)
- arbitral tribunal จะจัดทำร่างผลคำตัดสินและเปิดโอกาสให้ภาคีทบทวนและให้ข้อคิดเห็นได้ภายใน 14 วัน หลังจากได้รับร่าง และ arbitral tribunal จะพิจารณาข้อคิดเห็นเพื่อจัดทำคำตัดสินขั้นสุดท้ายและเสนอต่อภาคีภายใน 120 วัน หลังจากที่ได้รับการแต่งตั้ง หากไม่สามารถเสนอคำตัดสินขั้นสุดท้ายได้ภายใน 120 วัน จะต้องมีหนังสือแจ้งต่อภาคีถึงเหตุผลที่ทำให้ล่าช้าและประมาณการระยะเวลาที่จะเสนอได้ โดยจะต้องเปิดเผยผลคำตัดสินต่อสาธารณะภายใน 10 วัน หลังจากที่ได้เสนอต่อภาคีแล้ว
- ภาคีจะต้องปฏิบัติตามผลคำตัดสิน (โดยวิธีชดเชยหรือวิธีอื่น) และแจ้งต่อภาคีอีกฝ่ายหนึ่งเป็นลายลักษณ์อักษรถึงวิธีการปฏิบัติภายใน 30 วัน หลังจากได้รับผลคำตัดสินขั้นสุดท้าย
- หากภาคีที่เรียกร้องให้มีการจัดตั้ง arbitral tribunal (1) ไม่ได้รับแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรจากภาคีอีกฝ่ายหนึ่ง (2) ไม่สามารถตกลงเกี่ยวกับวิธีชดเชยหรือวิธีอื่นได้ภายใน 30 วัน หรือ (3) เห็นว่าภาคีอีกฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตามวิธีชดเชยหรือวิธีอื่นที่ได้ตกลงกัน ภาคีนั้นสามารถแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรต่อภาคีอีกฝ่ายหนึ่งว่าจะระงับสิทธิประโยชน์ (โดยเท่ากับระดับความเสียหาย) และเริ่มระงับสิทธิประโยชน์ได้ใน 30 วันหลังจากนั้น ทั้งนี้การระงับสิทธิประโยชน์จะกระทำได้ชั่วคราว จนภาคีอีกฝ่ายหนึ่งได้ปฏิบัติตามผลคำตัดสิน
- หากภาคีที่ถูกระงับสิทธิประโยชน์เห็นว่าการระงับสิทธิประโยชน์นั้นมากเกินความจำเป็นหรือได้ยกเลิกมาตรการที่ไม่สอดคล้องกับความตกลงฯ ตามคำตัดสินของ arbitral tribunal แล้ว ภาคีนั้นอาจ เรียกร้องให้ tribunal ประชุมอีกครั้งหนึ่ง (reconvene) ได้ภายใน 30 วัน และ tribunal ต้องเสนอผลคำตัดสินภายใน 90 วันหลังจากที่ได้ประชุม โดยระบุการชดเชยความเสียหายที่เกิดจากการระงับสิทธิประโยชน์ที่มากเกินความจำเป็นด้วย
บทที่ 19 Final Provisions
สาระสำคัญ
- การแก้ไขความตกลงฯ จะต้องทำเป็นลายลักษณ์อักษร โดยความเห็นชอบของทั้งสองฝ่าย โดยจะมีผลใช้บังคับในวันที่ที่จะตกลงกัน
- เปิดโอกาสให้ประเทศที่สามเข้าเป็นสมาชิกความตกลงฯ ได้ โดยความเห็นชอบของทั้งสองฝ่าย
- ในกรณีที่ความตกลงฯ นี้มีความขัดแย้งกับความตกลงอื่นที่ทั้งสองฝ่ายเป็นภาคี จะต้องหารือกันเพื่อหาทางแก้ไข
- แต่ละภาคีสงวนสิทธิที่จะไม่ต้องให้สิทธิประโยชน์ใดๆ ในสัญญาที่ตนเป็นสมาชิกอยู่ในปัจจุบันหรือในอนาคตแก่อีกประเทศภาคีหนึ่ง
- ความตกลงฯ นี้จะมีผลใช้บังคับภายใน 30 วัน หลังจากที่ต่างฝ่ายได้แจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรต่อกันว่าได้ดำเนินการภายในเพื่อปฏิบัติตามความตกลงฯ แล้ว
- ความตกลงฯ นี้จะมีผลใช้บังคับจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกเลิกเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างน้อย 12 เดือน
กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ อาคาร ค ถ.ราชดำเนินกลาง แขวงบวรนิเวศน์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200 โทรศัพท์ (66) 2282-6171-9 แฟกซ์ (66) 2280-0775
-พห-