ประเทศไทยมีการขนส่งด้วยรถบรรทุกถึงร้อยละ 88 ของการขนส่งทุกประเภท และประเทศไทยมีจำนวน รถทั่วประเทศถึง 689,512 คัน ที่จดทะเบียนกับกรมขนส่งทางบกในปี 2545 ยุทธศาสตร์การเพิ่มสัดส่วนการ ขนส่งทางน้ำคงยังไม่เห็นผลภายในเวลาอันใกล้ มาตรการที่น่าจะเห็นผลเร็วในการลดต้นทุนการขนส่ง คือ การเพิ่ม ประสิทธิภาพการใช้งานของรถบรรทุกที่มีอยู่โดยรัฐบาลควรสนับสนุนโครงการต่างๆต่อไปนี้ - โครงการลดจำนวนเที่ยวเปล่าวิ่งกลับของรถบรรทุกโดยการจัดตั้งศูนย์แลกเปลี่ยนการขนส่ง แห่งชาติ (Thailand Transport Exchange) เป็นองค์กรที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูล ธุรกรรมขนส่ง ระหว่างผู้ใช้บริการขนส่งที่แจ้งความจำนงในการขนส่ง และผู้ให้บริการขนส่งที่ แจ้งช่วงการว่างของรถ เส้นทางและพื้นที่บรรทุกไว้ที่คอมพิวเตอร์ส่วนกลางซึ่งจะมีหน้าที่จับคู่ อุปสงค์อุปทานการใช้รถให้ นอกจากนี้ยังสามารถบริหารการขนส่งที่ไม่เต็มคันรถได้อีกด้วย - โครงการเพิ่มการขนส่งรถบรรทุกแบบไปกลับครึ่งวันให้สูงขึ้น โครงการนี้จะช่วยให้รถบรรทุกวิ่ง ระยะทางสั้นลงแต่วิ่งถี่ขึ้น ส่วนการขนส่งช่วงยาวให้หันไปใช้ทางน้ำชายฝั่งทางแม่น้ำ หรือ ทางรถไฟ โดยการส่งเสริมให้มีศูนย์กระจายสินค้าชานเมืองที่เชื่อมต่อกับการขนส่งทางน้ำ และทางรถไฟรวมทั้งทางอากาศ - โครงการส่งเสริมการใช้ระบบข้อมูลภูมิศาสตร์สารสนเทศ (GIS) เพื่อเก็บข้อมูล การขนส่งทางบกอย่างละเอียดเพื่อใช้ในการวิเคราะห์ประสิทธิภาพการใช้รถยนต์ การขนส่งต่อเนื่องและภาพรวมของระบบโลจิสติกส์ โดยการช่วยเหลือการติดตั้งหรือช่วยเหลือด้านภาษีแก่ผู้ประกอบการ ที่ติดตั้งระบบ GIS ตัวชี้วัด - อัตราการวิ่งเที่ยวเปล่าของรถบรรทุกลดลง - อัตราการขนส่งแบบไปกลับครึ่งวันสูงขึ้น - ร้อยละของรถบรรทุกที่ติดตั้งระบบ GISผลลัพธ์ - การลดต้นทุนการขนส่งทางรถบรรทุกยุทธศาสตร์ที่ 1.5 การเพิ่มการขนส่งสินค้าทางรถไฟ ประเทศไทยใช้การขนส่งทางรถไฟเพียงร้อยละ 1.98 ของการขนส่งทั้งหมด ส่วนใหญ่แล้วใช้รถไฟขนส่งผู้โดยสารเป็นหลัก ซึ่งการขนส่งทางรถไฟนั้นจะช่วยในเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการลดค่าใช้จ่ายต่อหน่วยของการขนส่งเมื่อเทียบกับการใช้รถบรรทุก ดังนั้นรัฐบาลควรมีโครงการต่างๆเหล่านี้เพิ่มเติม - โครงการปรับปรุงหัวรถจักรแคร่ขนสินค้าให้มีสภาพดี และได้มาตรฐานการให้บริการ รวมทั้งการเพิ่มจำนวนขบวนรถไฟขนสินค้า - โครงการจัดทำรางคู่ตามเส้นทางที่สำคัญ - โครงการเชื่อมโยงรถไฟกับประเทศเพื่อนบ้าน - โครงการเชื่อมโยงรถไฟไปยังท่าเรือต่างๆตัวชี้วัด - ปริมาณการขนส่งสินค้าทางรถไฟต่อการขนส่งทั้งหมดผลลัพธ์ - สัดส่วนการขนส่งทางรถไฟเพิ่มขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับการขนส่งทางอื่นๆ เป้าประสงค์ที่ 2 เพื่อให้ประเทศไทยมีระบบโลจิสติกที่ทันสมัยและสะดวก สามารถยกระดับให้ ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค การที่จะบรรลุถึงเป้าประสงค์นี้จำเป็นต้องมียุทธศาสตร์ และโครงการดังต่อไปนี้ยุทธศาสตร์ที่ 2.1 การเพิ่มการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศให้ครอบคลุมในทุกกลุ่มนอกเหนือจากภาครัฐ ตามที่กระทรวงการคลังได้มีแผนงานที่ชัดเจนที่จะเชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของหน่วยราชการเข้า ด้วยกัน สำหรับการบริการประชาชนภาคการค้าระหว่างประเทศ ภายใต้คณะทำงานเชื่อมโยงเครือข่าย ข้อมูล ระหว่างหน่วยงานภาครัฐ งบประมาณ 1,250 ล้านบาท ระยะเวลา 3 ปีนั้น เพื่อให้มีการต่อยอดเครือข่าย ดังกล่าวให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นจึงควรมีโครงการ เสริมเพิ่มเติมต่อไปนี้ - โครงการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนโดยผ่าน Internet EDI และ - โครงการส่งเสริมให้ใช้ EDI ในการค้าขายและการขนส่งภายในประเทศ เพื่อให้ครอบคลุมการ บริหาร ระบบสารสนเทศของระบบโลจิสติกส์ สำหรับนำข้อมูลไปใช้อย่างบูรณาการในการ พัฒนา Logistic Data Warehouse ของประเทศไทยต่อไปตัวชี้วัด - การลดอัตราการใช้กระดาษสำหรับเอกสารนำเข้าและส่งออก - เวลาใช้บริการที่ลดลงหลังจากการติดตั้งระบบผลลัพธ์ - ลดต้นทุนและสร้างความเป็นสากลยุทธศาสตร์ที่ 2.2 การใช้เทคโนโลยีใหม่เพื่อเพิ่มความเร็วและเพิ่มประสิทธิภาพระบบโลจิสติกส์ นอกเหนือจากการเพิ่มการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศแล้ว เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี และให้ทันกับการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านจำเป็นที่จะต้องพิจารณาเลือกเทคโนโลยีใหม่ๆ ด้านโลจิสติกส์ตาม ความเหมาะสมได้แก่ - โครงการส่งเสริมและเลือกใช้เทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการขนส่งทางบก o Intelligent Transport System (ITS) o Electronic Toll Collection System (ETC) o Advance Safety Vehicle (ASV) o Universal Traffic Management System (UTMS) o Electronic Number Plate (Smart Plate) - โครงการส่งเสริมการใช้ RFID (Radio-Frequency Identification) เพื่อการค้าและการควบคุม การขนส่งตัวชี้วัด - จำนวนเทคโนโลยีใหม่ที่นำมาใช้ปฏิบัติ - อัตราความเร็วของรถบรรทุกในช่วงเร่งด่วนในเมืองใหญ่ผลลัพธ์ - ความเร็วและความสะดวกของระบบโลจิสติกส์ยุทธศาสตร์ที่ 2.3 การจัดตั้งองค์กรความร่วมมือด้านโลจิสติกส์ของอาเซียน (Asean Collaboration Logistic Organization) การที่จะให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาคจะต้องมีการประสานความร่วมมือกับประเทศ เพื่อนบ้าน เพื่อสร้างความร่วมมือ การช่วยเหลือ การสร้างมาตรฐานร่วมกัน และการพัฒนาโครงสร้าง พื้นฐานเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน รวมทั้งออกกฎระเบียบร่วมกันโดยเฉพาะเรื่องกฎหมายการขนส่งข้ามแดน หลายรูปแบบ โดยหน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับโลจิสติกส์ของประเทศจะเป็นผู้ประสานงานกับประเทศต่างๆ - โครงการออกกฎระเบียบการขนส่งข้ามแดนหลายรูปแบบ - โครงการจัดทำมาตรฐานโลจิสติกส์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ - โครงการปรับปรุงแม่น้ำโขงให้เป็นเส้นทางขนส่งได้ตลอดปี - โครงการประชุมสัมมนา ASEAN Logisticตัวชี้วัด - จำนวนสมาชิกที่เข้าร่วมผลลัพธ์ - ประเทศไทยเป็นประตูสู่ภูมิภาคยุทธศาสตร์ที่ 2.4 การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ระหว่างจังหวัด การที่จะเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการขนส่งทางรถในเมืองให้ส่งของได้ตรงเวลาและรวดเร็วรัฐบาลจะต้อง มีโครงการดังต่อไปนี้ - โครงการปรับปรุงถนนเลี่ยงเมืองและถนนวงแหวนตามเมืองต่างๆ - โครงการลดการแออัดที่แยกและจุดตัดรถไฟ - โครงการส่งเสริมการสร้างศูนย์โลจิสติกส์บริเวณใกล้เคียงกับถนนสายหลัก ชานเมืองใกล้กับท่าเทียบเรือและ สถานีรถไฟ และ - โครงการจัดทำจุดขนถ่ายในเมืองขนาดเล็ก เพื่ออำนวยความสะดวกในการกระจายสินค้าจากรถบรรทุกใหญ่สู่รถบรรทุกขนาดเล็กตัวชี้วัด - จำนวนจุดที่รถติดในเมืองต่างๆทั่วประเทศลดลง - จำนวนการขนส่งไปกลับครึ่งวันมีการเพิ่มสูงขึ้นผลลัพธ์ - การขนส่งที่ตรงเวลาและรวดเร็วยุทธศาสตร์ที่ 2.5 การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ระหว่างภูมิภาค การที่จะเพิ่มศักยภาพของการเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ รัฐบาลควรส่งเสริมโครงการต่างๆ ดังต่อไปนี้ การขนส่งโดยรถบรรทุก - โครงการขยายช่องทางจราจรบนถนนไฮเวย์และสร้างถนนเข้าลัดสู่ฐานโลจิสติกส์ หรือศูนย์กระจายสินค้า ท่าเรือ สนามบิน - โครงการเสริมความแข็งแรงของสะพานเพื่อรองรับกับน้ำหนักรถบรรทุกที่เพิ่ม การขนส่งชายฝั่ง - โครงการปรับปรุงท่าเรือและคลังสินค้าเพื่อรองรับการขนส่งหลายรูปแบบ - โครงการศึกษาปริมาณสินค้าเพื่อเพิ่มการขนส่งระหว่าง ภาคใต้ ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก และภาคกลาง โดยทางเรือการขนส่งโดยรถไฟ * ดูรายละเอียดโครงการยุทธศาสตร์ที่ 1.5 การเพิ่มการขนส่งสินค้าทางรถไฟ* การขนส่งทางอากาศ - โครงการศึกษาการเชื่อมโยงการขนส่งทางอากาศกับการคมนาคมทางบกและทางน้ำ - โครงการพัฒนาท่าอากาศยานภูมิภาคเพื่อการขนส่งสินค้าตัวชี้วัด - ปริมาณสินค้าที่ขนส่งแบบต่างๆ หน่วยเป็นตัน-กิโลเมตร - เวลาการขนส่งสินค้าระหว่างภาคต่างๆ ลดลงผลลัพธ์ - ความพร้อมในการเป็นฐานโลจิสติกส์ของภูมิภาคยุทธศาสตร์ที่ 2.6 การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ เพื่อที่จะรองรับการขนส่งคอนเทนเนอร์ที่นับวันจะเติบโตมากขึ้นจะต้องมีโครงการเพิ่มเสริมสร้างสมรรถนะ ระบบโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ ด้วย ได้แก่ - โครงการปรับปรุงให้การขนส่งคอนเทนเนอร์ภายในประเทศมายังท่าเรือส่งออกให้มีความสะดวกรวดเร็วโดยเฉพาะการขนส่งคอนเทนเนอร์ทางชายฝั่ง และทางแม่น้ำ - โครงการลดขั้นตอนการส่งออกและนำเข้าโดยใช้ EDI เต็มรูปแบบและจัดทำศูนย์บริการแบบ เบ็ดเสร็จ - โครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึก ฝั่งทะเลอันดามัน - โครงการสนับสนุนและส่งเสริมบริษัทไทยเดินเรือทะเลจำกัด ให้เป็นสายการเดินเรือแห่งชาติ - โครงการลดการนำเข้าตู้คอนเทนเนอร์เปล่า โดยการเปลี่ยนการนำเข้าสินค้าเทกอง ให้เป็นตู้คอนเทนเนอร์ตัวชี้วัด - ระยะเวลาการตรวจปล่อยสินค้าสั้นลง - ระยะเวลาที่เรืออยู่กับท่าสั้นลง - สัดส่วนการส่งออกนำเข้าด้วยเรือไทย - สัดส่วนตู้เปล่านำเข้าต่อการส่งออกลดลงผลลัพธ์ - ต้นทุนการขนส่งคอนเทนเนอร์มายังท่าเรือลดต่ำลง - ค่าระวางเรือระหว่างประเทศลดลง(ในระยะยาว) เป้าประสงค์ที่ 3 เพื่อแก้ไขปัญหาพลังงาน ปัญหาสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยด้านการ จราจร จากการที่ภาคการขนส่ง ใช้พลังงานมากที่สุดถึงร้อยละ 38 เป็นเพราะประเทศไทย ใช้รถบรรทุกในการ ขนส่งสินค้าถึงร้อยละ 88 และมีการจราจรติดขัด ตามจุดคอขวดต่างๆ อีก มีผลทำให้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซอื่นๆ มากตามไป ด้วย อีกทั้งยังทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงต่างๆ เพิ่มมากขึ้นทุกวัน โครงการบางโครงการในยุทธศาสตร์ที่อยู่ในเป้าประสงค์ 1 และ 2 ก็มีส่วนช่วยให้ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ และฝุ่นละอองได้ เช่น การร่วมมือกันด้านการปฏิบัติการ การจัดตั้งศูนย์โลจิสติกส์ชานเมือง ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานรถบรรทุกได้ดียิ่งขึ้น การเพิ่มสัดส่วนการขนส่งทางน้ำเป็นผลทางอ้อมให้ปล่อยก๊าซเป็นสัดส่วนต่อน้ำหนักบรรทุกลดลงเป็นต้น ซึ่งเป็นการลดทางอ้อม แต่ ยุทธศาสตร์ที่3.1 จะเป็นมาตรการทางตรงที่จะลดปริมาณก๊าซได้อย่างเกิดประสิทธิผลยุทธศาสตร์ที่ 3.1 การลดการปล่อยก๊าซพิษจากรถบรรทุก เพื่อที่จะลดการปล่อยก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์และก๊าซอื่นตลอดจนฝุ่นละอองของรถบรรทุก 689,512 คัน ทั่วประเทศนั้น รัฐบาลจะต้องมีการควบคุมที่รัดกุมและต้องมีโครงการเสริมด้านต่างๆ ดังต่อไปนี้ - โครงการส่งเสริมการใช้รถบรรทุก Low Emission และเชื้อเพลิงสะอาด เช่น น้ำมันปาล์ม หรือรถที่ใช้ไฟฟ้าเป็นพลังงาน โดยการช่วยเหลือด้านภาษี (Green Tax System) - โครงการการบังคับให้ใช้น้ำมันดีเซลชนิดกำมะถันต่ำ - โครงการส่งเสริมการติดตั้งเครื่องกรองฝุ่นละอองในน้ำมันดีเซล (DPFs) - โครงการส่งเสริมการส่งสินค้าด้วยระบบท่อเพื่อลดการใช้รถบรรทุก ตัวชี้วัด - จำนวนรถบรรทุกประเภท Low Emission เพิ่มมากขึ้น - สัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงสะอาดต่อปริมาณเชื้อเพลิงทั้งหมด - การประกาศใช้น้ำมันดีเซลกำมะถันต่ำ - จำนวนเครื่อง DPF ที่มีการติดตั้งผลลัพธ์ - การลดการปล่อยก๊าซพิษจากรถบรรทุกยุทธศาสตร์ที่ 3.2 การป้องกันอุบัติเหตุในระบบโลจิสติกส์ เพื่อที่จะปรับปรุงการดำเนินงานและป้องกันอุบัติเหตุในระบบโลจิสติกส์ ควรมีโครงการดังนี้ - โครงการการติดตั้งกล่องดำ หรือระบบดาวเทียมเพื่อควบคุม ความเร็วของ รถบรรทุก - โครงการสร้างความตระหนักในความปลอดภัย สำหรับผู้ประกอบการ - โครงการการติดตั้งระบบ Maritime Traffic Safety และ เรดาห์ ชายฝั่งให้ครอบคลุม ทั้งอ่าวตัวชี้วัด - จำนวนอุบัติเหตุจากการขนส่งลดลงผลลัพธ์ - ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เป้าประสงค์ที่ 4 เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขัน ได้กับผู้ให้บริการโลจิสติกส์ จากต่างประเทศ จากการเปิดเสรีการค้าและข้อตกลงทางการค้าทวิภาคีกับประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศ ที่ก้าวหน้าด้านโลจิสติกส์ทำให้ประเทศต่างๆ เหล่านั้นสามารถเข้ามาแข่งขันอย่างได้เปรียบทั้งในด้านเงินทุน และระบบการบริหารโดยเฉพาะด้านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศรวมทั้งบุคลากรที่มีความสามารถมีความชำนาญ และมีประสบการณ์ ประกอบกับในอนาคตอุตสาหกรรมบริการด้านโลจิสติกส์และการขนส่งจะเพิ่มขนาด และมี ความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของไทยเป็นอย่างมาก ถ้ารัฐบาลไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยผู้ประกอบการไทย จะไม่มีการถ่วงดุล ธุรกิจบริการด้านโลจิสติกส์ไม่อยู่ใน การควบคุม อาจจะมีผลให้ผู้ประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมทั่วไป และประชาชนไม่ได้รับความยุติธรรมในด้านราคาค่าบริการในอนาคตได้ ควรมียุทธศาสตร์ส่งเสริมผู้ประกอบการดังนี้ยุทธศาสตร์ที่ 4.1 การส่งเสริมผู้ประกอบการโลจิสติกส์ของไทยให้มีความสามารถแข่งขันกับ ต่างประเทศได้ เพื่อที่จะส่งเสริมศักยภาพการแข่งขันกับต่างประเทศให้แก่ผู้ประกอบการโลจิสติกส์ ของไทยควรมีโครงการ ดังต่อไปนี้ - โครงการส่งเสริมโดยใช้มาตรการทางภาษีและมาตรการทางการเงิน - โครงการจัดทำ Benchmarking และ Best Practice ด้านโลจิสติกส์ เปรียบเทียบกับประเทศที่ก้าวหน้าทางโลจิสติกส์ เช่น ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และประเทศที่กำลังพัฒนาด้านโลจิสติกส์ เช่น มาเลเซีย - โครงการประกวดธุรกิจโลจิสติกส์ไทยดีเด่น โดยให้รางวัลที่ดึงดูดผู้ให้บริการโลจิสติกส์และสามารถ ใช้เป็นกรณีศึกษากับผู้ประกอบการรายอื่นต่อไป - โครงการเสริมสร้างความสามารถของบุคลากรด้านโลจิสติกส์เพื่อเป็นทรัพยากรสำหรับธุรกิจโดยทั่วไปและธุรกิจบริการด้านโลจิสติกส์ โดยเชื่อมกับแผนของกระทรวงพาณิชย์ และสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือที่กำลังดำเนินการอยู่ตัวชี้วัด - การเติบโตทางด้านยอดขายและกำไรของธุรกิจโลจิสติกส์ของไทย - จำนวนผู้ได้รับการอบรมและศึกษาเกี่ยวกับโลจิสติกส์ ผลลัพธ์ - ผู้ประกอบการโลจิสติกส์ของไทยมีศักยภาพเพิ่มขึ้นยุทธศาสตร์ที่ 4.2 การส่งเสริมผู้ประกอบการโลจิสติกส์ของไทยให้ไปลงทุนในต่างประเทศ เพื่อให้ธุรกิจบริการด้านโลจิสติกส์เกิดการประหยัดจากขนาด (Economy of Scale) และสร้างฐานธุรกิจ ให้เติบโตขึ้น รัฐบาลควรมีมาตรการส่งเสริมให้ธุรกิจโลจิสติกส์ของไทย ใช้ความรู้และระบบที่มีอยู่ขยายไปยัง ประเทศที่มีความต้องการด้วย - โครงการส่งเสริมการลงทุนในประเทศเป้าหมาย โดยคณะกรรมการส่งเสริม การลงทุน(BOI) - โครงการเปิดตลาดธุรกิจโลจิสติกส์ในประเทศเป้าหมาย (Road Show)ตัวชี้วัด - การเพิ่มขึ้นของธุรกิจโลจิสติกส์ของไทยในต่างประเทศผลลัพธ์ - ผู้ประกอบการโลจิสติกส์ของไทยสามารถแข่งขันกับบริษัทท้องถิ่นใน ประเทศเป้าหมาย 8. บทสรุป ยุทธศาสตร์เชิงลึกจำนวน 14 ยุทธศาสตร์ที่นำเสนอมาเบื้องต้นเป็นมุมมองใหม่ที่ส่วนใหญ่รัฐบาลยังไม่ได้ ดำเนินการ เพื่อเป็นการเสริมสิ่งที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน โดยคณะกรรมการเพิ่มขีดความสามารถ ในการแข่ง ได้แก่ การเชื่อมโยงและการจัดทำฐานข้อมูลเทคโนโลยีสารสนเทศ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและ การสร้างองค์ความรู้แก่ผู้ประกอบการนั้น เป็นยุทธศาสตร์พื้นฐานที่ต้องทำอย่างเร่งด่วนและถ้าหากนำ 14 ยุทธศาสตร์ เชิงลึก ที่เสนอแนะเพิ่มเติมไปต่อยอดอีก จะทำให้ประเทศไทยสามารถเป็นศูนย์โลจิสติกส์ของภูมิภาคและผู้ประกอบ การจะมีค่าใช้จ่ายของโลจิสติกส์ที่ต่ำลงในเวลาที่เร็ว ยิ่งขึ้น โครงการต่างๆ ทั้งหมด 57 โครงการ 39 ตัวชี้วัด ภายใต้ 14 ยุทธศาสตร์นั้นเป็นการพัฒนามาจาก ประสบการณ์และกรณีศึกษาที่ประสบความสำเร็จมาแล้วจากต่างประเทศ หลายประเทศนำมากลั่นกรองให้เข้ากับสถานการณ์ในประเทศไทย เพื่อลดปัญหาและอุปสรรคด้านโลจิสติกส์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน และรับกับการเปลี่ยนแปลง เกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ด้านโลจิสติกส์ที่จะมาในอนาคต เสนอแนะเป็นแผนยุทธศาสตร์เชิงลึกการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย ดังปรากฏรายละเอียดในหัวข้อที่ 7 ซึ่งเป็นข้อเสนอแนะที่แตกต่างไปจากที่เคยเสนอไว้เมื่อ 2 ปีที่แล้ว แต่การที่แผนจะประสบความสำเร็จได้นั้นจะต้องมีผู้รับผิดชอบ และควบคุมการปฏิบัติตามแผน และการที่จะให้โครงการดังกล่าวบรรลุถึงเป้าหมายจะต้องมีหน่วยงานหรือองค์กรหลักที่ทำหน้าที่เสมือน Chief Logistic Officer (CLO) ของประเทศ เป็นเจ้าภาพ มาติดตามดูแลผลักดันโครงการต่างๆ ตามยุทธศาสตร์อย่างใกล้ชิด ให้บรรลุถึงผลสำเร็จ ตามตัวชี้วัดที่ได้แนะนำไว้ให้ในทุกยุทธศาสตร์ รวมทั้งให้บรรลุถึงผลลัพธ์ที่ต้องการในแต่ละ ยุทธศาสตร์อย่างเกิดประสิทธิผลต่อไป ที่มา: สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ www.nesac.or.th, โทร.02-612-9222 ต่อ 118, 119 โทรสาร.02-612-6918-9