ราคาน้ำมันในตลาดน้ำมันโลกเมื่อวันพุธที่ 10 สิงหาคม 2548 ได้ไต่ระดับขึ้นถึง 65.30 ดอลลาห์ต่อบาร์เรลในตลาดนิวยอร์ก หลังมีข่าวการกลั่นน้ำมันในสหรัฐสะดุด ผสมผสานกับปัจจัยตัวเก่าเช่น เสถียรภาพทางการเมืองในตะวันออกกลาง ท่ามกลางกระแสข่าวว่า กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่สุดของโลก (OPEC) กำลังผลิตน้ำมันน้อยลง และสัญญาณจากสหรัฐที่ระบุว่าซาอุดิอารเบียกำลังเป็นเป้าหมายโจมตีของกลุ่มก่อการร้ายข้ามชาติ นอกจากนั้น ก็ยังมีข่าวจากสำนักงานพลังงานสากลว่าได้ปรับลดตัวเลขประมาณการการผลิตน้ำมันออกสู่ตลาดโลกของรัสเซียและประเทศนอกกลุ่มโอเปก ในส่วนอุปสงค์ แม้จะดูเหมือนว่าสหรัฐฯ กำลังชะลอความต้องการน้ำมันลง แต่สำนักงานพลังงานสากล ชี้ว่า ความต้องการน้ำมันในจีนกลับขยายตัวสูงกว่า โดยคาดว่าจะเพิ่ม 4.9% ในปีนี้ที่ 6.75 ล้านบาร์เรลต่อวัน และเพิ่มเป็น 7.5 ล้านบาร์เรลต่อวันในปีหน้า ราคาน้ำมันที่สูงกว่า 60 ดอลลาห์ต่อบาร์เรล กำลังสร้างความปั่นป่วนให้ภาคการขนส่งและธุรกิจต่อเนื่องอย่างรุนแรง สายการบินหลายแห่ง นอกจากปรับค่าธรรมเนียมพิเศษเพื่อบวกต้นทุนเชื้อเพลิงแล้ว บางรายยังต้องปรับลดกำลังคนเพื่อลดต้นทุน ขณะเดียวกัน มีรายงานว่าน้ำมันแพงกำลังพ่นพิษใส่การค้าระหว่างประเทศของญี่ปุ่น โดยจากตัวเลขดุลการค้าระหว่างประเทศในเดือนมิถุนายน การได้เปรียบดุลบัญชีเดินสะพัดของญี่ปุ่นลดลง 15.3% เหลือ 9.9 พันล้านดอลลาห์ โดยกระทรวงการคลังญี่ปุ่นระบุว่า แม้มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้น 3.7% แต่มูลค่าการนำเข้ากลับเพิ่มขึ้นสูงกว่า โดยเพิ่มขึ้น 13.1% ส่วนในสหรัฐฯ ราคาน้ำมันดิบพุ่งทะยานขึ้น ทำให้กระทบต่อวิถีการดำเนินชีวิตและเงินในกระเป๋าของชาวอเมริกันมากขึ้น เนื่องจากราคาสินค้าเกือบทุกประเภททยอยปรับราคาขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพิซซ่า ที่หลายร้านปรับขึ้นค่าบริการจัดส่งถึงบ้าน ประเด็นวิเคราะห์: ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ราคาน้ำมันได้ปรับตัวขึ้นไปแล้วกว่า 46% ยังไม่สามารถคาดได้ว่าจะคงที่อยู่ในระดับใด ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบด้านต้นทุนการผลิตและราคาขายที่สูงขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นหากผู้ผลิตใดสามารถนำพลังงานอื่นที่ถูกกว่าเข้ามาใช้ทดแทนได้ก็จะมีข้อได้เปรียบที่สามารถแข่งขันได้ในตลาดการค้าโลก ที่มา: http://www.depthai.go.th