แท็ก
ธปท.
1 ฐานเงินและปริมาณเงิน
-ฐานเงินและปริมาณเงินขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงจากเดือนก่อน
ฐานเงิน ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2548 อยู่ที่ระดับ 762.9 พันล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 12.9 จากระยะเดียวกันปีก่อน แต่ลดลง 2.8 พันล้านบาทจากเดือนก่อน
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของฐานเงินจากเดือนก่อนได้แก่ (1) สินทรัพย์ต่างประเทศสุทธิของทางการเพิ่มขึ้น (2) สินเชื่อสุทธิที่ ธปท. ให้แก่รัฐบาลลดลงจากการเพิ่มขึ้นของเงินฝากภาครัฐที่ ธปท. และ (3) สินเชื่อสุทธิที่ ธปท.ให้แก่สถาบันการเงินลดลง เนื่องจากสถาบันการเงินลงทุนในพันธบัตร ธปท. เพิ่มขึ้น
ปริมาณ เงิน M2 และ M2a ขยายตัวจากระยะเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 2.4 และ 3.0 ตามลำดับซึ่งเป็นอัตราที่ชะลอลงเล็กน้อยจากเดือนก่อน โดยภาคเอกชนและรัฐวิสาหกิจมีการออกตราสารหนี้จำนวนมากทำให้ทั้งเงินฝากและสินเชื่อระบบการเงินชะลอลง ขณะที่ปริมาณเงิน M3 ขยายตัวร้อยละ 4.1 เท่ากับจากเดือนก่อน
2 อัตราแลกเปลี่ยน อัตราดอกเบี้ยและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล
-เงินบาทอ่อนค่าลงตามค่าเงินในภูมิภาค กอปรกับบริษัทน้ำมันมีความต้องการซื้อเงินดอลลาร์ สรอ. ค่อนข้างมาก
-อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเงินปรับสูงขึ้น
-อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นและระยะกลางปรับเพิ่มขึ้นตามการคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
อัตราแลกเปลี่ยน ในเดือนพฤษภาคม 2548ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 39.84 บาทต่อดอลลาร์ สรอ.อ่อนค่าลงต่อเนื่องจากเดือนก่อน แม้ว่าในช่วงครึ่งแรกของเดือน ค่าเงินบาทได้ปรับแข็งขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากนักลงทุนต่างประเทศมีการลงทุนเพิ่มขึ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทย กอปรกับบริษัท Fitch ได้ปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของไทย อย่างไรก็ดี ค่าเงินบาทได้กลับอ่อนลงค่อนข้างมากในช่วงครึ่งหลังของเดือนสอดคล้องกับค่าเงินในภูมิภาคเนื่องจากตลาดการเงินคาดว่าจีนยังคงไม่ปรับค่าเงินหยวนในระยะเวลาอันใกล้ นอกจากนี้ Sentiment ของเงินดอลลาร์ สรอ. ปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ประกาศออกมาดีเกินคาด อีกทั้งบริษัทน้ำมันในประเทศยังมีความต้องการซื้อเงินดอลลาร์ สรอ. จำนวนมาก
สำหรับในช่วงวันที่ 1-24 มิถุนายน 2548 ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 40.86 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. โดยเงินบาทปรับค่าอ่อนลงต่อเนื่องโดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของเดือนและเป็นการอ่อนค่าต่ำสุดในรอบ 8 เดือน เนื่องจาก Sentiment ของเงินดอลลาร์ สรอ. ที่ปรับดีขึ้นจากตัวเลขการขาดดุลการค้าและการขาดดุลการคลังที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ กอปรกับมีความต้องการซื้อดอลลาร์ สรอ. จากทั้งบริษัทน้ำมัน รัฐวิสาหกิจ และกองทุนต่างประเทศ
อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเงิน ในเดือนพฤษภาคม 2548 อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันและอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารระยะ 1 วันปรับสูงขึ้น โดยเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 2.25 และ 2.24 ต่อปี ตามลำดับ ส่วนหนึ่งเนื่องจากธนาคารพาณิชย์ของรัฐ ต้องนำส่งภาษีหัก ณ ที่จ่ายให้แก่ภาครัฐ กอปรกับธนาคารพาณิชย์หลายแห่งได้เตรียมสภาพคล่องไว้สำหรับ การเบิกถอนเพื่อนำส่งภาษีเงินได้นิติบุคคล
สำหรับในช่วงวันที่ 1-24 มิถุนายน 2548 อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันและอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารระยะ 1 วันปรับสูงขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 2.41 และ 2.40 ต่อปี ตามลำดับ ตามการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยในช่วงก่อนการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน สภาพคล่องในระบบค่อนข้างตึงตัว เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่คาดว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจึงดำรงเงินสดสำรองไว้ค่อนข้างสูง นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์บางแห่งมีความต้องการกู้ยืมเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการเบิกถอนของลูกค้า
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล ในเดือนพฤษภาคม 2548 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นและระยะกลางปรับเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะอัตราเงินเฟ้อของไทยที่เพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 3.6ในเดือนเมษายน ทำให้ตลาดค่อนข้างมั่นใจว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ในทิศทางขาขึ้นต่อไป รวมทั้งเป็นการปรับขึ้นตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของสหรัฐฯ เนื่องจากตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตาม อัตราผลตอบแทนระยะยาวยังคงปรับลดลงต่อเนื่อง
ในช่วงวันที่ 1-24 มิถุนายน 2548 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะกลางปรับเพิ่มขึ้น ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวปรับลดลงเนื่องจากนักลงทุนในประเทศยังคงมีความต้องการซื้อพันธบัตรค่อนข้างมากขณะที่อุปทานในตลาดมีจำกัด กอปรกับได้รับผลกระทบจากการเลื่อนการประกาศตารางการประมูลพันธบัตรในตลาดแรกออกไป
3 เงินฝากและสินเชื่อภาคเอกชนของระบบธนาคารพาณิชย์
-เงินฝากขยายตัวในอัตราที่ทรงตัว ขณะที่สินเชื่อขยายตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อน
-อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ไม่เปลี่ยนแปลง
เงินฝากธนาคารพาณิชย์ ในเดือนพฤษภาคม 2548ขยายตัวร้อยละ 2.2 จากระยะเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้น34.0 พันล้านบาท จากเดือนเมษายน 2548 ส่วนหนึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของเงินฝากภาคธุรกิจ เพื่อนำส่งภาษีเงินได้นิติบุคคล รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของเงินฝากภาครัฐ
สินเชื่อภาคเอกชนของธนาคารพาณิชย์ (รวมการถือครองหลักทรัพย์ของภาคเอกชน) ในเดือนพฤษภาคม 2548 ขยายตัวร้อยละ 5.1 จากระยะเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นอัตราที่เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน โดยมียอดคงค้างสินเชื่อเพิ่มขึ้น 50.0 พันล้านบาทจากเดือนก่อนส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อที่ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ปล่อยกู้ให้แก่ภาคธุรกิจ
อัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 4 แห่งในเดือนพฤษภาคมและช่วงวันที่ 1-24 มิถุนายน 2548 ทรงตัวในระดับเดิมทั้งอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ โดยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือนและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 1.00 และ 5.69 ต่อปี ตามลำดับ
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ฐานเงินและปริมาณเงินขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงจากเดือนก่อน
ฐานเงิน ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2548 อยู่ที่ระดับ 762.9 พันล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 12.9 จากระยะเดียวกันปีก่อน แต่ลดลง 2.8 พันล้านบาทจากเดือนก่อน
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของฐานเงินจากเดือนก่อนได้แก่ (1) สินทรัพย์ต่างประเทศสุทธิของทางการเพิ่มขึ้น (2) สินเชื่อสุทธิที่ ธปท. ให้แก่รัฐบาลลดลงจากการเพิ่มขึ้นของเงินฝากภาครัฐที่ ธปท. และ (3) สินเชื่อสุทธิที่ ธปท.ให้แก่สถาบันการเงินลดลง เนื่องจากสถาบันการเงินลงทุนในพันธบัตร ธปท. เพิ่มขึ้น
ปริมาณ เงิน M2 และ M2a ขยายตัวจากระยะเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 2.4 และ 3.0 ตามลำดับซึ่งเป็นอัตราที่ชะลอลงเล็กน้อยจากเดือนก่อน โดยภาคเอกชนและรัฐวิสาหกิจมีการออกตราสารหนี้จำนวนมากทำให้ทั้งเงินฝากและสินเชื่อระบบการเงินชะลอลง ขณะที่ปริมาณเงิน M3 ขยายตัวร้อยละ 4.1 เท่ากับจากเดือนก่อน
2 อัตราแลกเปลี่ยน อัตราดอกเบี้ยและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล
-เงินบาทอ่อนค่าลงตามค่าเงินในภูมิภาค กอปรกับบริษัทน้ำมันมีความต้องการซื้อเงินดอลลาร์ สรอ. ค่อนข้างมาก
-อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเงินปรับสูงขึ้น
-อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นและระยะกลางปรับเพิ่มขึ้นตามการคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
อัตราแลกเปลี่ยน ในเดือนพฤษภาคม 2548ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 39.84 บาทต่อดอลลาร์ สรอ.อ่อนค่าลงต่อเนื่องจากเดือนก่อน แม้ว่าในช่วงครึ่งแรกของเดือน ค่าเงินบาทได้ปรับแข็งขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากนักลงทุนต่างประเทศมีการลงทุนเพิ่มขึ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทย กอปรกับบริษัท Fitch ได้ปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของไทย อย่างไรก็ดี ค่าเงินบาทได้กลับอ่อนลงค่อนข้างมากในช่วงครึ่งหลังของเดือนสอดคล้องกับค่าเงินในภูมิภาคเนื่องจากตลาดการเงินคาดว่าจีนยังคงไม่ปรับค่าเงินหยวนในระยะเวลาอันใกล้ นอกจากนี้ Sentiment ของเงินดอลลาร์ สรอ. ปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ประกาศออกมาดีเกินคาด อีกทั้งบริษัทน้ำมันในประเทศยังมีความต้องการซื้อเงินดอลลาร์ สรอ. จำนวนมาก
สำหรับในช่วงวันที่ 1-24 มิถุนายน 2548 ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 40.86 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. โดยเงินบาทปรับค่าอ่อนลงต่อเนื่องโดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของเดือนและเป็นการอ่อนค่าต่ำสุดในรอบ 8 เดือน เนื่องจาก Sentiment ของเงินดอลลาร์ สรอ. ที่ปรับดีขึ้นจากตัวเลขการขาดดุลการค้าและการขาดดุลการคลังที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ กอปรกับมีความต้องการซื้อดอลลาร์ สรอ. จากทั้งบริษัทน้ำมัน รัฐวิสาหกิจ และกองทุนต่างประเทศ
อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเงิน ในเดือนพฤษภาคม 2548 อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันและอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารระยะ 1 วันปรับสูงขึ้น โดยเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 2.25 และ 2.24 ต่อปี ตามลำดับ ส่วนหนึ่งเนื่องจากธนาคารพาณิชย์ของรัฐ ต้องนำส่งภาษีหัก ณ ที่จ่ายให้แก่ภาครัฐ กอปรกับธนาคารพาณิชย์หลายแห่งได้เตรียมสภาพคล่องไว้สำหรับ การเบิกถอนเพื่อนำส่งภาษีเงินได้นิติบุคคล
สำหรับในช่วงวันที่ 1-24 มิถุนายน 2548 อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันและอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารระยะ 1 วันปรับสูงขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 2.41 และ 2.40 ต่อปี ตามลำดับ ตามการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยในช่วงก่อนการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน สภาพคล่องในระบบค่อนข้างตึงตัว เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่คาดว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจึงดำรงเงินสดสำรองไว้ค่อนข้างสูง นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์บางแห่งมีความต้องการกู้ยืมเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการเบิกถอนของลูกค้า
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล ในเดือนพฤษภาคม 2548 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นและระยะกลางปรับเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะอัตราเงินเฟ้อของไทยที่เพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 3.6ในเดือนเมษายน ทำให้ตลาดค่อนข้างมั่นใจว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ในทิศทางขาขึ้นต่อไป รวมทั้งเป็นการปรับขึ้นตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของสหรัฐฯ เนื่องจากตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตาม อัตราผลตอบแทนระยะยาวยังคงปรับลดลงต่อเนื่อง
ในช่วงวันที่ 1-24 มิถุนายน 2548 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะกลางปรับเพิ่มขึ้น ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวปรับลดลงเนื่องจากนักลงทุนในประเทศยังคงมีความต้องการซื้อพันธบัตรค่อนข้างมากขณะที่อุปทานในตลาดมีจำกัด กอปรกับได้รับผลกระทบจากการเลื่อนการประกาศตารางการประมูลพันธบัตรในตลาดแรกออกไป
3 เงินฝากและสินเชื่อภาคเอกชนของระบบธนาคารพาณิชย์
-เงินฝากขยายตัวในอัตราที่ทรงตัว ขณะที่สินเชื่อขยายตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อน
-อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ไม่เปลี่ยนแปลง
เงินฝากธนาคารพาณิชย์ ในเดือนพฤษภาคม 2548ขยายตัวร้อยละ 2.2 จากระยะเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้น34.0 พันล้านบาท จากเดือนเมษายน 2548 ส่วนหนึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของเงินฝากภาคธุรกิจ เพื่อนำส่งภาษีเงินได้นิติบุคคล รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของเงินฝากภาครัฐ
สินเชื่อภาคเอกชนของธนาคารพาณิชย์ (รวมการถือครองหลักทรัพย์ของภาคเอกชน) ในเดือนพฤษภาคม 2548 ขยายตัวร้อยละ 5.1 จากระยะเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นอัตราที่เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน โดยมียอดคงค้างสินเชื่อเพิ่มขึ้น 50.0 พันล้านบาทจากเดือนก่อนส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อที่ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ปล่อยกู้ให้แก่ภาคธุรกิจ
อัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 4 แห่งในเดือนพฤษภาคมและช่วงวันที่ 1-24 มิถุนายน 2548 ทรงตัวในระดับเดิมทั้งอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ โดยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือนและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 1.00 และ 5.69 ต่อปี ตามลำดับ
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--