ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. คาดว่าอัตราดอกเบี้ย พธบ.ออมทรัพย์จำนวน 70,000 ล.บาทที่ ธปท.จะนำออกขายจะใช้เกณฑ์ของอัตราผลตอบแทนอ้างอิง
พธบ.อายุ 7 ปี และ 10 ปี ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย พธบ.ออมทรัพย์จำนวน
70,000 ล.บาทซึ่ง ธปท.จะนำออกขายเพื่อชดเชยความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ว่าจะยึดเกณฑ์ของอัตราผล
ตอบแทนดอกเบี้ย พธบ. (Yield Curve) อายุ 7 ปี และ 10 ปี เนื่องจากเชื่อว่าอัตราผลตอบแทนระดับนี้เหมาะสมที่จะนำผลประโยชน์จากทุน
สำรองระหว่างประเทศมาจ่ายได้ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยที่ชัดเจนจะทราบได้ก่อนวันที่ 16 ส.ค.47 ซึ่งเป็นวันกำหนดออกขาย พธบ. อนึ่ง ก.คลัง
กำหนดจะออก พธบ.ในปี 47 ทั้งสิ้น 200,000 ล.บาท ซึ่งได้ออกไปแล้ว 53,000 ล.บาท และคาดว่าจะออก พธบ.ให้กับสถาบันการเงินอีก
จำนวน 45,000 ล.บาท ส่วนที่เหลือจะออกเป็น พธบ.สกุลเงินบาท (บาทบอนด์) สำหรับการออก พธบ.ออมทรัพย์จำนวน 70,000 ล.บาทครั้งนี้
จะไม่มีการค้ำประกันจากรัฐบาล เนื่องจากได้รับความสนใจจากประชาชนจำนวนมาก ทำให้ ธปท.เห็นว่าเป็นโอกาสดีในการพัฒนาตลาดรอง พธบ.
และให้เอกชนมีบทบาทมากขึ้นหากประชาชนผู้ถือ พธบ.มีการเปลี่ยนมือ (โลกวันนี้, กรุงเทพธุรกิจ)
2. สศค.ศึกษาแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยและราคาน้ำมันในประเทศเพื่อเตรียมการสำหรับมาตรการในอนาคต
ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับมูลนิธิสำนักวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง (สวค.) จัดสัมมนาหัวข้อ
เป้าหมายเศรษฐกิจไทยในอนาคต ในต้นเดือน ส.ค.47 โดยจะนำเสนอรายงานเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นของราคาน้ำมันกับการปรับตัว
ของอัตราดอกเบี้ย ซึ่งขณะนี้ สศค.กำลังศึกษาถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยและราคาน้ำมัน เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตว่า
ควรจะมีมาตรการควบคุมทั้ง 2 เรื่องอย่างไร เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยและราคาน้ำมันในประเทศมีทิศทางปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งอัตราดอกเบี้ยและราคา
น้ำมันนับว่าเป็นปัจจัยสำคัญต่อภาคการผลิต เมื่อปรับตัวเพิ่มขึ้นย่อมกระทบต้นทุน (ไทยโพสต์, ข่าวสด)
3. คาดว่าการส่งออกของไทยในปี 47 จะขยายตัว 14.1% ต่ำกว่าเป้าหมาย ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงการพยากรณ์ภาวะการส่งออกสินค้าไทยประจำไตรมาส 3 ปี 47 คาดว่าจะมีการขยายตัว 0.4% ปรับตัว
ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ที่มีการขยายตัวถึง 2.4% และไตรมาส 1 ที่ขยายตัว 2.3% รวมทั้งลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขยายตัว 18.4%
เหลือ 14.6% ซึ่งถือเป็นอัตราการขยายตัวต่ำสุดในรอบ 18 เดือน และส่งผลให้การส่งออกในภาพรวมทั้งปีขยายตัวประมาณ 14.1% หรือคิดเป็นมูลค่า
91,538ล.ดอลลาร์ สรอ. ลดลงจากปี 46 ที่มีการขยายตัว 16.6% ต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ว่าจะขยายตัว 16-17% โดยมีสาเหตุจากราคาน้ำมัน
ในตลาดโลกที่ยังมีแนวโน้มสูงขึ้นส่งผลให้ต้นทุนในการผลิตของไทยสูงตาม รวมทั้งปัญหาก่อการร้ายระดับสากล ที่ส่งผลให้ตลาดส่งออกของไทยในหลาย
ประเทศมีมาตรการตรวจสอบการนำเข้าสินค้ามากยิ่งขึ้น ส่วนปัจจัยที่มีผลต่อจิตวิทยาการลงทุนยังคงเป็นปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ (โพสต์ทูเดย์, มติชน)
4. นักวิชาการเสนอความคิดเห็นกรณีที่ไทยเปิดเขตการค้าเสรีกับประเทศต่างๆ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัย
หอการค้าไทย เปิดเผยถึงกรณีที่ไทยเปิดเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับประเทศต่างๆ ในขณะนี้ โดยเห็นว่าไทยยังไม่มีความพร้อมในการจัดทำเอฟทีเอ
กับนานาประเทศอย่างเพียงพอ โดยเห็นว่ากลุ่มที่จะได้รับประโยชน์มีเพียงนายทุนรายใหญ่เท่านั้น พร้อมทั้งเสนอแนวทางแก้ไข ได้แก่ 1)ชะลอการทำ
เอฟทีเอตามกรอบข้อตกลง โดยหันมาใช้กรอบข้อตกลงเพียง 2 กรอบคือ กรอบข้อตกลงทำเอฟทีเอกับประเทศที่พัฒนาแล้ว และกรอบข้อตกลงกับประเทศ
ที่กำลังพัฒนา และใช้เป็นเกณฑ์ในการทำเอฟทีเอกับทุกประเทศ 2)ควรกระจายข้อมูลเกี่ยวกับการทำเอฟทีเอให้ประชาชนทุกส่วนของประเทศได้รับทราบ
เพื่อให้ข้อมูลเป็นไปในทิศทางเดียวกัน 3)ภาครัฐต้องจัดทำยุทธศาสตร์การปรับโครงสร้างการผลิตสินค้าเกษตร เพื่อรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นของ
เกษตรกร (สยามรัฐ, ข่าวสด)
5. ก.พลังงานยังคงยืนยันการใช้มาตรการตรึงราคาน้ำมันต่อไป รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่มีการปรับเปลี่ยนราคาน้ำมัน
และเชื่อว่าการดำเนินนโยบายที่ผ่านมาถูกต้อง โดยเห็นได้จากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ขยายตัวถึงร้อยละ 6.5 และอัตราเงินเฟ้อไม่เกินร้อยละ
2.5 โดย ก.พลังงานจะยังคงแนวทางการบริหารเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยการตรึงราคาน้ำมันต่อไป ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ ทำให้รัฐบาล
มีความสามารถบริหารกองทุนน้ำมัน ซึ่งอาจมาจากเงินกู้ได้อย่างไม่มีปัญหา สำหรับสถานการณ์ชดเชยราคาน้ำมัน ล่าสุดกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงใช้เงินชดเชย
น้ำมันเบนซิน 95 ประมาณ 1.08 บาทต่อลิตร น้ำมันเบนซิน 91 ประมาณ 1.18 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลประมาณ 2.80 บาทต่อลิตร รวมทั้งสิ้น 146
ล.บาทต่อวัน หรือรวม 17,000 ล.บาท (สยามรัฐ, ไทยโพสต์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ผลสำรวจบ่งชี้ว่ากลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศ (G7) จะยังไม่รับจีนเข้าเป็นสมาชิกในอีก 2 ปีข้างหน้า รายงานจาก
ลอนดอนเมื่อวันที่ 12 ก.ค. 47 จากผลการสำรวจของรอยเตอร์คาดว่า กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศ | G7 อาจจะไม่ยอมรับประเทศ
ที่มีระบบเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่มีอำนาจเช่นจีนเข้าเป็นสมาชิก G7 ในช่วงระยะเวลา 2 ปีข้างหน้า ทั้งนี้นักวิเคราะห์กล่าวว่า จีนซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจ
ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของโลก ซึ่งเป็นการจัดอันดับโดยอำนาจซื้อ Purchasing Power Parity | PPP มีความเป็นไปได้มากที่สุดที่จะได้รับการ
เสนอให้เข้าร่วมการประชุมรายไตรมาสในระดับ รมว.คลังและ ผวก.ธ.กลางของกลุ่มประเทศ G7 โดยในการประชุมครั้งนี้คาดว่าจะเป็นการประชุม
เพื่อความร่วมมือในนโยบายเศรษฐกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งนี้นายจอห์น สโนว์ รมว.คลังสรอ. กล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่ากลุ่ม
G7 ได้อภิปรายกันว่าจะมีการเชิญจีนให้มีส่วนร่วมในการประชุมในฐานะแขกหรือไม่ แต่ ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 18 รายใน 25 รายที่รอยเตอร์สำรวจ
ความคิดเห็นในช่วงวันที่ 6 | 12 ก.ค. เห็นว่า สรอ. ญี่ปุ่น เยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี อังกฤษ และคานาดา อาจจะไม่ให้ฐานะสมาชิกเต็มรูปแบบแก่จีน
หรือประเทศอื่นๆในช่วง 2 ปีข้างหน้า โดยจีนยังคงพบกับอุปสรรคในเรื่องการยอมรับในตลาดเศรษฐกิจ เนื่องจากการเมืองของจีนยังเป็นเรื่องยากมากที่
จะยอมรับได้สำหรับสมาชิกกลุ่ม G7 รวมทั้งการขาดการเลือกตั้งอย่างเสรีประกอบกับค่าเงินหยวนที่ถูกกำหนดค่าโดยมิได้ปล่อยให้ลอยตัวอย่างเสรี
อย่างไรก็ตามมีความเห็นอื่นๆที่เห็นว่าจีนได้กลายเป็นเป็นประเทศที่สำคัญและจะปฎิรูประบบเศรษฐกิจเพื่อที่จะเข้าร่วมเป็นสมาชิกถาวรของ G7 รวมทั้ง
ประเทศรัสเซียด้วย (รอยเตอร์)
2. ยอดค้าปลีกของอังกฤษในเดือน มิ.ย. 47 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4 เมื่อเทียบกับปีก่อนแต่ชะลอตัวลงจากเดือนก่อน รายงานจากลอนดอน
เมื่อ 12 ก.ค.47 ยอดขายปลีก (like-for-like) ในเดือน มิ.ย.47 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4 เมื่อเทียบกับในช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน หลังจากเพิ่ม
ขึ้นร้อยละ 3.7 ในเดือน พ.ค.47 แต่อย่างไรก็ตาม อัตราการขยายตัวของยอดค้าปลีกถัวเฉลี่ย 3 เดือนสิ้นสุดเดือน มิ.ย.47 อยู่ที่ร้อยละ 2.7
สูงกว่าร้อยละ 2.2 ในช่วง 3 เดือนสิ้นสุดเดือน พ.ค.47 สะท้อนให้เห็นว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้ง ๆ ละร้อยละ 0.25 ตั้งแต่เดือน พ.ย.46
ของ ธ.กลางอังกฤษไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคมากนัก นักวิเคราะห์จึงคาดว่า ธ.กลางอังกฤษจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกร้อยละ 0.25
ในเดือน ส.ค.47 นี้ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ร้อยละ 4.75 เพื่อชะลอภาวะเงินเฟ้อ ในขณะที่สมาพันธ์ผู้ค้าปลีกของอังกฤษไม่เห็นด้วยโดยให้เหตุ
ผลว่าการที่ยอดค้าปลีกขึ้น ๆ ลง ๆ ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเปราะบางหาก ธ.กลางอังกฤษขึ้นอัตราดอก
เบี้ยอีกอาจส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายในประเทศได้ (รอยเตอร์)
3. ครึ่งแรกปี 47 จีนนำเข้าน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นร้อยละ 39.3 จากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว รายงานจากปักกิ่ง เมื่อวันที่ 12 ก.ค. 47 นสพ.
Xinhua รายงานว่าในช่วงครึ่งแรกปี 47 จีนซึ่งเป็นประเทศผู้บริโภคน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ในโลกรองจากสรอ. ได้นำเข้าน้ำมันดิบถึง
61.02 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนถึงร้อยละ 39.3 สำหรับช่วง 5 เดือนแรกนั้นจีนนำเข้าน้ำมันดิบทั้งสิ้น 49.76 ล้านตันดังนั้นเพียงเดือน
มิ.ย. เดือนเดียวจีนนำเข้าน้ำมันดิบสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 11.26 ล้านตัน เนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมากในช่วง 2 ปีของจีนส่งผลให้
อุปสงค์ด้านพลังงานเพิ่มขึ้น ทั้งนี้การนำเข้าน้ำมันดิบในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาได้เพิ่มสูงขึ้นเพื่อป้องกันภาวะขาดแคลนพลังงาน นักวิเคราะห์ต่างก็กำลัง
จับตามองว่ามาตรการลดความร้อนแรงทางเศรษฐกิจของรัฐบาลจีนจะส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ในน้ำมันหรือไม่ ซึ่ง International Energy Agency |
IEA คาดว่าในปีนี้การใช้น้ำมันของจีนจะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 14 อยู่ที่วันละ 6.28 ล้านบาร์เรล ทั้งนี้เมื่อปีที่แล้วจีนนำเข้าน้ำมันดิบจำนวน 91.1
ล้านตัน (รอยเตอร์)
4. จีนเกินดุลการค้าเดือน มิ.ย.47 เป็นเดือนที่ 2 จากการส่งออกที่เพิ่มขึ้น รายงานจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 12 ก.ค.47
ก.พาณิชย์ของจีน เปิดเผยว่า จีนได้เปรียบดุลการค้าในเดือน มิ.ย.47 เป็นเดือนที่ 2 จากการส่งออกที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นเกินคาดที่ระดับร้อยละ 46.5
จากปีก่อน แต่การนำเข้าที่ยังคงเพิ่มขึ้นได้สร้างปัญหาให้กับจีนพอสมควรในความพยายามที่จะลดความร้อนแรงของอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ
โดยตัวเลขการนำเข้าในปีนี้จนถึงเดือน มิ.ย. เพิ่มขึ้นร้อยละ 50.5 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ประมาณร้อยละ 28 | 40 ทั้งนี้ การส่งออก
ในเดือน มิ.ย.47 มีมูลค่ารวม 50.5 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่ารวม 48.65 พันล้านดอลลาร์ สรอ. อย่างไรก็ตาม ในระยะ
นี้ตัวเลขการเพิ่มขึ้นของการนำเข้าและส่งออกจะอยู่ในอัตราที่ลดลง อันเป็นผลมาจากมาตรการควบคุมการลงทุนที่มีมากเกินไปที่ทำให้มีความต้องการ
นำเข้าวัตถุดิบเพื่อการผลิต เครื่องจักร และส่วนประกอบอื่น ๆ ในขณะที่ นักวิเคราะห์บางรายเห็นว่าตัวเลขการนำเข้ายังคงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลกำลังประสบความล้มเหลวที่จะทำให้ภาคเอกชนลดการลงทุนที่มีมากเกินไปได้ รวมถึงการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนพลังงานและ
การขนส่งด้วยเช่นกัน (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 13 ก.ค. 47 12 ก.ค. 47 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 40.7 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40.5009/40.7917 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 1.09375-1.2800 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 661.49/14.53 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 7,700/7,800 7,700/7,800 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 34.04 34.28 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับเพิ่ม ลิตรละ 60 สตางค์เมื่อ 18 มิ.ย.47 18.79*/14.59 18.79*/14.59 16.99/14.59 ปตท.
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-
1. คาดว่าอัตราดอกเบี้ย พธบ.ออมทรัพย์จำนวน 70,000 ล.บาทที่ ธปท.จะนำออกขายจะใช้เกณฑ์ของอัตราผลตอบแทนอ้างอิง
พธบ.อายุ 7 ปี และ 10 ปี ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย พธบ.ออมทรัพย์จำนวน
70,000 ล.บาทซึ่ง ธปท.จะนำออกขายเพื่อชดเชยความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ว่าจะยึดเกณฑ์ของอัตราผล
ตอบแทนดอกเบี้ย พธบ. (Yield Curve) อายุ 7 ปี และ 10 ปี เนื่องจากเชื่อว่าอัตราผลตอบแทนระดับนี้เหมาะสมที่จะนำผลประโยชน์จากทุน
สำรองระหว่างประเทศมาจ่ายได้ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยที่ชัดเจนจะทราบได้ก่อนวันที่ 16 ส.ค.47 ซึ่งเป็นวันกำหนดออกขาย พธบ. อนึ่ง ก.คลัง
กำหนดจะออก พธบ.ในปี 47 ทั้งสิ้น 200,000 ล.บาท ซึ่งได้ออกไปแล้ว 53,000 ล.บาท และคาดว่าจะออก พธบ.ให้กับสถาบันการเงินอีก
จำนวน 45,000 ล.บาท ส่วนที่เหลือจะออกเป็น พธบ.สกุลเงินบาท (บาทบอนด์) สำหรับการออก พธบ.ออมทรัพย์จำนวน 70,000 ล.บาทครั้งนี้
จะไม่มีการค้ำประกันจากรัฐบาล เนื่องจากได้รับความสนใจจากประชาชนจำนวนมาก ทำให้ ธปท.เห็นว่าเป็นโอกาสดีในการพัฒนาตลาดรอง พธบ.
และให้เอกชนมีบทบาทมากขึ้นหากประชาชนผู้ถือ พธบ.มีการเปลี่ยนมือ (โลกวันนี้, กรุงเทพธุรกิจ)
2. สศค.ศึกษาแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยและราคาน้ำมันในประเทศเพื่อเตรียมการสำหรับมาตรการในอนาคต
ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับมูลนิธิสำนักวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง (สวค.) จัดสัมมนาหัวข้อ
เป้าหมายเศรษฐกิจไทยในอนาคต ในต้นเดือน ส.ค.47 โดยจะนำเสนอรายงานเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นของราคาน้ำมันกับการปรับตัว
ของอัตราดอกเบี้ย ซึ่งขณะนี้ สศค.กำลังศึกษาถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยและราคาน้ำมัน เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตว่า
ควรจะมีมาตรการควบคุมทั้ง 2 เรื่องอย่างไร เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยและราคาน้ำมันในประเทศมีทิศทางปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งอัตราดอกเบี้ยและราคา
น้ำมันนับว่าเป็นปัจจัยสำคัญต่อภาคการผลิต เมื่อปรับตัวเพิ่มขึ้นย่อมกระทบต้นทุน (ไทยโพสต์, ข่าวสด)
3. คาดว่าการส่งออกของไทยในปี 47 จะขยายตัว 14.1% ต่ำกว่าเป้าหมาย ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงการพยากรณ์ภาวะการส่งออกสินค้าไทยประจำไตรมาส 3 ปี 47 คาดว่าจะมีการขยายตัว 0.4% ปรับตัว
ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ที่มีการขยายตัวถึง 2.4% และไตรมาส 1 ที่ขยายตัว 2.3% รวมทั้งลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขยายตัว 18.4%
เหลือ 14.6% ซึ่งถือเป็นอัตราการขยายตัวต่ำสุดในรอบ 18 เดือน และส่งผลให้การส่งออกในภาพรวมทั้งปีขยายตัวประมาณ 14.1% หรือคิดเป็นมูลค่า
91,538ล.ดอลลาร์ สรอ. ลดลงจากปี 46 ที่มีการขยายตัว 16.6% ต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ว่าจะขยายตัว 16-17% โดยมีสาเหตุจากราคาน้ำมัน
ในตลาดโลกที่ยังมีแนวโน้มสูงขึ้นส่งผลให้ต้นทุนในการผลิตของไทยสูงตาม รวมทั้งปัญหาก่อการร้ายระดับสากล ที่ส่งผลให้ตลาดส่งออกของไทยในหลาย
ประเทศมีมาตรการตรวจสอบการนำเข้าสินค้ามากยิ่งขึ้น ส่วนปัจจัยที่มีผลต่อจิตวิทยาการลงทุนยังคงเป็นปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ (โพสต์ทูเดย์, มติชน)
4. นักวิชาการเสนอความคิดเห็นกรณีที่ไทยเปิดเขตการค้าเสรีกับประเทศต่างๆ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัย
หอการค้าไทย เปิดเผยถึงกรณีที่ไทยเปิดเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับประเทศต่างๆ ในขณะนี้ โดยเห็นว่าไทยยังไม่มีความพร้อมในการจัดทำเอฟทีเอ
กับนานาประเทศอย่างเพียงพอ โดยเห็นว่ากลุ่มที่จะได้รับประโยชน์มีเพียงนายทุนรายใหญ่เท่านั้น พร้อมทั้งเสนอแนวทางแก้ไข ได้แก่ 1)ชะลอการทำ
เอฟทีเอตามกรอบข้อตกลง โดยหันมาใช้กรอบข้อตกลงเพียง 2 กรอบคือ กรอบข้อตกลงทำเอฟทีเอกับประเทศที่พัฒนาแล้ว และกรอบข้อตกลงกับประเทศ
ที่กำลังพัฒนา และใช้เป็นเกณฑ์ในการทำเอฟทีเอกับทุกประเทศ 2)ควรกระจายข้อมูลเกี่ยวกับการทำเอฟทีเอให้ประชาชนทุกส่วนของประเทศได้รับทราบ
เพื่อให้ข้อมูลเป็นไปในทิศทางเดียวกัน 3)ภาครัฐต้องจัดทำยุทธศาสตร์การปรับโครงสร้างการผลิตสินค้าเกษตร เพื่อรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นของ
เกษตรกร (สยามรัฐ, ข่าวสด)
5. ก.พลังงานยังคงยืนยันการใช้มาตรการตรึงราคาน้ำมันต่อไป รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่มีการปรับเปลี่ยนราคาน้ำมัน
และเชื่อว่าการดำเนินนโยบายที่ผ่านมาถูกต้อง โดยเห็นได้จากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ขยายตัวถึงร้อยละ 6.5 และอัตราเงินเฟ้อไม่เกินร้อยละ
2.5 โดย ก.พลังงานจะยังคงแนวทางการบริหารเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยการตรึงราคาน้ำมันต่อไป ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ ทำให้รัฐบาล
มีความสามารถบริหารกองทุนน้ำมัน ซึ่งอาจมาจากเงินกู้ได้อย่างไม่มีปัญหา สำหรับสถานการณ์ชดเชยราคาน้ำมัน ล่าสุดกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงใช้เงินชดเชย
น้ำมันเบนซิน 95 ประมาณ 1.08 บาทต่อลิตร น้ำมันเบนซิน 91 ประมาณ 1.18 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลประมาณ 2.80 บาทต่อลิตร รวมทั้งสิ้น 146
ล.บาทต่อวัน หรือรวม 17,000 ล.บาท (สยามรัฐ, ไทยโพสต์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ผลสำรวจบ่งชี้ว่ากลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศ (G7) จะยังไม่รับจีนเข้าเป็นสมาชิกในอีก 2 ปีข้างหน้า รายงานจาก
ลอนดอนเมื่อวันที่ 12 ก.ค. 47 จากผลการสำรวจของรอยเตอร์คาดว่า กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศ | G7 อาจจะไม่ยอมรับประเทศ
ที่มีระบบเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่มีอำนาจเช่นจีนเข้าเป็นสมาชิก G7 ในช่วงระยะเวลา 2 ปีข้างหน้า ทั้งนี้นักวิเคราะห์กล่าวว่า จีนซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจ
ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของโลก ซึ่งเป็นการจัดอันดับโดยอำนาจซื้อ Purchasing Power Parity | PPP มีความเป็นไปได้มากที่สุดที่จะได้รับการ
เสนอให้เข้าร่วมการประชุมรายไตรมาสในระดับ รมว.คลังและ ผวก.ธ.กลางของกลุ่มประเทศ G7 โดยในการประชุมครั้งนี้คาดว่าจะเป็นการประชุม
เพื่อความร่วมมือในนโยบายเศรษฐกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งนี้นายจอห์น สโนว์ รมว.คลังสรอ. กล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่ากลุ่ม
G7 ได้อภิปรายกันว่าจะมีการเชิญจีนให้มีส่วนร่วมในการประชุมในฐานะแขกหรือไม่ แต่ ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 18 รายใน 25 รายที่รอยเตอร์สำรวจ
ความคิดเห็นในช่วงวันที่ 6 | 12 ก.ค. เห็นว่า สรอ. ญี่ปุ่น เยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี อังกฤษ และคานาดา อาจจะไม่ให้ฐานะสมาชิกเต็มรูปแบบแก่จีน
หรือประเทศอื่นๆในช่วง 2 ปีข้างหน้า โดยจีนยังคงพบกับอุปสรรคในเรื่องการยอมรับในตลาดเศรษฐกิจ เนื่องจากการเมืองของจีนยังเป็นเรื่องยากมากที่
จะยอมรับได้สำหรับสมาชิกกลุ่ม G7 รวมทั้งการขาดการเลือกตั้งอย่างเสรีประกอบกับค่าเงินหยวนที่ถูกกำหนดค่าโดยมิได้ปล่อยให้ลอยตัวอย่างเสรี
อย่างไรก็ตามมีความเห็นอื่นๆที่เห็นว่าจีนได้กลายเป็นเป็นประเทศที่สำคัญและจะปฎิรูประบบเศรษฐกิจเพื่อที่จะเข้าร่วมเป็นสมาชิกถาวรของ G7 รวมทั้ง
ประเทศรัสเซียด้วย (รอยเตอร์)
2. ยอดค้าปลีกของอังกฤษในเดือน มิ.ย. 47 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4 เมื่อเทียบกับปีก่อนแต่ชะลอตัวลงจากเดือนก่อน รายงานจากลอนดอน
เมื่อ 12 ก.ค.47 ยอดขายปลีก (like-for-like) ในเดือน มิ.ย.47 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4 เมื่อเทียบกับในช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน หลังจากเพิ่ม
ขึ้นร้อยละ 3.7 ในเดือน พ.ค.47 แต่อย่างไรก็ตาม อัตราการขยายตัวของยอดค้าปลีกถัวเฉลี่ย 3 เดือนสิ้นสุดเดือน มิ.ย.47 อยู่ที่ร้อยละ 2.7
สูงกว่าร้อยละ 2.2 ในช่วง 3 เดือนสิ้นสุดเดือน พ.ค.47 สะท้อนให้เห็นว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้ง ๆ ละร้อยละ 0.25 ตั้งแต่เดือน พ.ย.46
ของ ธ.กลางอังกฤษไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคมากนัก นักวิเคราะห์จึงคาดว่า ธ.กลางอังกฤษจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกร้อยละ 0.25
ในเดือน ส.ค.47 นี้ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ร้อยละ 4.75 เพื่อชะลอภาวะเงินเฟ้อ ในขณะที่สมาพันธ์ผู้ค้าปลีกของอังกฤษไม่เห็นด้วยโดยให้เหตุ
ผลว่าการที่ยอดค้าปลีกขึ้น ๆ ลง ๆ ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเปราะบางหาก ธ.กลางอังกฤษขึ้นอัตราดอก
เบี้ยอีกอาจส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายในประเทศได้ (รอยเตอร์)
3. ครึ่งแรกปี 47 จีนนำเข้าน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นร้อยละ 39.3 จากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว รายงานจากปักกิ่ง เมื่อวันที่ 12 ก.ค. 47 นสพ.
Xinhua รายงานว่าในช่วงครึ่งแรกปี 47 จีนซึ่งเป็นประเทศผู้บริโภคน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ในโลกรองจากสรอ. ได้นำเข้าน้ำมันดิบถึง
61.02 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนถึงร้อยละ 39.3 สำหรับช่วง 5 เดือนแรกนั้นจีนนำเข้าน้ำมันดิบทั้งสิ้น 49.76 ล้านตันดังนั้นเพียงเดือน
มิ.ย. เดือนเดียวจีนนำเข้าน้ำมันดิบสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 11.26 ล้านตัน เนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมากในช่วง 2 ปีของจีนส่งผลให้
อุปสงค์ด้านพลังงานเพิ่มขึ้น ทั้งนี้การนำเข้าน้ำมันดิบในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาได้เพิ่มสูงขึ้นเพื่อป้องกันภาวะขาดแคลนพลังงาน นักวิเคราะห์ต่างก็กำลัง
จับตามองว่ามาตรการลดความร้อนแรงทางเศรษฐกิจของรัฐบาลจีนจะส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ในน้ำมันหรือไม่ ซึ่ง International Energy Agency |
IEA คาดว่าในปีนี้การใช้น้ำมันของจีนจะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 14 อยู่ที่วันละ 6.28 ล้านบาร์เรล ทั้งนี้เมื่อปีที่แล้วจีนนำเข้าน้ำมันดิบจำนวน 91.1
ล้านตัน (รอยเตอร์)
4. จีนเกินดุลการค้าเดือน มิ.ย.47 เป็นเดือนที่ 2 จากการส่งออกที่เพิ่มขึ้น รายงานจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 12 ก.ค.47
ก.พาณิชย์ของจีน เปิดเผยว่า จีนได้เปรียบดุลการค้าในเดือน มิ.ย.47 เป็นเดือนที่ 2 จากการส่งออกที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นเกินคาดที่ระดับร้อยละ 46.5
จากปีก่อน แต่การนำเข้าที่ยังคงเพิ่มขึ้นได้สร้างปัญหาให้กับจีนพอสมควรในความพยายามที่จะลดความร้อนแรงของอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ
โดยตัวเลขการนำเข้าในปีนี้จนถึงเดือน มิ.ย. เพิ่มขึ้นร้อยละ 50.5 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ประมาณร้อยละ 28 | 40 ทั้งนี้ การส่งออก
ในเดือน มิ.ย.47 มีมูลค่ารวม 50.5 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่ารวม 48.65 พันล้านดอลลาร์ สรอ. อย่างไรก็ตาม ในระยะ
นี้ตัวเลขการเพิ่มขึ้นของการนำเข้าและส่งออกจะอยู่ในอัตราที่ลดลง อันเป็นผลมาจากมาตรการควบคุมการลงทุนที่มีมากเกินไปที่ทำให้มีความต้องการ
นำเข้าวัตถุดิบเพื่อการผลิต เครื่องจักร และส่วนประกอบอื่น ๆ ในขณะที่ นักวิเคราะห์บางรายเห็นว่าตัวเลขการนำเข้ายังคงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลกำลังประสบความล้มเหลวที่จะทำให้ภาคเอกชนลดการลงทุนที่มีมากเกินไปได้ รวมถึงการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนพลังงานและ
การขนส่งด้วยเช่นกัน (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 13 ก.ค. 47 12 ก.ค. 47 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 40.7 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40.5009/40.7917 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 1.09375-1.2800 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 661.49/14.53 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 7,700/7,800 7,700/7,800 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 34.04 34.28 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับเพิ่ม ลิตรละ 60 สตางค์เมื่อ 18 มิ.ย.47 18.79*/14.59 18.79*/14.59 16.99/14.59 ปตท.
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-