แท็ก
หนี้สาธารณะ
ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ก.คลังเตรียมประชุมหารือโครงการลงทุนขนาดใหญ่ภาครัฐ วงเงิน 1.5 ล้านล้านบาท ข่าว
จาก ก.คลังเปิดเผยว่า ในวันที่ 1 ส.ค.47 รมว.คลังจะเชิญประชุม รมว.เศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือถึง
โครงการลงทุนขนาดใหญ่ภาครัฐ วงเงิน 1.5 ล้านล้านบาท ว่าจะมีวิธีบริหารการเงินอย่างไรไม่ให้เป็นภาระ
หนี้สาธารณะ โดยให้นำระบบแปลงสินทรัพย์เป็นทุนหรือซีเคียวริไทเซชั่นมาใช้ให้มากที่สุด และขณะนี้ได้สั่งการ
ให้มีการแก้ไขกฎหมายมารองรับแล้ว โดยเริ่มจากโครงการออกพันธบัตรระดมทุนของบริษัทธนารักษ์พัฒนา
สินทรัพย์ เพื่อก่อสร้างศูนย์ราชการถนนแจ้งวัฒนะ มูลค่า 2.2 หมื่นล้านบาท ที่ให้ดอกเบี้ยจ่ายประมาณร้อยละ 7
หลังจากนี้จะมีโครงการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าใต้ดิน มูลค่า 5 แสนล้านบาท และโครงการเอเชี่ยน พาวเวอร์
กริด ของ ก.พลังงาน ที่จะใช้วิธีซีเคียวริไทเซชั่น ควบคู่กับกู้เงินด้วยการออกพันธบัตรเอเชียจาก ธ.เพื่อการ
พัฒนาเอเชีย และ ธ.โลก ซึ่งในการประชุมวันที่ 1 ส.ค.นี้ รมว.คลังจะเปิดให้ภาคเอกชนเข้าร่วมด้วยและ
จะมีการแยกโครงการลงทุนชัดเจนเป็น 5 ส่วน คือ 1) โครงการลงทุนของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ 2)
โครงการลงทุนของกลุ่มบริษัทในตลาดหลักทรัพย์หรือ SET 50 3) โครงการลงทุนเอสเอ็มอี 4) โครงการลง
ทุนภาคอสังหาริมทรัพย์ และ 5) โครงการลงทุนของบรรษัทข้ามชาติ เช่น ผ่านบีโอไอ (โพสต์ทูเดย์)
2. ไตรมาส 2/47 เช็คเด้งเพิ่มขึ้น รายงานข่าวจากสายระบบการชำระเงิน ธปท. แจ้งถึง
ปริมาณการหักบัญชีเช็คระหว่างธนาคารทั้งในเขต กทม. ปริมณฑล และต่างจังหวัดทั่วประเทศในไตรมาส 2 ปี
47 ว่า มีทั้งสิ้น 21,924,048 ฉบับ มูลค่า 6,009.66 พันล้านบาท สาเหตุจากการเพิ่มขึ้นของเช็คเรียกเก็บ
ในเขต กทม. และปริมณฑล จำนวน 16,203,917 ฉบับ เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.9 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่
มูลค่า 5,458.55 พันล้านบาท ลดลงร้อยละ 1.1 เป็นผลมาจากการขยายตัวของการอุปโภคบริโภค การลง
ทุนภาคเอกชน การเร่งใช้จ่ายของรัฐบาล รวมทั้งมูลค่าการส่งออกที่ยังคงขยายตัวในเกณฑ์สูงตามการเพิ่มขึ้น
ของราคาสินค้าส่งออก สำหรับเช็คคืนด้วยเหตุผลไม่มีเงินมีทั้งสิ้น 231,915 ฉบับ เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 มูลค่า
รวม 21.54 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.8 โดยมีปริมาณเช็คคืนทั้งหมด 371,320 ฉบับ มูลค่า 40.65
พันล้านบาท โดยทั้งปริมาณและมูลค่าเช็คคืนต่อเช็คเรียกเก็บคงที่จากไตรมาสก่อน ส่วนปริมาณเช็คเรียกเก็บ
ผ่านสำนักหักบัญชีจังหวัดทั่วประเทศ มีทั้งสิ้น 4,085,844 ฉบับ ลดลงร้อยละ 17.16 ขณะที่มูลค่าเท่ากับ
481.71 พันบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 อันเป็นผลต่อเนื่องจากการเปิดใช้ระบบการเรียกเก็บเงินตามเช็คข้าม
เขตสำนักหักบัญชี (BC-3D) ที่ กทม. โดยมีเช็คคืนด้วยเหตุผลไม่มีเงิน 63,402 ฉบับ ลดลงร้อยละ 27.2
มูลค่า 4.2 พันล้านบาท ด้านการโอนเงินผ่านระบบบาทเนตมีธุรกรรมทั้งสิ้น 290,647 รายการ เพิ่มขึ้นร้อย
ละ 5.67 จากไตรมาสก่อน มูลค่ารวม 17,773.84 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.44 จากไตรมาสก่อน อัน
เป็นผลมาจากการโอนเงินเพื่อบุคคลที่ 3 ที่เพิ่มขึ้นเป็นสำคัญ โดยมีปริมาณทั้งสิ้น 239,988 รายการ คิดเป็น
มูลค่า 6,608.74 พันล้านบาท สำหรับการโอนเงินรายย่อยผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ มีทั้งสิ้น 2,840,746
รายการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.6 มูลค่า 129.53 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 42.6 โดยเป็นผลมาจากการเพิ่ม
ขึ้นของธุรกรรมการโอนเงินเพื่อชำระค่าสินค้าและบริการสูงสุด คิดเป็นร้อยละ 65.6 ของมูลค่าการโอนเงิน
ทั้งหมด หรือมีการโอนทั้งสิ้น 84.93 พันล้านบาท ส่วนการโอนตราสารหนี้ผ่านระบบบาทเนตในไตรมาส 2 มี
ทั้งสิ้น 748,586.26 ล้านบาท (บ้านเมือง, ข่าวสด)
3. ตลาดหลักทรัพย์เตรียมประชุมหารือหลักเกณฑ์แยกตลาดหลักทรัพย์กับตลาดเอ็มเอไอ นาย
วิจิตร สุพินิจ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ กล่าวว่า ประมาณต้นเดือน ส.ค.นี้ คณะกรรมการตลาดหลัก
ทรัพย์จะมีการประชุมหารือเรื่องรายละเอียดเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์ต่าง ๆ เพื่อแยกตลาดหลักทรัพย์กับ
ตลาดเอ็มเอไอให้ชัดเจน รวมทั้งจะมีการหารือเกี่ยวกับการให้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ กับบริษัทที่เข้าจดทะเบียน
ในตลาดหลักทรัพย์ใหม่ (เอ็มเอไอ) เพื่อส่งเสริมให้ตลาดเอ็มเอไอมีความน่าสนใจดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาลง
ทุนมากขึ้น และจะต้องไม่ทำให้ตลาดหลักทรัพย์มีความน่าสนใจน้อยลงด้วย นอกจากนี้จะมีการพิจารณาเรื่องของ
มาตรการภาษีประกอบด้วย แต่ถ้าไม่จำเป็นจะไม่เน้นเรื่องภาษีอย่างเดียว เพราะยังมีอีกหลายเรื่องที่ดึงดูดให้
คนสนใจได้โดยไม่ต้องใช้มาตรการภาษี รวมถึงจะมีการหารือในเรื่องของการปรับทุนจดทะเบียนขั้นต่ำ
ระหว่างตลาดหลักทรัพย์และตลาดเอ็มเอไอให้ต่างกันมากขึ้น จากเดิมขั้นต่ำ 200 ล้านบาท และ 40 ล้านบาท
เป็น 300 ล้านบาท และ 20 ล้านบาท แต่เกณฑ์ดังกล่าวจะไม่มีผลกับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ใน
ปัจจุบัน ซึ่งบริษัทที่มีทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาทขึ้นไปแต่ไม่ถึง 300 ล้านบาท ก็ยังได้รับการลดหย่อนสิทธิ
ประโยชน์ทางภาษีตามเดิม (กรุงเทพธุรกิจ, เดลินิวส์)
4. สินเชื่อที่อยู่อาศัยครึ่งแรกปี 47 ขยายตัวไม่มากนัก นายมนตรี วิศลดิลกพันธ์ รอง กก.ผจก.
ใหญ่อาวุโส ธ.ทหารไทย เปิดเผยว่า สินเชื่อที่อยู่อาศัยในช่วงครึ่งแรกปี 47 มีอัตราการขยายตัวไม่มากนัก
ส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการภาษีที่ทำให้ผู้ซื้อส่วนใหญ่เร่งซื้อและโอนกรรมสิทธิ์ไปตั้งแต่ปลายปี 46 อย่างไรก็
ตาม เชื่อว่าในครึ่งปีหลังน่าจะขยายสินเชื่อได้มากขึ้น เพราะอาจจะเห็นทิศทางดอกเบี้ยชัดเจนขึ้น แต่จะเห็น
กลยุทธ์ตัดราคาหรือลดอัตราดอกเบี้ยน้อยลงและการเสนอดอกเบี้ยแบบคงที่จะสั้นลง จากเดิมที่มีดอกเบี้ยคงที่ 3
ปี อาจจะเหลือ 1 ปี เพื่อรองรับทิศทางดอกเบี้ยที่จะปรับขึ้น ส่วนนายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผอฝ.อาวุโส ธ.
กสิกรไทย ยอมรับว่าในครึ่งปีแรกธนาคารปล่อยสินเชื่อได้ต่ำกว่าเป้าหมาย เนื่องจากมาตรการภาษี แต่ในครึ่ง
ปีหลังยังไม่ปรับลดเป้าหมายลง เพราะเชื่อว่าจะสามารถขยายสินเชื่อได้มากขึ้น ทางด้านนางชาลอต โท
ณวณิก ผช.กก.ผจก.ใหญ่ ธ.กรุงศรีอยุธยา มองว่าสาเหตุที่ธนาคารหลายแห่งปล่อยสินเชื่อบ้านไม่เป็นไปตาม
เป้าหมายอาจเป็นผลจากการคาดการณ์สถานการณ์ที่แตกต่างกัน แต่ครึ่งปีหลังการแข่งขันยังคงรุนแรงอยู่ โดย
เฉพาะการแข่งขันเรื่องดอกเบี้ยยังคงเป็นกลยุทธ์หลัก แม้จะเริ่มเห็นดอกเบี้ยคงที่น้อยลง อย่างไรก็ตาม
อัตราการขยายสินเชื่อที่อยู่อาศัยทั้งระบบยังใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาที่สามารถขยายสินเชื่อได้ 2 แสนล้านบาท
(โพสต์ทูเดย์, ผู้จัดการรายวัน, กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. เศรษฐกิจของอังกฤษขยายตัวในอัตราสูงสุดในรอบเกือบ 4 ปี รายงานจากลอนดอน เมื่อ 23
ก.ค.47 สนง.สถิติแห่งชาติของอังกฤษรายงานตัวเลข GDP หรือผลผลิตรวมในประเทศขยายตัวร้อยละ 0.9
ในไตรมาสที่ 2 ปีนี้ซึ่งสิ้นสุดเดือน มิ.ย.47 หลังจากขยายตัวร้อยละ 0.7 ในไตรมาสก่อน ส่งผลให้เศรษฐกิจ
ของอังกฤษขยายตัวในอัตราร้อยละ 3.7 ต่อปี สูงสุดนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ปี 43 อันเป็นผลจากการฟื้นตัวของ
ภาคอุตสาหกรรมซึ่งขยายตัวร้อยละ 0.9 ในไตรมาสที่ 2 ปีนี้ หลังจากหดตัวร้อยละ 0.5 ในไตรมาสก่อน
เช่นเดียวกับภาคบริการซึ่งขยายตัวร้อยละ 0.9 ในไตรมาสที่ 2 ปีนี้ หลังจากขยายตัวในอัตราเดียวกันร้อยละ
0.9 ในไตรมาสก่อน ทำให้ภาคบริการขยายตัวร้อยละ 4.0 ต่อปี สูงสุดนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ปี 43 โดย
ธุรกิจโรงแรม การจัดจำหน่ายสินค้าและภัตตาคารขยายตัวร้อยละ 1.0 ในไตรมาสที่ 2 ปีนี้ และขยายตัวร้อย
ละ 5.0 ต่อปี นักวิเคราะห์จึงคาดกันว่า ธ.กลางอังกฤษจะต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกร้อยละ 0.25 ในเดือน
หน้าอย่างแน่นอน และอีกร้อยละ 0.25 ในเดือน ต.ค.47 โดยคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ที่ร้อยละ 5.25
เมื่อถึงสิ้นปีนี้ (รอยเตอร์)
2. ธ.กลางจีนมีคำสั่งให้ธพ. เข้มงวดการให้สินเชื่อเพื่อควบคุมความเสี่ยง รายงานจากเชียง
ไฮ้ เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 47 เพื่อควบคุมความเสี่ยงจากปัญหาหนี้เสียที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก ธ.กลางจีนจึงมีคำ
สั่งให้ธพ.เข้มงวดกับการปล่อยสินเชื่อ ทั้งนี้การออกกฎเกณฑ์ดังกล่าวเนื่องจากรัฐบาลจีนพยายามควบคุมหนี้เสีย
ที่มีมากกว่า 200 พัน ล. ดอลลาร์สรอ.หลังจากที่ได้มีการปล่อยกู้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ นอกจากนั้น
อุตสาหกรรมการเงินในประเทศจะต้องเผชิญกับการแข่งขันกับกับต่างประเทศเมื่อจีนต้องเปิดให้ต่างประเทศ
เข้ามาดำเนินธุรกรรมการเงินในประเทศในปี 49 ตามกฎขององค์การการค้าโลก ก่อนหน้านั้นเมื่อปลายปี 46
จีนได้เริ่มปฎิรูปการเงินโดยการอัดฉีดเงินจำนวน 45 พัน ล. ดอลลาร์สรอ.ให้แก่ธ.กลางและธ.เพื่อการก่อ
สร้าง ซึ่งปัญหาต่างๆในการให้สินเชื่อของธพ.ในช่วงปีที่แล้วๆมามีเป็นจำนวนมาก ดังนั้นรัฐบาลจึงเสนอแนว
ทางใหม่เพื่อเป็นมาตรฐานในการอนุมัติสินเชื่อของธพ.ให้เป็นไปอย่างระมัดระวังและแก้ปัญหาความเสี่ยง โดย
ประเมินสถานะทางการเงินของลูกค้า นอกจากนั้นธพ.ต้องไม่เสนอสินเชื่อให้แก่ลูกค้าเพื่อเป็นทุนในผลิตภัณฑ์
หรือโครงการที่รัฐบาลห้าม หรือเพื่อให้ลงทุนในสินทรัพย์ทุน การกู้เพื่อซื้อหุ้น หรือตราสารอนุพันธ์ นอกจากนั้น
ธพ.ควรตรวจสอบความก้าวหน้าของโครงการที่ธพ.อนุมัติสินเชื่อไปแล้วและต้องเตือนลูกค้าทันทีหากมีความเสี่ยง ( รอยเตอร์)
3. ดัชนีราคาผู้บริโภคของสิงคโปร์ในเดือน มิ.ย.47 ไม่เปลี่ยนจากเดือนก่อนเมื่อเทียบต่อเดือน
แต่เทียบต่อปีเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3 รายงานจากสิงคโปร์ เมื่อ 23 ก.ค.47 รัฐบาลสิงคโปร์ เปิดเผยว่า ดัชนี
ราคาผู้บริโภคของสิงคโปร์ในเดือน มิ.ย.47 ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อน หลังจากที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุก
เดือนตั้งแต่เดือน ก.พ.47 ที่ผ่านมา แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3 เมื่อเทียบต่อปี ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็น
เดือนที่ 13 ทั้งนี้ ตัวเลขดังกล่าวสอดคล้องกับที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ รวมทั้งเป็นตัวเลขที่
เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับประเทศฮ่องกง ที่รัฐบาลฮ่องกงรายงานเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค
ของฮ่องกงในเดือน มิ.ย.47 ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อน แต่ลดลงร้อยละ 0.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน
ของปีก่อน อย่างไรก็ตาม หัวหน้านักวิเคราะห์จาก ABN AMRO ในฮ่องกงเห็นว่า ฮ่องกงกำลังฟื้นตัวจากภาวะ
เงินฝืดที่มีระยะยาวนานถึงเกือบ 6 ปี และคาดว่าดัชนีราคาผู้บริโภคของฮ่องกงจะมีอัตราการเพิ่มขึ้นที่เร็วกว่า
สิงคโปร์ เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของระดับราคาในสิงคโปร์จะเป็นไปทีละน้อยอย่างมั่นคงมากกว่าฮ่องกง แม้ว่า
ในเดือน ก.พ.47 ระดับราคาของสิงคโปร์จะลดลงร้อยละ 0.2 จากเดือน ม.ค.ก็ตาม ทั้งนี้ ดัชนีราคาดัง
กล่าวของสิงคโปร์ได้ค่อย ๆ ขยับสูงขึ้น นับตั้งแต่เดือน มิ.ย.46 ภายหลังสิ้นสุดการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัด
ซาร์ส โดยมีผลให้เศรษฐกิจสิงคโปร์ฟื้นตัวขึ้นเป็นจำนวน 93 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์คาด
ว่าดัชนีราคาผู้บริโภคของสิงคโปร์มีแนวโน้มจะสูงขึ้นเพียงเล็กน้อยในเดือนถัดไป เนื่องจากการเติบโตทาง
เศรษฐกิจของสิงคโปร์เริ่มลดความร้อนแรงลง หลังจากที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งโดยไม่คาดคิดที่ระดับ
ร้อยละ 9.1 ในไตรมาสที่ 2 ปี47 เทียบต่อไตรมาส (รอยเตอร์)
4. ความเชื่อมั่นเกี่ยวกับสถานการณ์ทางธุรกิจของสิงคโปร์ลดลงในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 47
รายงานจากสิงคโปร์ เมื่อ 24 ก.ค.47 นสพ. The Business Times และ National University of
Singapore (NUS) เปิดเผยผลการสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจซึ่งสำรวจจาก 125 บริษัทในสิงคโปร์ พบว่า
บริษัทที่มีความเชื่อมั่นต่อสถานการณ์ทางธุรกิจใน 6 เดือนข้างหน้าในแง่ดี ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 47 มี
น้อยกว่าในไตรมาสแรก โดยผลการสำรวจแสดงถึงความแตกต่างระหว่างอัตราส่วนของธุรกิจที่มองในแง่ดีและ
ที่มองในแง่ไม่ดี มีสัดส่วนลดลง 17 จุดเป็นร้อยละ 37 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ปี 46 ซึ่งเป็น
ช่วงที่สิงคโปร์ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคซาร์ส อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 47
ยังคงเป็นช่วงที่ยอดขาย ผลกำไร และคำสั่งซื้อใหม่ ของธุรกิจ มียอดสุทธิเป็นบวกเป็นระยะเวลา 3 ไตรมาส
ติดต่อกัน โดยยอดขายสุทธิเพิ่มขึ้น 8 จุดเป็นระดับร้อยละ 29 ขณะที่ยอดกำไรสุทธิและยอดคำสั่งซื้อใหม่เพิ่มขึ้น
1 และ 3 จุด เป็นระดับร้อยละ 12 และ 29 ตามลำดับ แม้ผลการสำรวจจะชี้ว่า ในช่วงไตรมาสที่ 2ของปี
47 เป็นช่วงที่ยอดขาย ผลกำไร และคำสั่งซื้อใหม่ของธุรกิจ อยู่ในภาวะที่อาจจะเติบโตน้อยหรือไม่เติบโต ใน
ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจของสิงคโปร์เติบโตอย่างแข็งแกร่งถึงร้อยละ 9.1 (อัตราต่อปี) ก็ตาม ทั้งนี้ ผู้อำนวยการ
NUS เห็นว่า ความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่ลดลงมีสาเหตุจากความกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันและการ
ก่อการร้าย รวมถึงแนวโน้มการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยของจีน อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่า ยอดขายและคำ
สั่งซื้อสุทธิที่เพิ่มขึ้นมีทิศทางที่คล้ายคลึงกับในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 42 ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นในไตร
มาสถัดไป ซึ่งหากมองในสถานการณ์เดียวกัน เขาคาดว่าสถานการณ์ทางธุรกิจจะสามารถฟื้นตัวขึ้นได้ในช่วง
ไตรมาสที่สองของปี 48 (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 26 ก.ค. 47 23 ก.ค. 47 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.036 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40.8182/41.1121 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 1.09375-1.2800 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 648.47/14.34 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 7,550/7,650 7,600/7,700 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 35.44 35.3 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 18.79*/14.59 18.79*/14.59 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม ลิตรละ 60 สตางค์ เมื่อ 18 มิ.ย.47
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-
1. ก.คลังเตรียมประชุมหารือโครงการลงทุนขนาดใหญ่ภาครัฐ วงเงิน 1.5 ล้านล้านบาท ข่าว
จาก ก.คลังเปิดเผยว่า ในวันที่ 1 ส.ค.47 รมว.คลังจะเชิญประชุม รมว.เศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือถึง
โครงการลงทุนขนาดใหญ่ภาครัฐ วงเงิน 1.5 ล้านล้านบาท ว่าจะมีวิธีบริหารการเงินอย่างไรไม่ให้เป็นภาระ
หนี้สาธารณะ โดยให้นำระบบแปลงสินทรัพย์เป็นทุนหรือซีเคียวริไทเซชั่นมาใช้ให้มากที่สุด และขณะนี้ได้สั่งการ
ให้มีการแก้ไขกฎหมายมารองรับแล้ว โดยเริ่มจากโครงการออกพันธบัตรระดมทุนของบริษัทธนารักษ์พัฒนา
สินทรัพย์ เพื่อก่อสร้างศูนย์ราชการถนนแจ้งวัฒนะ มูลค่า 2.2 หมื่นล้านบาท ที่ให้ดอกเบี้ยจ่ายประมาณร้อยละ 7
หลังจากนี้จะมีโครงการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าใต้ดิน มูลค่า 5 แสนล้านบาท และโครงการเอเชี่ยน พาวเวอร์
กริด ของ ก.พลังงาน ที่จะใช้วิธีซีเคียวริไทเซชั่น ควบคู่กับกู้เงินด้วยการออกพันธบัตรเอเชียจาก ธ.เพื่อการ
พัฒนาเอเชีย และ ธ.โลก ซึ่งในการประชุมวันที่ 1 ส.ค.นี้ รมว.คลังจะเปิดให้ภาคเอกชนเข้าร่วมด้วยและ
จะมีการแยกโครงการลงทุนชัดเจนเป็น 5 ส่วน คือ 1) โครงการลงทุนของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ 2)
โครงการลงทุนของกลุ่มบริษัทในตลาดหลักทรัพย์หรือ SET 50 3) โครงการลงทุนเอสเอ็มอี 4) โครงการลง
ทุนภาคอสังหาริมทรัพย์ และ 5) โครงการลงทุนของบรรษัทข้ามชาติ เช่น ผ่านบีโอไอ (โพสต์ทูเดย์)
2. ไตรมาส 2/47 เช็คเด้งเพิ่มขึ้น รายงานข่าวจากสายระบบการชำระเงิน ธปท. แจ้งถึง
ปริมาณการหักบัญชีเช็คระหว่างธนาคารทั้งในเขต กทม. ปริมณฑล และต่างจังหวัดทั่วประเทศในไตรมาส 2 ปี
47 ว่า มีทั้งสิ้น 21,924,048 ฉบับ มูลค่า 6,009.66 พันล้านบาท สาเหตุจากการเพิ่มขึ้นของเช็คเรียกเก็บ
ในเขต กทม. และปริมณฑล จำนวน 16,203,917 ฉบับ เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.9 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่
มูลค่า 5,458.55 พันล้านบาท ลดลงร้อยละ 1.1 เป็นผลมาจากการขยายตัวของการอุปโภคบริโภค การลง
ทุนภาคเอกชน การเร่งใช้จ่ายของรัฐบาล รวมทั้งมูลค่าการส่งออกที่ยังคงขยายตัวในเกณฑ์สูงตามการเพิ่มขึ้น
ของราคาสินค้าส่งออก สำหรับเช็คคืนด้วยเหตุผลไม่มีเงินมีทั้งสิ้น 231,915 ฉบับ เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 มูลค่า
รวม 21.54 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.8 โดยมีปริมาณเช็คคืนทั้งหมด 371,320 ฉบับ มูลค่า 40.65
พันล้านบาท โดยทั้งปริมาณและมูลค่าเช็คคืนต่อเช็คเรียกเก็บคงที่จากไตรมาสก่อน ส่วนปริมาณเช็คเรียกเก็บ
ผ่านสำนักหักบัญชีจังหวัดทั่วประเทศ มีทั้งสิ้น 4,085,844 ฉบับ ลดลงร้อยละ 17.16 ขณะที่มูลค่าเท่ากับ
481.71 พันบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 อันเป็นผลต่อเนื่องจากการเปิดใช้ระบบการเรียกเก็บเงินตามเช็คข้าม
เขตสำนักหักบัญชี (BC-3D) ที่ กทม. โดยมีเช็คคืนด้วยเหตุผลไม่มีเงิน 63,402 ฉบับ ลดลงร้อยละ 27.2
มูลค่า 4.2 พันล้านบาท ด้านการโอนเงินผ่านระบบบาทเนตมีธุรกรรมทั้งสิ้น 290,647 รายการ เพิ่มขึ้นร้อย
ละ 5.67 จากไตรมาสก่อน มูลค่ารวม 17,773.84 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.44 จากไตรมาสก่อน อัน
เป็นผลมาจากการโอนเงินเพื่อบุคคลที่ 3 ที่เพิ่มขึ้นเป็นสำคัญ โดยมีปริมาณทั้งสิ้น 239,988 รายการ คิดเป็น
มูลค่า 6,608.74 พันล้านบาท สำหรับการโอนเงินรายย่อยผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ มีทั้งสิ้น 2,840,746
รายการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.6 มูลค่า 129.53 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 42.6 โดยเป็นผลมาจากการเพิ่ม
ขึ้นของธุรกรรมการโอนเงินเพื่อชำระค่าสินค้าและบริการสูงสุด คิดเป็นร้อยละ 65.6 ของมูลค่าการโอนเงิน
ทั้งหมด หรือมีการโอนทั้งสิ้น 84.93 พันล้านบาท ส่วนการโอนตราสารหนี้ผ่านระบบบาทเนตในไตรมาส 2 มี
ทั้งสิ้น 748,586.26 ล้านบาท (บ้านเมือง, ข่าวสด)
3. ตลาดหลักทรัพย์เตรียมประชุมหารือหลักเกณฑ์แยกตลาดหลักทรัพย์กับตลาดเอ็มเอไอ นาย
วิจิตร สุพินิจ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ กล่าวว่า ประมาณต้นเดือน ส.ค.นี้ คณะกรรมการตลาดหลัก
ทรัพย์จะมีการประชุมหารือเรื่องรายละเอียดเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์ต่าง ๆ เพื่อแยกตลาดหลักทรัพย์กับ
ตลาดเอ็มเอไอให้ชัดเจน รวมทั้งจะมีการหารือเกี่ยวกับการให้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ กับบริษัทที่เข้าจดทะเบียน
ในตลาดหลักทรัพย์ใหม่ (เอ็มเอไอ) เพื่อส่งเสริมให้ตลาดเอ็มเอไอมีความน่าสนใจดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาลง
ทุนมากขึ้น และจะต้องไม่ทำให้ตลาดหลักทรัพย์มีความน่าสนใจน้อยลงด้วย นอกจากนี้จะมีการพิจารณาเรื่องของ
มาตรการภาษีประกอบด้วย แต่ถ้าไม่จำเป็นจะไม่เน้นเรื่องภาษีอย่างเดียว เพราะยังมีอีกหลายเรื่องที่ดึงดูดให้
คนสนใจได้โดยไม่ต้องใช้มาตรการภาษี รวมถึงจะมีการหารือในเรื่องของการปรับทุนจดทะเบียนขั้นต่ำ
ระหว่างตลาดหลักทรัพย์และตลาดเอ็มเอไอให้ต่างกันมากขึ้น จากเดิมขั้นต่ำ 200 ล้านบาท และ 40 ล้านบาท
เป็น 300 ล้านบาท และ 20 ล้านบาท แต่เกณฑ์ดังกล่าวจะไม่มีผลกับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ใน
ปัจจุบัน ซึ่งบริษัทที่มีทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาทขึ้นไปแต่ไม่ถึง 300 ล้านบาท ก็ยังได้รับการลดหย่อนสิทธิ
ประโยชน์ทางภาษีตามเดิม (กรุงเทพธุรกิจ, เดลินิวส์)
4. สินเชื่อที่อยู่อาศัยครึ่งแรกปี 47 ขยายตัวไม่มากนัก นายมนตรี วิศลดิลกพันธ์ รอง กก.ผจก.
ใหญ่อาวุโส ธ.ทหารไทย เปิดเผยว่า สินเชื่อที่อยู่อาศัยในช่วงครึ่งแรกปี 47 มีอัตราการขยายตัวไม่มากนัก
ส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการภาษีที่ทำให้ผู้ซื้อส่วนใหญ่เร่งซื้อและโอนกรรมสิทธิ์ไปตั้งแต่ปลายปี 46 อย่างไรก็
ตาม เชื่อว่าในครึ่งปีหลังน่าจะขยายสินเชื่อได้มากขึ้น เพราะอาจจะเห็นทิศทางดอกเบี้ยชัดเจนขึ้น แต่จะเห็น
กลยุทธ์ตัดราคาหรือลดอัตราดอกเบี้ยน้อยลงและการเสนอดอกเบี้ยแบบคงที่จะสั้นลง จากเดิมที่มีดอกเบี้ยคงที่ 3
ปี อาจจะเหลือ 1 ปี เพื่อรองรับทิศทางดอกเบี้ยที่จะปรับขึ้น ส่วนนายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผอฝ.อาวุโส ธ.
กสิกรไทย ยอมรับว่าในครึ่งปีแรกธนาคารปล่อยสินเชื่อได้ต่ำกว่าเป้าหมาย เนื่องจากมาตรการภาษี แต่ในครึ่ง
ปีหลังยังไม่ปรับลดเป้าหมายลง เพราะเชื่อว่าจะสามารถขยายสินเชื่อได้มากขึ้น ทางด้านนางชาลอต โท
ณวณิก ผช.กก.ผจก.ใหญ่ ธ.กรุงศรีอยุธยา มองว่าสาเหตุที่ธนาคารหลายแห่งปล่อยสินเชื่อบ้านไม่เป็นไปตาม
เป้าหมายอาจเป็นผลจากการคาดการณ์สถานการณ์ที่แตกต่างกัน แต่ครึ่งปีหลังการแข่งขันยังคงรุนแรงอยู่ โดย
เฉพาะการแข่งขันเรื่องดอกเบี้ยยังคงเป็นกลยุทธ์หลัก แม้จะเริ่มเห็นดอกเบี้ยคงที่น้อยลง อย่างไรก็ตาม
อัตราการขยายสินเชื่อที่อยู่อาศัยทั้งระบบยังใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาที่สามารถขยายสินเชื่อได้ 2 แสนล้านบาท
(โพสต์ทูเดย์, ผู้จัดการรายวัน, กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. เศรษฐกิจของอังกฤษขยายตัวในอัตราสูงสุดในรอบเกือบ 4 ปี รายงานจากลอนดอน เมื่อ 23
ก.ค.47 สนง.สถิติแห่งชาติของอังกฤษรายงานตัวเลข GDP หรือผลผลิตรวมในประเทศขยายตัวร้อยละ 0.9
ในไตรมาสที่ 2 ปีนี้ซึ่งสิ้นสุดเดือน มิ.ย.47 หลังจากขยายตัวร้อยละ 0.7 ในไตรมาสก่อน ส่งผลให้เศรษฐกิจ
ของอังกฤษขยายตัวในอัตราร้อยละ 3.7 ต่อปี สูงสุดนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ปี 43 อันเป็นผลจากการฟื้นตัวของ
ภาคอุตสาหกรรมซึ่งขยายตัวร้อยละ 0.9 ในไตรมาสที่ 2 ปีนี้ หลังจากหดตัวร้อยละ 0.5 ในไตรมาสก่อน
เช่นเดียวกับภาคบริการซึ่งขยายตัวร้อยละ 0.9 ในไตรมาสที่ 2 ปีนี้ หลังจากขยายตัวในอัตราเดียวกันร้อยละ
0.9 ในไตรมาสก่อน ทำให้ภาคบริการขยายตัวร้อยละ 4.0 ต่อปี สูงสุดนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ปี 43 โดย
ธุรกิจโรงแรม การจัดจำหน่ายสินค้าและภัตตาคารขยายตัวร้อยละ 1.0 ในไตรมาสที่ 2 ปีนี้ และขยายตัวร้อย
ละ 5.0 ต่อปี นักวิเคราะห์จึงคาดกันว่า ธ.กลางอังกฤษจะต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกร้อยละ 0.25 ในเดือน
หน้าอย่างแน่นอน และอีกร้อยละ 0.25 ในเดือน ต.ค.47 โดยคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ที่ร้อยละ 5.25
เมื่อถึงสิ้นปีนี้ (รอยเตอร์)
2. ธ.กลางจีนมีคำสั่งให้ธพ. เข้มงวดการให้สินเชื่อเพื่อควบคุมความเสี่ยง รายงานจากเชียง
ไฮ้ เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 47 เพื่อควบคุมความเสี่ยงจากปัญหาหนี้เสียที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก ธ.กลางจีนจึงมีคำ
สั่งให้ธพ.เข้มงวดกับการปล่อยสินเชื่อ ทั้งนี้การออกกฎเกณฑ์ดังกล่าวเนื่องจากรัฐบาลจีนพยายามควบคุมหนี้เสีย
ที่มีมากกว่า 200 พัน ล. ดอลลาร์สรอ.หลังจากที่ได้มีการปล่อยกู้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ นอกจากนั้น
อุตสาหกรรมการเงินในประเทศจะต้องเผชิญกับการแข่งขันกับกับต่างประเทศเมื่อจีนต้องเปิดให้ต่างประเทศ
เข้ามาดำเนินธุรกรรมการเงินในประเทศในปี 49 ตามกฎขององค์การการค้าโลก ก่อนหน้านั้นเมื่อปลายปี 46
จีนได้เริ่มปฎิรูปการเงินโดยการอัดฉีดเงินจำนวน 45 พัน ล. ดอลลาร์สรอ.ให้แก่ธ.กลางและธ.เพื่อการก่อ
สร้าง ซึ่งปัญหาต่างๆในการให้สินเชื่อของธพ.ในช่วงปีที่แล้วๆมามีเป็นจำนวนมาก ดังนั้นรัฐบาลจึงเสนอแนว
ทางใหม่เพื่อเป็นมาตรฐานในการอนุมัติสินเชื่อของธพ.ให้เป็นไปอย่างระมัดระวังและแก้ปัญหาความเสี่ยง โดย
ประเมินสถานะทางการเงินของลูกค้า นอกจากนั้นธพ.ต้องไม่เสนอสินเชื่อให้แก่ลูกค้าเพื่อเป็นทุนในผลิตภัณฑ์
หรือโครงการที่รัฐบาลห้าม หรือเพื่อให้ลงทุนในสินทรัพย์ทุน การกู้เพื่อซื้อหุ้น หรือตราสารอนุพันธ์ นอกจากนั้น
ธพ.ควรตรวจสอบความก้าวหน้าของโครงการที่ธพ.อนุมัติสินเชื่อไปแล้วและต้องเตือนลูกค้าทันทีหากมีความเสี่ยง ( รอยเตอร์)
3. ดัชนีราคาผู้บริโภคของสิงคโปร์ในเดือน มิ.ย.47 ไม่เปลี่ยนจากเดือนก่อนเมื่อเทียบต่อเดือน
แต่เทียบต่อปีเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3 รายงานจากสิงคโปร์ เมื่อ 23 ก.ค.47 รัฐบาลสิงคโปร์ เปิดเผยว่า ดัชนี
ราคาผู้บริโภคของสิงคโปร์ในเดือน มิ.ย.47 ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อน หลังจากที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุก
เดือนตั้งแต่เดือน ก.พ.47 ที่ผ่านมา แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3 เมื่อเทียบต่อปี ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็น
เดือนที่ 13 ทั้งนี้ ตัวเลขดังกล่าวสอดคล้องกับที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ รวมทั้งเป็นตัวเลขที่
เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับประเทศฮ่องกง ที่รัฐบาลฮ่องกงรายงานเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค
ของฮ่องกงในเดือน มิ.ย.47 ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อน แต่ลดลงร้อยละ 0.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน
ของปีก่อน อย่างไรก็ตาม หัวหน้านักวิเคราะห์จาก ABN AMRO ในฮ่องกงเห็นว่า ฮ่องกงกำลังฟื้นตัวจากภาวะ
เงินฝืดที่มีระยะยาวนานถึงเกือบ 6 ปี และคาดว่าดัชนีราคาผู้บริโภคของฮ่องกงจะมีอัตราการเพิ่มขึ้นที่เร็วกว่า
สิงคโปร์ เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของระดับราคาในสิงคโปร์จะเป็นไปทีละน้อยอย่างมั่นคงมากกว่าฮ่องกง แม้ว่า
ในเดือน ก.พ.47 ระดับราคาของสิงคโปร์จะลดลงร้อยละ 0.2 จากเดือน ม.ค.ก็ตาม ทั้งนี้ ดัชนีราคาดัง
กล่าวของสิงคโปร์ได้ค่อย ๆ ขยับสูงขึ้น นับตั้งแต่เดือน มิ.ย.46 ภายหลังสิ้นสุดการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัด
ซาร์ส โดยมีผลให้เศรษฐกิจสิงคโปร์ฟื้นตัวขึ้นเป็นจำนวน 93 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์คาด
ว่าดัชนีราคาผู้บริโภคของสิงคโปร์มีแนวโน้มจะสูงขึ้นเพียงเล็กน้อยในเดือนถัดไป เนื่องจากการเติบโตทาง
เศรษฐกิจของสิงคโปร์เริ่มลดความร้อนแรงลง หลังจากที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งโดยไม่คาดคิดที่ระดับ
ร้อยละ 9.1 ในไตรมาสที่ 2 ปี47 เทียบต่อไตรมาส (รอยเตอร์)
4. ความเชื่อมั่นเกี่ยวกับสถานการณ์ทางธุรกิจของสิงคโปร์ลดลงในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 47
รายงานจากสิงคโปร์ เมื่อ 24 ก.ค.47 นสพ. The Business Times และ National University of
Singapore (NUS) เปิดเผยผลการสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจซึ่งสำรวจจาก 125 บริษัทในสิงคโปร์ พบว่า
บริษัทที่มีความเชื่อมั่นต่อสถานการณ์ทางธุรกิจใน 6 เดือนข้างหน้าในแง่ดี ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 47 มี
น้อยกว่าในไตรมาสแรก โดยผลการสำรวจแสดงถึงความแตกต่างระหว่างอัตราส่วนของธุรกิจที่มองในแง่ดีและ
ที่มองในแง่ไม่ดี มีสัดส่วนลดลง 17 จุดเป็นร้อยละ 37 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ปี 46 ซึ่งเป็น
ช่วงที่สิงคโปร์ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคซาร์ส อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 47
ยังคงเป็นช่วงที่ยอดขาย ผลกำไร และคำสั่งซื้อใหม่ ของธุรกิจ มียอดสุทธิเป็นบวกเป็นระยะเวลา 3 ไตรมาส
ติดต่อกัน โดยยอดขายสุทธิเพิ่มขึ้น 8 จุดเป็นระดับร้อยละ 29 ขณะที่ยอดกำไรสุทธิและยอดคำสั่งซื้อใหม่เพิ่มขึ้น
1 และ 3 จุด เป็นระดับร้อยละ 12 และ 29 ตามลำดับ แม้ผลการสำรวจจะชี้ว่า ในช่วงไตรมาสที่ 2ของปี
47 เป็นช่วงที่ยอดขาย ผลกำไร และคำสั่งซื้อใหม่ของธุรกิจ อยู่ในภาวะที่อาจจะเติบโตน้อยหรือไม่เติบโต ใน
ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจของสิงคโปร์เติบโตอย่างแข็งแกร่งถึงร้อยละ 9.1 (อัตราต่อปี) ก็ตาม ทั้งนี้ ผู้อำนวยการ
NUS เห็นว่า ความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่ลดลงมีสาเหตุจากความกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันและการ
ก่อการร้าย รวมถึงแนวโน้มการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยของจีน อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่า ยอดขายและคำ
สั่งซื้อสุทธิที่เพิ่มขึ้นมีทิศทางที่คล้ายคลึงกับในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 42 ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นในไตร
มาสถัดไป ซึ่งหากมองในสถานการณ์เดียวกัน เขาคาดว่าสถานการณ์ทางธุรกิจจะสามารถฟื้นตัวขึ้นได้ในช่วง
ไตรมาสที่สองของปี 48 (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 26 ก.ค. 47 23 ก.ค. 47 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.036 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40.8182/41.1121 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 1.09375-1.2800 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 648.47/14.34 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 7,550/7,650 7,600/7,700 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 35.44 35.3 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 18.79*/14.59 18.79*/14.59 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม ลิตรละ 60 สตางค์ เมื่อ 18 มิ.ย.47
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-