แท็ก
ภาคใต้
1.การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน
ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน (เบื้องต้น) ในเดือนพฤษภาคม 2547 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อน และขยายตัวร้อยละ 3.7 จากระยะเดียวกันปีก่อน ท่ามกลางความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวมที่ลดลงเพราะความกังวลต่อสถานการณ์ความไม่สงบภาคใต้ที่ยืดเยื้อและการปรับเพดานราคาน้ำมันเบนซินในเดือนนี้
เครื่องชี้ในกลุ่มยานพาหนะ ปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่งและปริมาณจำหน่ายรถจักรยานยนต์ขยายตัวดีในอัตราร้อยละ 25.0 และ 21.5 ตามลำดับ โดยรถจักรยานยนต์ที่ทำสถิติจำหน่ายสูงสุดใหม่ในเดือนนี้เป็นผลจากความสำเร็จในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายและการแนะนำสินค้ารุ่นใหม่ที่เข้าสู่ตลาดในช่วงที่ผ่านมาภายใต้สภาพแวดล้อมทางการเงินที่เอื้ออำนวย
เครื่องใช้ในกลุ่มที่ไม่ใช่ยานพาหนะ ปริมาณการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคขยายตัวร้อยละ 16.4 จากระยะเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นอัตราที่ชะลอลงจากเดือนก่อนเล็กน้อย โดยการนำเข้าสินค้าคงทนประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องใชัในครัวเรือนเป็นองค์ประกอบสำคัญของการขยายตัวในเดือนนี้ภาษีมูลค่าเพิ่มจากสินค้าอุปโภคบริโภค (เบื้องต้น) ขยายตัวร้อยละ 12.4 สะท้อนกิจกรรมการอุปโภคบริโภคโดยรวมที่ยังขยายตัวได้ในระดับหนึ่ง ขณะที่ปริมาณการใช้น้ำมันเบนซินขยายตัวร้อยละ 6.2 ใกล้เคียงกับช่วงก่อนหน้า แม้จะมีการปรับเพดานราคาน้ำมันเบนซินตั้งแต่ช่วงต้นเดือน สำหรับปริมาณการใช้ไฟฟ้าเพื่อที่อยู่อาศัยขยายตัวร้อยละ 5.0 ชะลอลงจากเดือนก่อน ขณะที่เครื่องชี้ในหมวดเครื่องดื่ม ได้แก่ สุรา เบียร์ และเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ขยายตัวไม่สูงนัก
2.การลงทุนภาคเอกชน
ดัชนีการลงทุนภาคเอกชน (เบื้องต้น) ในเดือนพฤษภาคม 2547 ขยายตัวร้อยละ 14.1 ซึ่งเป็นอัตราที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี แม้จะชะลอลงจากเดือนก่อน ทั้งในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรและหมวดก่อสร้าง การชะลอตัวดังกล่าว ส่วนหนึ่งเป็นผลจากความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่ลดลงในช่วงที่ผ่านมาจากความกังวลต่อราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้นและสถานการณ์ความไม่สงบภาคใต้
ดัชนีฯในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรที่ชะลอลงจากเดือนก่อนเป็นผลจากปริมาณจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ที่ชะลอลงมากในเดือนนี้ ในขณะที่มูลค่าสินค้าทุนนำเข้า (ณ ราคาปี 2538) ชะลอลงต่อเนื่องจากเดือนก่อนตามการชะลอตัวของการนำเข้าเครื่องจักรกลและเครื่องจักรไฟฟ้าที่มีราคา (ในรูปดอลลาร์ สรอ.) สูงขึ้น
ส่วนดัชนีฯ ในหมวดก่อสร้างนั้น แม้จะชะลอลงจากเดือนก่อนเช่นกัน แต่อัตราการขยายตัวยังอยู่ในเกณฑ์สูง และปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศก็ขยายตัวดีใกล้เคียงกันกับเดือนก่อน อย่างไรก็ตามภาคก่อสร้างมีปัจจัยเสี่ยงจากแนวโน้มราคาวัสดุก่อสร้างที่เร่งตัวขึ้น
3.ภาคการคลัง
รายได้รัฐบาล ในเดือนพฤษภาคม 2547 รัฐบาลมีรายได้นำส่ง 78.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 2.6 ตามรายได้ที่มิใช่ภาษีที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 53.6 ขณะที่รายได้ภาษีลดลงร้อยละ 7.9 เพราะการลดลงของภาษีจากฐานการบริโภคในอัตราร้อยละ 25.8 เนื่องจากในเดือนนี้มีการจัดสรรรายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จำนวน 15.1 พันล้านบาท อย่างไรก็ดี รายได้ภาษีบนฐานรายได้ยังคงเพิ่มขึ้นร้อยละ 23.0 ในขณะที่รายได้ภาษีบนฐานการค้าระหว่างประเทศลดลงร้อยละ 17.2
สำหรับรายได้ที่มิใช่ภาษีเพิ่มขึ้นร้อยละ 53.6 โดยมีการนำส่งรายได้ของรัฐพาณิชย์ที่สำคัญ คือ (1)การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย 5.9 พันล้านบาท (2)การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย 3.5 พันล้านบาท (3)ธนาคารออมสิน 4.1 พันล้านบาท และ(4)สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล 1.1 พันล้านบาท
อนึ่ง หากบวกกลับการจัดสรรรายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่มที่ให้แก่ อปท.จำนวน 15.1 พันล้านบาท ดังกล่าว รายได้รัฐบาลจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.6 จากระยะเดียวกันปีก่อน
เมื่อพิจารณาผลการจัดเก็บรายได้ในช่วง 8เดือนแรกของปีงบประมาณสูงกว่าประมาณการรายได้เป้าหมายตามเอกสารงบประมาณ 48.2 พันล้านบาท หรือ ร้อยละ 33.5
รายจ่ายของรัฐบาล ในเดือนนี้รัฐบาลมีรายจ่าย 82.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 19.3 (อัตราการเบิกจ่ายเท่ากับร้อยละ 6.9) ทั้งนี้ รายจ่ายในงบประมาณที่สำคัญ ได้แก่ (1)รายจ่ายบำเหน็จบำนาญ 7.3 พันล้านบาท (2)รายจ่ายให้กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 1.4 พันล้านบาท สำหรับรายจ่ายนอกงบประมาณที่สำคัญ ได้แก่ การเบิกจ่ายรายจ่ายภาษีที่โอนให้ อปท.รวม 21.3 พันล้านบาท และรายจ่ายให้แก่กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 1.4 พันล้านบาท
ดุลเงินสด ดุลเงินในงบประมาณและดุลเงินนอกงบประมาณขาดดุล 4.4 และ 6.5 พันล้านบาท ตามลำดับ ทำให้ดุลเงินสดขาดดุล 10.9 พันล้านบาท ทั้งนี้ มีการกู้เงินในประเทศสุทธิ 17.1 พันล้านบาท (โดยเป็นการออกพันธบัตรเพื่อชดเชยการขาดดุล 3.5 พันล้านบาท การออกตั๋วเงินคลัง 50.0 พันล้านบาท ขณะที่มีการไถ่ถอนตั๋วเงินคลัง 38.0 พันล้านบาท และเงินฝากของ ธปท.ที่คลังจังหวัดเพิ่มขึ้น 1.7 พันล้านบาท) และมีการชำระคืนเงินกู้ต่างประเทศสุทธิ 2.4 พันล้านบาท ส่งผลให้เงินคงคลังเพิ่มขึ้นเป็น 65.5 พันล้านบาท
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ดพ/ชบ-
ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน (เบื้องต้น) ในเดือนพฤษภาคม 2547 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อน และขยายตัวร้อยละ 3.7 จากระยะเดียวกันปีก่อน ท่ามกลางความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวมที่ลดลงเพราะความกังวลต่อสถานการณ์ความไม่สงบภาคใต้ที่ยืดเยื้อและการปรับเพดานราคาน้ำมันเบนซินในเดือนนี้
เครื่องชี้ในกลุ่มยานพาหนะ ปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่งและปริมาณจำหน่ายรถจักรยานยนต์ขยายตัวดีในอัตราร้อยละ 25.0 และ 21.5 ตามลำดับ โดยรถจักรยานยนต์ที่ทำสถิติจำหน่ายสูงสุดใหม่ในเดือนนี้เป็นผลจากความสำเร็จในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายและการแนะนำสินค้ารุ่นใหม่ที่เข้าสู่ตลาดในช่วงที่ผ่านมาภายใต้สภาพแวดล้อมทางการเงินที่เอื้ออำนวย
เครื่องใช้ในกลุ่มที่ไม่ใช่ยานพาหนะ ปริมาณการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคขยายตัวร้อยละ 16.4 จากระยะเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นอัตราที่ชะลอลงจากเดือนก่อนเล็กน้อย โดยการนำเข้าสินค้าคงทนประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องใชัในครัวเรือนเป็นองค์ประกอบสำคัญของการขยายตัวในเดือนนี้ภาษีมูลค่าเพิ่มจากสินค้าอุปโภคบริโภค (เบื้องต้น) ขยายตัวร้อยละ 12.4 สะท้อนกิจกรรมการอุปโภคบริโภคโดยรวมที่ยังขยายตัวได้ในระดับหนึ่ง ขณะที่ปริมาณการใช้น้ำมันเบนซินขยายตัวร้อยละ 6.2 ใกล้เคียงกับช่วงก่อนหน้า แม้จะมีการปรับเพดานราคาน้ำมันเบนซินตั้งแต่ช่วงต้นเดือน สำหรับปริมาณการใช้ไฟฟ้าเพื่อที่อยู่อาศัยขยายตัวร้อยละ 5.0 ชะลอลงจากเดือนก่อน ขณะที่เครื่องชี้ในหมวดเครื่องดื่ม ได้แก่ สุรา เบียร์ และเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ขยายตัวไม่สูงนัก
2.การลงทุนภาคเอกชน
ดัชนีการลงทุนภาคเอกชน (เบื้องต้น) ในเดือนพฤษภาคม 2547 ขยายตัวร้อยละ 14.1 ซึ่งเป็นอัตราที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี แม้จะชะลอลงจากเดือนก่อน ทั้งในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรและหมวดก่อสร้าง การชะลอตัวดังกล่าว ส่วนหนึ่งเป็นผลจากความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่ลดลงในช่วงที่ผ่านมาจากความกังวลต่อราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้นและสถานการณ์ความไม่สงบภาคใต้
ดัชนีฯในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรที่ชะลอลงจากเดือนก่อนเป็นผลจากปริมาณจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ที่ชะลอลงมากในเดือนนี้ ในขณะที่มูลค่าสินค้าทุนนำเข้า (ณ ราคาปี 2538) ชะลอลงต่อเนื่องจากเดือนก่อนตามการชะลอตัวของการนำเข้าเครื่องจักรกลและเครื่องจักรไฟฟ้าที่มีราคา (ในรูปดอลลาร์ สรอ.) สูงขึ้น
ส่วนดัชนีฯ ในหมวดก่อสร้างนั้น แม้จะชะลอลงจากเดือนก่อนเช่นกัน แต่อัตราการขยายตัวยังอยู่ในเกณฑ์สูง และปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศก็ขยายตัวดีใกล้เคียงกันกับเดือนก่อน อย่างไรก็ตามภาคก่อสร้างมีปัจจัยเสี่ยงจากแนวโน้มราคาวัสดุก่อสร้างที่เร่งตัวขึ้น
3.ภาคการคลัง
รายได้รัฐบาล ในเดือนพฤษภาคม 2547 รัฐบาลมีรายได้นำส่ง 78.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 2.6 ตามรายได้ที่มิใช่ภาษีที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 53.6 ขณะที่รายได้ภาษีลดลงร้อยละ 7.9 เพราะการลดลงของภาษีจากฐานการบริโภคในอัตราร้อยละ 25.8 เนื่องจากในเดือนนี้มีการจัดสรรรายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จำนวน 15.1 พันล้านบาท อย่างไรก็ดี รายได้ภาษีบนฐานรายได้ยังคงเพิ่มขึ้นร้อยละ 23.0 ในขณะที่รายได้ภาษีบนฐานการค้าระหว่างประเทศลดลงร้อยละ 17.2
สำหรับรายได้ที่มิใช่ภาษีเพิ่มขึ้นร้อยละ 53.6 โดยมีการนำส่งรายได้ของรัฐพาณิชย์ที่สำคัญ คือ (1)การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย 5.9 พันล้านบาท (2)การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย 3.5 พันล้านบาท (3)ธนาคารออมสิน 4.1 พันล้านบาท และ(4)สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล 1.1 พันล้านบาท
อนึ่ง หากบวกกลับการจัดสรรรายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่มที่ให้แก่ อปท.จำนวน 15.1 พันล้านบาท ดังกล่าว รายได้รัฐบาลจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.6 จากระยะเดียวกันปีก่อน
เมื่อพิจารณาผลการจัดเก็บรายได้ในช่วง 8เดือนแรกของปีงบประมาณสูงกว่าประมาณการรายได้เป้าหมายตามเอกสารงบประมาณ 48.2 พันล้านบาท หรือ ร้อยละ 33.5
รายจ่ายของรัฐบาล ในเดือนนี้รัฐบาลมีรายจ่าย 82.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 19.3 (อัตราการเบิกจ่ายเท่ากับร้อยละ 6.9) ทั้งนี้ รายจ่ายในงบประมาณที่สำคัญ ได้แก่ (1)รายจ่ายบำเหน็จบำนาญ 7.3 พันล้านบาท (2)รายจ่ายให้กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 1.4 พันล้านบาท สำหรับรายจ่ายนอกงบประมาณที่สำคัญ ได้แก่ การเบิกจ่ายรายจ่ายภาษีที่โอนให้ อปท.รวม 21.3 พันล้านบาท และรายจ่ายให้แก่กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 1.4 พันล้านบาท
ดุลเงินสด ดุลเงินในงบประมาณและดุลเงินนอกงบประมาณขาดดุล 4.4 และ 6.5 พันล้านบาท ตามลำดับ ทำให้ดุลเงินสดขาดดุล 10.9 พันล้านบาท ทั้งนี้ มีการกู้เงินในประเทศสุทธิ 17.1 พันล้านบาท (โดยเป็นการออกพันธบัตรเพื่อชดเชยการขาดดุล 3.5 พันล้านบาท การออกตั๋วเงินคลัง 50.0 พันล้านบาท ขณะที่มีการไถ่ถอนตั๋วเงินคลัง 38.0 พันล้านบาท และเงินฝากของ ธปท.ที่คลังจังหวัดเพิ่มขึ้น 1.7 พันล้านบาท) และมีการชำระคืนเงินกู้ต่างประเทศสุทธิ 2.4 พันล้านบาท ส่งผลให้เงินคงคลังเพิ่มขึ้นเป็น 65.5 พันล้านบาท
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ดพ/ชบ-