ความเห็นและข้อเสนอแนะ
เกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของชาติและการจัดการ 25 ลุ่มน้ำสำคัญของประเทศ
1. ความเป็นการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของชาติและการจัดการ 25 ลุ่มน้ำสำคัญของ
ประเทศ เป็นประเด็นสำคัญของชาติ เพราะว่าประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม และมีผลผลิตทางการ
เกษตรได้บริโภคกันอย่างพอเพียงกับคน 60 กว่าล้านคน และในเวลาเดียวกัน แม้ว่าจะเกิดภาวะวิกฤตทาง
เศรษฐกิจ เมื่อปี พ.ศ. 2540 และประเทศได้สูญเสียความมั่งคั่งไปแล้ว ซึ่งความมั่งคั่งจะกลับคืนมาได้
เมื่อไรก็ยังไม่มีใครที่จะยืนยันในเรื่องนี้ได้ อย่างไรก็ตามประเทศก็มีความอุดมสมบูรณ์เป็นเอกลักษณ์ การ
ที่จะรักษาผลผลิตทางการเกษตรและอาชีพเกษตรกรรมให้เป็นไปได้ด้วยดีนั้น น้ำเป็นปัจจัยสำคัญ ดังนั้นแนวทาง
การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของชาติและการจัดการ 25 ลุ่มน้ำสำคัญของประเทศ อย่างสัมฤทธิผล เป็น
ประเด็นที่จะต้องเร่งรีบดำเนินการเพราะเป็นสิ่งสำคัญของชาติ
ประเด็นหลักของเรื่องน้ำก็คือ นโยบายน้ำแห่งชาติ ซึ่งตามมติ คณะรัฐมนตรีจะมีหัวข้อหลักอยู่
9 หัวข้อด้วยกัน ซึ่งเป็นนโยบายน้ำที่อาจจะต้องมีการปรับปรุงหรือพัฒนาให้สอดคล้องและทันเหตุการณ์ในปัจจุบัน
และสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิผล
ในปัจจุบันประเทศไทยไม่มีเจ้าภาพที่จะมาบริหารจัดการในเรื่องน้ำอย่างเป็นเอกภาพ จึงควร
จะมีการผลักดันให้เกิดการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของชาติขึ้นโดยมีเจ้าภาพที่แท้จริง ในขณะนี้ขาดความ
เป็นรูปธรรมในการเป็นเจ้าภาพ จะเห็นได้ว่าก่อนการปฏิรูประบบราชการบริหารแผ่นดิน (ตุลาคม 2545)
และหลังจากการปฏิรูป ความเป็นเอกภาพของหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องน้ำก็ยังคงไม่มีความเป็นเอกภาพ
อย่างชัดเจน อีกปัจจัยหนึ่งที่จะต้องพิจารณาก็คือ องค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการทรัพยากรน้ำ
แห่งชาติ คณะกรรมการลุ่มน้ำ ซึ่งเดิมขึ้นกับสำนักงานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ สำนักเลขาธิการ
นายกรัฐมนตรี ปัจจุบันเป็นภาระหน้าที่ของกรมทรัพยากรน้ำ อีกประเด็นหนึ่งก็คือ เรื่องของกระทรวงน้ำควร
จะเกิดหรือไม่ เพื่อความเป็นเอกภาพ ปัญหาแหล่งน้ำ ความพอเพียงของแหล่งน้ำที่มีอยู่ ปัญหาการจัดการน้ำ
อย่างเป็นรูปธรรม และเป็นธรรม การเก็บค่าน้ำทั้งปัจจุบันและในอนาคต ซึ่งเหล่านี้จำเป็นต้องมีกฎหมาย
รองรับ กล่าวคือ สมควรจะมีพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำหรือไม่ และยังปรับปรุงกฎหมายที่มีอยู่หลากหลาย
และบางกฎหมายก็ล้าสมัย เป็นต้น
ในเรื่องของการจัดการ 25 ลุ่มน้ำสำคัญของประเทศ ปัจจุบันจะดำเนินการเป็นแต่ละลุ่มน้ำ
ทำให้เกิดความไม่ครบสมบูรณ์เป็นระบบทั้งลุ่มน้ำขนาดใหญ่หรือกลุ่มลุ่มน้ำตามลักษณะภูมิประเทศ หรือการไหล
ลงสู่ทะเลและออกสู่แม่น้ำขนาดใหญ่ที่เป็นนานาชาติ ซึ่งการจัดกลุ่มลุ่มน้ำแต่เดิมจะพิจารณาแบ่งตามภาคของ
เขตการปกครอง ประเด็นที่สำคัญก็คือ หากมีการจัดกลุ่มลุ่มน้ำโดยแบ่งตามลักษณะภูมิประเทศที่เกี่ยวเนื่องกัน
ก็จะทำให้การบริหารจัดการลุ่มน้ำเป็นแบบบูรณาการทั้งลุ่มน้ำ
สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยคณะทำงานศึกษาและอนุรักษ์แม่น้ำเจ้าพระยา
แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำแม่กลอง และแม่น้ำบางปะกง ได้เล็งเห็นความสำคัญและจำเป็นดังกล่าว จึงได้ดำเนิน
การศึกษาแนวทางที่จะดำเนินการในเรื่องการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและการจัดการ 25 ลุ่มน้ำสำคัญ
ของประเทศ โดยจะเน้นใน 7 ปัจจัยที่สำคัญ คือ (1) นโยบายน้ำแห่งชาติ (2) คณะกรรมการทรัพยากรน้ำ
แห่งชาติ (3) คณะกรรมการลุ่มน้ำ 25 ลุ่มน้ำสำคัญของประเทศ (4) กระทรวงน้ำ (5) กฎหมายน้ำ
(6) ฐานความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาทรัพยากรน้ำ และ (7) การจัดกลุ่มลุ่มน้ำเพื่อการบริหารจัดการอย่างมี
ประสิทธิภาพ
2. การดำเนินการของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยคณะทำงานศึกษาและอนุรักษ์แม่น้ำเจ้าพระยา
แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำแม่กลอง และแม่น้ำบางปะกง ได้มีการดำเนินการศึกษาดังนี้ (1) จัดประชุมเสวนา
ในเรื่อง การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของชาติ และ 25 แม่น้ำสำคัญของประเทศ โดยเชิญผู้ทรงคุณวุฒิ
นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญจากองค์กรที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน จำนวน 5 ครั้ง (2) การศึกษา
ดูงานด้านการพัฒนาแหล่งน้ำและการชลประทานในพื้นที่ภาคต่างๆ ของประเทศ และ (3) จัดประชุม
กลุ่มย่อยเพื่อจัดทำข้อความคิดและเสนอแนะการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของชาติ และการจัดการ 25
แม่น้ำสำคัญของประเทศ จำนวน 2 ครั้ง ซึ่งคณะทำงานฯ ได้นำความรู้และความคิดเห็นที่ได้มาประมวล
และวิเคราะห์เพื่อจัดทำความเห็นและข้อเสนอแนะเรื่องการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของชาติและการ
จัดการ 25 แม่น้ำสำคัญของประเทศต่อสภาที่ปรึกษาและคณะรัฐมนตรีต่อไป
3. ประเด็นพิจารณาในด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของชาติ
3.1 นโยบายน้ำแห่งชาติ
3.1.1 สถานภาพปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต
จากมติ ครม. เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2543 และ 31 ตุลาคม 2543 พอสรุป
วิสัยทัศน์น้ำแห่งชาติและนโยบายน้ำแห่งชาติ ได้ดังนี้
1) วิสัยทัศน์น้ำแห่งชาติ
ภายในปี 2568 ประเทศไทยจะมีน้ำใช้อย่างเพียงพอ และมีคุณภาพ
โดยมีระบบการบริหารจัดการองค์กร ระบบกฎหมายในการใช้น้ำอย่างเป็นธรรม ยั่งยืน โดยคำนึงถึงคุณภาพ
ชีวิต และการมีส่วนร่วมในทุกระดับ
2) นโยบายน้ำแห่งชาติ
(1) เร่งรัดให้มีพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ เป็นกฎหมายหลักในการ
บริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ โดยทบทวนและปรับปรุงพระราชบัญญัติที่มีอยู่ และเร่งดำเนินการ
ตามขั้นตอนเพื่อให้สามารถนำไปสู่การมีผลบังคับใช้ รวมทั้งจะต้องพิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎหมายและระเบียบ
อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้อง
(2) จัดให้มีองค์กรเพื่อบริหารจัดการทรัพยากรน้ำทั้งในระดับชาติ
ในระดับลุ่มน้ำและในระดับท้องถิ่น ที่มีกฎหมายรองรับ โดยให้องค์กรระดับชาติมีหน้าที่ในการกำหนดนโยบาย
กำกับและประสานให้เกิดการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ และให้องค์กรระดับลุ่มน้ำและระดับท้องถิ่น มีหน้าที่
ในการจัดทำแผนการบริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำ โดยให้มีผู้ส่วนเกี่ยวข้องได้มีส่วนร่วม
(3) เน้นการจัดสรรน้ำที่เหมาะสมและเป็นธรรมสำหรับการใช้น้ำภาค
ต่างๆ ทั้งเพื่อตอบสนองความจำเป็นพื้นฐานด้านเกษตรกรรมและอุปโภคบริโภค โดยจัดลำดับความสำคัญของ
ประเภทการใช้น้ำในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้มีการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ภายใต้กติกาการจัดสรรน้ำ
ที่ชัดเจน และให้ผู้ใช้น้ำมีส่วนรับผิดชอบในการได้รับบริการ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการมีส่วนร่วม
ของผู้รับบริการและระดับการให้บริการ
(4) กำหนดทิศทางที่ชัดเจนในการจัดหาน้ำและพัฒนาแหล่งน้ำ เพื่อ
จัดหาน้ำต้นทุนที่สอดคล้องกับศักยภาพและความต้องการ มีคุณภาพเหมาะสมสำหรับทุกกิจกรรม โดยคำนึงถึง
การอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำธรรมชาติอื่นๆ และสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องเป็นสำคัญ
(5) จัดหาและพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร ให้แก่เกษตรกรอย่าง
ทั่วถึงและเป็นธรรม เพื่อตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานในการทำการเกษตร และอุปโภคบริโภค เช่น
เดียวกับการให้บริการขั้นพื้นฐานของรัฐด้านอื่นๆ
(6) พัฒนาและบรรจุความรู้เรื่องน้ำ ในหลักสูตรของทุกระดับการศึกษา
เพื่อปลูกฝังสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนตระหนักถึงคุณค่าของน้ำ เข้าใจความสำคัญของการใช้น้ำอย่างมี
ประสิทธิภาพ ความจำเป็นและหน้าที่ในการดูแลรักษาสภาพสิ่งแวดล้อมของแหล่งน้ำธรรมชาติและแหล่งน้ำ
ที่สร้างขึ้น
(7) สนับสนุนและส่งเสริมการมีส่วนร่วม พร้อมทั้งกำหนดรูปแบบการ
มีส่วนร่วม สิทธิและหน้าที่อย่างชัดเจนของประชาชน องค์กรเอกชนและหน่วยงานของรัฐ ในการบริหารจัดการ
ทรัพยากรน้ำอย่างชัดเจน ทั้งการใช้น้ำ การดูแลรับผิดชอบ การอนุรักษ์แหล่งน้ำ และการตรวจสอบดูแล
คุณภาพน้ำ เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ
(8) เร่งรัดให้มีการวางแผนการบรรเทาและแก้ไขปัญหาอุทกภัย
และภัยแล้งทั้งการเตือนภัย และกำหนดแนวทางการบรรเทาและการฟื้นฟูบูรณะภายหลังการเกิดภัยอย่างมี
ประสิทธิภาพ และเป็นธรรม โดยคำนึงถึงการใช้ที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติที่เกี่ยวข้อง
(9) สนับสนุนงบประมาณสำหรับแผนปฏิบัติการตามนโยบาย รวมทั้ง
การวิจัย การประชาสัมพันธ์ การรวบรวมข้อมูลข่าวสาร และการถ่ายทอดเทคโนโลยีเกี่ยวกับเรื่องน้ำต่อ
สาธารณชนอย่างเพียงพอและต่อเนื่อง
3.1.2 ประเด็นปัญหาและอุปสรรค
1) นโยบายน้ำแห่งชาติ
นโยบายน้ำแห่งชาติทั้ง 9 ข้อ ยังเป็นการมองภาพกว้าง ซึ่งเป็นนโยบาย
น้ำที่อาจจะต้องมีการปรับหรือพัฒนาให้สอดคล้องและทันเหตุการณ์ในปัจจุบัน อย่างไรก็ดีถ้าไม่ยึดติดกับคำว่า
นโยบายหรือกลยุทธ์ ก็สามารถใช้ในทั้ง 9 ข้อที่ระบุไว้ได้ แต่ควรจะมีการเพิ่มเติมในบางประเด็นให้ชัดเจน
มากยิ่งขึ้น อาทิ เพิ่มเติมนโยบายในเรื่องน้ำเสีย ซึ่งได้มีการยอมรับกันแล้ว แต่ยังไม่มีในรายงาน
2) นโยบายและแผนหลักการจัดการทรัพยากรน้ำของรัฐแต่ละสมัย
จากการศึกษาวิเคราะห์ถึงนโยบายและมาตรการจัดการทรัพยากรน้ำ
ในภาพรวมของประเทศและเฉพาะด้าน ที่รัฐบาลหลายสมัยได้แถลงนโยบายต่อสภา รวมระยะเวลานานกว่า
10 ปี และกำหนดไว้เป็นกรอบแนวปฏิบัติในแผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตั้งแต่ฉบับที่ 1 ถึง
ฉบับที่ 9 (ระยะเวลาตั้งแต่ พ.ศ. 2504 ถึง พ.ศ. 2549) พอสรุปได้ว่า นโยบายและแผนหลักการจัดการ
ทรัพยากรน้ำของรัฐแต่ละสมัยมีความไม่ชัดเจน และไม่ครอบคลุมในทุกด้านที่เกี่ยวข้อง
โดยตั้งแต่หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ. 2475 จนถึง
สิ้นสุดแผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2530 — 2534) รวมเวลา 55 ปีเศษ
ทุกสมัยต่างมีนโยบายเน้นด้านการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการชลประทานหรือการเพาะปลูกและเพื่อประโยชน์
เอนกประสงค์ ให้ดำเนินการในลุ่มน้ำต่างๆ ทั่วประเทศที่สภาพภูมิประเทศและสภาพแหล่งน้ำมีความเหมาะสม
อย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่เป็นโครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลาง รวมทั้งโครงการชลประทาน
ราษฎร์หรือชลประทานท้องถิ่น โดยมีเป้าหมายเพื่อขยายพื้นที่ชลประทานให้กระจายกว้างขวางไปตามภาค
ต่างๆ และในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 5 เป็นต้นมา รัฐบาลก็มีนโยบายให้ชะลอการก่อสร้างโครงการ
ขนาดใหญ่ด้วยเช่นกัน โดยให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเร่งรัดดำเนินการโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง
ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว พร้อมกันนี้ได้มีนโยบายสนับสนุนและเร่งรัดพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็กให้กระจายออก
ไปในพื้นที่ที่อยู่นอกเขตชลประทาน เพื่อใช้เป็นแหล่งน้ำเสริมที่จะช่วยประชาชนตามหมู่บ้านชนบทให้มีน้ำ
เพื่อการยังชีพขั้นพื้นฐาน จากนั้นจนถึงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 9 ในปัจจุบัน ซึ่งสถานการณ์เกี่ยวกับน้ำมีปัญหา
เกิดขึ้นเป็นอันมาก นโยบายและมาตรการจัดการเกี่ยวกับน้ำซึ่งควรประกอบด้วยนโยบายเกี่ยวกับการพัฒนา
ทรัพยากรน้ำ การใช้และการจัดสรรทรัพยากรน้ำ ตลอดจนนโยบายการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ การแก้ไขปัญหา
อุทกภัยและคุณภาพน้ำและการดำเนินการอื่นใดที่เกี่ยวกับทรัพยากรน้ำของรัฐนั้น กล่าวได้ว่ากรอบแนวทาง
ในการปฏิบัติที่จะเอื้ออำนวยให้บรรลุเป้าหมายเป็นรูปธรรมได้ ยังไม่มีความชัดเจนและยังไม่ครอบคลุมทุ
กด้าน อีกทั้งหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องก็ไม่สามารถดำเนินการให้สำเร็จตามแผนที่กำหนด จึงยังไม่
สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับน้ำให้หมดไปได้อย่างทั่วถึงเท่าที่ควร
3.1.3 แนวทางแก้ไข
(1) ดำเนินการปรับปรุงเพื่อเสนอแนวนโยบายที่เหมาะสม
สอดคล้องและทันเหตุการณ์ในปัจจุบัน และมีความเชื่อมโยงระหว่างนโยบายการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ
และทรัพยากรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
(2) ปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมในประเด็นที่ยังไม่ครบสมบูรณ์ เช่น
เรื่องน้ำเสีย เป็นต้น
(3) ให้มีความชัดเจนในแต่ละหัวข้อของนโยบาย และคำนึง
ถึงแนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมและสัมฤทธิผล
(4) กำหนดนโยบายการใช้ที่ดินและการพัฒนาในลุ่มน้ำ โดยการ
ใช้ประโยชน์ทรัพยากรดินให้เหมาะสม และสอดคล้องกับขีดความสามารถของทรัพยากรน้ำ และทรัพยากรอื่น
ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ การพัฒนาชุมชน อุตสาหกรรม และเกษตรกรรมที่สอดคล้องกับสภาพภูมิประเทศของลุ่มน้ำ
และกำหนดประเภท และขนาดการตั้งถิ่นฐานของประชากรในแต่ละลุ่มน้ำให้สัมพันธ์กับต้นทุนน้ำที่มีอยู่ตาม
ธรรมชาติ ซึ่งกลไกที่ทำให้นโยบายไปสู่การปฏิบัติ ได้แก่ กำหนดผังเมืองรวมของลุ่มน้ำ และผังเมืองเฉพาะ
ของแต่ละชุมชน
(5) กำหนดนโยบายการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ รวมทั้งการ
จัดสรรน้ำเพื่อประโยชน์สูงสุดอย่างมีหลักเกณฑ์โดยความเห็นชอบร่วมกันโดยภาครัฐ ภาคเอกชน และภาค
ประชาชน ซึ่งกลไกที่ทำให้นโยบายไปสู่การปฏิบัติคือผังการใช้ประโยชน์ที่ดินรวมของลุ่มน้ำ โดยยึดนโยบาย
การใช้ที่ดิน และการพัฒนา รวมทั้งการตั้งถิ่นฐานของประชากรให้สัมพันธ์กับต้นทุนน้ำที่มีอยู่ตามธรรมชาติ
3.2 คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
3.2.1 สถานภาพปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต
คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เป็นองค์กรระดับชาติที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบ
สำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารทรัพยากรน้ำแห่งชาติ พ.ศ. 2532 เรียกโดยย่อว่า “ กทช. “
มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานและบุคคลซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งเป็นกรรมการ ประกอบด้วย รองนายกรัฐมนตรี
1 คนที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้เป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรี ปลัดกระทรวง อธิบดี หัวหน้าส่วน
รัฐวิสาหกิจ ผู้แทนองค์กร ผู้ใช้น้ำภาคต่างๆ นักวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้แทนองค์กรพัฒนาเอกชน
เป็นต้น โดยมีอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำเป็นกรรมการและเลขานุการ รองอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำที่ได้รับ
มอบหมาย และผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนทรัพยากรน้ำเป็นผู้ช่วยเลขานุการ
3.2.2 ประเด็นปัญหาและอุปสรรค
(1) คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติแต่งตั้งขึ้นมาโดยอาศัยระเบียบสำนัก
นายกรัฐมนตรี โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เท่าที่ผ่านมาขึ้นกับรัฐบาลว่าจะทำเองหรือดำเนินการมอบหมาย
ถ้านายกรัฐมนตรีลงมาดำเนินการเองก็จะจัดการอะไรง่ายขึ้น แต่ส่วนใหญ่แล้วจะมีการแต่งตั้งให้รองนายก
รัฐมนตรีมาทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ทำให้ความสำคัญลดน้อยลง โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งคณะกรรมการฯ ที่เข้าร่วมประชุมจะเป็นตัวแทน แต่ถ้าหากประธานเป็นนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการฯ
ที่แต่งตั้งจะเข้าร่วมประชุม ทำให้การตัดสินใจในการแก้ปัญหา และกำหนดแนวนโยบายสามารถดำเนินการได้ดี
และรวดเร็วขึ้น
(2) ประธานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติยังไม่มีสิทธิเด็ดขาดในการ
ดำเนินการ ถึงแม้จะเป็นรองนายกฯ ก็ตาม คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ มีปัญหาในความไม่เป็นเอกภาพ
ในตัวเองด้วย เช่น แนวคิด Water Grid น่าจะเป็นงานของคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ที่จะประสาน
กันในเรื่องนี้ สุดท้ายยังหาข้อยุติไม่ได้ ไม่มีทิศทาง ไม่มีเอกภาพ ไม่มีการยอมรับกันเท่าที่ควร ในทางกฎหมาย
การบริหารบ้านเมืองที่ดี ถ้าเป็นกรรมการโดยการแต่งตั้งด้วยนายกฯ หรือเป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยการบริหารราชการแผ่นดิน ถือว่าจะต้องยอมรับ และดำเนินตามมติเพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
(3) ในทางปฏิบัติคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ดำเนินการได้ยาก
เพราะเป็นระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ไม่ใช้กฎหมายหรือมีพระราชบัญญัติรองรับ นอกจากนั้น อำนาจ บทบาท
หน้าที่ยังไม่ชัดเจน ในส่วนของงานและผู้ที่ทำหน้าที่เป็นเลขานุการในปัจจุบันจะอยู่ในกรมทรัพยากรน้ำ
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (เดิมก่อนปฏิรูประบบราชการ เลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็น
กรรมการและเลขานุการ) ทำให้เกิดความรู้สึกไม่เป็นกลาง และขาดความเชื่อถือจากหน่วยงานราชการ
ในกระทรวงสังกัดอื่น
(4) การกำหนดนโยบายในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ
ยังไม่สามารถผลักดันแต่ละนโยบายไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม มีเฉพาะบางเรื่องที่มีความก้าวหน้า
เช่น การจัดตั้งองค์กรบริหารจัดการลุ่มน้ำ แต่ก็ยังมีอุปสรรคในเรื่องวิธีการดำเนินงาน และการมีกฎหมาย
รองรับ
(5) องค์ประกอบของคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ส่วนใหญ่เป็น
ผู้แทนจากส่วนราชการ มีจำนวนตัวแทนผู้ใช้น้ำในคณะกรรมการฯ น้อย ทำให้การเข้าใจถึงสภาพและปัญหา
ในแต่ละลุ่มน้ำหรือพื้นที่ไม่ชัดเจน และสะท้อนแนวทางการจัดการทรัพยากรน้ำ โดยมีส่วนร่วมในทุกระดับนั้น
ยังไม่ชัดเจนหรือมีประสิทธิภาพ
3.2.3 ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
(1) ควรมีการระบุองค์ประกอบของ กทช. ให้ชัดเจน ไม่ต้องใช้ดุลพินิจ
ของนายกรัฐมนตรี หรือประธาน กทช. เพราะหากใช้ดุลพินิจในเรื่องดังกล่าว การดำเนินงานของ กทช.
จะมีความอ่อนไหวทางการเมืองสูง อาจแต่งตั้งบุคคลที่มีแนวคิดคล้ายกับตน เพื่อให้ กทช. ดำเนินการไป
ตามที่ประธานต้องการ หรือบางครั้งอาจแต่งตั้งบุคคลที่มิได้มีความรู้ความชำนาญหรือไม่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรน้ำ
อย่างไรก็ดี การแต่งตั้งโดยใช้ดุลพินิจ ทำให้เกิดความยืดหยุ่นในการสรรหาผู้มีความสามารถสูง
(2) องค์ประกอบของ กทช. ส่วนใหญ่เป็นผู้แทนของส่วนราชการ ควรจะ
ต้องเพิ่มสัดส่วนตัวแทนผู้ใช้น้ำใน กทช. ให้มากขึ้น เพื่อสะท้อนแนวทางการจัดการทรัพยากรน้ำโดยการมี
ส่วนร่วมในทุกระดับให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
(3) ในข้อเท็จจริง กทช. ควรจะต้องทำหน้าที่ในการกำหนดนโยบาย
เกี่ยวกับทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เพราะเป็นองค์กรสูงสุดเกี่ยวกับทรัพยากรน้ำ สถานภาพการทำงานในปัจจุบัน
ยังไม่ได้ดำเนินงานตามอำนาจหน้าที่อย่างสมบูรณ์ เช่นการพิจารณาแผนงานหรือโครงการที่เกี่ยวกับทรัพยากรน้ำ
ของหน่วยราชการต่างๆ ซึ่งปัจจุบัน กระทรวงต่างๆ ยังคงเสนอขออนุมัติโครงการโดยตรงไปยังคณะรัฐมนตรี
และจัดทำคำของบประมาณตรงไปยังสำนักงบประมาณ
(4) การกำหนดนโยบาย ในการจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ ยังไม่
สามารถผลักดันแต่ละนโยบายไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม ดังนั้นจึงสมควรให้มีการปรับปรุงนโยบาย
การบริหาร
จัดการทรัพยากรน้ำของชาติให้มีความชัดเจนและครอบคลุมทุกด้าน พร้อมทั้งระบุแนวทางการปฏิบัติที่เป็น
รูปธรรมและสัมฤทธิผล
(5) อำนาจหน้าที่ของ กทช. ที่มีตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วย
การบริหารทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ค่อนข้างเป็นไปในลักษณะการประสานงาน และไม่ได้กำหนดวิธีปฏิบัติที่ชัดเจน
ในแต่ละเรื่อง จึงทำให้ไม่มีการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่
(6) หน่วยงานฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการ ยังขาดประสบการณ์ในการ
ปฏิบัติในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการระดับชาติ ดังนั้นจึงสมควรพิจารณาแต่งตั้งฝ่ายเลขานุการของ
คณะกรรมการฯ ที่มีประสบการณ์ มีวิสัยทัศน์ มีความเป็นกลาง และเป็นที่ยอมรับของทั้งหน่วยงานราชการและ
ภาคเอกชน
(7) จะต้องมีกฎหมายรองรับอำนาจหน้าที่ ของคณะกรรมการทรัพยากรน้ำ
แห่งชาติ เพื่อให้มีการนำไปปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมโดยให้มีภาคประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในคณะกรรมการ
ทรัพยากรน้ำแห่งชาติในอัตราส่วนที่สูงขึ้น
3.3 คณะกรรมการลุ่มน้ำ
3.3.1 สถานภาพปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต
คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ มีหน้าที่ในการแต่งตั้งคณะกรรมการลุ่มน้ำขึ้น
เพื่อปฏิบัติหน้าที่ในแต่ละลุ่มน้ำ นอกจากนั้นยังได้มีการจัดตั้งคณะทำงานด้านวิชาการ และคณะทำงานระดับ
จังหวัด อำเภอ และตำบล โดยคณะกรรมการลุ่มน้ำด้วย ซึ่งพอสรุปสถานภาพได้ดังนี้
1) คณะกรรมการลุ่มน้ำ
คณะกรรมการลุ่มน้ำ คือ บุคคลที่คัดเลือกจากข้าราชการ ผู้แทนรัฐวิสาหกิจ
ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้แทนองค์กรผู้ใช้น้ำ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเกี่ยวกับทรัพยากรน้ำ ซึ่งปฏิบัติหน้าที่
หรืออาศัยอยู่ในลุ่มน้ำ และผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ โดย
มีสัดส่วนและจำนวนตามความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ลุ่มน้ำ สำหรับประธานกรรมการและเลขานุการให้แต่งตั้ง
จากคณะกรรมการในลุ่มน้ำนั้นๆ และให้มีผู้ช่วยเลขานุการตามความจำเป็น
2) คณะทำงานด้านวิชาการ
คณะทำงานด้านวิชาการ คือ บุคคลที่คณะกรรมการลุ่มน้ำได้แต่งตั้งขึ้นมาเพื่อ
ทำหน้าที่เฉพาะด้านจะมาจากคณะกรรมการลุ่มน้ำ หรือจากบุคคลที่คณะกรรมการลุ่มน้ำเห็นเหมะสม แต่จะต้อง
มีผู้แทนเกษตรกรระดับอำเภอ เข้ามาเป็นคณะทำงานแต่ละด้าน อำเภอละ 1 คน คณะทำงานเฉพาะ
ด้านในระยะแรกควรจะประกอบด้วยคณะทำงาน ด้านแผนงบประมาณทรัพยากรน้ำ ด้านข้อมูล และด้าน
ประชาสัมพันธ์และการมีส่วนร่วมของประชาชน หรือด้านอื่นๆ ตามความจำเป็น
3) คณะทำงานระดับจังหวัด อำเภอ ตำบล
คณะทำงานระดับจังหวัด อำเภอ ตำบล ประกอบด้วย ผู้แทนหน่วยราชการ
ผู้แทนกลุ่มผู้ใช้น้ำภาคส่วนต่างๆ ได้แก่ ภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม พาณิชยกรรม การท่องเที่ยว ผู้แทน
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้แทนสถาบันการศึกษา ผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ องค์กรพัฒนาเอกชน
( NGO ) ที่ได้รับการคัดสรรและแต่งตั้งจากคณะกรรมการลุ่มน้ำ ในจำนวนที่เหมาะสม
4) ผลการดำเนินการด้านการจัดตั้งคณะกรรมการลุ่มน้ำถึงปัจจุบัน
(1) กรมทรัพยากรน้ำได้จัดตั้งคณะกรรมการลุ่มน้ำ โดยเน้นการมีส่วนร่วม
ของประชาชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ลุ่มน้ำ ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการจนครบทั้ง 25 ลุ่มน้ำหลัก ในปี 2546
จำนวน 29 คณะกรรมการลุ่มน้ำ จำนวน 997 คน (ตารางที่ 3.3-1)โดยแบ่งเป็น
- ภาคราชการ 487 คน
- องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 96 คน
- องค์กรหรือกลุ่มผู้ใช้น้ำภาคเกษตรกรรม 134 คน
- องค์กรหรือกลุ่มผู้ใช้น้ำภาคธุรกิจหรือภาคอุตสาหกรรม 92 คน
- ภาคประชาชนหรือองค์กรพัฒนาเอกชน 95 คน
- สถาบันการศึกษาหรือผู้ทรงคุณวุฒิ 91 คน
- ผู้แทนเครือข่ายชนเผ่า 2 คน
(2) คณะกรรมการลุ่มน้ำทุกคณะได้มีการประชุมเพื่อดำเนินการเลือกประธาน
กรรมการลุ่มน้ำและเลขานุการเสร็จแล้ว ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 ซึ่งประธานกรรมการลุ่มน้ำเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด 28 คน และลุ่มน้ำที่เป็น
ตัวแทนจากภาคธุรกิจ 1 คณะ คือ คณะกรรมการลุ่มน้ำบางปะกง—ปราจีนบุรี และโตนเลสาป
(3) คณะกรรมการลุ่มน้ำ มีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะทำงานระดับต่างๆ ดังนี้
คณะทำงานด้านวิชาการ 3 คณะ ประกอบด้วย คณะทำงานด้านแผนบูรณาการลุ่มน้ำ คณะทำงาน
ด้านข้อมูล และคณะทำงานด้านประชาสัมพันธ์และการมีส่วนร่วมของประชาชน
- คณะทำงานระดับจังหวัด
- คณะทำงานลุ่มน้ำสาขา
- คณะทำงานระดับอำเภอ
- คณะทำงานระดับตำบล
การแต่งตั้งคณะทำงานระดับจังหวัด อำเภอ และตำบล เป็นการแต่งตั้งคณะทำงาน
ทั่วประเทศ
(4) คณะกรรมการลุ่มน้ำพิจารณาเห็นชอบแผนงบประมาณทรัพยากรน้ำแบบ
บูรณาการ ประจำปีงบประมาณ 2548 เพื่อดำเนินการขอจัดตั้งงบประมาณของลุ่มน้ำ จำนวน 29 แผนลุ่มน้ำ
(5) การจัดทำแผนรวมการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำ
1. ลุ่มน้ำที่ดำเนินการจัดทำแผนรวมแล้ว คือ ลุ่มน้ำปิง (ปิงตอนบนและปิงตอนล่าง)
ลุ่มน้ำป่าสัก ลุ่มน้ำบางปะกง—ปราจีนบุรี และโตนเลสาป ลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ลุ่มน้ำยม และ
ลุ่มน้ำน่าน
2. ลุ่มน้ำที่อยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำแผนรวม คือ ลุ่มน้ำโขง ลุ่มน้ำวัง ลุ่มน้ำมูล
ลุ่มน้ำชี ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ลุ่มน้ำสะแกกรัง และลุ่มน้ำท่าจีน
3.3.2 ประเด็นปัญหาและอุปสรรค
(1) บทบาท หน้าที่ของคณะกรรมการลุ่มน้ำ 25 ลุ่มน้ำสำคัญ จำนวน 29
คณะกรรมการลุ่มน้ำ จากการปรับปรุงแก้ไขค่อนข้างมีความชัดเจน แต่จะมีอุปสรรคในทางปฏิบัติ โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งการที่ไม่มีกฎหมายรองรับ
(2) ขอบเขตพื้นที่การดำเนินงานของคณะกรรมการลุ่มน้ำ 25 ลุ่มน้ำสำคัญ
จะครอบคลุมเฉพาะแต่ละลุ่มน้ำเท่านั้น และบางลุ่มน้ำจะมีการแบ่งเป็นลุ่มน้ำตอนบนและตอนล่าง ทั้งนี้ไม่คำนึง
ถึงกลุ่มลุ่มน้ำที่เกี่ยวข้องกันตามลักษณะภูมิศาสตร์ หรือการไหลลงทะเลหรือแม่น้ำนานาชาติทำให้การบริหาร
จัดการทรัพยากรน้ำเป็นระบบทั้งลุ่มน้ำไม่ชัดเจนและจะมีการขัดแย้งกันได้ในอนาคต
(3) การพิจารณาคัดเลือกบุคลากรและผู้แทนภาคประชาชน ยังไม่มี
มาตรฐานเท่าที่ควร โดยคำนึงถึงผู้ที่มีความรู้เรื่องน้ำและสภาพพื้นที่ลุ่มน้ำเป็นอย่างดี
(4) การบริหารจัดการแบบบูรณาการเป็นระบบกลุ่มลุ่มน้ำที่เกี่ยวเนื่องกัน
ยังไม่มี มีเพียงแนวคิดซึ่งยังไม่ได้ดำเนินการใดๆ ทั้งสิ้น การบริหารจัดการทั้งปริมาณและคุณภาพของแต่ละ
ลุ่มน้ำย่อยมีแล้ว แต่ลุ่มน้ำใหญ่หรือกลุ่มลุ่มน้ำยังไม่มี คณะกรรมการจัดการกลางก็ยังไม่มี กิจกรรมการใช้น้ำ
ในแต่ละลุ่มน้ำย่อยนั้นไม่เหมือนกัน ปัญหาที่เกิดขึ้นก็ต่างกัน แต่พอมองภาพรวมเป็นลุ่มน้ำใหญ่แล้วต้องบริหาร
การใช้น้ำทั้งหมดจึงเป็นแบบบูรณาการทั้งลุ่มน้ำที่ชัดเจน
(5) คณะกรรมการลุ่มน้ำทั้ง 25 ลุ่มน้ำสำคัญ จะมุ่งพิจารณาในเรื่อง
(ยังมีต่อ)