แท็ก
กระทรวงการคลัง
31. ถาม เงินก้อนที่ผู้เข้าร่วมมาตรการนี้ได้รับ จะมีสิทธิประโยชน์ทางภาษีหรือไม่
ตอบ ได้รับสิทธิประโยชน์จูงใจทางภาษีตามประกาศกระทรวงการคลัง
32. ถาม การคำนวณเงินสิทธิประโยชน์ตามมาตรการ (เงินก้อน) 8 เท่าของเงินเดือนเดือนสุดท้าย จะนำเงินประจำตำแหน่งมารวมกับเงินเดือนเพื่อคำนวณเงินดังกล่าวด้วยหรือไม่
ตอบ ไม่รวมเงินประจำตำแหน่ง
33. ถาม มาตรการที่ 3 มีสิทธิประโยชน์จูงใจเป็น เงินช่วยเหลือรายเดือนผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ (ช.ร.บ.) ด้วยหรือไม่
ตอบ ไม่มี
34. ถาม กรณีถูกสั่งให้ออกจากราชการเนื่องจากไม่ผ่านการประเมินฯ ครั้งที่ 2 จะได้รับสิทธิประโยชน์จูงใจเป็นเงินก้อนหรือไม่
ตอบ ไม่ได้รับ
35. ถาม ทุกส่วนราชการจะต้องดำเนินการมาตรการที่ 3 ใช่หรือไม่
ตอบ ใช่
36. ถาม ส่วนราชการจะประเมินผลการปฏิบัติงานโดยมีจำนวนผู้ได้รับการประเมินผลการปฏิบัติงานในลำดับต่ำสุดไม่ถึงร้อยละ 5 หรือเกินร้อยละ 5 ของจำนวนข้าราชการทั้งหมดในส่วนราชการได้หรือไม่
ตอบ ได้ ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2547 ที่กำหนดว่า จำนวนข้าราชการผู้ได้รับการประเมินประสิทธภาพการปฏิบัติงานในลำดับต่ำสุดร้อยละ 5 นั้น เป็นเป้าหมายโดยรวมของทุกส่วนราชการ ซึ่งจำนวนข้าราชการตามมาตรการนี้ของแต่ละส่วนราชการจะต้องเป็นไปตามข้อเท็จจากการประเมินผลการปฏิบัติงานของแต่ละส่วนราชการ
37. ถาม หากออกจากราชการตามมาตรการนี้ จะยังมีสิทธิได้รับบำเหน็จบำนาญหรือไม่
ตอบ สิทธิในการได้รับบำเหน็จบำนาญยังคงเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญ
ข้าราชการ ดังนี้
- กรณีเลือกลาออกจากราชการ
1. เวลาราชการ 10 ปีขึ้นไป แต่ไม่ถึง 25 ปี มีสิทธิได้รับบำเหน็จ
2. เวลาราชการ 25 ปีขึ้นไป มีสิทธิได้รับบำนาญ
3. อายุตัว 50 ปีขึ้นไป
* เวลาราชการตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไปแต่ไม่ถึง 10 ปี มีสิทธิได้รับบำเหน็จ
* เวลาราชการตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป มีสิทธิได้รับบำนาญ
- กรณีเป็นผู้ที่ส่วนราชการสั่งให้ออกจากราชการ โดยอาศัยมาตรา 114 (6) แห่ง พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 จะมีสิทธิได้รับบำเหน็จบำนาญเหตุทดแทน ดังนี้
* เวลาราชการตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไปแต่ไม่ถึง 10 ปี มีสิทธิได้รับบำเหน็จ
* เวลาราชการตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป มีสิทธิได้รับบำนาญ
ทั้งนี้ การนับเวลาราชการเพื่อให้เกิดสิทธิรับบำเหน็จบำนาญให้นับจำนวนปีเศษของปีถ้าถึงครึ่งปีให้นับเป็น 1 ปี
38. ถาม กรณีอายุตัวไม่ถึง 50 ปี และอายุราชการไม่ถึง 25 ปี หากลาออกจากราชการตามมาตรการ (หลังการประเมินครั้งที่ 1) จะมีสิทธิได้รับบำนาญหรือไม่
ตอบ ไม่มีสิทธิได้รับบำนาญ แต่กรณีอายุราชการตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไปมีสิทธิได้รับบำเหน็จ
39. ถาม กรณีอายุตัวไม่ถึง 50 ปี และอายุราชการไม่ถึง 25 ปี หากเป็นผู้ที่ส่วนราชการงให้ออกจากราชการตามมาตรา 114(6) จะมีสิทธิได้รับบำนาญหรือไม่
ตอบ กรณีเวลาราชการตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไปแต่ไม่ถึง 10 ปี มีสิทธิได้รับบำเหน็จ กรณีเวลาราชการตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไปมีสิทธิได้รับบำนาญเหตุทดแทน
40. ถาม หากข้าราชการไม่ได้รับความเป็นธรรมและประสงค์จะร้องทุกข์เกี่ยวกับผลการพิจารณาประเมินผลการปฏิบัติงาน จะร้องทุกข์ได้ที่ใด
ตอบ ร้องทุกข์ต่อ อ.ก.พ. กระทรวง ทั้งนี้ อ.ก.พ กระทรวงจะต้องพิจารณาเรื่องดังกล่าวให้ได้ข้อยุติก่อนวันที่มีผลให้ข้าราชการต้องออกจากราชการตามมาตรการที่ 3
41. ถาม การคำนวณบำเหน็จบำนาญสำหรับผู้ที่เป็นสมาชิก กบข. และไม่ได้เป็นสมาชิกกบข. แตกต่างกันหรือไม่
ตอบ ต่างกันที่สูตรการคำนวณบำนาญ และวิธีการนับเวลาราชการเพื่อคำนวณเงินบำเหน็จบำนาญ ดังนี้
สูตรการคำนวณบำเหน็จ (เหมือนกัน)
บำเหน็จ = เงินเดือนเดือนสุดท้าย X เวลาราชการ*
สูตรการคำนวณบำนาญ
* กรณีเป็นสมาชิก กบข.
บำนาญ = เงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย X เวลาราชการ*
50
ทั้งนี้ บำนาญไม่เกิน 70% ของเงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย
* กรณีไม่ได้เป็นสมาชิก กบข.
บำนาญ = เงินเดือนเดือนสุดท้าย X เวลาราชการ*
50
* เวลาราชการ กรณีเป็นสมาชิก กบข. จะนับจำนวนปีรวมทั้งเศษของปีด้วย แต่กรณี
ไม่ได้เป็นสมาชิก กบข. จะนับจำนวนปี เศษของปีถ้าถึงครึ่งปีให้นับเป็น 1 ปี
ตัวอย่าง: เวลาราช 27 ปี 6 เดือน การคำนวณบำนาญกรณีเป็นสมาชิก กบข. จะคิดเวลาราชการเท่ากับ 27.5 ปี กรณีไม่ได้เป็นสมาชิก กบข. จะเท่ากับ 28 ปี
42. ถาม เงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย (ตามสูตรการคำนวณบำนาญกรณีเป็นสมาชิก กบข.) มีวิธีคำนวณอย่างไร
ตอบ เงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย หมายถึง ค่าเฉลี่ยของเงินเดือน 60 เดือนก่อนออกจากราชการ ซึ่งคำนวณโดยนำเงินเดือนก่อนออกจากราชการจำนวน 60 เดือนย้อนหลังบวกกัน แล้วหารด้วย 60
ตัวอย่าง : ลาออกจากราชการในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2547 เงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย คำนวณโดยหาผลรวมของเงินเดือนตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 47 ย้อนหลังถึงเดือนธันวาคม 42 (รวม 60 เดือน) แล้วหารด้วย 60 ดังนี้
เงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย = (พ.ย. 47+ต.ค.47++ม.ค. 43+ธ.ค. 42)
50
43. ถาม ข้าราชการผู้หนึ่งได้รับคำสั่งลงโทษทางวินัย และส่วนราชการกำลังรายงาน อ.ก.พ. กระทรวง ข้าราชการผู้นั้นจะมีคุณสมบัติสมัครเข้าร่วมมาตรการหรือไม่
ตอบ ไม่มีสิทธิ เพราะกระบวนการทางวินัยยังไม่ถึงที่สุด กล่าวคือ อ.ก.พ. กระทรวงอาจพิจารณามีมีติเห็นชอบตามคำสั่งของกรมหรืออาจให้เพิ่มโทษ ลดโทษ งดโทษ หรือยกโทษได้
44. ถาม กรณีคุณสมบัติของผู้ที่จะเข้าร่วมมาตรการที่อยู่ระหว่างกระบวนการดำเนินการทางวินัยยังไม่ถึงที่สุด แต่จะขอยื่นสมัครเข้าร่วมมาตรการไว้ก่อนและใช้สิทธิย้อนหลังเมื่อกระบวนการทางวินัยสิ้นสุดแล้วได้หรือไม่
ตอบ ไม่ได้เนื่องจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2546 กำหนดคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมมาตรการที่ 1-3 ว่าผู้มีสิทธิสมัครเข้าร่วมมาตรการจะต้องมีคุณสมบัติ ครบถ้วนตั้งแต่วันเริ่มรับสมัครจนถึงวันที่ข้าราชการออกจากราชการตามมาตรการดังกล่าว
45. ถาม คุณสมบัติต้องห้ามกรณีเป็นผู้อยู่ในระหว่างถูกสอบสวนหรือสอบหาข้อเท็จจริงทางวินัย จะถือเป็นคุณสมบัติต้องห้ามตั้งแต่เมื่อใด
ตอบ เมื่อส่วนราชการมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อดำเนินการสอบสวนหรือสอบหาข้อเท็จจริงทางวินัย หรือเมื่อส่วนราชการได้แจ้งข้อกล่าวหาต่อผู้ถูกกล่าวหาแล้ว
46. ถาม การนับเวลาราชการในกรณีต่างๆ เช่น การลาเข้ารับการเตรียมพล ลาศึกษา ลาฝึกอบรมดูงาน หรือลาออกไปปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศ หรือ ถูกสั่งพักราชการ ฯลฯ จะนับรวมเป็นเวลาราชการสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญ ได้หรือไม่
ตอบ การนับเวลาราชการเพื่อคำนวณบำเหน็จบำนาญ ให้นับเฉพาะวันรับราชการทีได้รับเงินเดือนจากงบประมาณประเภทเงินเดือนเท่านั้น ดังนั้น ในระหว่างลาหรือถูกสั่งพักราชการ ฯลฯ ดังกล่าว มีหลักการพิจารณา ดังนี้
* หากได้รับเงินเดือนเต็มในช่วงระยะเวลาดังกล่าว ก็ให้นับรวมเวลาระหว่างนั้นเป็นเวลาราชการ
* หากได้รับเงินเดือนไม่เต็มเดือน ให้นับเวลาระหว่างนั้น เป็นเวลาราชการตามส่วนของเงินเดือนที่ได้รับ
* หากไม่ได้รับเงินเดือนในระหว่างลาหรือถูกสั่งพักราชการ ก็ไม่ให้นับเวลาระหว่างนั้นเป็นเวลาราชการ(ยกเว้นการลาออกจากราชการเพื่อไปปฏิบัติงานตามกฎหมายว่าด้วยการกำหนดหลักเกณฑ์การสั่งให้ข้าราชการไปทำงานซึ่งให้นับเวลาระหว่างนั้นเหมือนเต็มเวลาราชการ)
47. ถาม เวลาระหว่างการลาติดตามคู่สมรสโดยไม่ได้รับเงินเดือน จะนำมานับรวมเป็นเวลาราชการได้หรือไม่
ตอบ ไม่ได้
48. ถาม นาย ก ถูกดำเนินการทางวินัยให้ออกจากราชการ ต่อมาได้อุทธรณ์ และได้กลับเข้ารับราชการ โดยในระหว่างที่ถูกให้ออกจากราชการนั้น นาย ก ได้รับเงินเดือนครึ่งหนึ่ง การนับเวลาราชการของ นาย ก จะนับอย่างไร
ตอบ นับเวลาราชการระหว่างที่ถูกออกจากราชการเพียงครึ่งเดียว
49. ถาม เวลาราชการของผู้เคยออกจากราชการและได้รับการบรรจุกลับเข้ารับราชการจะนับอย่างไร
ตอบ 1) กรณีออกจากราชการครั้งก่อนโดยไม่มีสิทธิรับเบี้ยหวัดบำเหน็จบำนาญเพราะถูกลงโทษปลดออกหรือไล่ออกจากราชการ เนื่องจากกระทำความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ถ้ากลับเข้ารับราชการจะไม่มีสิทธินับเวลาราชการก่อนออกจากราชการต่อเนื่องกับการรับราชการในตอนหลัง
2) กรณีออกจากราชการครั้งก่อนโดยไม่มีสิทธิรับบำเหน็จบำนาญ ถ้ากลับเข้ารับราชการตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม 2540 เป็นต้นมา ให้นับเวลาราชการก่อนออกจากราชการต่อเนื่องกับการรับราชการในตอนหลังได้
3) กรณีออกจากราชการครั้งก่อนโดยได้รับบำเหน็จ ไม่ให้นับเวลาราชการก่อนออกจากราชการต่อเนื่องกับการรับราชการในตอนหลัง เว้นแต่กลับเข้ารับราชการตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม 2540 เป็นต้นมา และผู้กลับเข้ารับราชการนั้นได้คืนบำเหน็จพร้อมดอกเบี้ย ก็ให้นับเวลาราชการก่อนออกจากราชการต่อเนื่องกับการรับราชการในตอนหลังได้
4) กรณีออกจากราชการครั้งก่อนโดยได้รับบำนาญ ไม่ให้นับเวลาราชการก่อนออกจากราชการต่อเนื่องกับการรับราชการในตอนหลัง เว้นแต่เลิกรับบำนาญ ก็ให้นับเวลาราชการก่อนออกจากราชการต่อเนื่องกับการรับราชการในตอนหลังได้
50. ถาม การนับเวลาราชการสำหรับกรณีออกจากราชการตามมาตรการจะนับถึงวันใด
ตอบ กรณีลาออกจากราชการตามมาตรการที่ 3 หลังจากการประเมินในครั้งที่ 1 เวลาาชการจะนับถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2547 (เนื่องจากออกจากราชการในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2547)กรณีออกจากราชการหลังจากการประเมินครั้งที่ 2 เวลาราชการจะนับถึงวันที่ 30 เมษายน 2548 (เนื่องจากออกจากราชการในวันที่ 1 เมษายน 2548)
51. ถาม เงินเดือนเดือนสุดท้ายที่จะนำมาเป็นฐานคำนวณสิทธิประโยชน์จูงใจ (เงินก้อน) และบำเหน็จบำนาญ นั้น รวมเงินเพิ่มอื่นหรือไม่
ตอบ กรณีคำนวณเงินก้อนจะไม่รวมเงินเพิ่ม แต่เงินเพิ่มดังกล่าวบางประเภทกฎหมายอาจกำหนดให้นำไปรวมคำนวณบำเหน็จบำนาญตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการได้ เช่น เงินเพิ่มพิเศษรายเดือนสำหรับค่าวิชา เงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่ต้องฝ่าอันตรายเป็นปกติ เงินเพิ่มสำหรับการสู้รบ หรือเงินเพิ่มสำหรับการปราบปรามผู้กระทำผิด แต่ไม่รวมถึงเงินเพิ่มอย่างอื่น
52. ถาม ผู้ที่ออกจากราชการตามมาตรการที่ 3 จะมีสิทธิได้รับบำเหน็จบำนาญหรือไม่
ตอบ กรณีเป็นผู้ที่เลือกลาออกจากราชการตามมาตรการ 3 สิทธิในการได้รับบำเหน็จบำนาญจะเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการแต่กรณีเป็นผู้ที่ถูกสั่งให้ออกจากราชการตามมาตรการที่ 3 ( มาตรา 114 (6) แห่ง พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 ) จะมีสิทธิได้รับบำเหน็จบำนาญเหตุทดแทน คือ กรณีอายุราชการตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไปแต่ไม่ถึง 10 ปี ให้ได้รับบำเหน็จกรณีอายุราชการตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไปมีสิทธิได้รับบำนาญ
53. ถาม ส่วนราชการจะต้องยุบเลิกตำแหน่งของผู้เข้าร่วมมาตรการนี้หรือไม่
ตอบ ไม่ต้องยุบเลิก
54. ถาม กรณีราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัยออกจากราชการตามมาตรการนี้ มหาวิทยาลัยดังกล่าว จะได้รับการจัดสรรคืนเป็นตำแหน่งสำหรับบรรจุข้าราชการ หรือเป็นเงินสำหรับการจ้างพนักงานมหาวิทยาลัย
ตอบ ได้รับการจัดสรรคืนเป็นเงินสำหรับการจ้างพนักงานมหาวิทยาลัย เท่ากับจำนวนอัตราข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัยที่ออกจากราชการตามมาตรการ
55. ถาม ข้าราชการออกจากราชการตามมาตรการนี้ จะกลับเข้ามาเป็นลูกจ้างของส่วน-ราชการ หรือพนักงานราชการได้หรือไม่
ตอบ กลับเข้าเป็นลูกจ้างชั่วคราว หรือพนักงานราชการได้ เพราะเงื่อนไขการออกจากราชการตามมาตรการนี้กำหนดห้ามเฉพาะการกลับเข้ารับราชการประจำในสังกัดฝ่ายบริหาร
56. ถาม ข้าราชการผู้ลาออกตามมาตรการที่ประสงค์จะไปประกอบธุรกิจ จะได้รับการส่งเสริมอย่างไร
ตอบ จะมีองค์กรทั้งของรัฐและเอกชนให้การส่งเสริมสำหรับผู้ที่ประสงค์จะประกอบธุรกิจโดยมีสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเป็นแกนหลักในการประสานกับส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องในการส่งเสริมและฝึกอบรมผู้ประกอบการใหม่ เช่น
- สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม จัดอบรมการค้นหาลู่ทางและเลือกทำธุรกิจ
- กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม จัดอบรมผู้ประกอบการใหม่
- กองทุนส่งเสริม SMEs ให้กู้ยืมสำหรับก่อตั้ง ปรับปรุง พัฒนากิจการ
- ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ให้บริการด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจ
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-
ตอบ ได้รับสิทธิประโยชน์จูงใจทางภาษีตามประกาศกระทรวงการคลัง
32. ถาม การคำนวณเงินสิทธิประโยชน์ตามมาตรการ (เงินก้อน) 8 เท่าของเงินเดือนเดือนสุดท้าย จะนำเงินประจำตำแหน่งมารวมกับเงินเดือนเพื่อคำนวณเงินดังกล่าวด้วยหรือไม่
ตอบ ไม่รวมเงินประจำตำแหน่ง
33. ถาม มาตรการที่ 3 มีสิทธิประโยชน์จูงใจเป็น เงินช่วยเหลือรายเดือนผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ (ช.ร.บ.) ด้วยหรือไม่
ตอบ ไม่มี
34. ถาม กรณีถูกสั่งให้ออกจากราชการเนื่องจากไม่ผ่านการประเมินฯ ครั้งที่ 2 จะได้รับสิทธิประโยชน์จูงใจเป็นเงินก้อนหรือไม่
ตอบ ไม่ได้รับ
35. ถาม ทุกส่วนราชการจะต้องดำเนินการมาตรการที่ 3 ใช่หรือไม่
ตอบ ใช่
36. ถาม ส่วนราชการจะประเมินผลการปฏิบัติงานโดยมีจำนวนผู้ได้รับการประเมินผลการปฏิบัติงานในลำดับต่ำสุดไม่ถึงร้อยละ 5 หรือเกินร้อยละ 5 ของจำนวนข้าราชการทั้งหมดในส่วนราชการได้หรือไม่
ตอบ ได้ ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2547 ที่กำหนดว่า จำนวนข้าราชการผู้ได้รับการประเมินประสิทธภาพการปฏิบัติงานในลำดับต่ำสุดร้อยละ 5 นั้น เป็นเป้าหมายโดยรวมของทุกส่วนราชการ ซึ่งจำนวนข้าราชการตามมาตรการนี้ของแต่ละส่วนราชการจะต้องเป็นไปตามข้อเท็จจากการประเมินผลการปฏิบัติงานของแต่ละส่วนราชการ
37. ถาม หากออกจากราชการตามมาตรการนี้ จะยังมีสิทธิได้รับบำเหน็จบำนาญหรือไม่
ตอบ สิทธิในการได้รับบำเหน็จบำนาญยังคงเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญ
ข้าราชการ ดังนี้
- กรณีเลือกลาออกจากราชการ
1. เวลาราชการ 10 ปีขึ้นไป แต่ไม่ถึง 25 ปี มีสิทธิได้รับบำเหน็จ
2. เวลาราชการ 25 ปีขึ้นไป มีสิทธิได้รับบำนาญ
3. อายุตัว 50 ปีขึ้นไป
* เวลาราชการตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไปแต่ไม่ถึง 10 ปี มีสิทธิได้รับบำเหน็จ
* เวลาราชการตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป มีสิทธิได้รับบำนาญ
- กรณีเป็นผู้ที่ส่วนราชการสั่งให้ออกจากราชการ โดยอาศัยมาตรา 114 (6) แห่ง พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 จะมีสิทธิได้รับบำเหน็จบำนาญเหตุทดแทน ดังนี้
* เวลาราชการตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไปแต่ไม่ถึง 10 ปี มีสิทธิได้รับบำเหน็จ
* เวลาราชการตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป มีสิทธิได้รับบำนาญ
ทั้งนี้ การนับเวลาราชการเพื่อให้เกิดสิทธิรับบำเหน็จบำนาญให้นับจำนวนปีเศษของปีถ้าถึงครึ่งปีให้นับเป็น 1 ปี
38. ถาม กรณีอายุตัวไม่ถึง 50 ปี และอายุราชการไม่ถึง 25 ปี หากลาออกจากราชการตามมาตรการ (หลังการประเมินครั้งที่ 1) จะมีสิทธิได้รับบำนาญหรือไม่
ตอบ ไม่มีสิทธิได้รับบำนาญ แต่กรณีอายุราชการตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไปมีสิทธิได้รับบำเหน็จ
39. ถาม กรณีอายุตัวไม่ถึง 50 ปี และอายุราชการไม่ถึง 25 ปี หากเป็นผู้ที่ส่วนราชการงให้ออกจากราชการตามมาตรา 114(6) จะมีสิทธิได้รับบำนาญหรือไม่
ตอบ กรณีเวลาราชการตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไปแต่ไม่ถึง 10 ปี มีสิทธิได้รับบำเหน็จ กรณีเวลาราชการตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไปมีสิทธิได้รับบำนาญเหตุทดแทน
40. ถาม หากข้าราชการไม่ได้รับความเป็นธรรมและประสงค์จะร้องทุกข์เกี่ยวกับผลการพิจารณาประเมินผลการปฏิบัติงาน จะร้องทุกข์ได้ที่ใด
ตอบ ร้องทุกข์ต่อ อ.ก.พ. กระทรวง ทั้งนี้ อ.ก.พ กระทรวงจะต้องพิจารณาเรื่องดังกล่าวให้ได้ข้อยุติก่อนวันที่มีผลให้ข้าราชการต้องออกจากราชการตามมาตรการที่ 3
41. ถาม การคำนวณบำเหน็จบำนาญสำหรับผู้ที่เป็นสมาชิก กบข. และไม่ได้เป็นสมาชิกกบข. แตกต่างกันหรือไม่
ตอบ ต่างกันที่สูตรการคำนวณบำนาญ และวิธีการนับเวลาราชการเพื่อคำนวณเงินบำเหน็จบำนาญ ดังนี้
สูตรการคำนวณบำเหน็จ (เหมือนกัน)
บำเหน็จ = เงินเดือนเดือนสุดท้าย X เวลาราชการ*
สูตรการคำนวณบำนาญ
* กรณีเป็นสมาชิก กบข.
บำนาญ = เงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย X เวลาราชการ*
50
ทั้งนี้ บำนาญไม่เกิน 70% ของเงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย
* กรณีไม่ได้เป็นสมาชิก กบข.
บำนาญ = เงินเดือนเดือนสุดท้าย X เวลาราชการ*
50
* เวลาราชการ กรณีเป็นสมาชิก กบข. จะนับจำนวนปีรวมทั้งเศษของปีด้วย แต่กรณี
ไม่ได้เป็นสมาชิก กบข. จะนับจำนวนปี เศษของปีถ้าถึงครึ่งปีให้นับเป็น 1 ปี
ตัวอย่าง: เวลาราช 27 ปี 6 เดือน การคำนวณบำนาญกรณีเป็นสมาชิก กบข. จะคิดเวลาราชการเท่ากับ 27.5 ปี กรณีไม่ได้เป็นสมาชิก กบข. จะเท่ากับ 28 ปี
42. ถาม เงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย (ตามสูตรการคำนวณบำนาญกรณีเป็นสมาชิก กบข.) มีวิธีคำนวณอย่างไร
ตอบ เงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย หมายถึง ค่าเฉลี่ยของเงินเดือน 60 เดือนก่อนออกจากราชการ ซึ่งคำนวณโดยนำเงินเดือนก่อนออกจากราชการจำนวน 60 เดือนย้อนหลังบวกกัน แล้วหารด้วย 60
ตัวอย่าง : ลาออกจากราชการในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2547 เงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย คำนวณโดยหาผลรวมของเงินเดือนตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 47 ย้อนหลังถึงเดือนธันวาคม 42 (รวม 60 เดือน) แล้วหารด้วย 60 ดังนี้
เงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย = (พ.ย. 47+ต.ค.47++ม.ค. 43+ธ.ค. 42)
50
43. ถาม ข้าราชการผู้หนึ่งได้รับคำสั่งลงโทษทางวินัย และส่วนราชการกำลังรายงาน อ.ก.พ. กระทรวง ข้าราชการผู้นั้นจะมีคุณสมบัติสมัครเข้าร่วมมาตรการหรือไม่
ตอบ ไม่มีสิทธิ เพราะกระบวนการทางวินัยยังไม่ถึงที่สุด กล่าวคือ อ.ก.พ. กระทรวงอาจพิจารณามีมีติเห็นชอบตามคำสั่งของกรมหรืออาจให้เพิ่มโทษ ลดโทษ งดโทษ หรือยกโทษได้
44. ถาม กรณีคุณสมบัติของผู้ที่จะเข้าร่วมมาตรการที่อยู่ระหว่างกระบวนการดำเนินการทางวินัยยังไม่ถึงที่สุด แต่จะขอยื่นสมัครเข้าร่วมมาตรการไว้ก่อนและใช้สิทธิย้อนหลังเมื่อกระบวนการทางวินัยสิ้นสุดแล้วได้หรือไม่
ตอบ ไม่ได้เนื่องจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2546 กำหนดคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมมาตรการที่ 1-3 ว่าผู้มีสิทธิสมัครเข้าร่วมมาตรการจะต้องมีคุณสมบัติ ครบถ้วนตั้งแต่วันเริ่มรับสมัครจนถึงวันที่ข้าราชการออกจากราชการตามมาตรการดังกล่าว
45. ถาม คุณสมบัติต้องห้ามกรณีเป็นผู้อยู่ในระหว่างถูกสอบสวนหรือสอบหาข้อเท็จจริงทางวินัย จะถือเป็นคุณสมบัติต้องห้ามตั้งแต่เมื่อใด
ตอบ เมื่อส่วนราชการมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อดำเนินการสอบสวนหรือสอบหาข้อเท็จจริงทางวินัย หรือเมื่อส่วนราชการได้แจ้งข้อกล่าวหาต่อผู้ถูกกล่าวหาแล้ว
46. ถาม การนับเวลาราชการในกรณีต่างๆ เช่น การลาเข้ารับการเตรียมพล ลาศึกษา ลาฝึกอบรมดูงาน หรือลาออกไปปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศ หรือ ถูกสั่งพักราชการ ฯลฯ จะนับรวมเป็นเวลาราชการสำหรับคำนวณบำเหน็จบำนาญ ได้หรือไม่
ตอบ การนับเวลาราชการเพื่อคำนวณบำเหน็จบำนาญ ให้นับเฉพาะวันรับราชการทีได้รับเงินเดือนจากงบประมาณประเภทเงินเดือนเท่านั้น ดังนั้น ในระหว่างลาหรือถูกสั่งพักราชการ ฯลฯ ดังกล่าว มีหลักการพิจารณา ดังนี้
* หากได้รับเงินเดือนเต็มในช่วงระยะเวลาดังกล่าว ก็ให้นับรวมเวลาระหว่างนั้นเป็นเวลาราชการ
* หากได้รับเงินเดือนไม่เต็มเดือน ให้นับเวลาระหว่างนั้น เป็นเวลาราชการตามส่วนของเงินเดือนที่ได้รับ
* หากไม่ได้รับเงินเดือนในระหว่างลาหรือถูกสั่งพักราชการ ก็ไม่ให้นับเวลาระหว่างนั้นเป็นเวลาราชการ(ยกเว้นการลาออกจากราชการเพื่อไปปฏิบัติงานตามกฎหมายว่าด้วยการกำหนดหลักเกณฑ์การสั่งให้ข้าราชการไปทำงานซึ่งให้นับเวลาระหว่างนั้นเหมือนเต็มเวลาราชการ)
47. ถาม เวลาระหว่างการลาติดตามคู่สมรสโดยไม่ได้รับเงินเดือน จะนำมานับรวมเป็นเวลาราชการได้หรือไม่
ตอบ ไม่ได้
48. ถาม นาย ก ถูกดำเนินการทางวินัยให้ออกจากราชการ ต่อมาได้อุทธรณ์ และได้กลับเข้ารับราชการ โดยในระหว่างที่ถูกให้ออกจากราชการนั้น นาย ก ได้รับเงินเดือนครึ่งหนึ่ง การนับเวลาราชการของ นาย ก จะนับอย่างไร
ตอบ นับเวลาราชการระหว่างที่ถูกออกจากราชการเพียงครึ่งเดียว
49. ถาม เวลาราชการของผู้เคยออกจากราชการและได้รับการบรรจุกลับเข้ารับราชการจะนับอย่างไร
ตอบ 1) กรณีออกจากราชการครั้งก่อนโดยไม่มีสิทธิรับเบี้ยหวัดบำเหน็จบำนาญเพราะถูกลงโทษปลดออกหรือไล่ออกจากราชการ เนื่องจากกระทำความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ถ้ากลับเข้ารับราชการจะไม่มีสิทธินับเวลาราชการก่อนออกจากราชการต่อเนื่องกับการรับราชการในตอนหลัง
2) กรณีออกจากราชการครั้งก่อนโดยไม่มีสิทธิรับบำเหน็จบำนาญ ถ้ากลับเข้ารับราชการตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม 2540 เป็นต้นมา ให้นับเวลาราชการก่อนออกจากราชการต่อเนื่องกับการรับราชการในตอนหลังได้
3) กรณีออกจากราชการครั้งก่อนโดยได้รับบำเหน็จ ไม่ให้นับเวลาราชการก่อนออกจากราชการต่อเนื่องกับการรับราชการในตอนหลัง เว้นแต่กลับเข้ารับราชการตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม 2540 เป็นต้นมา และผู้กลับเข้ารับราชการนั้นได้คืนบำเหน็จพร้อมดอกเบี้ย ก็ให้นับเวลาราชการก่อนออกจากราชการต่อเนื่องกับการรับราชการในตอนหลังได้
4) กรณีออกจากราชการครั้งก่อนโดยได้รับบำนาญ ไม่ให้นับเวลาราชการก่อนออกจากราชการต่อเนื่องกับการรับราชการในตอนหลัง เว้นแต่เลิกรับบำนาญ ก็ให้นับเวลาราชการก่อนออกจากราชการต่อเนื่องกับการรับราชการในตอนหลังได้
50. ถาม การนับเวลาราชการสำหรับกรณีออกจากราชการตามมาตรการจะนับถึงวันใด
ตอบ กรณีลาออกจากราชการตามมาตรการที่ 3 หลังจากการประเมินในครั้งที่ 1 เวลาาชการจะนับถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2547 (เนื่องจากออกจากราชการในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2547)กรณีออกจากราชการหลังจากการประเมินครั้งที่ 2 เวลาราชการจะนับถึงวันที่ 30 เมษายน 2548 (เนื่องจากออกจากราชการในวันที่ 1 เมษายน 2548)
51. ถาม เงินเดือนเดือนสุดท้ายที่จะนำมาเป็นฐานคำนวณสิทธิประโยชน์จูงใจ (เงินก้อน) และบำเหน็จบำนาญ นั้น รวมเงินเพิ่มอื่นหรือไม่
ตอบ กรณีคำนวณเงินก้อนจะไม่รวมเงินเพิ่ม แต่เงินเพิ่มดังกล่าวบางประเภทกฎหมายอาจกำหนดให้นำไปรวมคำนวณบำเหน็จบำนาญตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการได้ เช่น เงินเพิ่มพิเศษรายเดือนสำหรับค่าวิชา เงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่ต้องฝ่าอันตรายเป็นปกติ เงินเพิ่มสำหรับการสู้รบ หรือเงินเพิ่มสำหรับการปราบปรามผู้กระทำผิด แต่ไม่รวมถึงเงินเพิ่มอย่างอื่น
52. ถาม ผู้ที่ออกจากราชการตามมาตรการที่ 3 จะมีสิทธิได้รับบำเหน็จบำนาญหรือไม่
ตอบ กรณีเป็นผู้ที่เลือกลาออกจากราชการตามมาตรการ 3 สิทธิในการได้รับบำเหน็จบำนาญจะเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการแต่กรณีเป็นผู้ที่ถูกสั่งให้ออกจากราชการตามมาตรการที่ 3 ( มาตรา 114 (6) แห่ง พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 ) จะมีสิทธิได้รับบำเหน็จบำนาญเหตุทดแทน คือ กรณีอายุราชการตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไปแต่ไม่ถึง 10 ปี ให้ได้รับบำเหน็จกรณีอายุราชการตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไปมีสิทธิได้รับบำนาญ
53. ถาม ส่วนราชการจะต้องยุบเลิกตำแหน่งของผู้เข้าร่วมมาตรการนี้หรือไม่
ตอบ ไม่ต้องยุบเลิก
54. ถาม กรณีราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัยออกจากราชการตามมาตรการนี้ มหาวิทยาลัยดังกล่าว จะได้รับการจัดสรรคืนเป็นตำแหน่งสำหรับบรรจุข้าราชการ หรือเป็นเงินสำหรับการจ้างพนักงานมหาวิทยาลัย
ตอบ ได้รับการจัดสรรคืนเป็นเงินสำหรับการจ้างพนักงานมหาวิทยาลัย เท่ากับจำนวนอัตราข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัยที่ออกจากราชการตามมาตรการ
55. ถาม ข้าราชการออกจากราชการตามมาตรการนี้ จะกลับเข้ามาเป็นลูกจ้างของส่วน-ราชการ หรือพนักงานราชการได้หรือไม่
ตอบ กลับเข้าเป็นลูกจ้างชั่วคราว หรือพนักงานราชการได้ เพราะเงื่อนไขการออกจากราชการตามมาตรการนี้กำหนดห้ามเฉพาะการกลับเข้ารับราชการประจำในสังกัดฝ่ายบริหาร
56. ถาม ข้าราชการผู้ลาออกตามมาตรการที่ประสงค์จะไปประกอบธุรกิจ จะได้รับการส่งเสริมอย่างไร
ตอบ จะมีองค์กรทั้งของรัฐและเอกชนให้การส่งเสริมสำหรับผู้ที่ประสงค์จะประกอบธุรกิจโดยมีสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเป็นแกนหลักในการประสานกับส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องในการส่งเสริมและฝึกอบรมผู้ประกอบการใหม่ เช่น
- สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม จัดอบรมการค้นหาลู่ทางและเลือกทำธุรกิจ
- กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม จัดอบรมผู้ประกอบการใหม่
- กองทุนส่งเสริม SMEs ให้กู้ยืมสำหรับก่อตั้ง ปรับปรุง พัฒนากิจการ
- ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ให้บริการด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจ
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-